รำพึงพระวาจาประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2555 (บทอ่านที่1)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
tuztiz
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm

ศุกร์ ต.ค. 12, 2012 10:12 am

รำพึงพระวาจาประจำวัน(บทอ่านที่1) โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2012 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา
“ความเชื่อ ความเชื่อ ความเชื่อ” ภาษาลาติน Fides ภาษาอังกฤษ Faith (Believe) เราพูด เรากล่าวกันถึงความเชื่อกันมากเหลือเกิน และความเชื่อจริงๆคืออะไรหนอ เรามีความเชื่อ เรายืนยันว่าเรามีความเชื่อ แต่พ่ออยากให้เราวันนี้กล่าวถึงความเชื่อกันหน่อย ว่าความเชื่อคืออะไรและมีพลังแค่ไหน... อำนาจในการเปลี่ยนแปลง...มักจะมีและเริ่มต้นแบบนี้ครับ

1. การได้ยินได้ฟัง (Listening) เมื่อคนเราได้ยินได้ฟังอะไรก็ตาม มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของความและการเปลี่ยนแปลงครับ... การฟัง ฟัง ฟัง ไปนาน คนเราจะคล้อยและไหลตามสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปได้อย่างง่ายๆเสมอ ฟังบ่อยๆ เช่นการประกาศโฆษณาชวนเชื่อ การย้ำๆ ย้ำฟังได้ยินได้ฟังจะโน้มนำคนเราให้ไหลคล้อยไปได้อย่างง่ายดายเสมอๆ ไม่ต้องไปที่ไหนไกลครับ ดูอย่างการดูทีวีบ้านเราสิ เราหลายปีมาแล้วเรามีทีวีช่องพิเศษ ช่องแดง ช่องเหลือ ไม่ทราบว่ามีช่องสีไหนลายไหนอีกไหม ถ้ามีคนที่เปิดช่องหนึ่งๆฟังเป็นประจำ ฟัง ฟัง ฟัง และก็ฟัง ถ้าฟังเหลือง ก็จะเหลืองจ๋อยหรือเหลือโจ๊ดไปเลย และถ้าฟังช่องแดง ฟัง ฟัง ฟัง และก็ฟัง ก็จะแดงแจ๋ไปเลยเหมือนกัน ดีไม่ดี ถ้าช่องหนึ่งฟังไป เลยเหลือจัดแดงแจ๋ พ่อฟังช่องตรงข้าม ฟัง ฟัง ฟัง ก็พลิกผันได้เหมือนกัน เปลี่ยนสี เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนข้างไปเลย ที่พ่อเขียนมาทั้งหมดเป็นตัวอย่างเท่านั้น ครับ เป็นตัวอย่างของการ “ฟัง” และอำนาจของการฟังครับ และเราก็รู้ว่าอำนาจของการฟังนั้น มีพลังเหลือเกิน
2. เมื่อได้ฟังแล้วก็เกิดอาการ “เข้าใจ เห็นด้วย” ตรงนี้แหละเริ่มมีปฏิกิริยาออกมา เพราะเห็นด้วย ยอมรับเริ่มเชียร์ขึ้น เอากับเขาด้วย เอาแบบเป็นหมู่ก่อน คาดเหลือง คาดแดงบนหน้าผาก เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็เริ่มออกอาการตามไป ไปไหนไปกัน เอาด้วยไม่เข้าใจแต่มันส์จึงอยากตามไป เรียกว่า คล้อยตามพฤติกรรมบางทีเริ่มแรง ทั้งๆที่ “ไม่เข้าใจจริง” เพียงแต่กระแสพาไป การฟังมีอิทธิพลนำไป
3. เกิดความ “ตระหนัก” ว่าต้อง “เอาจริง” ไม่จริงไม่ได้แล้ว ต้องออกแรงกันละครับ ได้ยินได้ฟังมา เห็นด้วยแล้ว ก็ตระหนัก.... เฮละโลกันล่ะครับ ไปไหนไปด้วย ไปปิดที่นี่ ไปขวางที่โน่น ไปล้อมตรงนั้น ตรงนี้ เริ่มเอาหมด แม้ไม่เข้าใจจริงๆ ก็ตามแต่ แต่ไปครับ...
ครับ สามขั้นตอนที่กล่าวมานี้เรียกว่า “กระแส” กระแสและพลังของการฟัง การได้ยินได้ฟัง ผลตามมาเป็นความเข้าใจ ตระหนัก แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะจบตรงนี้แหละครับ ไปต่อไม่ได้ไกล ขาดการฟัง ขาด “น้ำเลี้ยง” ไม่มีเสียงตามจอตามสายเดี๋ยวก็หายไปเอง... หรือจอดับสักสามวันความเข็มก็หมดไป หรือกลับบ้านไปพักหนึ่งก็มอดไปครับ....
แต่ถ้าสิ่งที่ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้ตระหนัก ไปจนถึงกลายเป็น “ความเชื่อ” เมื่อไรละก็ “แรง” ครับ “ความเชื่อ” ถ้าได้เชื่อจริงๆละก็เรียกว่า “ยอมสละชีวิตกันได้เลยครับ” แต่มีประเด็นต้องพิจารณา....

• ความเชื่อแท้ ความจริงนั้นถูกต้อง เป็นความเชื่อแท้จริง คนเราก็จะมุ่งไปถูกทาง สละชีวิตและอุทิศตนได้คุ้มค่าเพื่อความเชื่อ หรืออุดมการณ์ที่ถูกต้องประการนั้น... และความเชื่อนั้นจะถูกต้อง จะดีจริง ถ้า “เป้าหมายคือเนื้อหา หรือตัวบุคคล” ที่เป็นเป้าหมายของความเชื่อนั้นเป็น “ความจริง ของจริง ถูกต้อง เที่ยงตรง” ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เยี่ยมยอดเลยครับ แต่

• แต่ถ้าความความเชื่อที่เชื่อนั้น “ปลอม” ไม่ใช่ของจริง โกหก หลอกลวง และเต็มด้วยอุบายและความจอมปลอม ความเชื่อนั้นกลายเป็น “งมงาย ลุ่มหลง หลงผิด หลงประเด็น” และกลายเป็น “ความเท็จ และปฏิบัติเท็จ” เสียเปล่าไป น่าเห็นใจ น่าเสียดายในที่สุด และจะเรียกว่า “น่าเวทนา” ก็ว่าได้.... และลงท้ายลงเอยในเชิงของปรีชาญาณ เขาเรียกว่า “เขลา โง่ และลวงหลอก”

พี่น้องที่รัก ที่สุด “ความเชื่อของเรา” คือ “พระเจ้าครับ” ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวหลง ไม่ต้องกลัวหรอก และไม่ต้องกลัวโง่เขลาเลยครับ สบายใจได้ พระองค์ไม่มีช่องนี้ช่องโน้นครับ มีช่องเดียวคือช่องทางแห่งความจริง ความรักและสันติสุขครับ มีความรัก มีความเมตตา ไม่มีที่สิ้นสุด ตามพระองค์ไปจะไม่หลงทาง เดินตามพระองค์จะถึงที่หมายแน่นอนครับ...

ฟังพระองค์ให้มาที่สุด “พระวาจา พระคัมภีร์” ครับผม....พระองค์ประกาศข่าวดีและความดี และข่าวดีและความดีไม่ใช่การโฆษณาสิ่งใด นอกจาก “พระองค์เองครับ” รักเราจนยอมตายเพื่อเรา กลับคืนชีพเพื่อเรามีความหวังครับ.... อ่านพระคัมภีร์วันนี้จะมีคำตอบอย่างดีครับ ปิดช่องทีวีสีๆที่ยิ่งดูยิ่งเครียด ยิ่งแค้น และยิ่งเกลียดชั่ง หันมาเปิดความจริงตลอดนิรันดร คือ พระวาจาทรงชีวิตดีไหมครับ ยิ่งอ่านนิ่งรัก ยิ่งอ่านยิ่งมีความหวัง ยิ่งอ่านยิ่งสงบและสันติครับ พระวาจาทรงชีวิตนิรันดรครับ อ่านแล้วไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องโต้ความรู้กันมา แต่อ่านแล้วปฏิบัติตามพระธรรมของพระเจ้า จะมีชีวิตนิรันดรครับ ไม่ต้องคลั่งอุดมการณ์ ไม่ต้องคลั่งธรรมเนียม แต่แน่นหนักในความรักของพระเจ้า และแบบฉบับของพระองค์ก็เพียงพอครับ ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน พระองค์ถูกแขวนบนไม้กางเขน เพราะทรงรักเราครับ “รัก” เหมือนพระองค์ รักพี่น้อง รักพระเจ้า บัญญัตินี้เยี่ยม เชื่อได้ และฝากฝังไว้เป็นอุดมการณ์ได้เลยครับ คือ บัญญัติแห่ความรักนั่นเองครับ....พระเจ้าอวยพรครับ..... ที่สุด นี่อย่างไรครับ “ความเชื่อของเรา” คือ “พระเยซู”

กท 3:7-14…….
7ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า คนที่มีความเชื่อนั่นแหละคือบุตรของอับราฮัม 8พระคัมภีร์เห็นล่วงหน้าแล้วว่าพระเจ้าจะโปรดให้คนต่างศาสนาเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ พระองค์จึงทรงประกาศข่าวดีล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า อาศัยท่านนานาชาติจะได้รับพระพร 9ดังนั้น ผู้ที่มีความเชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้มีความเชื่อ
10ผู้ใดที่พึ่งการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติย่อมถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติย่อมถูกสาปแช่ง 11เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้เพราะธรรมบัญญัติ เพราะผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อ 12ธรรมบัญญัติมิได้มาจากความเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติก็จะพบชีวิตอาศัยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเหล่านั้น 13พระคริสตเจ้าทรงไถ่กู้เราให้รอดพ้นจากการสาปแช่งของธรรมบัญญัติโดยทรงถูกสาปแช่งแทนเรา เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ทุกคนที่ถูกแขวนประจานบนต้นไม้ จงถูกสาปแช่ง 14เพื่อพระพรที่อับราฮัมได้รับจะได้ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้าไปถึงคนต่างศาสนาด้วย เพื่อเราจะได้รับพระจิตเจ้า ตามพระสัญญาโดยอาศัยความเชื่อ
ตอบกลับโพส