


แต่เดิมพระสังฆราชขณะเดินเข้าสู่วัดเมื่อเริ่มพิธีกรรมของพระศาสนจักรจะพรมตัวเองและประชาสัตบุรุษด้วยน้ำเสก ปกติน้ำเสกนี้มักใส่ไว้ในอ่างเล็กๆที่สร้างขึ้นถาวรตรงข้างประตูวัดหรือบริเวณทางเข้าหน้าวัด น้ำเสกนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า (HOLY WATER ) ปัจจุบันตามวัดต่างๆ ในบ้านเรายังมีให้เห็นในทุกวัดคาทอลิกทั่วประเทศไทย
และธรรมเนียมพรมน้ำเสกนี้ต่อมาในมิสซาสมโภช, ฉลองหรือวันอาทิตย์พระสงฆ์ผู้เป็นประธานในพิธีก็จะพร มสัตบุรุษด้วยน้ำนี้ พร้อมกับขับร้องเพลงลาติน ASPERGES ME ในเทศกาลธรรมดา หรือ VIDI AQUAM ในเทศกาลปัสกา แต่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นการพรมน้ำเสกแก่สัตบุรุษขณะขับร้องเพลง Kyrie Eleison
เราใช้น้ำเสกในพิธีอภิเษก วัด, พระแท่น, ใช้ในพิธีปลงศพและพิธีเสกวัตถุต่างๆ แต่เดิมพิธีเสกระฆัง ก็ใช้น้ำเสกด้วยจนมีชื่อเรียกพิธีนี้ว่า “พิธีศีลล้างของระฆัง” (BAPTISM OF THE BELLS) สัตบุรุษอาจเก็บรักษาน้ำเสกไว้ที่บ้านเป็นเครื่องหมายบรรจุพระพรของพระเป็นเจ้าและบ่งถึงศีลล้างบาปที่เราได้รับ
น้ำเสกอาจได้รับการเสกโดยพระสงฆ์ เมื่อใดก็ได้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ หรือมักเสกในวันฉลองสำคัญ เช่น พระศาสนจักรจารีตตะวันออก จะเสกในพิธีมิสซาค่ำก่อนวันฉลองพระคริสต์แสดงองค์ ส่วนโรมันคาทอลิกจะมีพิธีกรรมเสกน้ำในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนวันปัสกา
ในพันธสัญญาเดิม การชำระล้างด้วยน้ำผสมเกลือ เป็นสัญลักษณ์แห่งการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ เช่นใน สดด. 51:7, อสค. 16:4 ในการบูชาของพวกโรมันโบราณก็ใช้น้ำผสมเกลือ ในความหมายของการทำให้บริสุทธิ์ (LUSTRATION ซึ่งต่อมาคำว่า SPRINKLING อันเป็นลักษณะการพรมน้ำเพื่อชำระล้างทำให้ศักดิ์สิทธิ์) และนี่เองที่คริสตชนยุคแรกๆ ปฏิเสธการชำระด้วยน้ำทำนองนี้ แม้ว่าจะเป็นเครื่องหมายภายนอกที่เด่นชัดที่สุด
ในศตวรรษที่ 4 ในอียิปต์มีการอวยพรผู้ป่วยและขับไล่จิตชั่ว โดยการใช้น้ำเสกโดยนำมาดื่มแทนการประพรมแม้ว่าในศ ตวรรษที่ 2 จะมีหลักฐานในหนังสือกิจการของ นักบุญเปโตร (หนังสือประเภท APOCRYPHA ที่พระศาสนจักรไม่จัดเข้าในสารบบพระคัมภีร์) อ้างถึงการชำระล้างด้วยน้ำก็ตามต้องใช้เวลาจนถึงศตวรรษที่ 5 จึงรู้จักการใช้น้ำเสกในกรุงโรม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระคัมภีร์ คือ 2 พกษ 2:19, อสค.16:4 แรกเริ่มเสกกันที่บ้านก็ได้ ต่อมาศตวรรษที่ 7 จึงเสกที่วัด การใช้น้ำเสกในพิธีปลงศพในสมัยกลางซึ่งความคิดทางเทววิทยายังไม่พัฒนา ก็เพราะคิดว่าศพจะได้รับการคุกคามจากปีศาจจึงต้องปกป้องศพด้วยน้ำเสก พอมาถึงปลายสมัยกลาง ความคิดเรื่องไฟชำระเป็นที่สนใจ ความหมายจึงกลายเป็นว่าการพรมน้ำเสกแก่ศพ หรือหลุมศพหมายถึง การบรรเทาทุกข์ในไฟชำระ (REFRIGERIUM)
การชำระให้บริสุทธิ์หรือ ศักดิ์สิทธิ์ (LUSTRATION) ก็เลยเป็นต้นกำเนิดความหมายของการประพรมน้ำเสก (ASPERGES) ในพิธีกรรมปัจจุบัน ซึ่งเป็นพวกนักพรตในอาราม หลังศตวรรษที่ 8 นำมาใช้เพื่อรื้อฟื้นการอภิเษกพระแท่น เมื่อเวลาผ่านไป โดยขบวนพิธีแห่ผ่านที่ฝังศพ, ห้องทุกห้อง, สถานที่ต่างๆ ในอารามก็จะได้รับการพรมน้ำเสก และต่อมาวัดต่างๆ ก็รับเอาการพรมน้ำเสกนี้มาใช้ ปลายสมัยกลางอธิการอารามนักพรตจะอวยพรแก่นักพรตในอารามหลังจบพิธีกรรม และวัดบางแห่งในสมัยก่อนก็นำเอามาปฏิบัติเป็นธรรมเนียมพรมน้ำเสกแก่สัตบุรุษ หลังจากจบพิธีกรรมต่างๆ
ปัจจุบัน, ก่อนใดหมด น้ำเสกเป็นเครื่องหมายถึงศีลล้างบาป และการระลึกถึงพระหรรษทานแห่งศีลล้างบาปนั้น ทุกครั้ง
เมื่อสัตบุรุษทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขนลงบนตัวเองด้วย น้ำเสก มักเป็นเครื่องหมายแห่งการนำพระพรมาสู่เขา
เรามักเก็บน้ำเสกไว้ในภาชนะที่เหมาะสม และสะดวกในการนำมาเทลงในอ่างน้ำเสกที่ประตูวัดและ ประตูบ้านอันบ่งว่านี่เป็นบ้านของคริสตชน และในพิธีปลงศพการใช้น้ำเสกเป็นเครื่องหมายที่เห็นได้ อันบ่งถึงคำภาวนาวิงวอนขอพระเมตตาต่อพระเป็นเจ้าเพื่อผู้ถึงแก่กรรมนั้น
น้ำเสกคือน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะได้รับการเสกตามพิธีกรรมที่กำหนดในจารีตพิธีของพระศาสนจักรคาทอลิก น้ำเสกจึงไม่ใช่น้ำมนต์แบบของชาวพุทธ ที่มีพิธีทำนำ้มนต์เช่นกัน เว้นแต่ว่า ประโยชน์ในการใช้ต่างกันแล้วแต่ความเชื่อถือ ที่ผู้สอนศาสนานั้นๆอธิบายให้ฟัง จะเชื่อหรือไม่ในการกล่าวกันว่า ทั้งน้ำมนต์และน้ำเสกมีประโยชน์คล้ายๆกันนั้น ไม่เชิงทีเดียว สงสัย ไม่เข้าใจ กลับไปอ่านทวนอีกครั้งดีไหมครับ
CR. : http://www.thaicatholicsingles.com/inde ... opic=413.0
ขอพระเจ้าสถิตกับท่านทุกคนนะครับ
#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #น้ำเสก #น้ำศักดิ์สิทธิ์ #น้ำมนต์ #น้ำเสกไม่ใช่น้ำมนต์ #ไล่ผี #ไล่ปีศาจ #พิธีเสกทำน้ำเสก #เสกน้ำ #การชำระให้บริสุทธิ์ #ศักดิ์สิทธิ์ #การบรรเทาทุกข์ในไฟชำระ #การประพรมน้ำเสก #catholic #HolyWater #holywater #holy #Refrigerium #Lustration #Asperges
CR. : https://www.facebook.com/44175628624166 ... tid=I6gGtw