เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกทั้งสิบสองคนเข้ามาพบ และทรงเริ่มส่งเขาเป็นคู่ๆ ประทานอำนาจเหนือปิศาจ ทรงกำชับเขามิให้นำสิ่งใดไปด้วย นอกจากไม้เท้าเท่านั้น ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่าม ไม่ให้มีเศษเงินใส่ไถ้ ให้สวมรองเท้าได้ แต่มิให้เอาเสื้อสำรองไปด้วย พระองค์ตรัสแก่เขาว่า ‘ถ้าท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกเดินทางต่อไป ถ้าที่ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากที่นั่นพลางสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา’ บรรดาอัครสาวกจึงได้ไปเทศน์สอนคนทั้งหลายให้กลับใจ ได้ขับไล่ปิศาจจำนวนมาก ได้เจิมน้ำมันผู้เจ็บป่วยหลายคน และรักษาเขาให้หายจากโรคภัย

หลายๆครั้งคริสตชนโดยเฉพาะคาทอลิกมีความเข้าใจผิดว่า งานแพร่ธรรม ต้องใช้นักบวชเท่านั้น หรืองานแพร่ธรรม ต้องใช้ทุนทรัพย์มากจึงจะสำเร็จได้ แต่ที่จริงการประกาศพระนามพระเจ้าเป็นสิ่งที่คริสตชนทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง และ ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยภายนอกมากมายใดๆ
คริสตชนทุกคน สามารถประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ได้ แม้ไม่มีสิ่งใดเลย พระเยซูเจ้า ทรงวางแบบอย่างผู้แพร่ธรรม โดยให้มีเพียงทรัพย์สมบัติติดตัวที่จำเป็น เพื่อเป็นแบบอย่างว่าสิ่งจำเป็นที่ต้องมี ในการแพร่ธรรม ก็เพียงตัวเรา พระเจ้าที่ทรงเคียงข้างเรา และความรู้ความศรัทธาของเราเท่านั้น
พันธกิจแห่งการประกาศข่าวดีที่เป็นหน้าที่ของบรรดาศิษย์นี้ เป็นคำสั่งของพระอาจารย์เจ้า และเป็นพระพรที่พระอาจารย์เจ้าทรงประทานให้ เมื่อทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระองค์ และพระองค์จะประทานทุกอย่างที่จำเป็นให้ หน้าที่สำคัญคือ ต้องวางใจในพระองค์และพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น
จึงขอให้เรามีความกล้าหาญที่จะทำพันธกิจนี้ แม้เราอาจคิดว่าเราเป็นเพียงคนตัวเล็กๆในสังคมก็ตาม
ขอพระเจ้าประทานพระพรที่จำเป็นทุกประกาศเพื่อการประกาศข่าวดีของท่าน