ช่วยอธิบายพระบัญญัติพระเจ้าทั้ง 10 ข้อ หน่อยคะ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Tawan
โพสต์: 34
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 21, 2006 10:54 pm
ที่อยู่: Nakhonsawan

อังคาร มี.ค. 21, 2006 11:46 pm

1.จงนมัสการพระสวามีพระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า
- แล้วอย่างที่เรานับถือพระแม่ หรือ นักบุญล่ะคะผิดจากข้อนี้ไม่ ถ้าไม่อย่างไรถึงผิด

2. อย่าออกพระนามพระสวามีพระเป็นเจ้าโดยไม่สมเหตุผล
-ช่วยยกตัวอย่างการออกพระนามโดยไม่เหมาะสมหน่อยได้ไหมคะ
- แล้วอย่างเราเล่าเรื่องของพระเจ้าหรือคำสอนให้เพื่อนต่างศาสนาฟังผิดไหมคะ

3. วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
- อธิบายหน่อยคะ

4.จงนับถือบิดามารดา ** อันนี้เข้าใจ

5. อย่าฆ่าคน
- แล้วฆ่าสัตว์ห้ามไหมคะ อย่างศีลข้อ 1 ของศาสนาพุทธนะ ที่ห้ามฆ่าสัตว์

6. อย่าทำอุลามก
- หมายความว่าไงคะ ขอตัวอย่างด้วยคะ

7.อย่าลักขโมย **อันนี้เข้าใจ

8. อย่าใส่ความนินทา
- อันนี้รวมถึงการพูดโกหก และ การด่าว่าพูดแสดงความไม่พอใจด้วยไหมคะ

9. อย่าปลงใจในความอุลามก
-อธิบายทีคะไม่เข้าใจ ขอตัวอย่างด้วยนะคะ แล้วต่างอย่างไรกับข้อ 6.

10. อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา
- ต่างอย่างไงกับข้อ 7. คะ อธิบายด้วยนะคะ

อ่อ แล้ว ไม่ห้ามเรื่องการดื่มสุรา เหมือน ศีลข้อ 5 ของศาสนาพุทธหรอคะ

ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยนะคะ เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องยิ่งขึ้นคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พุธ มี.ค. 22, 2006 9:46 am

1. เราหมายถึงการ ยกย่องพระเจ้า ไว้ สูงสุดครับ

จะนับถือใครรองจากนั้นก็ได้ครับ
แต่อย่าเอาผู้ใดมาแทนที่พระเจ้า

2.ก็อุทาน สบถไรงี้ละครับ

3.เราถือว่า พระเจ้าเป็นผู้ให้ทุกสิ่งแก่เรา
รวมถึงเวลา ที่ เรามีชีวิตทุกวินาที
ฉะนั้นเราก็ควรใช้เวลา1วัน ถวาย ให้ระลึกถึงพระคุณ/พระหรรษทาน ของพระเจ้าครับ

5.คริสตชน ถือว่า สัตว์เกิดมาเพื่อเป็นของมนุษย์ครับ
...อย่างไรก็ดี เราก็ไม่ควรแสดงการทารุณกรรมสัตว์เพียงเพื่อสนุกนะ :-\

6.ก็ ทำอนาจาร หน่ะครับ :-[

8 ด้วยครับ ;)

9. ก็ต่างกันตรงที่ อันนี้บาป ที่เราชื่นชม(แต่ไม่ได้ทำอนาจารเองนะ)
เช่น เราชอบดูหนังโป๊ทำนองนี้ครับ :-[

10 มันคือ ความรู้สึกโลภครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มี.ค. 22, 2006 2:47 pm

ยศก็ตอบไปกระจ่างดีแล้วนะครับ
Tawan เขียน:

อ่อ แล้ว ไม่ห้ามเรื่องการดื่มสุรา เหมือน ศีลข้อ 5 ของศาสนาพุทธหรอคะ


แล้วทำไมต้องเหมือนของศาสนาพุทธด้วยล่ะครับ บัญญัติ10ประการเกิดก่อนศีล5ของพุทธเป็นพันปีนะครับ เกิดในสมัยโมเสส ก่อนสมัยพระเยซูประสูติอีก ดังนั้นต้องคิดใหม่ว่า ศีล5มีอะไรมาเหมือนบัญญัติ10ประการบ้าง ทีในศีล5ของศาสนาพุทธไม่เห็นมีข้อว่าให้นับถือบิดามารดา กับให้เคารพรักพระเจ้าเลย ดังนั้นมันก็ต่างกันมาแต่แรกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในพิธีศีลมหาสนิท เราใช้เหล้าองุ่นในการประกอบพิธี ถ้าห้ามดื่มมันก้ขัดกันเองสิครับ และในความเป็นจริง เหล้านั้นในสมัยโบราณไม่ได้ดื่มให้เมาอย่างเดียวแต่เป็นส่วนประกอบของยาด้วย

1ทธ 5:23
อย่าดื่มแต่น้ำ จงดื่มเหล้าองุ่นเพื่อช่วยย่อยอาหาร และบรรเทาอาการป่วยของท่านที่เกิดขึ้นเสมอ


ในพระคัมภีร์ ไม่ห้ามดื่มเหล้า แต่ห้ามการดื่มจนเมามาย และยังประนามคนชอบกินเหล่ากินเลี้ยงเสเพลว่า เป็นพวก "ชอบกินชอบดื่ม"

อฟ 5:17
อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงพยายามเข้าใจว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด อย่าเสพสุราจนเมามาย เพราะสุราเป็นสาเหตุของการปล่อยตัวเสเพล แต่จงยอมให้พระจิตเจ้าทรงนำชีวิตของท่าน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มี.ค. 22, 2006 2:50 pm

+++++++++++++++++++++


รูปภาพ

ความจริงเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันในสิ่งที่เราเรียกว่า

บัญญัติ10ประการ

กันก่อน

ว่าที่จริงแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา มันไม่ได้บอกว่ามี10ข้อ และไม่ได้บอกด้วยว่าให้แบ่งเป็น10ข้อ ที่จริงพระบัญญัติประทานมาเป็นข้อความยาวเหยียด มีทั้งส่วนสำคัญและส่วนขยาย ดังนี้

มาดูบทพระคัมภีร์บทดังกล่าวกัน

เฉลยธรรมบัญญัติ5:5

ครั้งนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระเจ้ากับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย เพราะท่านทั้งหลายกลัวเพลิง จึงมิได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
6“ 'เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาส
7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ
11“ 'อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่างไม่สมควร ด้วยผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษหามิได้
12“ 'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชา ไว้แก่เจ้า
13จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
14แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโต(แปลว่า หยุด หยุดพัก (งาน)) แห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำงานสิ่ง ใดๆ คือเจ้าเอง หรือบุตราบุตรีของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้ใดๆของเจ้า หรือแขกที่อยู่ในเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
15จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออก เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต
16“ 'จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของ เจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
17“ 'อย่าฆ่าคน
18“ 'อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
19“ 'อย่าลัก ทรัพย์
20“ 'อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
21“ 'อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน และอย่าอยากได้บ้านของเพื่อนคือไร่นา ทาส ทาสี วัว ลา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน'

22“พระวจนะเหล่านี้พระเจ้า ได้ตรัสแก่ชุมนุมชนทั้งปวงของท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิงเมฆ และความมืดคลุ้มหนาทึบ ด้วยพระสุรเสียงอันดัง และมิได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก

[hr]
ส่วนที่ทำสีไว้ คือส่วนของบัญญัติทั้งหมด ซึ่งเอาเข้าจริง จะเรียกว่าบัญญัติหลายสิบประการเลยก็ได้นะครับ




ทีนี้เรามาดูบัญญัติแต่ละส่วน ผมขอเน้นส่วนของพระเจ้า ซึ่งแยกได้3คอนเซปหลักๆคือ

1-เรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียวตั้งแต่ข้อ7-10
2-เรื่องการระวังการออกพระนามพระเจ้าในข้อ11
3-เรื่องถือวันสะบาโตตั้งแต่ข้อ12-15

ผมขออ้างอิงกรณีวันสะบาโตก่อน เพราะเราคงจำได้ว่าพะรเยซูเจ้าพิพาทกับฟาริสีเรื่องนี้โดดเด่นหลายหนที่สุด เราจำได้ไหมครับว่าฟาริสีถืออเคร่งมากว่า ห้ามทำอะไรเลยที่จัดว่าเป็นงานในวันสะบาโตโดยเน้นอ้างที่ข้อ13-14 แต่หัวข้อของประเด็นนี้อยู่ที่ข้อ12 คือ"'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์" ทีนี้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ยังไง ก็ด้วยตามที่บอกไว้ในข้อ13-14ว่าห้ามทำงานโน่นนี่ ส่วนข้อ15เป็นการบอกเหตุผลว่าทำไมควรถือวันนี้

นี่คือโครงสร้างของบทบัญญัติข้อนี้นะครับ คือมีหัวข้อ มีการอธิบายวิธีการ และมีเหตุผล

แต่ฟาริสีเน้นการปฎิบัติตามตัวอักษรจนเขาลืมเหตุผลแท้จริงว่าพระเจ้ากำหนดวันนี้ทำไม ซึ่งเราตอบได้เลยว่า

ไม่ใช่ว่าพระเจ้าต้องการให้ว่างงานวันนั้น แต่ที่จริงต้องการให้เราสละ1วันไปนมัสการพระเจ้าในวิหารหรือศาลาธรรม เจตนาที่ห้ามทำงานเพื่อให้ว่าง ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่อยากเห็นใครทำงาน ที่ขนาดแบกแคร่กลับบ้าน หรือรักษาคน ไล่ผีวันนั้นก็ไม่ได้

พระเยซูเจ้าที่น่ารักตอบพวกนั้นชัดเจน2เรื่องคือ 1วันสะบาโตควรทำดีหรือทำชั่ว และ2พระบิดาทำงานทุกวันแหละ (ไม่งั้นพืชคงไม่งอกวันสะบาโต ดวงอาทิตย์คงงดฉายแสงวันนั้น และฝนคงไม่ตกวันนั้นจริงไม๊)

นี่คือสาระสำคัญของบทบัญญัติข้อนี้ และนี่คือวิธีที่พระเยซูสอนให้เราตีความพระคัมภีร์ นั่นคือ ที่จริงพระเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่ทำตามตัวอักษรแล้วพระเจ้าจะพอพระทัย

จำคำพูดของพระองค์ได้ไม๊ที่ว่า (ลก 13:15)องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’

เห็นไม๊ครับ ว่าพระเยซูตีความพระคัมภีร์ด้วยเหตุผลของความรัก



+++++++++++++++++++++

เรากลับมาดูข้อแรก อันเป็นข้อที่พิพาทกันระหว่างนิกายเสมอมา

7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ


เห็นไม๊ครับว่า โครงสร้างข้อนี้คือ

1-มีพระเจ้าสูงสุดแต่ผู้เดียวในข้อ7
2-โดยอย่านมัสการรูปเคารพในข้อ8-9
3-เพราะเหตุผลคือพระเจ้าหวงแหนเราไม่อยากให้เราไปนมัสการพระอื่นเป็นพระเจ้าในข้อ9 และยังพ่วงบทลงโทษและอวยพรไว้ในข้อ9-10

---ดังนั้นหลักใหญ่ใจความไม่ใช่เรื่องการมีรูปหรือไม่มีรูป แต่เป็นเรื่องการนมัสการพระเจ้าสูงสุดแต่ผุ้เดียว

---เราคงจำได้ว่าหินบัญญัติแผ่นแรกถูกทุ่มแตกตั้งแต่ตอนโมเสสเห็นอิสราเอลนมัสการรูปวัวทอง ดังนั้น แน่ใจได้เลยว่าการห้ามทำรูปเคารพในที่นี้ พระเจ้าหมายถึงรูปเคารพในศาสนาอื่นหรือรูปเคารพของพระเจ้าที่ไม่มีจริงเช่นในกรณีวัวทองคำนั้น และหมายถึงรูปที่เอามานมัสการเทียบเท่าพระเจ้า เหมือนในศาสนาโบราณสมัยก่อนที่มีการบูชายัญต่อเทวรูปไม่ได้หมายถึงรูปของพระองค์หรือเหล่าช่าวสวรรค์เลย เพราะพระเจ้าเองทรงสั่งให้สร้างหีบพันธสัญญาที่มีรูปเครูป(เทวดาชั้นหนึ่งในสวรรค์)กางปีกอย่างชัดเจน

Exodus 25:18
พระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าจงเก็บไว้ในหีบนั้น แล้วจงทำพระที่นั่งกรุณา(หรือ ฝา (หีบ)) ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณา ไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น ณ ที่นั้น เราจะอยู่ให้เจ้าเข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้า จากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งตั้งอยู่บน หีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่อง

รูปภาพ

---นั่นชัดเจนว่า ทั้งโมเสส อาโรน รวมทั้งอิสราเอลทั้งหมด ก็ต้องก้มหน้านมัสการไปที่หีบที่มีรูปปั้นเทวดาทำด้วยทอง

แล้วถามว่า มันต่างกับวัวทองตรงไหน ต่างกันก็ตรงที่

1.การนมัสการวัวทองนั้นชัดแจ้งว่า นมัสการพระเท็จเทียม เป็นพระเจ้าอื่นที่สร้างขึ้นเอง จิตนาการขึ้นเองไม่มีจริง แล้วยกขึ้นแทนที่พระเจ้า
2.แต่การนมัสการพระเจ้าในจุดที่มีรูปปั้นเครูปนั้น แม้จะมีรูปปั้นเครูปกางปีกทนโท่เราก็รู้อยู่ดีวว่าเรากำลังคุยกับใคร และพระเจ้าของเราคือใคร พระเจ้าคือพระจิตที่ลงมาตรงจุดนั้นไม่ใช่ตัวรูปปั้นหรือตัวหีบนั้น เรารู้ดีว่าเครูบคือชาวสวรรค์ที่รับใช้พระเจ้า

รูปภาพ
(อิสราเอลเดินแห่หีบ แถมถวายกำยานให้ด้วย ทั้งที่หีบ เครูบ หรือแผ่นบัญญัติ โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย)

---ดังนั้น แปลง่ายๆว่า ถ้าเราไหว้กางเขน หรือไหว้ไปทางรูปพระเยซู เราไม่ได้ไหว้วัสดุนั้น เรารู้ตัวว่าเราไหว้พระเยซูเจ้าผู้มีตัวตนจริงและเป็นพระเจ้า เหล่าเทวดานักบุญก็เช่นกัน ต่อให้เรายกมือไหว้รูปพวกท่าน ถามว่า"เราคิดว่าท่านเป็นพระเจ้าหรือเปล่า" ถ้าเรารู้แก่ใจว่าเราไหว้ท่านในฐานะไหนแล้วมันจะเป็นการผิดบัญญัติข้อ1นี้ได้ยังไง

ในเมื่อมันชัดเจนในเหตุผลว่า ที่พระเจ้าห้ามในสมัยนั้นเพราะไม่อยากให้เราไหว้พระเท็จเทียม(ซึ่งในสมัยนั้นคือลัทธิบูชาเทวรูปต่างๆที่สร้างจินตนาการเป็นเทวนิยายเอาเองไม่มีจริง) เพราะพระองค์หวงแหนเรา ไม่ใช่เพราะพระองค์เกลียดงานศิลปะ จิตกรรม และปะติมากรรม

ดังนั้นการสร้างเทวรูปบูชาสมัยโบราณ คมันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง กับการวาดรูปไอคอนในออโธอดอค หรือการมีรูปศักดิ์สิทธิ์ในคาทอลิค

ดังนั้น ถ้าต้องการเส้นแบ่งที่"รูปแบบการกระทำ" คุณจะหลงทางทันทีเหมือนกรณีไม่ทำงานอะไรเลยในวันสะบาโตในสมัยพระเยซู

แต่การแยกแยะนั้นอยู่ที่ว่า

-คนที่ไหว้นั้นรู้หรือไม่ว่ารูปเป็นเพียงรูป และตัวจริงท่านเหล่านั้นอยู่ในสวรรค์แล้ว
-คนที่ไหว้นั้นรู้หรือไม่ว่าท่านเหล่านั้นอธิษฐานวอนขอพระเจ้าให้เราไม่ได้เป็นความขลังของรูปที่ส่งอำนาจออกมา แต่สิ่งที่ได้มาจากพระเจ้า ที่สดับฟังการอธิษฐานเผื่อเราของท่าน


ถ้าเขารู้สิ่งเหล่านี้ ต่อให้ถวายช่อดอกไม้แก่รูปพระ ก็ไม่ต่างอะไรกับการวางพวงมาลาตามอนุสาวรีย์วีรบุรุษ หรือการวางดอกไม้บนหลุมศพ ที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าคนตายไม่ดม และนั่นเป็นเพียงศพไม่ใช่ว่าวิญญาณจะอยู่ตรงนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเคารพที่มองเห็นได้ เราแยกแยะได้ว่านี่ไม่ใช่การนมัสการพระเจ้า แต่พอเราทำสิ่งเดียวกันกับวีรบุรุษและวีรสตรีทางศาสนาเราเอง เรากลับแยกแยะไม่ออกขึ้นมา มองว่าเป็นการนมัสการรูปเคารพได้อย่างไร

ดังนั้นถ้าเขาจะยกมือไหว้รูปนักบุญ ในฐานะที่ท่านเป็นบรรพบุรุษทางความเชื่อของเรา ที่เรายกย่อง เป็นวีรบุรุษวีรสตรีทางศาสนาของเรา สมมุติว่าท่านมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ถามตัวเองว่าเราจะแสดงความเคารพท่านไหม แล้วมันเป็นการนมัสการพระเจ้าอื่นตรงไหน ถึงพูดว่า "เหมือนการนมัสการรูปเคารพ" นั่นอาจแปลว่าคนทำแยกแยะได้ว่าไหว้คนนี้ในฐานะไหน แต่คนที่มายืนมองกลับแยกแยะไม่ออก

ดังนั้น เราจงเข้าใจบทบัญญัติข้อนี้เหมือนกรณีบทบัญญัติวันสะบาโต

ว่าพระเจ้าตั้งมันขึ้นมาเหตุผลคืออะไร เพื่อให้เรานมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียว เพราะพระเจ้าหวงแหนเราใช่หรือไม่

ในกาลเวลาสมัยนั้นไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า เชื่อกันว่าใครมองพระเจ้าจะต้องตาย

ปฐก32-30
ยาโคบจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล(แปลว่า พระพักตร์พระเจ้า) กล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่”


อพยพ 3:6:
แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า


---ดังนั้นการปั้นรูปหรือวาดรูปพระเจ้าจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระองค์

แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาทรงกลายเป็นพระเจ้าที่มองเห็นได้

ยน 14:7
ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย
บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว
ฟิลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่า
นี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า ”ฟิลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ”
ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า “โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด”

รูปภาพ

---ดังนั้นพระเยซูเจ้าทำลายกำแพงที่กั้นเราให้เหินห่างจากพระเจ้าทั้งหมดไป และนี่คือทำไมชาวยิวจึงรับไม่ได้ เพราะเขาคิดว่ามันขัดกับพระธรรมเก่าว่าพระเจ้าต้องมองไม่เห็น มาเกิดเป็นลูกมนุษย์ก็ไม่ได้ ดังนั้นในสมัยก่อนเราไม่มีทางทำรูปหรือปั้นรูปของพระเจ้า แต่สมัยนี้เราวาดรูป และปั้นรูปของพระเยซูได้ และเราทำรูปผู้รับใช้ของพระองค์เหมือนสมัยก่อนที่ทำรูปพระเจ้าไม่ได้แต่ก็ยังทำรูปเทวดาเครูบได้

ดังนั้นคำว่าห้ามทำงานในบัญญัติเรื่องสะบาโต กลับถูกอธิบายโดยพระเยซูว่าทำความดีในวันนั้นไม่ได้ผิดบทบัญญัติข้อว่าจงรักษาวันสะบาดตให้บริสุทธิ์ เช่นกันการมีพระรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในพระศาสนจักรรวมถึงการแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติโดยอาศัยรูปเป็นสื่อก็เป้นการกระทำเพื่อให้คนเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่ห่างเหินพระเจ้าออกไป ก็ไม่ได้ผิดบทบัญญติที่ว่าจงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า แต่อย่างใดเลย

การสร้างรูปพระเทียมเท็จไว้นมัสการทำให้เราห่างออกจากพระเจ้า ซึ่งตรงข้ามกับการมีรูปเทวดานักบุญ แม่พระ พระเยซู ซึ่งมีแต่จะทำให้ชาวบ้านทั้งหลายได้ใกล้ชิดและเข้าถึงพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เหมือนการรักษาโรคหรือไล่ผีของพระเยซูในวันสะบาโต ที่ไม่ใช่ทำให้ห่างเหินพระเจ้า เหมือนการทำงานหาเงินเพลินจนลืมไปนมัสการ แต่ตรงข้ามเป็นสิ่งที่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่พระเจ้าพอพระทัยมากและกลับกลายเป็นการนำพระวาจาที่สอนในวันนั้นไปปฎิบัติ ยอดเยี่ยมกว่าฟังและนมัสการเสร็จแล้วกลับไปนอนที่บ้านเพื่อรักษวันสะบาโตซะอีก

ถึงตรงนี้แล้วเชื่อว่าคงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนะครับ

แล้วเชื่อว่าพระจิตเจ้า จะทำให้เราได้เข้าใจทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงต้องการ

ขอพระนามพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ

อาแมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มี.ค. 22, 2006 2:51 pm

รูปปั้นทองอีกรูปที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

กันดารวิถี27-4
เขาทั้งหลายออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางที่ไปทะเลแดง เพื่อจะอ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนท้อถอยเพราะเหตุหนทาง และประชาชนก็บ่นว่าพระเจ้าและว่าโมเสสว่า “ทำไมพาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นทุรกันดาร เพราะไม่มีอาหารและไม่มีน้ำ เราเบื่ออาหารอันไร้ค่านี้” และพระเจ้าก็ทรงให้งูแมวเซามาในหมู่ประชาชน งูก็กัดประชาชน และคนอิสราเอลตายมาก และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า “เราทั้งหลายได้กระทำบาปเพราะเราทั้งหลายได้บ่น ว่าพระเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอทูลแด่พระเจ้าขอพระองค์ทรงนำงูไปจากเราเสีย” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชน และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสา ทุกคนที่ถูกงูกัด เมื่อเขามองดู เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้” ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้ที่เสา แล้วถ้างูกัดคนใด ถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้

รูปภาพ

แปลกนะครับ ทำไมต้องให้ทำรูปงูทองติดเสาด้วย แถมสั่งด้วยว่าต้องอาศัยรูปนี้ถึงจะหาย ต้องเข้ามาพึ่งพาหารูปนี้กันทำไมพระเจ้าเสกให้หายเองเลยไม่ได้หรืออย่างไร สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ทำไมพระเจ้าจึงต้องสั่งให้มนุษย์ปั้นรูปสัตว์ทองนี้ขึ้นมาด้วย แล้วมันต่างกับรูปวัวทองคำตรงไหน ก็ต่างแน่ๆตรงที่ว่า

รูปวัวทองน่ะถูกเอามานมัสการเป็นพระเจ้า แทนที่พระยะโฮวาห์ รูปนี้ทำให้อิสราเอลหันออกจากพระเจ้า และลืมพระองค์ ไปหลงกับพระเทียมเท็จที่ไม่มีจริง

แต่รูปงูนี้เป็นสื่อและเป็นสิ่งที่พระยะโฮวาห์สั่งให้ทำ เป็นสิ่งที่มาจากพระองค์เองเหมือนกรณีเครูปมีปีก สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมาคนที่เห็นก็ยังคงสื่อถึงพระองค์เอง คนรู้ว่ารูปปั้นนี่เป็นของพระองค์ ไม่ใช่พระศาสนาอื่นหรือพระที่ไม่มีจริง ดังนั้น ต่อให้มีรูปเหล่านี้ ประชาชนอิสราเอลก็ไม่ได้หันเหออกจากพระองค์ตรงข้ามยิ่งสำนึกถึงพระองค์ทุกครั้งที่เห็น


กรณีนี้พระเยซูเจ้าเองยังบอกว่า เป็นภาพที่สะท้อนตัวพระองค์เองเลยด้วยซ้ำ

ยน 3:14
โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร


รูปภาพ

ดังนั้นรูปที่ปั้นขึ้นเพื่อสื่อถึงพระเยซูเอง หรือพระเจ้าเอง แม้จะไม่ใช่รูปพระองค์ตรงๆ เป็นสัญลักษณ์(ที่อาจเป็นสัตว์ด้วยซ้ำ) หรือเป็นรูปผู้รับใช้ของพระองค์(จะนักบุญหรือทูตสวรรค์) ถ้าสื่อไปถึงพระบิดาเจ้าสวรรค์ได้ ก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิงกับกรณีนมัสการรูปเคารพ ที่เล็งถึงพระเทียมเท็จในสมัยโบราณ ที่สื่อไปถึงพระที่ไม่มีจริง และทำให้คนหันเหและลืมพระเจ้าเที่ยงแท้

ขอพระนามของพระบิดาเจ้าทรงได้รับการสรรเสริญ

อาแมน



++++++++++++++++++++++++++++

หลายครั้งเราสับสนเหลือเกิน ระหว่างการแสดงความเคารพ กับการนมัสการ

มาดูกรณียาโคบกราบขอโทษพี่ชายตัวเอง

ปฐก33-1
ยาโคบเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นเอซาว กำลังมาพร้อมกับพวกสี่ร้อยคน ยาโคบจึงแบ่งเด็กๆให้นางเลอาห์ นางราเชลและสาวใช้ทั้งสอง เขาให้สาวใช้กับลูกอยู่ข้างหน้า ถัดมาเลอาห์กับลูก ส่วนราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด ตัวเขาเองเดินออกหน้าไปก่อน กราบลงถึงดินเจ็ดหน จนเข้ามาใกล้พี่ชายของเขา
แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจูบเขา ต่างก็ร้องไห้ เมื่อเอซาวเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆ จึงถามว่า “คนที่อยู่กับเจ้านี้คือใคร” ยาโคบตอบว่า “คือลูกๆ ที่พระเจ้าโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน” แล้วสาวใช้ทั้งสองคนกับลูกๆ ก็เข้ามาใกล้และกราบลง เลอาห์กับลูกของเขาก็เข้ามาใกล้และกราบลงด้วย ที่สุดโยเซฟและราเชลก็เข้ามาใกล้และกราบลง

---กราบกันสนั่นทั้งครองครัว แปลกมากนะครับ ปรกติกราบลงถึงดินน่าจะใช้กับพระเจ้าคนเดียว แต่นี่กราบพี่ตัวเองไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย

เรามาดูโลทกันบ้าง

ปฐก19-1
ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไป ต้อนรับและกราบลงถึงดิน กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้าเดินทางต่อไป

---กราบแล้วยังปรนนิบัติด้วย

ยังไม่จบครับลองดูท่าทีของโยชูวาต่อทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมา

โยชูวา 5:13
เมื่อโยชูวาอยู่ข้างเมืองเยรีโคท่านก็เงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งชักดาบออกมาถือยืนอยู่ตรงหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายนั้น กล่าวแก่เขาว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรืออยู่ฝ่ายศัตรู” ผู้นั้นจึงตอบว่า “มิใช่ ที่เรามานี้ก็มาเป็นจอมพลโยธาของพระเจ้า” ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการแล้วถามว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าท่านจะให้ผู้รับใช้ของท่านกระทำอะไร” และจอมพลโยธาของพระเจ้าจึงสั่งโยชูวาว่า “จงถอดรองเท้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” โยชูวาก็กระทำตาม

---อันนี้เป็นHeaven Knightนะครับ ไม่ใช่พระเจ้าเอง เป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาช่วย ดังนั้นถ้าเขากราบทูตสวรรค์เป็นการขอบคุณที่ท่านมาช่วยแม้จะรู้ว่าพระเจ้าต่างหากที่สั่งท่านมา ถามง่ายๆถ้ากษัตริย์สั่งนายพลท่านหนึ่งมาช่วยชาวบ้าน เราจะไม่กราบขอบพระคุณท่านนายพลเลยเหรอ แม้ท่านจะแค่ทำตามคำสั่งก็เถอะ ถามว่านี่คือการนมัสการพระเจ้าอื่นหรือเปล่า การกราบทูตสวรรค์ของพระเจ้าคือการนมัสการพระเทียมเท็จหรือเปล่า

นักบุญเปาโลบอกเราชัดว่าชาวสวรรค์เขามีศักดิ์ศรีเหนือกว่ามนุษย์เราอยู่แล้ว

ฮบ 2:9
แต่เราก็เห็นว่า พระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกลดฐานะลงต่ำกว่าทูตสวรรค์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทรงได้รับสิริรุ่งโรจน์และเกียรติยศเป็นมงกุฎ เพราะทรงยอมรับความตาย


ท่านบอกไว้ว่าพระเยซูตอนมาเกิดเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ก็มีศักดิ์ศรีน้อยกว่าทูตสวรรค์

ดังนั้นการที่เราเคารพชาวสวรรค์ตามฐานะที่ท่านเป็นสิ่งสร้างที่มีศักดิ์สูงกว่าเรามันก็สมควร และแน่นอน เรามนุษย์อยู่ในโลกก็เหมือนคนบาปที่ยังอยู่ในแดนเนรเทศ ส่วนมนุษย์ที่ไปสวรรค์ก็มีฐานะสูงกว่าเราแล้ว ดังนั้น ถ้าเราไหว้(ยังไม่ถึงขั้นกราบลงดินแบบโยชูวา) ท่านตามฐานะที่สูงกว่าเราแต่ยังต่ำกว่าพระเจ้ามาก แล้วมันจะผิดต่อพระเจ้าได้อย่างไร ให้เรามาดูประโยคนี้ในพระคัมภีร์

วว 19:10
ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงแทบเท้าของทูตสวรรค์เพื่อจะกราบนมัสการ แต่เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้นเลย ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนผู้รับใช้เหมือนกับท่านและเหมือนกับพี่น้องทั้งหลายของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานของพระเยซูเจ้า จงกราบนมัสการพระเจ้าเถิด เพราะคำพยานของพระเยซูเจ้าคือพลังแห่งการประกาศพระวาจา”


แปลกไม๊ ทำไมคราวนี้ทูตสวรรค์ไม่ให้ยอห์นกราบท่านแบบโลทหรือโยชูวาทำ อย่าสับสนนะครับว่าบทนี้จะบอกว่าการแสดงความเคารพชาวสวรรค์เป็นสิ่งผิด บอกได้เลยครับว่า ไม่ใช่เพราะมันผิด แต่เพราะทูตสวรรค์องค์นี้ แม้เป็นทูตสวรรค์ท่านก็แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเราควรจะมองเห็นแบบอย่างที่ดีอันนี้ จากคำพูดของท่านมันชัดเจนนะครับว่าการกราบนมัสการสงวนใช้กับพระเจ้า แต่จากบทอื่นๆที่ผ่านมา การไหว้แสดงความเคารพท่านตามฐานะที่ไม่ใช่ขนาดนมัสการ ไม่ผิด และจะว่าไปในบทนี้ ท่านก็ไม่ได้ด่าว่ายอห์นผิดข้อนมัสการพระเจ้าอื่น แต่การพูดของท่านเป็นการพูดจาเชิงถ่อมตน ดังนั้นสิ่งที่มนุษย์สมควรจะคิดให้ได้ก็คือไม่ใช่ท่านถ่อมตนแล้ว เราไปจองหองใส่ท่าน เพราะถ้าเราก้มลงล้างเท้าให้มนุษย์ได้ ถ้าเราเคารพให้เกียรติมนุษย์ได้ การที่เราจะให้เกียรติชาวสวรรค์มันจะผิดได้ยังไง การพูดของท่าน เหมือนกับว่า เรามีเพื่อนคนนึงทำดีให้เราในพระนามพระเจ้า พอเราของคุณเขา เขาก็บอกว่าขอบคุณพระเจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าการขอบคุณของคุณเป็นสิ่งผิดห้ามทำ แต่เพราะเขาน่ารักและถ่อมตนต่างหาก ยังไงขอบคุณพระเจ้าแล้วก็ต้องขอบคุณเขาอยู่ดี จริงไหม

ดังนั้นถ้าใครก็ตาม ให้เกียรติแม่พระ หรือนักบุญ หรือทูตสวรรค์ หรือรักท่านเหล่านั้นมาก โดยไม่เคยยกท่านขึ้นไปเป็นพระเจ้า ก็จงสบายใจเถอะครับว่า ต่อให้คนอื่นแยกแยะไม่ออก พระเจ้าก็แยกแยะออกครับ ขนาดยาโคบกราบลงดินขอโทษพี่ตั้ง7ที พระเจ้ายังพอพระทัยเห็นสมควรด้วย ไม่เห็นสับสนว่ายาโคบยกพี่เป็นพระเจ้า

พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่หวงแหน แต่ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้าเด็กเอาแต่ใจที่ขี้อิจฉาสะเปะสะปะนะครับ ทรงเป็นพระจิตเจ้าผู้ประทานปรีชาญาณให้เราเชียว และขนาดความฉลาดของเรา ยังเทียบเท่าแค่ความเขลาในสายพระเนตรพระองค์ ทรงหยั่งรู้ทุกอย่าง ต่อให้มนุษย์แกล้งแสดงทีท่าเคารพพระองค์มาก แต่ในใจคิดแต่เรื่องโลภหาเงินทอง คิดแต่เรื่องเพศตรงข้าม คิดแต่เรื่องความสนุกสนาน พระองค์ก็หยั่งเห็นครับว่าที่จริงมนุษย์คนนั้นมีรูปเคารพเป็นเงินทอง เป็นอบายมุข ฯลฯ ที่ให้ความสำคัญยิ่งกว่าพระองค์ซะอีก

ขอพระนามของพระเจ้าสูงสุดทรงได้รับการสรรเสริญสดุดี ทั้งจากสวรรค์และแผ่นดิน ตลอดนิรันดร์

อาแมน
Tawan
โพสต์: 34
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 21, 2006 10:54 pm
ที่อยู่: Nakhonsawan

พุธ มี.ค. 22, 2006 9:14 pm

อ๋อเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนนะคะ ;D
ถ้ามีปัญหาอีกจะมาขอคำแนะนำอีกนะคะ อิอิ
Tawan
โพสต์: 34
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 21, 2006 10:54 pm
ที่อยู่: Nakhonsawan

อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 8:01 pm

พี่ ๆ คาทอลิกคะ ณัฐได้เรียนคำสอนชนิดที่ว่าไม่เต็ม100 อ่ะคะ คือว่าต้องมาอ่านพระคัมภีร์เองไปก่อน เพราะ พ่อยังไม่มีเวลาสอน พวกพี่ ๆ ที่เรียนคำสอนอย่างเต็ม100 มาแล้วพอจะบอกได้ไหมคะว่า เรียนอะไรบ้าง เรียนอย่างไร และ คุณพ่อ จะมีวิธีสอบเรายังไงคะ ณัฐจะได้ศึกษาเองไว้ก่อน เวลาเรียน จะได้เรียนเร็วขึ้นค่ะเนื่องจาก มีเวลาว่างไม่ตรงกับพ่อด้วย
พี่ ๆ ช่วยบอกหน่อยนะคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 8:47 pm

http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... eadid=1064

มีวันและเวลาสอนคำสอนของแต่ละโบสถ์ด้วยครับ ลองไปดูนะครับ

ปล. ต้องรอรอบต่อไปแล้วนะครับ รุ่นนี้กำลังจะรับศีลล้างบาปปัสกานี้แล้ว
Tawan
โพสต์: 34
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 21, 2006 10:54 pm
ที่อยู่: Nakhonsawan

อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 10:00 pm

คือ ณัฐเรียนที่ วัดคาทอลิกนครสวรรค์ อ่ะคะ ที่อาสนวิหารนักบุญอันนา แบบว่าเรียนเฉพาะกับพ่อโดยตรงอ่ะคะ แต่เนื่องจากพ่อไม่ค่อยมีเวลา เลยต้องอ่านเองไปก่อน พี่ ๆ ช่วยแนะนำตามที่บอกไปได้ไหมคะ จะได้รับมือถูก *heh
แก้ไขล่าสุดโดย Tawan เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 10:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 10:49 pm

I've studied like that too and the problem was just like you that the priest didn't have time for me.

What I did was I read a lot and prayed a lot. When you pray enough, you'll know the syllabus!! I mean God himself will teach you or guide you what to study. And I just followed my heart and read or study as God told me.

So, I suggest you to pray a lot.. :)

Here are the outline of catechism for RCIA.

Revelation, Scripture and Tradition
The Trinity
God: Creator and Father
Original Justice and the Fall
Jesus Christ, Son and Lord
Jesus Christ Saviour
God the Holy Spirit
The Church
Mary, Mother of God & The Saints
Christian Fulfilment
Liturgy of the Church
Sacraments of Baptism and Confirmation
The Celebration of Mass
Sacrament of the Eucharist
Sacraments of Penance and Anointing
Sacraments of Holy Orders and Matrimony
Decalogue (Ten Commandments)
A New Commandment
Social Justice
Prayer

http://www.ewtn.com/library/CATECHSM/WAGGASYL.HTM

And I read the book 'The Faith Explained' by Leo Trese. http://www.sinagtala.com/single_bibles_ ... lained.htm

I think there's a catechism book in Thai. And there's the VCD too.

VCD. สู่ชีวิตคริสตชน คำสอนก่อนล้างบาป

ของคุณพ่อ ไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R (พ่อจั่ว)

ท่านใดที่สนใจ กำลังจะล้างบาป หรือ ล้างบาปไปแล้ว อยากจะทบทวนคำสอน รื้อฟิ้นในสิ่งที่เราเคยรู้มา

แล้ว แต่หลงลืมไป ก็จะมีใน VCD.นี้ ราคา 190 บาท มี 2

VCD.1 ภาค 1 ความเป็นมาของคริสตศาสนา

ภาค 2 ความเชื่อและค่านิยมคาทอลิก

ภาค 3 พิธีกรรมคาทอลิก


VCD. 2 ภาค 3 พิธีกรรมคาทอลิก

ภาค 4 หลักธรรมคาทอลิก

ภาค 5 หลักธรรมของพระคริสตร์

ภาค 6 ความศรัทธาต่อแม่พระ

ภาค 7 พระศาสนจักรคาทอลิก


ติดต่อได้ที่ ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่ 123/19 ซ.ร่วมฤดี 5 ถ.วิทยุ ปทุมวัน กทม.
โทร.0-2256-6076
kanya Muang-in
โพสต์: 282
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm

อังคาร เม.ย. 08, 2014 9:27 pm

พระเจ้าอวยพรทุกท่าน นะค่ะ :s007:
ตอบกลับโพส