3. ความตายในเทววิทยาร่วมสมัย
ความเข้าใจเรื่องความตาย นับเป็นหัวใจของวิชาอวสานกาลวิทยาส่วนบุคคล ดังที่นักเทววิทยาร่วมสมัยพัฒนาขึ้น เขาตั้งคำถามที่ว่า
“อะไรจะเกิดขึ้นกับบุคคลเมื่อเขาตาย” บรรดานักเทววิทยาร่วมสมัยมีความคิดหลากหลาย แต่ทุกคนมั่นใจว่านิยามความตายตามธรรมประเพณีที่สอนว่า ความตายเป็นการแยกกันระหว่างร่างกายกับวิญญาณนั้น ไม่เป็นการเพียงพอ จะต้องค้นหาความหมายให้ลึกซึ้งกว่านี้
การพัฒนาความคิดหลักในเรื่องความตายมีนักเทววิทยาสำคัญ 3 ท่าน ที่ให้แนวใหม่ไว้คือ
คาร์ล ราห์เนอร์ (K. Rahner) ทรัวฟังแตนส์ (R. Troisfontaines) โบรอส (L. Boros)
โดยที่ทรัวฟังแตนส์ ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปรัชญาของมาแซล (G.Marcel) แต่ราห์เนอร์และโบรอสได้ใช้ปรัชญาเชิงอุตรภาพเป็นพื้นฐาน ท่านทั้ง 3 คนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนความคิดที่ว่า ความตายของมนุษย์ไม่ใช่เป็นเพียงชะตากรรมที่เขาเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว แต่เขาเป็นผู้กระทำอีกด้วย ความตายจึงเป็นการกระทำส่วนตัวของแต่ละบุคคล ผลงานของราห์เนอร์มีอิทธิผลต่อนักเทววิทยาอื่นๆ หลายคน แต่ในที่นี้ เราจะพิจารณาถึงทัศนะของราห์เนอร์ และผลกระทบของเขาที่มีต่องานของโบรอส
3.1 ความคิดของราห์เนอร์
ความคิดหลักของราห์เนอร์มาจากความมั่นใจที่ว่า ความตายไม่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก หรือเป็นชะตากรรมซึ่งมีสาเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ แน่นอนความตายก็เป็นเช่นนี้แต่มีความหมายมากกว่านั้นคือ
ความตายเป็นการกระทำของมนุษย์ที่จำเป็นต้องทำ ความตายไม่เพียงเป็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเองเท่านั้น แต่เป็นกิจการของเราอีกด้วย เพื่อจะเข้าใจความคิดของราห์เนอร์เราจำเป็นที่จะมาพิจารณาความเข้าใจเรื่องชีวิตมนุษย์ตามที่ราห์เนอร์สั่งสอน
ราห์เนอร์มีความคิดว่ามนุษย์แสวงหาความหมายของชีวิตและพยายามที่จะได้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ ในทัศนะนี้ชีวิตมนุษย์เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่องของสองฝ่ายที่กระทำระหว่างกัน คือ ระหว่างการกระทำของแต่ละบุคคลกับการกระทำของผู้อื่นและกับการกระทำของสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นบริบทของชีวิตของตน แต่ละบุคคลถูกกระทำจากผู้อื่นและในทางตรงกันข้ามเขามีปฏิกิริยาต่อผู้อื่น เราจึงสรุปได้ว่า ชีวิตมนุษย์เป็นปฏิพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของกัมมันตภาพและอกัมมันตภาพ (an ongoing dialectic of passivity and activity).
อันดับแรกเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราเริ่มมีชีวิตในครรภ์มารดาโดยไม่มีการกระทำของเราเลย เราได้รับชีวิตโดยไม่มีใครมาปรึกษาหารือกับเราก่อน เราไม่ได้เลือกเอาเองที่จะมีชีวิต แต่เมื่อเรามีชีวิตแล้ว เราต้องดำเนินชีวิตที่เราได้รับนั้น อาศัยการกระทำของเราเอง และส่วนหนึ่งของชีวิตของเราเป็นผลของการกระทำที่เราจงใจกระทำ
ทำนองเดียวกัน ชีวิตของเรายังขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เราไม่อาจควบคุมได้ ความตายจึงเป็นรูปแบบชัดเจนมากที่สุดของปฏิพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของกัมมันตภาพและอกัมมันตภาพ ซึ่งคงอยู่ตลอดชีวิตของเรา ความตายสำหรับชีวิตมนุษย์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของร่างกายที่แตกสลายไป ดังที่เป็นสำหรับสัตว์และต้นไม้ โดยแท้จริงแล้ว ความตายของมนุษย์มีความหมายมากกว่านั้น คือ
เป็นการกระทำของบุคคลที่ใช้ทั้งสติปัญญาและเจตจำนง เมื่อมนุษย์ตาย ก็เป็นเวลาที่เขาอยู่ใต้อำนาจพลังที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ในเวลาเดียวกันเขายังถูกเรียกที่จะแสดงเสรีภาพของตนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเขาเลือกทางใดทางหนึ่งก็จะดำรงอยู่ในทางนั้นตลอดไป
ความเข้าใจเช่นนี้ ทำให้เรามองความตายในแง่ที่เป็นการกระทำที่นำความสมบูรณ์มาสู่ชีวิตมนุษย์ เพราะความตายทำให้ทุกสิ่งที่มนุษย์เคยกระทำสำเร็จไป มองในแง่ที่เป็นการกระทำของมนุษย์ ความตายจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่มนุษย์กระทำอย่างเสรี แม้ชีวิตทั้งหมดของมนุษย์นับว่าเป็นการเตรียมการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในเวลาแห่งความตายก็ตาม
ความตายก็ยังเป็นเวลาพิเศษสุดที่มนุษย์ใช้เสรีภาพของตนในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และการตัดสินใจครั้งนี้มีผลตลอดไป
ความคิดนี้ ทำให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ทำไมราห์เนอร์พบว่าการให้คำนิยามในเรื่องความตายที่มีมาแต่โบราณนั้นไม่เพียงพอ
ความตายไม่เป็นเพียงการแยกกันของวิญญาณจากร่างกาย แต่ยังเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ส่วนตัวของแต่ละคน ความตายไม่เพียงมีผลกระทบต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อวิญญาณอีกด้วย เพราะเมื่อมนุษย์ตาย วิญญาณของเขาบรรลุถึงความสมบูรณ์ วิญญาณเข้าสู่ความสัมพันธ์ใหม่และลึกซึ้งกับโลก ซึ่งราห์เนอร์เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบสหจักรวาล (pan-cosmic)” นั่นคือ
เมื่อวิญญาณสละร่างกายที่จำกัดของตนในชีวิตนี้ วิญญาณก็จะเปิดตัวต่อจักรวาลทั้งหมด
ราห์เนอร์ได้ให้คำอธิบายเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับความคิดที่ว่า โดยพื้นฐานแล้ว ความตายของมนุษย์แต่ละคนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความตายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น สัตว์และต้นไม้ ความตายของมนุษย์มีลักษณะเฉพาะเพราะเป็นการกระทำของมนุษย์ ความคิดนี้ของราห์เนอร์เป็นความคิดทางปรัชญาก็จริง แต่มีเหตุผลสนับสนุนจากคำสอนของพระคัมภีร์และของเทววิทยา ราห์เนอร์ชี้ให้เห็นถึงรายละเอียดที่พระคัมภีร์ใช้ในการเสนอการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้า ในข้อความของพระคัมภีร์เราพบทั้งการกระทำของผู้อื่นและการกระทำของพระองค์ ซึ่งสอดคล้องกับคุณลักษณะที่ได้วิเคราะห์ทางปรัชญา
แน่นอน
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าไม่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงถูกกระทำ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรับทรมาน (มก 14:32-41;15:34) อีกด้านหนึ่ง พระคัมภีร์ชี้แจงว่า
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าเป็นกิจการของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงมอบพระองค์อย่างอิสระไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดา (ลก 23:46; ยน 14:2, 28; 16:7; 19:30) จากข้อความเหล่านี้ นักเทววิทยาได้ไตร่ตรองเป็นเวลาหลายศตวรรษและสรุปว่า
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าเป็นกิจการสูงสุดที่แสดงความอ่อนน้อมเชื่อฟังต่อพระประสงค์ของพระบิดา ธรรมประเพณีทางเทววิทยาสอนว่า การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นได้ เพราะ
เป็นกิจการที่พระองค์ทรงจงใจกระทำ การวิเคราะห์ของราห์เนอร์พัฒนาความเข้าใจเช่นนี้เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้ามากยิ่งขึ้น