สงสัยการสิ้นพระชนต์ของพระเยซูคริสต์
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ตามที่ทราบกันโดยทั่วไป คือสิ้นพระชนม์เพราะถูกตรึงกางเขน ส่วนที่เอาหอกแทงนั้นทหารเขาทำเพื่อทดสอบว่าตายรึยัง (นักโทษที่ถูกตรึง จะตายเพราะเนื่องจากมีสภาพที่ทรมานตั้งแต่ก่อนถูกตรึงขึ้น(โดยการทุบตี แล้วให้แบกกางเขนเดินขึ้นเนิน) และยังต้องตากแดดร้อน ในสภาพที่มิอาจผ่อนคลายได้อีก ทรมานสุด ๆ นั่นแหละ)garuda เขียน:คือผมสงสัยว่า พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสิ้นพระชนต์ โดยถูกตรึงกางเขนแล้วสิ้นพระชนต์ หรือถูกหอกทหารแทงแล้วสิ้นพระชนต์บนกางเขนครับ
โดย common sense แล้ว ทหารเค้าไม่น่าจะแืทงแรงและลึกถึงกะให้ตาย (แทงทดสอบว่ายังมีชีวิตอยู่ไหมกับแทงเอาให้ตายมันต่างกันนะ)
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
พระคริสต์สิ้นพระชนม์บ่ายสามโมงวันศุกร์
และก่อนหกโมงในวันศุกร์จะต้องทำพระศพให้เสร็จ
หลังหกโมง (พระอาิทิตย์ตก) ชาวยิวจะถือเป็นวันเสาร์แล้ว
และเป็นวันสะบาโต ซึ่งชาวยิวจะไม่ทำกิจกรรมอื่น
ยกเว้นบูชาพระเจ้า หากไม่ทำพระศพให้เสร็จจะต้องทิ้ง
พระศพบนกางเขนให้พ้นหกโมงเย็นวันเสาร์ ซึ่งพระศพ
จะถูกแร้ง หมาป่ากัดกินได้ ผิดธรรมเนียมที่ต้องรีบฝั่ง
ใน 1 วันด้วย
ในช่วงเวลาที่เหลือไม่กี่ชั่วโมง พอทหารโรมันได้คำสั่งให้
ญาติปลดพระศพลงได้ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่ตรึงต้องตายจริง
ทหารโรมันจึงแทงเข้าสีข้าง "ทะลุถึงหัวใจ" เพื่อให้ตาย
เผื่อกรณีแค่สลบจะได้ตายจริงตามที่ประกาศไว้
และพระองค์ได้ฟื้นคืนในเช้าวันอาทิตย์ นั้นครบถ้วนตามที่
พระองค์เคยบอก "พระองค์ฟื้นขึ้นในวันที่ 3" (ตามพระคัมภีร์)
-------
มีเกร็ดอ้างในเหตุการณ์นี้ต่อ
1. การนำศพที่ถูกตรึงกางเขนในยุคนั้น กรณีเวลาเย็นแล้วแต่นักโทษยังไม่ตาย
และทหารไม่ต้องการทิ้งนักโทษไว้บนไม้ (ซึ่งต้องเฝ้าจนกว่านักโทษจะตาย)
ทหารจะใช้วิธีทุบขาให้กระดูกแตกยืนบนไม้หมอนไม่ได้ นักโทษจะขาดอากาศตาย
เพราะน้ำหนักจะทิ้งลงล่างโดยไม่มีขาช่วยพยุงเช่นกรณีของโจรที่ถูกตรึงข้างพระเยซู
กรณีพระเยซูพระองค์สิ้นก่อนจึงไม่มีการทุบขาให้กระดูกแตก
จึงตรงกับคำำทำนายของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเรานำมาใช้สวดในบท "พระเยูซูผู้พระทัยดี" ด้วย
2. หอกที่แทงพระศพภายหลังมีชื่อ "ลองกินุส" กลายเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์
3. เมื่อแทงพระศพแล้วพบ "น้ำและโลหิต" พุ่งออกมาจากร่าง (หัวใจที่ทะลุ)
เป็นที่อัศจรรย์ผู้เห็น และนายทหารผู้นั้นก็กลับใจภายหลังจากภาพนั้น
4. "น้ำและโลหิต" คือ สิ่งที่พระเยซูทรงมาประจักษ์บอกความหมายภายหลัง
โดยเฉพาะปัจจุบันซึ่งพวกเราพึ่งพระเมตตาจาก "น้ำและโลหิต" ของพระองค์
ศึกษาต่อเรื่อง "บทสวดพระเมตตา"
และก่อนหกโมงในวันศุกร์จะต้องทำพระศพให้เสร็จ
หลังหกโมง (พระอาิทิตย์ตก) ชาวยิวจะถือเป็นวันเสาร์แล้ว
และเป็นวันสะบาโต ซึ่งชาวยิวจะไม่ทำกิจกรรมอื่น
ยกเว้นบูชาพระเจ้า หากไม่ทำพระศพให้เสร็จจะต้องทิ้ง
พระศพบนกางเขนให้พ้นหกโมงเย็นวันเสาร์ ซึ่งพระศพ
จะถูกแร้ง หมาป่ากัดกินได้ ผิดธรรมเนียมที่ต้องรีบฝั่ง
ใน 1 วันด้วย
ในช่วงเวลาที่เหลือไม่กี่ชั่วโมง พอทหารโรมันได้คำสั่งให้
ญาติปลดพระศพลงได้ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่ตรึงต้องตายจริง
ทหารโรมันจึงแทงเข้าสีข้าง "ทะลุถึงหัวใจ" เพื่อให้ตาย
เผื่อกรณีแค่สลบจะได้ตายจริงตามที่ประกาศไว้
และพระองค์ได้ฟื้นคืนในเช้าวันอาทิตย์ นั้นครบถ้วนตามที่
พระองค์เคยบอก "พระองค์ฟื้นขึ้นในวันที่ 3" (ตามพระคัมภีร์)
-------
มีเกร็ดอ้างในเหตุการณ์นี้ต่อ
1. การนำศพที่ถูกตรึงกางเขนในยุคนั้น กรณีเวลาเย็นแล้วแต่นักโทษยังไม่ตาย
และทหารไม่ต้องการทิ้งนักโทษไว้บนไม้ (ซึ่งต้องเฝ้าจนกว่านักโทษจะตาย)
ทหารจะใช้วิธีทุบขาให้กระดูกแตกยืนบนไม้หมอนไม่ได้ นักโทษจะขาดอากาศตาย
เพราะน้ำหนักจะทิ้งลงล่างโดยไม่มีขาช่วยพยุงเช่นกรณีของโจรที่ถูกตรึงข้างพระเยซู
กรณีพระเยซูพระองค์สิ้นก่อนจึงไม่มีการทุบขาให้กระดูกแตก
จึงตรงกับคำำทำนายของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเรานำมาใช้สวดในบท "พระเยูซูผู้พระทัยดี" ด้วย
2. หอกที่แทงพระศพภายหลังมีชื่อ "ลองกินุส" กลายเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์
3. เมื่อแทงพระศพแล้วพบ "น้ำและโลหิต" พุ่งออกมาจากร่าง (หัวใจที่ทะลุ)
เป็นที่อัศจรรย์ผู้เห็น และนายทหารผู้นั้นก็กลับใจภายหลังจากภาพนั้น
4. "น้ำและโลหิต" คือ สิ่งที่พระเยซูทรงมาประจักษ์บอกความหมายภายหลัง
โดยเฉพาะปัจจุบันซึ่งพวกเราพึ่งพระเมตตาจาก "น้ำและโลหิต" ของพระองค์
ศึกษาต่อเรื่อง "บทสวดพระเมตตา"
พระเยซูถูกเฆี่ยนด้วย แส้ธรรมดา หลายครั้งนับไม่ถ้วน
แต่ถูกเฆี่ยนด้วย แส้ปลายตะขอ(มั้งนะ) แค่ 39 ครั้ง
ตามข้อมูลที่ได้รับมา คือ ตามกฏหมายโรมันโบราณ จะไม่เฆี่ยนนักโทษ
ด้วยแส้ปลายตะขอ -----> http://www.youtube.com/watch?v=_vF9mOwp0v4
ดูในคลิปเอานะครับ
ตามกฏหมายโรมันโบราณจะไม่เฆี่ยนด้วยแส้ชนิดนี้กับนักโทษเกิน 40 ครั้ง
นั่นหมายความว่าจะเฆี่ยนแค่ 39 ครั้ง เพราะว่าในอดีตเคยมีการลงโทษด้วยแส้ชนิดนี้
แล้วพอฟาดครั้งที่ 41 นักโทษตายก่อนไปตรึงกางเขน เพราะเสียเลือดมาก ตั้งแต่นั้นมา
กฏหมายจึงให้เฆี่ยนแค่ 39 ครั้งครับ พระองค์ถูกเฆี่ยนด้วยแส้ธรรมดาๆ ก่อน
แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นแส้ปลายตะขอเกี่ยวแบบในคลิป
*************************************************
พระองค์ตายเพราะถูกตรึงกางเขนครับ การตรึงกางเขนเป็นการประหารที่ทรมานที่สุด
ทำให้ผู้คนที่เห็นฝังใจไปนานเลยล่ะครับ เพราะว่าการตรึงกางเขน มือที่ถูกตอกตะปูอยู่
จะต้องรับน้ำหนักตัวทั้งหมดที่หย่อนลงมา ทำให้เสียเลือดมากเลยทีเดียว และด้วยสภาพแดดจัด
ขาดน้ำ แบบนั้นพระองค์จึงสิ้นพระชนครับ ส่วนกฏหมายโรมันนั้น หากนักโทษยังไม่ยอมตายซักที
(ประมาณว่าจะเอานักโทษลงไปฝัง หรือเอาศพไปทิ้งแล้ว) ตามกฏหมาย จะให้เอาหินทุบกระดูกจนแตก ให้ตาย แต่พระเยซูตายก่อนหน้าโจรสองคนที่ตรึงอยู่ด้วยกันแล้ว ทหารจึงทดสอบด้วยการแทงสีข้างของพระองค์ แล้วน้ำกับโลหิตก็ไหลออกมา
****************************************************
การคืนพระชน พระเยซูคืนพระชนแล้ว แต่พวกปุโรหิตกลับไปแจ้งปิลาตว่าศพถูกขโมย
แล้วบอกทหารโรมันว่า จะแก้ต่างหน้าให้ เพราะอะไร? เพราะตามกฏหมายโรมัน ทหารที่ทิ้งหน้าที่
กลางคัน ทหารที่อู้งาน ทหารที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีโทษเพียงสถานเดียวคือ ประหารชีวิต ครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าทหารโรมัน(บางคน)จะอยากแทงสีข้างพระองค์หรือไม่ หรืออยากช่วยพระองค์มั้ย? ก็ทำไม่ได้ด้วยกฏการประหารเมื่อทิ้งหน้าที่นี่ล่ะครับ
*******************************************************
ปล.ข้อมูลนี้เก่าแล้ว จำไม่ได้ว่าได้รับมาจากไหน แต่เป็นในหนังสือเสริมศรัทธา
แต่ถูกเฆี่ยนด้วย แส้ปลายตะขอ(มั้งนะ) แค่ 39 ครั้ง
ตามข้อมูลที่ได้รับมา คือ ตามกฏหมายโรมันโบราณ จะไม่เฆี่ยนนักโทษ
ด้วยแส้ปลายตะขอ -----> http://www.youtube.com/watch?v=_vF9mOwp0v4
ดูในคลิปเอานะครับ
ตามกฏหมายโรมันโบราณจะไม่เฆี่ยนด้วยแส้ชนิดนี้กับนักโทษเกิน 40 ครั้ง
นั่นหมายความว่าจะเฆี่ยนแค่ 39 ครั้ง เพราะว่าในอดีตเคยมีการลงโทษด้วยแส้ชนิดนี้
แล้วพอฟาดครั้งที่ 41 นักโทษตายก่อนไปตรึงกางเขน เพราะเสียเลือดมาก ตั้งแต่นั้นมา
กฏหมายจึงให้เฆี่ยนแค่ 39 ครั้งครับ พระองค์ถูกเฆี่ยนด้วยแส้ธรรมดาๆ ก่อน
แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นแส้ปลายตะขอเกี่ยวแบบในคลิป
*************************************************
พระองค์ตายเพราะถูกตรึงกางเขนครับ การตรึงกางเขนเป็นการประหารที่ทรมานที่สุด
ทำให้ผู้คนที่เห็นฝังใจไปนานเลยล่ะครับ เพราะว่าการตรึงกางเขน มือที่ถูกตอกตะปูอยู่
จะต้องรับน้ำหนักตัวทั้งหมดที่หย่อนลงมา ทำให้เสียเลือดมากเลยทีเดียว และด้วยสภาพแดดจัด
ขาดน้ำ แบบนั้นพระองค์จึงสิ้นพระชนครับ ส่วนกฏหมายโรมันนั้น หากนักโทษยังไม่ยอมตายซักที
(ประมาณว่าจะเอานักโทษลงไปฝัง หรือเอาศพไปทิ้งแล้ว) ตามกฏหมาย จะให้เอาหินทุบกระดูกจนแตก ให้ตาย แต่พระเยซูตายก่อนหน้าโจรสองคนที่ตรึงอยู่ด้วยกันแล้ว ทหารจึงทดสอบด้วยการแทงสีข้างของพระองค์ แล้วน้ำกับโลหิตก็ไหลออกมา
****************************************************
การคืนพระชน พระเยซูคืนพระชนแล้ว แต่พวกปุโรหิตกลับไปแจ้งปิลาตว่าศพถูกขโมย
แล้วบอกทหารโรมันว่า จะแก้ต่างหน้าให้ เพราะอะไร? เพราะตามกฏหมายโรมัน ทหารที่ทิ้งหน้าที่
กลางคัน ทหารที่อู้งาน ทหารที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีโทษเพียงสถานเดียวคือ ประหารชีวิต ครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าทหารโรมัน(บางคน)จะอยากแทงสีข้างพระองค์หรือไม่ หรืออยากช่วยพระองค์มั้ย? ก็ทำไม่ได้ด้วยกฏการประหารเมื่อทิ้งหน้าที่นี่ล่ะครับ
*******************************************************
ปล.ข้อมูลนี้เก่าแล้ว จำไม่ได้ว่าได้รับมาจากไหน แต่เป็นในหนังสือเสริมศรัทธา