บันเนอ แม่พระทรงมอบสารธรรมดาที่เข้าใจง่าย ขณะนั้นเป็นปี 1933 หลังจาการประจักษ์ครั้งสุดท้ายที่โบแรงได้ 12 วัน …ที่หมู่บ้านชาวเบลเยี่ยมเล็กๆ ประมาณ 100 ครอบครัว พวกเขามีอาชีพเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกในที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของโดยเฉพาะ แต่เป็นของกลางสำหรับคนยากจนอยู่อาศัยร่วมกัน
ห่างจากวัด 1 กม. มีครอบครัวหนึ่งที่ยากจนมาก หัวหน้าครอบครัวคือนายจูเลียน เบโก เป็นกรรมกรที่ซื่อตรง ภรรยาต้องตรากตรำทำงานใหการเลี้ยงดูลูกๆ ถึง 7 คน
ด.ญ. มารีแอ็ต เบโก คนหัวปี อายุ 12 ขวบ เกิดวันที่ 25 มีนาคม 1921 ตรงกับวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นวันแม่พระรับสาร เธอไม่ได้เรียนหนังสือหรือเรียนคำสอนมากนักเธอไม่ได้ไปวัดและคงจะยังมิได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกด้วย เป็นเด็กรักสงบ ชอบครุ่นคิดและไม่ฉลาดนัก วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ตอนค่ำ 19.00 น. ขณะที่มารีแอ็ตมองออกไปทางหน้าต่างก้แลเห็นแสงสลัวๆ และต่อมาก็ "แลเห็นชัด เป็นภาพสตรีผู้หนึ่งมีแสงเป็นประกายกำลังยืนและมองมายังเธอพลางยิ้มให้" เป็นสตรีสาว งดงามมาก สวมอาภรณ์สีขาวยาวลงมาคลุมเท้าซ้าย, ส่วนเท้าขวาเปลือยมีกุหลาบทองคำประดับไว้ดอกหนึ่ง, มีผ้าคลุมศีรษะผืนใหญ่, คาดรัดปะคดสีน้ำเงิน ตอนปลายแขนขาวมีสายประคำสีขาวห้อยอยู่ ทุกสิ่งที่แลเห็นนั้นรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์"
ผู้ที่ประจักษ์มาทำสัญญาณให้เข้าไปหา แต่มารดาของเธอห้ามและปิดประตูใส่กุญแจไว้
วันที่ 18 มกราคม พระนางพรหมจารีกลับมาอีกและกล่าวกับหนูน้อยถึงน้ำพุแห่งหนึ่ง
วันที่ 19 มกราคม มารีแอ็ตถามว่า "พระนางคือผู้ใด?" คำตอบคือ "ฉันคือพระนางพรหมจารีของคนยากจน" และอีกคำถามหนึ่งเกี่ยวกับน้ำพุที่กล่าวถึงในวันก่อนก็ได้รับคำตอบว่า "น้ำพุนี้มีไว้สำหรับทุกชาติ…เพื่อบรรเทาผู้เจ็บป่วย"
วันที่ 20 แม่พระทรงขอให้สร้างวัดน้อยขึ้นหลังหนึ่ง..จากนั้นการประจักษ์ก็หยุดไป…จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ หนูมารีแอ็ตรู้สึกผิดหวังบ้าง แต่ทุกค่ำไม่ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นเช่นไร เธอจะสวดสายประคำรออยู่ จนถึงวันนั้นตรงกับวันครบรอบปีที่ 75 แห่งประจักษ์ของแม่พระครั้งแรกที่เมืองลูร์ด การประจักษ์จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้พระนางทรงกล่าวแก่มารีแอ็ตว่า "ฉันมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก"
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พระนางพรหมจารีทรงบอกความลับข้อหนึ่งแก่มารีแอ็ต "หนูจะต้องไม่บอกเรื่องนี้แก่ใครเลย แม้แต่กับคุณพ่อหรือคุณแม่…"
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ แม่พระทรงแนะให้มารีแอ็ตสวดภาวนามากๆ และในวันที่ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นการประจักษ์ครั้งสุดท้าย พระนางทรงยืนยันกับเธอว่า "ฉันคือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า, จงสวดภาวนามากๆ ลาก่อนนะ"
สภาพเรียบๆ ที่ไม่มีพิธีรีตองในการประจักษ์ที่บันเนอนี้ชวนชาวเราให้คิดถึงสภาพที่นาซาแร็ธ ซึ่งพระนางพรหมจารีเจริญชีวิตเป็นคนยากจนท่ามกลางพวกคนยากจน …แต่ครั้งนี้พระนางประจักษ์มาในยุคที่คนจนไม่อยากยอมรับสภาพของตนและต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง, พระนางเสด็จมาในขณะที่ชนหมู่มากกำลังถูกฉุดลากไปสู่สิ่งที่ผิด และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เข้าไปหานั้นคือยาบำบัดความทุกข์ของพวกตนในการยึดถือลัทธิการปฏิวัติ
พระนางประจักษ์ที่บันเนอ เพื่อเตือนให้เราทราบว่า พระนางแต่ผู้เดียว สามารถขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากต่างๆ ได้ เพราะพระนางทรงเป็นคนกลางแจกจ่ายพระหรรษทานทั้งหลาย พระนางทรงประกาศว่า "ฉันคือพระนางพรหมจารีของคนยากจน" แล้วตรัสต่อไปว่า "ฉันมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ร้อน"
และที่สุดในการประจักษ์ครั้งสุดท้าย พระนางทรงเตือนให้ระลึกว่า พระนางคือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่มีสิทธิแจกจ่ายขุมทรัพย์สวรรค์แก่ชาวเราทั้งหลาย โดยทรงกล่าวว่า "ฉันคือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า จงสวดภาวนามากๆ เถิด"
พระสังฆราชแห่งเมืองลีเอชประกาศรับรองการประจักษ์นี้เมื่อ วันที่ 19 มีนาคม 1942 ในปัจจุบันการถวายคารวกิจแด่แม่พระที่บันเนอได้แผ่ไปอย่างกว้างขวาง มีผู้คนจากแดนไกลมาจาริกแสวงบุญกันมาก คนยากจนจำนวนล้านที่กระจายอยู่ตามทวีปต่างๆ ทั้ง 5 ทวีป ได้มาร่วมสวดภาวนาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่นนี้แหละจะเห็นได้ว่า บันเนอ มีลักษณะของความเป็นสากลดังที่พระนางพรหมจารีทรงประกาศว่า "น้ำพุนี้มีไว้สำหรับชนทุกชาติ"

