
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”
“ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย”
“ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก”
“มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งงานกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย”
“ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้ ท่านจงพูดเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’คำพูดที่มากไปกว่านั้นมาจากมารร้าย”
“ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าอย่าโต้ตอบคนชั่วผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน”
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่วโปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้นท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”
อำนาจใหม่
มัทธิว 5:21-48 คำสอนของพระเยซูเจ้าในภาคนี้เป็นคำสอนที่สำคัญมากตอนหนึ่งในพันธสัญญาใหม่ ก่อนที่เราจะอธิบายคำสอนของพระองค์โดยละเอียด ขอให้เราสังเกต ความจริงข้อหนึ่ง คือ
ในพระวรสารมีบันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าทรงสอนอย่างผู้มีอำนาจซึ่งไม่มีใครเลยเคยแสดงอำนาจเหมือนกับพระองค์ จนกระทั่งว่า ฝูงชนที่เคยฟังคำสอนของพระองค์หรือเคยคิดต่อพระองค์ โดยการเทศน์สอนที่ศาลาธรรม เมืองคาเปอรนาอุม นักบุญมาระโกได้บันทึกว่า “คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์” (มาระโก 1:22) นักบุญมัทธิวได้ลงท้ายบทเทศน์บนภูเขาด้วยข้อความที่คล้ายๆ กันคือ “เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา“ (มัทธิว 7:28-29)
การสอนแบบของพระเยซูเจ้านี้คงจะสะกิดใจพวกชาวยิวพอสมควร ทั้งนี้ก็เพราะว่าสำหรับชาวยิวแล้ว กฎหมายเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด กฎหมายเป็นกฎหมายของพระเจ้า
อารีสเตอัส (Aristeas - Ἀριστέας) ได้เคยกล่าวไว้ว่า “กฎหมายนั้นศักดิ์สิทธิ์พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้”
เพลโต (Plato - Πλάτων) ได้เคยกล่าวไว้ว่า “กฎหมายโมเสสคงอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่เปลี่ยนแปลง“
พวกรับบี (Rabbi - רב) หรือธรรมาจารย์ (Scribes / Soferim - סופרים) ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ใครที่บังอาจปฏิเสธว่า กฎหมายไม่ได้มาจากสวรรค์ก็ไม่มีส่วนในโลกหน้า” ยิ่งกว่านั้นพวกเขามีความเคารพต่อกฎหมายมากทีเดียว ก่อนจะเริ่มพิธีในศาลาธรรม เขาจะเชิญกฎหมายของโมเสส (Law of Moses - תֹּורַת מֹשֶׁה) ที่เก็บไว้ในตู้แห่ไปรอบๆ เพื่อให้ฝูงชนที่เข้าร่วมในพิธีแสดงความคารวะก่อนที่จะเริ่มพิธีใดๆ
เราจึงเห็นว่า พวกยิวมีความเคารพนับถือกฎหมายมาก ถึงกระนั้นก็ดีเรารู้ว่าพระเยซูเจ้าได้อ้างถึงกฎหมายไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง (มัทธิว 5:21 , 27 , 33 , 38 , 43) และได้สอนคำสอนของพระองค์เองแทนกฎหมายนั้น พระองค์กล้าพอที่จะตรัสว่า กฎหมายที่ชาวยิวถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกนั้นยังไม่สมบูรณ์ อย่างแท้จริงและพระองค์ได้แก้ไขโดยอาศัยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง พระองค์กระทำดังนี้อย่างผู้มีอำนาจ คำว่าอำนาจ ในภาษากรีกแปลว่า ἐξουσία - Exousia ซึ่งหมายถึง อำนาจที่จะเพิ่มเติมหรือตัดออกตามอำเภอใจ พระเยซูเจ้าอ้างว่าพระองค์มีอำนาจจะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ซึ่งชาวยิวถือว่า แก้ไขและจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เนื่องจากกฎหมาย คือ พระวาจาของพระเจ้า ที่จริงพระองค์ไม่ได้พิสูจน์ว่า พระองค์มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแต่ว่าพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายด้วยพระองค์เองอย่างสงบ
ไม่มีชาวยิวคนใดเลยเคยได้ยินหรือเคยเห็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อหน้าพวกเขาธรรมาจารย์ชาวยิว แม้จะยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงอย่างไรก็ตามและแม้แต่ประกาศกด้วยมักจะเริ่มต้นคำสอนหรือบทเทศน์ของตนว่า “พระสวามีเจ้า” ตรัสดังนี้ คือ เขามักจะอ้างอำนาจของพระเจ้าและธรรมาจารย์ (Scribes / Soferim - סופרים) มักจะย้ำคำสอนของอาจารย์ของตน เช่น เขาสอนกันมาว่าดังนี้เขามักจะไม่สอนสิ่งที่เขาคิดเองและแม้แต่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความของอาจารย์หลายๆครั้งเขาก็ไม่กล้าด้วยซ้ำไป ตรงข้ามพระเยซูเจ้าทรงสอนประชาชนด้วยอำนาจของพระองค์เอง พระองค์จะต้องมีความมั่นใจเป็นที่สุดในการสอนและเพิ่มเติมกฎหมายของโมเสส (Law of Moses - תֹּורַת מֹשֶׁה) แม้แต่พวกยิวเองก็สังเกตเห็นความจริงข้อนี้ พูดง่ายๆ ว่าทุกคนที่เคยเห็นและได้ยินพระองค์ตรัสสอนมีความรู้สึกว่า พระองค์มีอำนาจของพระเจ้าและพระองค์มีอำนาจมากกว่าประกาศกหรือธรรมาจารย์ใดๆ ที่อยู่ก่อนพระองค์
มาตรฐานใหม่
เรารู้สึกพิศวงในอำนาจของพระเยซูเจ้า แต่ว่าคำสอนของพระองค์หรือข้อเรียกร้องหรือมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่พระองค์เทศน์ให้ฝูงชนฟังนั้นน่าพิศวงมากกว่าอีกพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ใช่แต่ฆาตกรเท่านั้นที่ทำความผิด ผู้ที่เพียงแต่โกรธพี่น้องของเขาก็มีความผิดและสมควรจะถูกลงโทษด้วย พระองค์ตรัสว่าไม่ใช่แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีเท่านั้นที่มีความผิด แม้คนที่ปล่อยตัวปรารถนาความชั่วช้าก็ต้องถือว่ามีความผิดด้วย นี่เป็นสิ่งใหม่ที่พระองค์ได้ทรงสอน พระองค์ทรงเน้นเรื่องจิตใจซึ่งเป็นบ่อเกิดของการกระทำมากกว่า พระองค์ต้องการตัดรากถอนโคนมากกว่าตัดลำต้น
เป็นไปได้ที่เราไม่เคยฆ่าใคร แต่บางครั้งเราปรารถนาจะฆ่าศัตรูหรือผู้ที่ทำอะไรขัดใจเราหรือขัดต่อผลประโยชน์ของเรา เป็นไปได้ที่เราไม่เคยล่วงประเวณี แต่หลายๆครั้งเราปล่อยใจตามความใคร่ของเนื้อหนัง ความคิดมักจะนำไปถึงกิจการ เราทำตามที่เราคิด เพราะฉะนั้นความคิดจึงถือว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมาก กิจกรรมดีหรือชั่วเป็นผลของการคิดชอบหรือคิดชั่ว
มาตรฐานการตัดสินทางโลกไม่ใช่เช่นนี้ โลกตัดสินแต่พียงภายนอกเท่านั้น เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความคิดภายในได้ โลกตัดสินว่า คนใดคนหนึ่งเป็นคนดี ถ้าหากเขาไม่เคยมีความคิดเลวทรามหรือต่ำช้าอย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าเพ่งเล็งความคิดความปรารถนาของมนุษย์มากกว่า
ถ้าหากเราจะพิจารณาคำสอนของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระองค์สอนดี ถูกต้องและถ้าหากใครปฏิบัติตามก็จะเกิดความปลอดภัยมั่นคง ความจริงในตัวมนุษย์เรานี้มีอำนาจ2 ฝ่าย คือ ความโน้มเอียงไปในทางดีและความโน้มเอียงไปทางความชั่วซึ่งต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา เหตุผลและราคะตัณหาจะต่อสู้ในตัวเราเสมอ ชีวิตเป็นการต่อสู้ระหว่างอำนาจฝ่ายสูงและอำนาจฝ่ายต่ำ เหตุผลจะต้องควบคุมราคะตัณหาให้ได้ การบังคับตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น ตราบใดที่เหตุผลยังบังคับหรือปราบตัณหาไม่ได้ ตราบนั้นเราก็ไม่มีความปลอดภัย เราเสี่ยง พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนเราว่าวิธีเดียวที่เราจะปลอดภัย ก็คือ พยายามถอนรากถอนโคนความปรารถนาหรือตัณหาที่ชักนำให้เราตกต่ำอยู่ร่ำไปหรือทำสิ่งที่พระเจ้าทรงห้าม
ให้เราจำไว้ด้วยว่า พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ตัดสินมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์เห็นแก่ภายนอกและไม่สามารถจะล่วงรู้ภายในจิตใจ พระเจ้าทรงล่วงรู้สารพัด พระองค์จึงตัดสินได้อย่างถูกต้อง ส่วนมนุษย์นั้นอาจจะตัดสินได้ถูกต้อง แต่หลายๆครั้งอาจจะผิดพลาดได้ ฉะนั้นเราจึงต้องดำรงชีวิตอย่างดีทั้งภายนอกและภายใน เราจึงจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
ข้อคิดประการสุดท้ายก็คือว่า เมื่อพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน เราต้องยอมรับว่า เราทุกคนเป็นคนบาป เคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น แม้เราจะพยายามดำรงชีวิตอย่างดีเท่าไรก็ตาม ข้อคิดนี้จะทำให้เราเป็นผู้สุภาพและพระองค์จะยกมาตรฐานการดำรงชีวิตของเราให้สูงขึ้น
ความโกรธ
มัทธิว 5:21-22 บทเทศน์นี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของมาตรฐานใหม่ที่พระเยซูเจ้าเรียกร้องจากบรรดาศิษย์ของพระองค์ กฎหมายเก่าได้บัญญัติไว้ว่า “จงอย่าฆ่าคน” (อพยพ 20:13) แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงวางกฎใหม่ว่า แม้แต่การโมโหก็ต้องห้ามด้วย พระองค์ห้ามเราไม่ให้โมโหเพื่อนมนุษย์ มิใช่แต่ห้ามทุบตีเท่านั้น แม้แต่มีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเพื่อนมนุษย์หรือการแก้แค้น ก็ทรงห้ามด้วย
ให้เราสังเกตพระดำรัสของพระองค์ด้วยว่า พระองค์ตรัสถึงความโกรธและโทษของความโกรธเป็นขั้นๆ คือ
1) พระองค์ตรัสว่า ใครที่โกรธกับพี่น้องจะต้องถูกนำขึ้นศาล ในภาษากรีก คำว่า “โกรธ” มีอยู่ 2 คำ คือ θυμός (Thumos / Thymos) หมายถึง ความโกรธที่เกิดขึ้นทันทีทันใดแล้วก็สงบลงทันที คล้ายๆกับเปลวไฟที่มีฟางเป็นเชื้อเพลิงลุกขึ้นมาทันทีแล้วก็มอดดับลง แต่มีอีกคำหนึ่ง คือ ὀργὴ (Orge) หมายถึง ความโกรธที่คุกกรุ่นหรือสุมอยู่ในอกเป็นเวลาช้านานและผู้โกรธนั้นไม่ยอมจะให้มันดับไปง่ายๆ ในที่นี้นักบุญมัทธิวใช้ศัพท์ ὀργίζω (Orgizo) หมายถึง คนที่มีความรู้สึกโกรธโมโหชนิดหลังนี้ คนนั้นสมจะถูกพิพากษาจากศาล
ศาลตามหมู่บ้านหรือหัวเมืองมีหน้าที่ตัดสินความตามความยุติธรรม ถ้าหากเป็นหมู่บ้านที่มีคนน้อยกว่า 150 คน เจ้าหน้าที่ศาลมีเพียง 3 คนเท่านั้น ถ้าหากเป็นบ้านที่ใหญ่กว่าหรือตำบลเจ้าหน้าที่ศาลมีได้ถึง 23 คน
พระเยซูเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราโมโหและเก็บความรู้สึกไว้เพื่อจะหาทางแก้แค้นเพื่อนมนุษย์ นักบุญยากอบ (ยากอบ 1:20) และนักบุญเปาโล (โคโลสี 3:5) ก็ได้สอนเช่นเดียวกัน ซีเซโร กล่าวไว้ว่า “เวลาเราโมโหเราทำอะไรไม่ถูกต้องเลย” และ เซเนกา กล่าวว่า “ความโมโหคือความบ้าชั่วคราว”
2) หลังจากนั้นพระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องเกี่ยวกับความโมโหอีก 2 กรณี ซึ่งชาวยิวและพวกรับบีมักจะกล่าวถึง พระองค์ทรงห้ามไม่ให้มีความครุ่นคิดหรือเก็บความโกรธไว้ในคุกกรุ่นอยู่ตลอดเวลาและพระองค์ก็ยังได้ห้ามทางด้านวาจาหรือคำพูดด้วย พวกรับบีมักจะพูดว่า มีคนอยู่ 3 จำพวก พวกที่ตกนรกและไม่มีวันที่จะกลับมาได้ คือ “คนที่ล่วงประเวณี คนที่ทำให้เพื่อนบ้านได้รับความอับอายขายหน้าและคนที่ด่าว่าพี่น้อง”
คนที่เรียกพี่น้องว่า “ไอ้โง่” จะต้องโทษ คำว่า “ไอ้โง่” หมายถึงคนที่ไม่มีมันสมอง คนที่โง่เขลาเบาปัญญา เป็นคำสบประมาท ถ้าหากใครใช้คำว่า “ไอ้โง่” กับเพื่อนมนุษย์ คนนั้นจะต้องถูกนำตัวไปยังศาลสูงของพวกยิว (Suneotrion) หมายความว่า พระองค์ต้องการที่จะตรัสสอนประชาชนว่า บาปที่เกิดจากคำพูดสบประมาทนั้นหนักยิ่งกว่าบาปที่เกิดจากจิตใจที่มีความโกรธ การที่คนใดคนหนึ่งสบประมาทผู้อื่นมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเกิดในตระกูลสูงกว่า ร่ำรวยกว่ามีสติปัญญาดีกว่าก็เป็นได้ พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะสบประมาทผู้อื่นเพราะพระองค์ได้สิ้นพระชนม์และได้ไถ่กู้และในฐานะที่ทุกคนต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้า
3) ถ้าหากใครว่าเพื่อนมนุษย์เป็น “Μόρος (Moros)” ซึ่งหมายถึง ไอ้โง่บัดซบ หมายถึงคนที่ชั่วช้าสามานย์ คนที่ผิดศีลธรรม คนที่มีความประพฤติไม่ดีไม่ยำเกรงพระเจ้า คนที่ดำรงชีวิตประหนึ่งว่าพระเจ้าไม่มี (สดุดี 14:1) คนที่ว่าเพื่อนมนุษย์เช่นนั้นเท่ากับทำลายชื่อเสียงเขาทั้งหมดและเขาสมจะต้องโทษไฟนรก
คำว่า “Γέεννα (เกเฮนนา - Genhenna)” เป็นศัพท์ที่มีประวัติศาสตร์อยู่บ้าง ปกติเรามักจะแปลว่านรก พวกชาวยิวชอบใช้ศัพท์นี้มาก (มัทธิว 5:22,29,30, 10:28, 18:9, 23:15-33 , มาระโก 9:43-45,47 , ลูกา 12:5 , ยากอบ 3:6) ความหมายที่แท้จริง คือ หุบเขาฮินโนม (Valley of Hinnom - גֵּיא בֶן־הִנֹּם) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem - יְרוּשָׁלַיִם - Ἰερουσαλήμ / Ἱεροσόλυμα) กษัตริย์โยสิยาห์ (Josiah / Yoshiyahu - יֹאשִׁיָּהוּ) ซึ่งได้ทำการฟื้นฟูจิตใจชาวอิสราเอลได้ลบล้างพิธีกรรมแบบนั้นและได้สาบแช่งสถานที่นั้น (2 พงศ์กษัตริย์ 23:10) ในภายหลังหุบเขาฮินโนม (Valley of Hinnom - גֵּיא בֶן־הִנֹּם) ก็กลายเป็นสถานที่สำหรับทิ้งขยะมูลฝอยของแตก ฯลฯ ที่คนเราไม่ต้องการและเขามักจะเผาสิ่งปฏิกูลต่างๆ เหล่านั้นทำให้เกิดควันไฟและมีกลิ่นเหม็น ภายหลังประชาชนก็เรียกสถานที่นั้นว่า นรก เป็นสถานที่พระเจ้าทรงสาปแช่ง
เพราะฉะนั้นพระเยซูเจ้าได้ทรงเน้นว่า บาปที่หนักที่สุดในประเภทนี้ คือ การทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากการนินทาหรือการใส่ความหรือการพูดสบประมาทโดยตรงก็ได้
เราจึงอาจจะสรุปคำสอนของพระองค์จากข้อความตอนนี้ว่าดังนี้คือ พระองค์ตรัสสอนว่าตามกฎหมายเดิมหรือในอดีต การฆาตกรรมเป็นสิ่งที่ผิด แต่พระองค์ยังเสริมด้วยว่าพระเจ้ามิได้ทรงตัดสินกิจการภายนอกเท่านั้น พระองค์ยังทรงตัดสินความนึกคิดในจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นความโกรธจึงเป็นสิ่งที่ผิด การพูดคำสบประมาทเป็นสิ่งที่เลวกว่าอีกและการทำลายชื่อเสียงของเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด เขาเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง แม้ไม่เคยฆ่าใครก็ตาม
มัทธิว 5:23-24
23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว
24“จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น
มัทธิว 5:23-24 เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสอนข้อความนี้พระองค์ทรงพระประสงค์จะเตือนชาวยิวให้คิดถึงกฎเกณฑ์ซึ่งพวกเขามักจะลืมหรือละเลย กล่าวคือ ถ้าหากมนุษย์ทำผิดต่อพระเจ้าก็เท่ากับว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าเสื่อมคลายลงและถ้าหากเขาต้องการจะเชื่อมความสัมพันธ์ให้กระชับใหม่เขาจะต้องถวายเครื่องบูชา อย่างไรก็ดีเราควรสังเกตด้วยว่า ชาวยิวมีความเชื่อถือว่าบาปที่เขาทำโดยเจตนานั้น เครื่องบูชาช่วยอะไรไม่ได้เลย เครื่องบูชาจะมีผลต่อบาปที่ทำโดยไม่เจตนาหรือบาปที่เกิดจากความอ่อนแอของมนุษย์เช่นเวลาโมโหเราอาจจะด่าว่าหรือทำร้ายผู้อื่น ทั้งนี้เพราะเราบังคับตัวเองไม่อยู่ อีกประการหนึ่งก็คือ เครื่องบูชาจะบังเกิดผลก็ต่อเมื่อคนบาปจะต้องสารภาพบาปและต้องมีความสำนึกในความผิดอย่างแท้จริงและการเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างจริงใจนั้นรวมความตั้งใจที่จะชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นและรวมทั้งความตั้งใจที่จะดัดแปลงแก้ไขตัวเองด้วย
ในวันชดเชยบาป บาปของชาติยิวทั้งหมดนั้น ชาวยิวทุกคนจะตระหนักดีว่าเครื่องบูชาในวันนั้นจะสัมฤทธิ์ผลก็ต่อเมื่อเขาคืนดีกับเพื่อนบ้านแล้ว หมายความว่าเขาจะได้รับอภัยโทษก็ต่อเมื่อเขาคืนดีกับพี่น้องแล้ว ถ้าหากคนหนึ่งขโมยของที่คนอื่นมีและขอขมาโทษจากพระเจ้าโดยถวายเครื่องบูชา โดยยังไม่ได้นำของที่ขโมยมาคืนเจ้าของ เครื่องบูชานั้นถือว่า มีมลทินและจะต้องเผาทำลายนอกพระวิหาร
เวลาถวายเครื่องบูชา ผู้ถวายเอามือวางบนหัวสัตว์ นอกจากจะแสดงว่า ตัวเป็นเจ้าของแล้ว ยังมีความหมายว่าสัตว์นั้นแทนตัวเองและคล้ายๆกับว่า เขาถ่ายทอดบาปและความผิดให้กับเครื่องบูชานั้นพร้อมกับภาวนาว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาป ข้าพเจ้าได้ทรยศ ข้าพเจ้าได้ทำบาป ดังนี้คือ (หลังจากนั้นเขาก็สารภาพบาป) แต่ว่าบัดนี้ข้าพเจ้าเสียใจและขอให้เครื่องบูชานี้ลบล้างความผิดของข้าพเจ้าด้วย”
การถวายเครื่องบูชาจะถูกต้องและบังเกิดผลก็ต่อเมื่อได้สารภาพความผิดและได้ทำการชดเชยความผิดแล้ว ผู้ที่ต้องการถวายเครื่องบูชาไม่ได้ถวายเอง แต่ว่าพระสงฆ์เป็นผู้ถวายแทน เขาเข้าไปในพระวิหาร เขาต้องผ่านลานสำหรับคนต่างศาสนา ลานสำหรับผู้หญิง ลานสำหรับผู้ชาย หลังจากนั้นก็ถึงลานสำหรับบรรดาพระสงฆ์ซึ่งฆราวาสเข้าไปไม่ได้และระหว่างที่เขายื่นเครื่องบูชาให้พระสงฆ์ เขาก็เอามือวางไว้บนเครื่องบูชาและสารภาพบาปและถ้าหากเขาระลึกได้ว่าเขามีเรื่องกับเพื่อนบ้านหรือเพื่อนบ้านมีเรื่องกับเขา เขาจะต้องกลับไปคืนดีกับเพื่อนบ้านเสียก่อนการถวายบูชาจึงจะบังเกิดผล
พระเยซูเจ้าทรงรู้ดีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าจะมีขึ้นไม่ได้ถ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องร่วมโลก บางครั้งเราแปลกใจที่พระเจ้าไม่ทรงฟังคำภาวนาของเรา บางทีอุปสรรคนั้นเราสร้างมันขึ้นมาเอง เราจำต้องขจัดอุปสรรคนั้นเสีย คืนดีกับพี่น้องแล้วพระเจ้าจะทรงรับเครื่องบูชาและฟังคำภาวนาของเรา
มัทธิว 5:25-26
25จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า “ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย”
มัทธิว 5:25-26 พระเยซูเจ้าทรงให้คำแนะนำที่มีประโยชน์มาก กล่าวคือ เมื่อเราเห็นว่ามีอะไรผิดพลาด เราจะต้องจัดการแก้ไขสถานการณ์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้เป็นดินพอกหางหมู มิฉะนั้นจะแก้ไขไม่ได้หรือไม่ทันการ พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่าถ้าหากสองคนที่มีเรื่องทะเลาะกัน ก็ให้จัดการตกลงกันให้เรียบร้อยแทนที่จะไปขึ้นศาล เพราะเมื่อขึ้นศาลแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องลำบากอย่างแน่นอน
เราทุกคนต่างก็มีประสบการณ์และเห็นดีด้วยกันกับคำสอนของพระองค์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรื่องใหญ่ๆโต เกิดขึ้นเนื่องจากเราไม่ได้จัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆ ให้เสร็จไป ความคิดเห็นขัดแย้งกัน ทำให้เกิดการทะเลาะกันและในที่สุดอาจจะมีการทำร้ายหรือฆ่ากันได้ ตึกที่มีรอยร้าวเพียงเล็กๆน้อยๆ ถ้าหากเราไม่จัดการซ่อมเสียให้ทันการอาจจะทำให้ตึกพังทลายลงมาได้ การทะเลาะกันระหว่างเด็กสองคนทำให้ผู้ใหญ่ผิดใจกันและบางครั้งอาจจะทำให้สองตระกูลมองหน้ากันไม่ติด ถ้าหากว่ากรณีที่เกิดการทะเลาะหรือการขัดแย้งกันและถ้าหากฝ่ายที่ผิดยอมรับผิดปรับความเข้าใจและขอโทษ เรื่องก็ลงเอยเพียงเท่านั้นและทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ถ้าหากว่าเราเป็นคนสุภาพ ถ้าหากเราจะคิดเสมอว่าเราผิดพลาดได้และเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ ถ้าหากเราจะคิดว่าเราเป็นผู้ถูก แต่ว่าเราพร้อมที่จะปรับความเข้าใจและคืนดีกับฝ่ายตรงข้าม มิตรภาพก็จะกลับคืนมา ทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเราย่อมมีความสุข ขอให้เราสังเกตด้วยว่าพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าหากเราระลึกได้ว่าคนอื่นเขามีเรื่องอะไรกับเราก็ให้เราไปคืนดีกับเขาเสีย” ไม่ใช่ว่าเรามีเรื่องอะไรกับใครก็ให้เราคืนดีกับเขาหรือพูดง่าย ๆ ว่าเราจะถูกหรือผิดอย่างไร เราต้องพยายามสร้างสันติให้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้าหากว่าคู่กรณีคิดหรือเข้าใจว่าตัวเป็นฝ่ายถูกต้องและฝ่ายถูกไม่จำเป็นจะต้องไปคืนดีกับใคร แต่ขอให้ฝ่ายผิดกลับมาคืนดีก่อน การคืนดีหรือมิตรภาพจะมีขึ้นได้ยากมาก เพราะต่างฝ่ายคิดว่าฝ่ายตัวเองถูก เราจึงเห็นได้ว่าคำสอนของพระเยซูเจ้าเป็นคำสอนที่สูงส่งและถ้าหากว่าคู่กรณีปฏิบัติตามได้ มิตรภาพจะกลับคืนมาอย่างแน่นอนที่สุด คู่กรณีจะปฏิบัติได้ก็ต่อเมื่อเขามีความสุภาพ มีความรัก มีความเสียสละยอมถ่อมตน คุณลักษณะทั้งหมดนี้พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้บรรดาสาวกของพระองค์ทุกคนปฏิบัติให้ได้ จึงจะคู่ควรกับนามว่า คริสตชนหรือสาวกของพระคริสตเจ้า
พระเยซูเจ้าเน้นว่า ระหว่างที่เรายังมีเวลาหรือมีชีวิตอยู่ก็ขอให้เรารีบเร่งจัดการกับชีวิตของเราให้อยู่ในความสงบและสันติสุขกับมนุษย์เพื่อนร่วมโลก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราทั้งหมดต่างก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะประทานเวลาให้เราอีกนานเท่าใด เราไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะต้องไปปรากฏตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
ถ้าหากเราจะสรุปพระดำรัสของพระเยซูเจ้าในตอนนี้ เราพอจะเข้าใจได้ดังนี้ คือ พระองค์ตรัสว่า “ถ้าหากเราต้องมีสันติสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า เราจะต้องพยายามหาทางตกลงและคืนดีกับพี่น้องทันที ถ้าหากว่ามีการทะเลาะหรือการเข้าใจผิดเกิดขึ้นระหว่างเรา”