ส่วนข้อพระคัมภีร์ 1 โครินทร์ ดูตามนี้นะครับ
1คร 6:9
ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก บาง
ท่านเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ท่านได้รับการชำระล้างแล้ว ท่านได้รับความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านได้รับความชอบธรรมแล้วเดชะพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และเดชะพระจิตของพระเจ้าของเรา
--------------------
ถ้าเราดูชุดความบาปพวกนี้ทั้งหมด จะเห็นว่า ทุกอัน จะทำให้ กลายเป็น
คนเคยเป็นเช่นนี้ ก็ด้วยการ
เลิกทำ
เช่นคนขี้เมา เลิกดื่ม ก็ไม่กลายเป็นคนขี้เมา แต่ถ้าถามว่า คนนั้นเขามีความชอบบรรยากาศมิตรภาพในวงเหล้า หรือความสนุกยามได้ดื่ม ก็ย่อมมีอยู่ในนิสัย แต่แค่เขาเลิกทำ เขากลายเป็นแค่คนเคยขี้เมาทันที
หรือคนเป็นชู้ ถ้าคุณเป็นหญิงที่มีสามีแล้วแอบคบชู้ คุณบอกเลิกกับชู้ คุณกลายเป็นคนเคยมีชู้ทันที ต่อให้คุณยังคงรักชายชู้อยู่ก็ตาม
หรืออย่างคนปากร้าย ถ้าคุณเลิกด่าคน แม้เวลาคุณโดนใครด่าก่อนแล้วคุณจะปรี๊ดขึ้นมาอยากสวน แต่ไม่สวน คุณก็จะกลายเป็นแค่คนเคยปากร้าย ตอนนี้พูดเพราะแล้ว
แต่ทำไมกรณีรักร่วมเพศ การที่คุณเลิกยุ่งเกี่ยวทางเพศกับเพศเดียวกัน มันถึงไม่พอ สังคมยังบังคับต่อไปถึงรสนิยมว่าคุณต้องหันมาอยากร่วมเพศกับเพศตรงข้ามให้ได้ ซึ่งในทางสังคมจริง มีเกย์ และกะเทยมากมาย ที่สามารถฝืน หลอกตัวเองและผู้หญิงไปแต่งงานกับเธอเพื่อจะได้บอกคนอื่นที่ตัดสินคุณแบบนั้นว่าคุณไม่ได้เป็นรักร่วมเพศแล้ว เพราะตอนนี้ มีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงและมีลูกได้ (ตัวอย่างหลายคนในวงการบันเทิง)
ทำไมอันนี้ถึงต้องโดน3เด้งคือ นอกจากเลิกทำของเดิม ต้องเปลี่ยนรสนิยมเลิกชอบแบบเดิมไปชอบอีกแบบ แล้วต้องไปกระทำแบบใหม่ ด้วย
ปัญหาก็คือ การ error ทางความรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมครับ
การจำกัดความของคนสมัยก่อนและคนสมัยนี้ไม่เหมือนกันเลยครับ
2000ปีก่อน ไม่มีคำว่าเกย์ หรือโฮโมเซ็กซ์ชวล การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันไม่ได้นับเป็นเพศที่3 แบบสมัยนี้ แต่นับเป็นพฤติกรรมเท่านั้น เช่นในสังคมโรมันสมัยนักบุญเปาโล มีชาวโรมันมากมายที่แต่งงานมีลูกมีเมีย แต่นิยมมีความสัมพันธุ์ทางเพศกับเด็กชายหรือคนเพศเดียวกัน เช่น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ฯลฯ
ต้นฉบับภาษากรีกคำว่า คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ ในพระคัมภีร์บทนี้ ใช้คำว่า "malokois" และ "arsenokoitai."
นักวิชาการกรีกได้กล่าวเอาไว้ว่า ในช่วงศตวรรษแรก ๆ นั้น คำว่า malaokois น่าจะหมายถึง “เด็กผู้ชายที่มีลักษณะอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิง” ขณะที่ความหมายหลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงกลายไปเป็น “โสเภณีชาย”
ส่วนคำว่า arsenokoitai นั้น นักวิชาการกรีกไม่แน่ใจว่าคำดังกล่าวมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ และจากการที่เราไม่มั่นใจในความหมายของมันนี่เอง ได้นำไปสู่การโต้เถียง ความขัดแย้ง และโศกนาฏกรรม นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเปาโลได้หยิบยกคำนี้มาใช้เรียกลูกค้าของโสเภณีชาย ที่เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “ชายชราตัณหากลับ” ขณะที่บางที่แปลความหมายคำนี้ออกมาว่า sodomites(การร่วมเพศทางทวารหนัก) แต่ก็ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ว่าทำไมจึงถูกแปลออกมาเช่นนั้น
ในปี 1958 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีคนมาแปลพระคัมภีร์ภาษากรีกมาเป็นภาษาอังกฤษ
โดยได้สรุปว่าคำดังกล่าวหมายถึง พวกรักร่วมเพศ หรือ โฮโมเซ็กชัวล์ ถึงแม้จะในความเป็นจริงจะไม่มีคำดังกล่าวอยู่ในภาษากรีกหรือฮีบรูเลย และคนสมัยนั้นไม่เคยรู้จักคำนี้ แต่ผู้แปลก็ได้ตัดสินใจแทนเราทุกคน ใส่คำว่า โฮโมเซ็กชัวล์ ลงไปในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก
เราต้องมาพินิจพิเคราะห์คำว่า arsenokoitai นี้กันเสียใหม่ โดยการมองที่ความหมายดั้งเดิมของมัน ซึ่งหลักฐานที่น่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์ ที่ชาวโรมันเจ้าอาณานิคมในสมัยนั้นมีพฤติกรรมทางเพศแบบไหน เปาโลจึงน่าจะกล่าวประณามผู้ชายที่มีภรรยาแล้วแต่กลับจ้างเด็กผู้ชาย (malakois) ให้มามีเพศสัมพันธ์กับตน เหมือนกับที่ผู้ชายจ้างเด็กสาวสวย ๆ มาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน ซึ่งเป็นประเด็นของการล่วงประเวณี และการคบชู้ ซึ่งเป็นคำที่อยู่ก่อนหน้าคำ2คำนี้
ดังนั้น การที่ โปรแตสแตนท์ สาย fundamentalist คิดว่าจะต้องให้เกย์ เปลี่ยนมา ชอบเพศตรงข้ามจึงจะรอดได้ หรืออีกนัยคือ ลงไปตัดสินตั้งแต่รสนิยมทางเพศ แทนพฤติกรรมทางเพศ จึงเป็นการใช้ระเบียบสังคมปัจจุบัน ยัดลงไปทับซ้อนเหตุการณ์ในความพระคัมภีร์ จนเบือนจากเจตนาในสมัยก่อน
ในส่วนของคำตอบในเทววิทยาของพระศาสนจักรคาทอลิกได้เคยมีตอบชัดเจนเรื่องนี้ไว้แล้วครับ
viewtopic.php?f=2&t=6366