การถือศีลอดอาหารช่วงปัสกา
- เด็กผี ปีศาจแดง
- โพสต์: 42
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2005 9:17 am
จะต้องถือศีลอดช่วงไหนบ้างครับ แต่อาทิตย์นี้จะมีแห่ใบลานแล้ว
เพื่อนๆเตรียมตัวพร้อมรึยังครับ
เพื่อนๆเตรียมตัวพร้อมรึยังครับ
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ระลึกถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้า
วันนี้ไม่มีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เราฉลองพระทรมานของพระเยซูเจ้า แต่ไม่ใช่พระทรมานซึ่งนำมาซึ่งความเศร้าโศก แต่เป็น glorious passion พระสงฆ์ใส่กาซูลาสีแดงไม่ใช่สีดำ สีแดงหมายถึง พระโลหิตที่พระเยซูเจ้าจอมกษัตริย์ทรงหลั่งบนไม้กางเขนอันเป็นการแสดงความรักและลบล้างบาปของเรา (สีแดงเป็นสีของมรณสักขี ซึ่งยอมสละชีวิตของตนตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า)
พิธีระลึกถึงพระทรมานให้ทำตอนบ่ายราว 3 โมง แต่อาจจะเลื่อนไปทำในเวลาที่เหมาะกว่า เพื่อให้สัตบุรุษมาร่วมพิธีได้มากที่สุดก็ได้ แต่ต้องไม่ล่าเกิน 3 ทุ่ม
โครงสร้างของพิธีกรรมแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
1. ภาควจนพิธีกรรม
2. ภาคนมัสการกางเขน
3. ภาครับศีลมหาสนิท
ภาควจนพิธีกรรม
เริ่มด้วยขบวนแห่ของพระสงฆ์และศาสนบริกร บรรยากาศเป็นการรำพึงเงียบ ๆ ไม่มีเพลงเริ่มพิธี หลังจากนั้นพระสงฆ์หมอบกราบลง ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงความต่ำต้อยของมนุษย์และความเสียใจของพระศาสนจักร (คำแนะนำเรื่องเทศกาลมหาพรตและการเตรียมการสมโภชปัสกา ข้อ 65)
หลังจากนั้นเป็นบทภาวนาของประธาน (ไม่กล่าวให้เราภาวนา) จากนั้นเป็นบทอ่าน 2 บท อสย 52:13-53:12 บทเพลงของผู้รับใช้ที่ 4 และ ฮบ 4:14-16.5:7-9 "ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนบนอบเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์"
ศูนย์กลางของภาควจนพิธีกรรมอยู่ที่การอ่านพระทรมานของพระเยซูเจ้าจากพระวรสารนักบุญยอห์น ซึ่งเล่าถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้าเป็น เป็น glorious passion พระองค์ทรงรับพระทรมานด้วยใจสงบ ทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นพระประสงค์ของพระองค์ (ไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับ) ที่จะถวายชีวิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชาแด่พระบิดา เพื่อความรอดพ้นของมนุษย์ทุกคน
หลังจากนั้นเป็นบทภาวนาเพื่อมวลชน โดยลักษณะของบทภาวนาเพื่อมวลชนเป็นการตอบรับพระวาจาของพระเจ้า และเป็นการทำหน้าที่สงฆ์แห่งศีลล้างบาปของคริสตชนที่จะภาวนาเพื่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อโลก จะสังเกตว่าบทภาวนาเพื่อมวลชนในวันนี้มีถึง 10 ข้อ และครอบคลุมอย่างกว้าง ๆ ถึงความต้องการของพระศาสนจักรและของโลก และในกรณีที่สังคมมีความต้องการสำคัญจริง ๆ (พระสังฆราช) ประมุขท้องถิ่นอาจอนุญาตให้เพิ่มเจตนาพิเศษได้ ชี้ให้เราเห็นว่า พระทรมานของพระเยซูเจ้าเป็นการถวายบูชาเพื่อมนุษย์ทุกคน
ดังนั้นภาควจนพิธีกรรมจึงเน้นที่การประกาศพระทรมาน การรำพึงถึงพระทรมาน และการภาวนาวอนขอให้ผลของพระทรมานบังเกิดผลแก่มนุษย์ทุกคน
ภาคนมัสการกางเขน
กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งความรักและการลบล้างบาปที่พระเยซูเจ้าประทานแก่เรา ภาคนมัสการกางเขนเริ่มด้วยการแสดงกางเขนซึ่งมี 2 แบบ
แบบที่ 1 ผู้ช่วยพิธีถือกางเขนที่มีผ้าคลุม กับอีกสองคนถือเทียนที่จุดแล้วมายังแท่น พระสงฆ์ยืนหน้าแท่นบูชา รับกางเขน เปิดผ้าตอนบนออกเล็กน้อย ชูกางเขนขึ้น ร้องเพลง "นี่คือไม้กางเขน" ทุกคนร้องตอบว่า "เชิญมากราบนมัสการร่วมกันเถิด" หลังจากนั้นทุกคนคุกเข่านมัสการเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง แต่พระสงฆ์ยังคงยืนถือกางเขนชูอยู่ หลังจากนั้นพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมแขนขวาของกางเขนชูขึ้นอีกครั้งพลางร้องเพลงและสัตบุรุษตอบรับและนมัสการกางเขนเหมือนข้างต้น ที่สุดพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมกางเขนออกหมด ชูขึ้นพลางร้องเพลงและสัตบุรุษตอบรับและนมัสการกางเขนเหมือนเดิม ต่อจากนั้น พระสงฆ์พร้อมกับผู้ถือเทียนสองคน นำกางเขนไปที่ระหว่างโต๊ะรับศีลหรือที่อื่นที่เหมาะสม วางกางเขนลง ณ ที่นั้น หรือมอบให้ผู้ร่วมพิธีถือไว้โดยมีเทียนตั้งอยู่ทางซ้ายและขวาของกางเขน และนมัสการกางเขน
แบบที่ 2 พระสงฆ์หรือสังฆานุกรพร้อมกับผู้ช่วยอื่นไปที่ประตูวัด รับกางเขนที่ไม่มีผ้าปิด ส่วนผู้ช่วยพิธีก็รับเทียนที่จุดแล้วแห่ผ่านกลางวัดไปยังสักการสถาน ผุ้ถือกางเขนชูกางเขนขึ้นที่ใกล้ประตูครั้งหนึ่ง กลางวัดครั้งหนึ่ง และระหว่างโต๊ะรับศีลอีกครั้งหนึ่ง พลางร้องเพลง "นี่คือไม้กางเขน" ทุกคนร้องตอบว่า "เชิญมากราบนมัสการร่วมกันเถิด" หลังจากนั้นทุกคนคุกเข่านมัสการเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ต่อไป นำกางเขนไปที่ระหว่างโต๊ะรับศีลพร้อมด้วยเชิงเทียน
พระสงฆ์สามารถเลือกวิธีหนึ่งได้ตามความเหมาะสม (ถ้าในวัดมีธรรมเนียมคลุมกางเขนและรูปพระน่าจะเลือกแบบที่ 1 แต่ถ้าที่วัดไม่มีธรรมเนียมคลุมกางเขนและรูปพระน่าจะเลือกแบบที่ 2 ...ผู้เขียน)
การนมัสการกางเขนให้สัตบุรุษนมัสการแต่ละคน เป็นเจตนาเฉพาะของพิธีในวันนี้ แต่ถ้ามีสัตบุรุษจำนวนมาก อาจให้ทุกคนนมัสการไม้กางเขนพร้อมกัน อย่างที่มีกำหนดไว้ในหนังสือพิธี ให้ใช้ไม้กางเขนเพียงอันเดียวสำหรับให้สัตบุรุษนมัสการ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์ในพิธี ไม้กางเขนที่ใช้ควรมีขนาดใหญ่และสวยงามพอสมควร
ภาครับศีลมหาสนิท
การรับศีลเป็นการมีส่วนร่วมในพระทรมาน โดยการมีส่วนร่วมกับองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงมอบพระองค์เพื่อเรา และดำเนินชีวิตบนหนทางที่พระองค์ให้เป็นแบบอย่างแก่เรา
บทภาวนาหลังรับศีลเป็นบทวิงวอนเพื่อขอพระเจ้าได้โปรดรักษาผลงานแห่งพระเมตตาของพระองค์ไว้ในตัวของเรา
บทขอพรเพื่อประชากรกล่าวถึงธรรมล้ำลึกปัสกา "ประชากรของพระองค์ได้รำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระบุตร พร้อมกลับหวังว่าจะกลับคืนชีพในภายหน้าแล้ว...โปรดให้เขาได้รับความเอ็นดูปรานี ความทุเลาบรรเทา ความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ และความรอดพ้นตลอดนิรันดร"
ข้อสังเกต การเดินรูปเป็นกิจศรัทธาที่ดีที่พระศาสนจักรสนับสนุน แต่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกในวันศุกร์ ศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธีกรรมระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า ดังนั้นการกำหนดเวลาต้องแสดงให้เห็นว่า พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มีความสำคัญมากกว่ากิจศรัทธา
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นวันชดเชยใช้โทษบาปโดยบังคับทั่วพระศาสนจักร โดยการอดเนื้อและจำศีลอดอาหาร
ไม่มีการประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นใดในวันนี้ นอกจากศีลอภัยบาปและศีลเจิมคนไข้ ถ้ามีพิธีฝังศพต้องทำโดยไม่มีการขับร้อง และไม่มีการตีระฆัง
วันนี้ไม่มีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เราฉลองพระทรมานของพระเยซูเจ้า แต่ไม่ใช่พระทรมานซึ่งนำมาซึ่งความเศร้าโศก แต่เป็น glorious passion พระสงฆ์ใส่กาซูลาสีแดงไม่ใช่สีดำ สีแดงหมายถึง พระโลหิตที่พระเยซูเจ้าจอมกษัตริย์ทรงหลั่งบนไม้กางเขนอันเป็นการแสดงความรักและลบล้างบาปของเรา (สีแดงเป็นสีของมรณสักขี ซึ่งยอมสละชีวิตของตนตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า)
พิธีระลึกถึงพระทรมานให้ทำตอนบ่ายราว 3 โมง แต่อาจจะเลื่อนไปทำในเวลาที่เหมาะกว่า เพื่อให้สัตบุรุษมาร่วมพิธีได้มากที่สุดก็ได้ แต่ต้องไม่ล่าเกิน 3 ทุ่ม
โครงสร้างของพิธีกรรมแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
1. ภาควจนพิธีกรรม
2. ภาคนมัสการกางเขน
3. ภาครับศีลมหาสนิท
ภาควจนพิธีกรรม
เริ่มด้วยขบวนแห่ของพระสงฆ์และศาสนบริกร บรรยากาศเป็นการรำพึงเงียบ ๆ ไม่มีเพลงเริ่มพิธี หลังจากนั้นพระสงฆ์หมอบกราบลง ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงความต่ำต้อยของมนุษย์และความเสียใจของพระศาสนจักร (คำแนะนำเรื่องเทศกาลมหาพรตและการเตรียมการสมโภชปัสกา ข้อ 65)
หลังจากนั้นเป็นบทภาวนาของประธาน (ไม่กล่าวให้เราภาวนา) จากนั้นเป็นบทอ่าน 2 บท อสย 52:13-53:12 บทเพลงของผู้รับใช้ที่ 4 และ ฮบ 4:14-16.5:7-9 "ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนบนอบเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์"
ศูนย์กลางของภาควจนพิธีกรรมอยู่ที่การอ่านพระทรมานของพระเยซูเจ้าจากพระวรสารนักบุญยอห์น ซึ่งเล่าถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้าเป็น เป็น glorious passion พระองค์ทรงรับพระทรมานด้วยใจสงบ ทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นพระประสงค์ของพระองค์ (ไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับ) ที่จะถวายชีวิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชาแด่พระบิดา เพื่อความรอดพ้นของมนุษย์ทุกคน
หลังจากนั้นเป็นบทภาวนาเพื่อมวลชน โดยลักษณะของบทภาวนาเพื่อมวลชนเป็นการตอบรับพระวาจาของพระเจ้า และเป็นการทำหน้าที่สงฆ์แห่งศีลล้างบาปของคริสตชนที่จะภาวนาเพื่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อโลก จะสังเกตว่าบทภาวนาเพื่อมวลชนในวันนี้มีถึง 10 ข้อ และครอบคลุมอย่างกว้าง ๆ ถึงความต้องการของพระศาสนจักรและของโลก และในกรณีที่สังคมมีความต้องการสำคัญจริง ๆ (พระสังฆราช) ประมุขท้องถิ่นอาจอนุญาตให้เพิ่มเจตนาพิเศษได้ ชี้ให้เราเห็นว่า พระทรมานของพระเยซูเจ้าเป็นการถวายบูชาเพื่อมนุษย์ทุกคน
ดังนั้นภาควจนพิธีกรรมจึงเน้นที่การประกาศพระทรมาน การรำพึงถึงพระทรมาน และการภาวนาวอนขอให้ผลของพระทรมานบังเกิดผลแก่มนุษย์ทุกคน
ภาคนมัสการกางเขน
กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งความรักและการลบล้างบาปที่พระเยซูเจ้าประทานแก่เรา ภาคนมัสการกางเขนเริ่มด้วยการแสดงกางเขนซึ่งมี 2 แบบ
แบบที่ 1 ผู้ช่วยพิธีถือกางเขนที่มีผ้าคลุม กับอีกสองคนถือเทียนที่จุดแล้วมายังแท่น พระสงฆ์ยืนหน้าแท่นบูชา รับกางเขน เปิดผ้าตอนบนออกเล็กน้อย ชูกางเขนขึ้น ร้องเพลง "นี่คือไม้กางเขน" ทุกคนร้องตอบว่า "เชิญมากราบนมัสการร่วมกันเถิด" หลังจากนั้นทุกคนคุกเข่านมัสการเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง แต่พระสงฆ์ยังคงยืนถือกางเขนชูอยู่ หลังจากนั้นพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมแขนขวาของกางเขนชูขึ้นอีกครั้งพลางร้องเพลงและสัตบุรุษตอบรับและนมัสการกางเขนเหมือนข้างต้น ที่สุดพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมกางเขนออกหมด ชูขึ้นพลางร้องเพลงและสัตบุรุษตอบรับและนมัสการกางเขนเหมือนเดิม ต่อจากนั้น พระสงฆ์พร้อมกับผู้ถือเทียนสองคน นำกางเขนไปที่ระหว่างโต๊ะรับศีลหรือที่อื่นที่เหมาะสม วางกางเขนลง ณ ที่นั้น หรือมอบให้ผู้ร่วมพิธีถือไว้โดยมีเทียนตั้งอยู่ทางซ้ายและขวาของกางเขน และนมัสการกางเขน
แบบที่ 2 พระสงฆ์หรือสังฆานุกรพร้อมกับผู้ช่วยอื่นไปที่ประตูวัด รับกางเขนที่ไม่มีผ้าปิด ส่วนผู้ช่วยพิธีก็รับเทียนที่จุดแล้วแห่ผ่านกลางวัดไปยังสักการสถาน ผุ้ถือกางเขนชูกางเขนขึ้นที่ใกล้ประตูครั้งหนึ่ง กลางวัดครั้งหนึ่ง และระหว่างโต๊ะรับศีลอีกครั้งหนึ่ง พลางร้องเพลง "นี่คือไม้กางเขน" ทุกคนร้องตอบว่า "เชิญมากราบนมัสการร่วมกันเถิด" หลังจากนั้นทุกคนคุกเข่านมัสการเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ต่อไป นำกางเขนไปที่ระหว่างโต๊ะรับศีลพร้อมด้วยเชิงเทียน
พระสงฆ์สามารถเลือกวิธีหนึ่งได้ตามความเหมาะสม (ถ้าในวัดมีธรรมเนียมคลุมกางเขนและรูปพระน่าจะเลือกแบบที่ 1 แต่ถ้าที่วัดไม่มีธรรมเนียมคลุมกางเขนและรูปพระน่าจะเลือกแบบที่ 2 ...ผู้เขียน)
การนมัสการกางเขนให้สัตบุรุษนมัสการแต่ละคน เป็นเจตนาเฉพาะของพิธีในวันนี้ แต่ถ้ามีสัตบุรุษจำนวนมาก อาจให้ทุกคนนมัสการไม้กางเขนพร้อมกัน อย่างที่มีกำหนดไว้ในหนังสือพิธี ให้ใช้ไม้กางเขนเพียงอันเดียวสำหรับให้สัตบุรุษนมัสการ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์ในพิธี ไม้กางเขนที่ใช้ควรมีขนาดใหญ่และสวยงามพอสมควร
ภาครับศีลมหาสนิท
การรับศีลเป็นการมีส่วนร่วมในพระทรมาน โดยการมีส่วนร่วมกับองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงมอบพระองค์เพื่อเรา และดำเนินชีวิตบนหนทางที่พระองค์ให้เป็นแบบอย่างแก่เรา
บทภาวนาหลังรับศีลเป็นบทวิงวอนเพื่อขอพระเจ้าได้โปรดรักษาผลงานแห่งพระเมตตาของพระองค์ไว้ในตัวของเรา
บทขอพรเพื่อประชากรกล่าวถึงธรรมล้ำลึกปัสกา "ประชากรของพระองค์ได้รำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระบุตร พร้อมกลับหวังว่าจะกลับคืนชีพในภายหน้าแล้ว...โปรดให้เขาได้รับความเอ็นดูปรานี ความทุเลาบรรเทา ความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ และความรอดพ้นตลอดนิรันดร"
ข้อสังเกต การเดินรูปเป็นกิจศรัทธาที่ดีที่พระศาสนจักรสนับสนุน แต่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกในวันศุกร์ ศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธีกรรมระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า ดังนั้นการกำหนดเวลาต้องแสดงให้เห็นว่า พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มีความสำคัญมากกว่ากิจศรัทธา
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นวันชดเชยใช้โทษบาปโดยบังคับทั่วพระศาสนจักร โดยการอดเนื้อและจำศีลอดอาหาร
ไม่มีการประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นใดในวันนี้ นอกจากศีลอภัยบาปและศีลเจิมคนไข้ ถ้ามีพิธีฝังศพต้องทำโดยไม่มีการขับร้อง และไม่มีการตีระฆัง
แก้ไขล่าสุดโดย St.paul เมื่อ อังคาร เม.ย. 04, 2006 7:34 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เทศกาลมหาพรตมีด้วยกัน 40 วัน เริ่มต้นด้วยวันพุธรับเถ้า พระศาสนจักรจำลองพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าลงในพิธีกรรม และจัดให้ช่วงสุดท้ายแห่งพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าอยู่ในมหาพรตนี้เอง และ 7 วันสุดท้ายของ 40 วันนี้ เราเรียกว่า "สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์"ซึ่งเริ่มต้นสัปดาห์ด้วย
"อาทิตย์พระทรมาน หรืออาทิตย์ใบลาน (Palm Sunday)" ซึ่งรวมการประกาศชัยชนะของพระเยซูคริสตเจ้าในฐานะพระมหากษัตริย์ รวมเข้าไว้ด้วยกันกับการประกาศถึงพระทรมานของพระองค์ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชาวยิวกำลังฉลองเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลระลึกถึงการที่โมเสสพาชาวอิสราเอล ข้ามทะเลแดงพ้นจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์
ในวันนั้น พระองค์ประทับนั่งบนหลังลาเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม และประชาชนก็พากันไปตัดกิ่งปาล์มมาโบกต้อนรับ บ้างก็เอาเสื้อคลุมปูลงตามทางที่พระองค์เสด็จ คล้ายมีพรมปูให้พระมหากษัตริย์ดำเนิน คริสตชนจึงระลึกถึงเหตุการณ์นั้นในมิสซาวันอาทิตย์นี้ พิธีกรรมที่สำคัญในวันนี้คือ การเสกใบลานแจกสัตบุรุษถือไว้ในมือ แล้วเดินแห่จากแท่นน้อยนอกวัด เข้าไปในวัดพร้อมกับพระสงฆ์ การแห่มีได้เพียงครั้งเดียว โดยเลือกรอบมิสซาที่มีสัตบุรุษมาร่วมพิธีมากที่สุด ซึ่งใบลานที่เสกแล้วนี้ คริสตชนจะนำเก็บกลับไปไว้ที่บ้านเพื่อระลึกถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้า (ถือเป็น "สิ่งคล้ายศีล" มิใช่เครื่องรางของขลังที่จะบันดาลความศักดิ์สิทธิ์) แล้วนำกลับมาให้ทางวัดก่อนวันพุธรับเถ้าในปีถัดไป เพื่อนำไปเผา และใช้เป็นเถ้าสำหรับโปรยศีรษะในวันพุธรับเถ้านั่นเอง นอกจากนี้ ในภาควจนพิธีกรรม จะต้องเป็นการอ่านพระทรมาน ซึ่งต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยมีคนอ่าน 3 คน ตามธรรมเนียม ซึ่งควรเป็นสังฆานุกรหรือพระสงฆ์ หรืออาจเป็นฆราวาสด้วยตามความเหมาะสม แต่ในส่วนของพระคริสตเจ้า ต้องเป็นพระสงฆ์อ่านเท่านั้น ในการอ่านพระทรมาน ไม่ต้องถือเทียนหรือใช้กำยาน และไม่ต้องทำเครื่องหมายกางเขน (ที่หนังสือและที่ตัว) สังฆานุกรที่อ่านต้องขอพรจากพระสงฆ์ก่อนอ่านตามปกติ และต้องการพระทรมาน ทั้งหมด หลังการอ่าน ต้องมีการเทศน์ด้วย
กล่าวโดยสรุปว่า พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าในสัปดาห์สุดท้ายของพระองค์เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ วันที่ชาวยิวต้องการให้พระเยซูเจ้าเป็นกษัตริย์ฝ่ายอาณาจักร ที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาจากอำนาจของชาวโรมัน ซึ่งไม่ใช่กษัตริย์ฝ่ายจิตใจตามแบบของพระเยซูเจ้า ที่พวกเขายังไม่เข้าใจ
ในวันจันทร์ - อังคาร - พุธ ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่มีพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษจนกระทั่งถึงวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธ์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของ "ตรีวารปัสกา"
"อาทิตย์พระทรมาน หรืออาทิตย์ใบลาน (Palm Sunday)" ซึ่งรวมการประกาศชัยชนะของพระเยซูคริสตเจ้าในฐานะพระมหากษัตริย์ รวมเข้าไว้ด้วยกันกับการประกาศถึงพระทรมานของพระองค์ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชาวยิวกำลังฉลองเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลระลึกถึงการที่โมเสสพาชาวอิสราเอล ข้ามทะเลแดงพ้นจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์
ในวันนั้น พระองค์ประทับนั่งบนหลังลาเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม และประชาชนก็พากันไปตัดกิ่งปาล์มมาโบกต้อนรับ บ้างก็เอาเสื้อคลุมปูลงตามทางที่พระองค์เสด็จ คล้ายมีพรมปูให้พระมหากษัตริย์ดำเนิน คริสตชนจึงระลึกถึงเหตุการณ์นั้นในมิสซาวันอาทิตย์นี้ พิธีกรรมที่สำคัญในวันนี้คือ การเสกใบลานแจกสัตบุรุษถือไว้ในมือ แล้วเดินแห่จากแท่นน้อยนอกวัด เข้าไปในวัดพร้อมกับพระสงฆ์ การแห่มีได้เพียงครั้งเดียว โดยเลือกรอบมิสซาที่มีสัตบุรุษมาร่วมพิธีมากที่สุด ซึ่งใบลานที่เสกแล้วนี้ คริสตชนจะนำเก็บกลับไปไว้ที่บ้านเพื่อระลึกถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้า (ถือเป็น "สิ่งคล้ายศีล" มิใช่เครื่องรางของขลังที่จะบันดาลความศักดิ์สิทธิ์) แล้วนำกลับมาให้ทางวัดก่อนวันพุธรับเถ้าในปีถัดไป เพื่อนำไปเผา และใช้เป็นเถ้าสำหรับโปรยศีรษะในวันพุธรับเถ้านั่นเอง นอกจากนี้ ในภาควจนพิธีกรรม จะต้องเป็นการอ่านพระทรมาน ซึ่งต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยมีคนอ่าน 3 คน ตามธรรมเนียม ซึ่งควรเป็นสังฆานุกรหรือพระสงฆ์ หรืออาจเป็นฆราวาสด้วยตามความเหมาะสม แต่ในส่วนของพระคริสตเจ้า ต้องเป็นพระสงฆ์อ่านเท่านั้น ในการอ่านพระทรมาน ไม่ต้องถือเทียนหรือใช้กำยาน และไม่ต้องทำเครื่องหมายกางเขน (ที่หนังสือและที่ตัว) สังฆานุกรที่อ่านต้องขอพรจากพระสงฆ์ก่อนอ่านตามปกติ และต้องการพระทรมาน ทั้งหมด หลังการอ่าน ต้องมีการเทศน์ด้วย
กล่าวโดยสรุปว่า พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าในสัปดาห์สุดท้ายของพระองค์เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ วันที่ชาวยิวต้องการให้พระเยซูเจ้าเป็นกษัตริย์ฝ่ายอาณาจักร ที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาจากอำนาจของชาวโรมัน ซึ่งไม่ใช่กษัตริย์ฝ่ายจิตใจตามแบบของพระเยซูเจ้า ที่พวกเขายังไม่เข้าใจ
ในวันจันทร์ - อังคาร - พุธ ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่มีพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษจนกระทั่งถึงวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธ์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของ "ตรีวารปัสกา"
พุธรับเถ้าผ่านไปแล้ว 1/3/2006Earth-shakE เขียน: ตรงกับวันที่เท่าไรค่ะ
ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ 14/4/2006
-
- โพสต์: 131
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 29, 2005 8:27 am
สรุปว่าวันที่ 14/4/2006 เราจะต้องอดเนื้อและอดอาหารกันอีก 1 ครั้งใช่ป่าวค่ะ ???
ไม่เข้าใจค่ะ พึ่งเริ่มศึกษา เรื่องศาสนพิธียังไม่ค่อยเข้าใจ ต้องขอคำชั้แนะด้วยค่ะ
- ตกลงอดอาหารในช่วงเทศการมหาพรต หรือ ปัสกากันแน่ค่ะ
- ในปีนี้ 2006 เทศการหมาพรต และ เทศกาลปัสกา เริ่มวันไหน และจบวันไหนค่ะ
- ปัสกาทำอะไรกันบ้างค่ะ
- วิธีการอดเนื้อ และ อดอาหาร (อดทั้งวันเลยหรอค่ะ) ต้องทำไง วันไหนบ้าง
- ว่าแต่ อาทิตย์ ที่ 9 เมษา นี้ จะเป็นเทศกาลอะไรแน่ค่ะ และจะมีพิธีกรรมพิเศษอะไรที่โบสถ์หรือป่าว (พอดีอาทิตย์ไม่ได้ไปโบสถ์เพราะ ต้องไปมอบตัวเรียนต่อที่ รร นะค่ะ)
- วันฉลองพระเมตตา ตรงกับวันที่เท่าไรค่ะ ในปีนี้ ...
ช่วยบอกทีค่ะ ยังไม่ค่อยรู้จริง ๆ
- ตกลงอดอาหารในช่วงเทศการมหาพรต หรือ ปัสกากันแน่ค่ะ
- ในปีนี้ 2006 เทศการหมาพรต และ เทศกาลปัสกา เริ่มวันไหน และจบวันไหนค่ะ
- ปัสกาทำอะไรกันบ้างค่ะ
- วิธีการอดเนื้อ และ อดอาหาร (อดทั้งวันเลยหรอค่ะ) ต้องทำไง วันไหนบ้าง
- ว่าแต่ อาทิตย์ ที่ 9 เมษา นี้ จะเป็นเทศกาลอะไรแน่ค่ะ และจะมีพิธีกรรมพิเศษอะไรที่โบสถ์หรือป่าว (พอดีอาทิตย์ไม่ได้ไปโบสถ์เพราะ ต้องไปมอบตัวเรียนต่อที่ รร นะค่ะ)
- วันฉลองพระเมตตา ตรงกับวันที่เท่าไรค่ะ ในปีนี้ ...
ช่วยบอกทีค่ะ ยังไม่ค่อยรู้จริง ๆ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
หาซื้อได้ที่วัดมหาไถ่ หรือ อัสสัม คะ
ขอความกรุณาตอบคำถามเหล่านี้หน่อยนะค้าาาา ...Tawan เขียน: ไม่เข้าใจค่ะ พึ่งเริ่มศึกษา เรื่องศาสนพิธียังไม่ค่อยเข้าใจ ต้องขอคำชั้แนะด้วยค่ะ
- ตกลงอดอาหารในช่วงเทศการมหาพรต หรือ ปัสกากันแน่ค่ะ
- ในปีนี้ 2006 เทศการหมาพรต และ เทศกาลปัสกา เริ่มวันไหน และจบวันไหนค่ะ
- ปัสกาทำอะไรกันบ้างค่ะ
- วิธีการอดเนื้อ และ อดอาหาร (อดทั้งวันเลยหรอค่ะ) ต้องทำไง วันไหนบ้าง
- ว่าแต่ อาทิตย์ ที่ 9 เมษา นี้ จะเป็นเทศกาลอะไรแน่ค่ะ และจะมีพิธีกรรมพิเศษอะไรที่โบสถ์หรือป่าว (พอดีอาทิตย์ไม่ได้ไปโบสถ์เพราะ ต้องไปมอบตัวเรียนต่อที่ รร นะค่ะ)
- วันฉลองพระเมตตา ตรงกับวันที่เท่าไรค่ะ ในปีนี้ ...
ช่วยบอกทีค่ะ ยังไม่ค่อยรู้จริง ๆ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
อดอาหารวันพุธรับเถ้าและวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์Tawan เขียน: - ตกลงอดอาหารในช่วงเทศการมหาพรต หรือ ปัสกากันแน่ค่ะ
ซึ่งวันพุธรับเถ้าคือวันแรกที่เข้าสู่เทศกาลมหาพรต
และวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังอยู่ในเทศกาลมหาพรตครับ
เทศกาลมหาพรตเริ่มวันพุธรับเถ้าครับ จบลงวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์Tawan เขียน: - ในปีนี้ 2006 เทศการหมาพรต และ เทศกาลปัสกา เริ่มวันไหน และจบวันไหนค่ะ
เทศกาลปัสกาเริ่มวันอาทิตย์ปัสกาจนถึงวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ครับ
ปกติครับTawan เขียน: - ปัสกาทำอะไรกันบ้างค่ะ
อายุ 14-18 ปีอดเนื้อสัตว์บกทุกชนิดครับTawan เขียน: - วิธีการอดเนื้อ และ อดอาหาร (อดทั้งวันเลยหรอค่ะ) ต้องทำไง วันไหนบ้าง
อายุ 18 ปีขึ้นไปจนถึง 59 ปี ต้องอดเนื้อและอดอาหารครับ
อดอาหาร หมายถึง ทานอิ่มได้เพียงมื้อเดียวครับ
วันที่ 9 เมษายน 2006 เป็นวันอาทิตย์แห่ใบลานครับTawan เขียน: - ว่าแต่ อาทิตย์ ที่ 9 เมษา นี้ จะเป็นเทศกาลอะไรแน่ค่ะ และจะมีพิธีกรรมพิเศษอะไรที่โบสถ์หรือป่าว (พอดีอาทิตย์ไม่ได้ไปโบสถ์เพราะ ต้องไปมอบตัวเรียนต่อที่ รร นะค่ะ)
เป็นการระลึกถึงการเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกตรึงกางเขนครับ
วันนั้นจะมีการแห่ใบลานครับ
ปล.ถ้าไม่ได้ไปโบสถ์วันอาทิตย์ เราสามารถที่จะเข้ามิสซาวันเสาร์เย็นแทนได้นะครับ
แต่อย่าขาดวัดนะครับ
23 เมษายน 2006 ครับTawan เขียน: - วันฉลองพระเมตตา ตรงกับวันที่เท่าไรค่ะ ในปีนี้ ...
ขอบคุณที่ให้คำตอบค่ะ ;D
ปล.เหตุด้วยที่บ้านเป็นพุทธ ดังนั้น จึงอนุญาติให้ไปวัดได้ในวันอาทิตย์เท่านั้นค่ะ :'( เนื่องจากเป็นเวลาเช้า แต่ด้วยวันเสาร์เป็นตอนเย็น คงไม่มีโอกาสแน่นอน เพราะ ไปคนเดียวไม่มีคนไปส่ง และ วัดก็อยู่ไกลจากบ้านมาก ๆ คือ ประมาณ 45 กิโลเมตรได้ค่ะ :'( ทำไงดี ๆ
;D แต่ณัฐคิดว่าพระบิดาคงรู้และเข้าใจ...
ปล.เหตุด้วยที่บ้านเป็นพุทธ ดังนั้น จึงอนุญาติให้ไปวัดได้ในวันอาทิตย์เท่านั้นค่ะ :'( เนื่องจากเป็นเวลาเช้า แต่ด้วยวันเสาร์เป็นตอนเย็น คงไม่มีโอกาสแน่นอน เพราะ ไปคนเดียวไม่มีคนไปส่ง และ วัดก็อยู่ไกลจากบ้านมาก ๆ คือ ประมาณ 45 กิโลเมตรได้ค่ะ :'( ทำไงดี ๆ
;D แต่ณัฐคิดว่าพระบิดาคงรู้และเข้าใจ...
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
TheGrace เขียน: ที่บอกว่า สำหรับผู้ใหญ่ให้อดอาหารเหลือหนึ่งมื้อน่ะครับ
อยากเรียนสอบถามว่า ให้เราเลือกว่าเราจะทานมื้อไหนก็ได้หรือครับ
;) ใช่จ๊ะ อิ่มเพียงมื้อเดียว มื้อไหนก็ได้ แต่การพลีกรรมอาจจะมีมากกว่าการอดอหารแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้นะคะ เช่น การสวดภาวนา การเยี่ยมผู้ป่วย การเดินรูป 14 ภาค ฯลฯ
-
- โพสต์: 131
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 29, 2005 8:27 am
ใช่ค่ะTheGrace เขียน: ที่บอกว่า สำหรับผู้ใหญ่ให้อดอาหารเหลือหนึ่งมื้อน่ะครับ
อยากเรียนสอบถามว่า ให้เราเลือกว่าเราจะทานมื้อไหนก็ได้หรือครับ
อายุ 18 ปีขึ้นไปจนถึง 59 ปี ต้องอดเนื้อและอดอาหารครับ
อดอาหาร หมายถึง ทานอิ่มได้เพียงมื้อเดียวครับ
ขยายความเพิ่มกินอิ่มเพียงมื้อเดียวมื้อใดมื้อหนึ่งใน3มื้อโดยงดเนื้อสัตว์บกทุกชนิด
อดอาหาร หมายถึง ทานอิ่มได้เพียงมื้อเดียวครับ
ขยายความเพิ่มกินอิ่มเพียงมื้อเดียวมื้อใดมื้อหนึ่งใน3มื้อโดยงดเนื้อสัตว์บกทุกชนิด