คุณเชื่อไบเบิลได้ไหม?

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 4:23 pm

วิลเลี่ยม แรมเซ ไม่ได้นั่งพิสูจน์ความถูกต้องของไบเบิล ความจริงผู้สำเร็จการศึกษาจาก มหาวิทยาลัย อ๊อคฟอร์ด และเพื่อนนักวิชาการได้นั่งเรือจากประเทศอังกฤษไปยังเอเซียไมเนอร์ ในปี 1879 เนื่องจากเชื่อว่า พื้นฐานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของเขา ในพันธสัญญาใหม่ และโดยเฉพาะ หนังสือกิจการ เต็มไปด้วยเรื่องหลอกลวง เหนืออื่นใด ศาสตราจารย์ของเขา ได้สอนเขาว่าไบเบิลถูกเขียนขึ้นมาทีหลังกว่าที่ระบุไว้ ดังนั้นเรื่องของไบเบิล จึงถูกสร้างขึ้นภายหลังและไม่ควรจริงจัง

งานของเขาเน้นที่วัฒนธรรมโรมันโบราณ แต่ยิ่งค้นคว้าทั้งในข้อเขียนและสิ่งที่ปรากฏหลักฐานเป็นรูปร่าง เขาก็ยิ่งได้พบว่ามีรายละเอียดย่อยๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในหนังสือกิจการ-ไม่ว่าจะเป็นสถานที่,สภาพภูมิศาสตร์,ชื่อเจ้าหน้าที่,ขอบเขตการบริหาร,ธรรมเนียมและแม้แต่สถานที่เฉพาะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 7:44 pm

รออ่านอยู่คะ *ok
ภาพประจำตัวสมาชิก
Champkun
โพสต์: 570
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 10:35 pm
ที่อยู่: Bkk
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 11:07 pm

แง่วๆๆๆ
รออ่านต่อเช่นกันงับ
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ ม.ค. 21, 2005 9:20 am

ขอบคุณคุณLA จากอิสระ หรือLL, คุณChampkun และคนอื่นๆที่มาอ่าน
บทความนี้จะค้นมาเขียนให้อ่านเป็นตอนๆ ให้อ่านกัน ยาวบ้างสั้นบ้าง ตามแต่เวลาอำนวย
-----------------------------------------
ตรงกันข้ามกับ การศึกษาของเขาก่อนหน้านี้ทั้งหมด เขาจำต้องสรุปว่า ลูกาเป็นผู้เขียนกิจการ , เป็น"นักประวัติศาสตร์ ในลำดับแรกๆ " และว่า " ไม่เพียงแต่ข้อเขียนของเขาที่เชื่อถือได้ , ในความเป็นจริง เขายังมีความพินิจพิเคราะห์เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง......ผู้ประพันธ์คนนี้ควรอยู่ในตำแหน่งนักประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

ในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่โดดเด่นของแรมเซ ที่ได้รับปริญญาเอกดุษดีบัณฑิตจาก ๙ มหาวิทยาลัยและความซื่อสัตย์อย่างสม่ำเสมอของเขาในการสนับสนุนทุนการศึกษาสมัยใหม่ เขาสั่นคลอนโลกการศึกษา เมื่อหนังสือของเขาเล่มหนึ่งประกาศเช่นนั้น . เพราะหลักฐานที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ที่เขาค้นพบ ในเรื่องความเป็นจริงของไบเบิล เขามาเป็นคริสเตียน งานเขียนหลายชิ้นของเขาเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิมได้รับการยอมรับถึงความคลาสสิค
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ ม.ค. 21, 2005 9:21 am

เมื่อพบกับหลักฐานจากการเดินทางและศึกษาเป็นเวลาหลายปี เซอร์ วิลเลียม แรมเซ ได้ศึกษาหลักฐานจำนวนมากมายที่เขาได้พบ และนับแต่ได้รับอิทธิพลจากความรู้ต่างๆ : เมื่อเราตั้งเป้าหมายตรวจสอบหลักฐานความเป็นจริงและแม่นยำของไบเบิล ข้อสรุปเดียวเท่านั้น ที่เราสามารถได้รับ ก็คือว่าไบเบิลเป็นความจริง

หลักฐานจากโบราณคดี เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง เรื่องความถูกต้องของจารึกและนั่นคือใจความสำคัญของบทความตอนนี้ เราเสนอให้คุณสุ่มหลักฐานที่หามาได้-เอกสารกำลังแสดงว่า รายละเอียดของผู้คน ,สถานที่และเหตุการณ์ที่บรรยายในไบเบิล จำนวนมากมายที่ได้รับการกล่าวถึง เพียงผ่านๆ ก็ได้รับการพิสูจน์จากนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี

หนังสือที่ยอดเยี่ยมหลายเล่มที่พิมพ์ขึ้น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พิสูจน์ความเป็นจริง ที่สามารถไว้ใจได้ของจารึกและไม่สงสัยอีกต่อไปถึงสิ่งที่เป็นการค้นพบใหม่ ที่จะตามมาเพิ่มยิ่งขึ้น
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ ม.ค. 21, 2005 9:21 am

สิ่งนี้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ หลักฐานทั้งมวลไม่ดีกับเราถ้าเราไม่เต็มใจ ที่จะเชื่อถือไบเบิล ที่จะให้เป็นที่ทดสอบในตอนท้าย-นั่นคือการทำในสิ่งที่บอกเราให้ทำ

ยาโกโบ เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาของพระเยซู เตือนเราว่าเพียงความเชื่อยังไม่พอ เพราะว่าเมื่อเราแสดงความเชื่อ เขา บอกเราว่าเราจำต้องเปลี่ยนความเชื่อเป็นการกระทำ ถ้าเราจะให้เป็นที่ยินดีแก่พระองค์(ยาโกโบ๒ ข้อ๑๙-๒๖)

เราเสนอบทความดังเช่นเรื่องนี้ ที่ช่วยสร้างความศรัทธาของคุณ แต่จงแน่ใจว่า คุณจะไม่ทอดทิ้งบทความที่แสดงให้คุณทราบถึงวิธีการวางความครัทธาของคุณและความเชื่อเป็นการกระทำ ที่พระเจ้าสนพระทัย ที่จะดูว่าคุณตอบสนองต่อความจริงอย่างไร พระองค์รู้จักคุณ ในที่สุดนั่นคือการทดสอบที่สำคัญยิ่งกว่า
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ ม.ค. 21, 2005 9:26 am

โบราณคดี ยืนยันบันทึกส่วนที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์อย่างไร

พระเยซูกล่าวว่า"เราบอกท่านว่า ถ้าสิ่งนี้เงียบ หินอาจร้องในทันที" (ลูกา๑๙ ข้อ๔๐) พระองค์หมายความถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น ถ้าสาวกของพระองค์ไม่กล่าวเป็นพยานถึงพระองค์

สาวกสมัยแรกๆ ไม่ได้รวมตัวกัน เพื่อแสดงเรื่องราวประจักษ์พยานของพวกเขาเรื่องพระเยซูคริสต์ แต่เราได้รับการดลใจจากพระคำของพระองค์ ซึ่งพวกเขาได้ทำพร้อมๆกันคือการเขียน

ที่เห็นชัดเจนเป็นพิเศษเพียงพอคือ, เรายังมีการเป็นพยานของหิน ที่เป็นพยานได้จริงถึงความจริงและการดลใจของพระคำของพระเจ้า หลักฐานทางวัตถุต่างๆ ที่ถูกขุดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน สามารถพูดกับเราผ่านโบราณคดีเกี่ยวกับพระคัมภีร์

คำว่า Archae มาจากภาษากรีก หมายถึง"โบราณ" และ ology ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า logia หมายถึง"ศาสตร์" ดังนั้นโบราณคดีหมายถึงศาสตร์การศึกษาถึงสิ่งโบราณ

การเริ่มต้นการขุดค้นของโบราณคดี

พรินเดอร์ เพทรี่ ชาวอังกฤษ ได้รับการกล่าวขวัญถึงความเป็นผู้ที่กำหนดวิธีการทางโบราณคดี ให้มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการยอมรับจากการเปลี่ยนโบราณคดี จากการล่าสมบัติเข้าสู่การศึกษาวิจัยอย่างมีระเบียบเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับอดีต

จนกระทั่งปีศต.ที่๑๙ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้อย่างแข็งขันในการขุดค้นสถานที่ทางประวัติศาสตร์

ความจริงทางประวัติศาสตร์ ที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือว่า บุคคลที่สนับสนุนโดยอ้อมกับกระบวนการนี้ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นจักรพรรดิชาวฝรั่งเศสและผู้พิชิต นโปเลียน โบนาปาส ระหว่างชัยชนะยุโรปและตะวันออกกลาง นโปเลียนมาถึงอียิปต์ในปลายศต.ที่๑๗๐๐ ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างคลองสุเอชและลดเส้นทางการค้าจากฝรั่งเศสไปอินเดีย ให้มากที่สุด

ในประเทศอียิปต์ ก่อนการสู้รบในบริเวณใกล้เคียงปิรามิดกีเซห์อันมีชื่อเสียง พระองค์บอกทหารของพระองค์ว่า "สี่สิบศต.กำลังดูถูกคุณจากปิรามิดแห่งนี้"

ด้วยจิตใจอยากรู้อยากเห็นของเขา ทำให้เขาศึกษาวัฒนธรรมอียิปต์และพยายามถอดความหมายภาพวาดแปลกๆ ที่เขาเห็นในอนุสาวรีย์โบราณ ด้วยวัตถุประสงค์นั้น เขานำนักวิชาการและนักค้นคว้าชาวฝรั่งเศสจำนวน ๑๗๕ คน และพร้อมๆกับที่พวกเขาก่อตั้งสถาบันในอียิปต์เพื่อศึกษางานเขียนและสถานที่โบราณของพื้นที่

การถอดความหมายของอักษาฮีโรกลิฟฟิคโบราณ (คำที่หมายถึงงานเขียนของพระหรืองานเขียนศักดิ์สิทธิ์) ส่วนใหญ่สามารถช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์เยาว์วัยในสมัยนั้น มาจาก จาร์ค ฟรานโคอิส แชมโพลเลียน การแปลความหมายที่ถูกต้อง ทำให้มีความเป็นไปได้อย่างกว้างขวาง จากการค้นพบหินภูเขาไฟสีดำขนาดใหญ่ ในปี๑๗๙๙ โดยทหารฝรั่งเศสที่เมืองโรเซสต้า ต่อมารู้จักกันในชื่อหินโรเซสต้า มีการจารึกภาษา จำนวน ๓ภาษา คือแบบอักษรฮีโรกลิฟฟิคเก่า,อักษรเดโมติก (ต่อมาเป็นรูปแบบของอักษรฮีโรกลิฟฟิคของชาวอียิปต์อย่างง่าย) และกรีก

ด้วยหินก้อนนี้ เป็นกุญแจเบิกทาง, ในปี ๑๘๒๒ แชมโพลเลียน สามารถถอดคำแปลอักษรฮีโรกลิฟฟิคโบราณได้ในที่สุด

การถอดควมอักษรฮีโรกลิฟฟิคอียิปต์ ทำให้วัฒนธรรมของฟาโรห์ปรากฏขึ้น และทำให้ชนชั้นผู้มีการศึกษาของยุโรปได้รับความสำเร็จในเรื่องที่น่าประหลาดใจนี้ ในไม่ช้า นักโบราณคดีสมัครเล่นต่างสร้างหนทางไปสู่ชื่อเสียงและเสี่ยงโชค ค้นพบอนุสาวรีย์ที่สร้างสรรค์ขึ้นและสมบัติมีค่าอื่นๆ พิพิธภัณฑ์ทั่วทวีปยุโรปและอเมริกาแข่งขันกับอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อสะสมการค้นพบที่แปลกนี้

อุโมงค์เก็บสมบัติแห่งตุตังคาเมนถูกค้นพบในปี ๑๙๒๒ เป็นหนึ่งของการค้นพบที่น่าดูที่สุดแห่งหนึ่งนักโบราณคดียุคแรกหลายคนได้รับเกียรติจากความพยายามของพวกเขาและอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ตามสิทธิของพวกเขา


(ยังมีต่อ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ot@
~@
โพสต์: 989
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:44 pm

ศุกร์ ม.ค. 21, 2005 6:42 pm

รออ่านอยู่นะครับ

ขอบคุณที่เอาบทความดีๆมาลงที่นี่ด้วยฮะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
โกจ๋อ
.
.
โพสต์: 1048
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:37 pm

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 10:30 am

ไม่เข้าใจหลายๆอย่างอะคับ
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:37 pm

(ต่อ)
การถอดความงานเขียนโบราณ

ไม่ว่าดินแดนใด งานเขียนแปลกๆบนสถานที่ก่อสร้างทางประวัติศาสตร์และวัตถุอื่นๆคอยการแปลความหมาย

การจารึกอย่างกระตือรือร้น,คล้ายๆรอยเท้านก พบในแผ่นดินเหนียวหลายแผ่น, เริ่มแรก นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าเป็นการตกแต่ง แทนที่จะเป็นการเขียน เนื่องจากเครื่อง

หมายที่ปรากฎถูก ทำด้วยลิ่มคมในดินเหนียวนุ่มๆ ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าคิวนิฟอร์ม หรือรูปแบบของอักษร ที่ทำจาก cunei มาจากภาษาลาตินว่า wedges แปลว่า" ลิ่ม"

การยอมรับการถอดความ อักษรคิวนิฟอร์ม อาจให้กับตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ , เฮนรี ซี. โรลินสัน ที่ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ประเทศเปอร์เซีย เขาเริ่มต้นศึกษางานเขียนคิวนิฟอร์ม ที่

พบบนจารึกแผ่นหินเบฮิสตันอย่างเป็นระบบ, บางทีรู้จักกันในชื่อ"หินคิวนิฟอร์มแห่งโรเซสต้า"

หลายพันปีก่อนหน้านี้ ดาริอุส กษัตริย์เปอร์เซียผู้ยิ่งใหญ่ จารึกเรื่องราวการกระทำที่กล้าหาญของพระองค์ ไว้บนหน้าผาสูง๑๗๐๐ ฟุต ที่มองเห็นได้แต่ไกล จารึกปรากฏเป็น

อักษร ๓ ภาษาคือเปอร์เซีย,เอลาไมท์ และบาบิโลนเนีย แบบอักษรคิวนิฟอร์ม

ในช่วงเวลา ๒ ปี โรลินสัน เดินทางไปยังสถานที่ และปีนป่ายไปบนหน้าผาอย่างน่ากลัว เขาห้วยตัวไว้ด้วยเชือกขณะทำการคัดลอกจารึกด้วยความลำบาก ในปี ๑๘๔๗ เขาได้ถอดความหมายอักษรคิวนิฟอร์ม เปิดความเข้าใจในวัฒนธรรมบาบิโลนและประวัติศาสตร์แก่ชาวโลก ด้วยความพยายามของเขา โรลินสัน ได้รับเครื่องราชอิสรยาภรณ์ชั้นอัศวิน จากควีนอลิซาเบทในปี๑๘๕๕
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:38 pm

(ต่อ)
การถอดความงานเขียนโบราณ

ไม่ว่าดินแดนใด งานเขียนแปลกๆบนสถานที่ก่อสร้างทางประวัติศาสตร์และวัตถุอื่นๆคอยการแปลความหมาย

การจารึกอย่างกระตือรือร้น,คล้ายๆรอยเท้านก พบในแผ่นดินเหนียวหลายแผ่น, เริ่มแรก นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าเป็นการตกแต่ง แทนที่จะเป็นการเขียน เนื่องจากเครื่อง

หมายที่ปรากฎถูก ทำด้วยลิ่มคมในดินเหนียวนุ่มๆ ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าคิวนิฟอร์ม หรือรูปแบบของอักษร ที่ทำจาก cunei มาจากภาษาลาตินว่า wedges แปลว่า" ลิ่ม"

การยอมรับการถอดความ อักษรคิวนิฟอร์ม อาจให้กับตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ , เฮนรี ซี. โรลินสัน ที่ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ประเทศเปอร์เซีย เขาเริ่มต้นศึกษางานเขียนคิวนิฟอร์ม ที่

พบบนจารึกแผ่นหินเบฮิสตันอย่างเป็นระบบ, บางทีรู้จักกันในชื่อ"หินคิวนิฟอร์มแห่งโรเซสต้า"

หลายพันปีก่อนหน้านี้ ดาริอุส กษัตริย์เปอร์เซียผู้ยิ่งใหญ่ จารึกเรื่องราวการกระทำที่กล้าหาญของพระองค์ ไว้บนหน้าผาสูง๑๗๐๐ ฟุต ที่มองเห็นได้แต่ไกล จารึกปรากฏเป็น

อักษร ๓ ภาษาคือเปอร์เซีย,เอลาไมท์ และบาบิโลนเนีย แบบอักษรคิวนิฟอร์ม

ในช่วงเวลา ๒ ปี โรลินสัน เดินทางไปยังสถานที่ และปีนป่ายไปบนหน้าผาอย่างน่ากลัว เขาห้วยตัวไว้ด้วยเชือกขณะทำการคัดลอกจารึกด้วยความลำบาก ในปี ๑๘๔๗ เขาได้ถอดความหมายอักษรคิวนิฟอร์ม เปิดความเข้าใจในวัฒนธรรมบาบิโลนและประวัติศาสตร์แก่ชาวโลก ด้วยความพยายามของเขา โรลินสัน ได้รับเครื่องราชอิสรยาภรณ์ชั้นอัศวิน จากควีนอลิซาเบทในปี๑๘๕๕
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:40 pm

การขุดค้นเมืองที่ถูกลืม

หนุ่มชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งชื่อ ออสเตน เฮนรี เลยาร์ด ได้รับแรงดลใจจากการค้นพบและชื่อเสียงที่คนอื่นได้รับ เช่น แซมพูลเลียนและโรลินสัน , เลยาร์ด เริ่มขุดค้นเมืองในประเทศ อิรัก ที่ตั้งของอาณาจักรแอสซีเรียนและบาบิโลนเนียนเมื่อหลายพันปีก่อน เขาขุดค้นเมืองใหญ่หลายเมืองที่กล่าวไว้ในไบเบิล รวมทั้งเมืองหลวงแอสซีเรียนโบราณ คือเมือง เนนีเวีย และคาลาส หลายอย่างที่เขาค้นพบ รวมทั้งวัวมีปีกและสิ่งประดิษฐ์ของชาวบิบาโลเนียและแอสซีเรียสำคัญๆ ทำให้สิ่งที่ค้นพบเดินทางไปพิพิทภัณฑ์ในอังกฤษ เขาได้รับเครื่องราชอิสรยาภรณ์จากควีนวิคตอเรียเช่นกัน

ไม่เพียงแต่ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสเท่านั้น นักโบราณคดีชาวเยอรมัน ยังเริ่มการค้นหาเพื่อชื่อเสียงและความร่ำรวย นักสำรวจคนหนึ่ง นาย Heinrich Schliemann เริ่มสืบค้นตำนานแห่งเมืองทรอย ตามการพรรณาของกวีชาวกรีก ด้วยความเชื่อว่าตำนานการบอกเล่าเรื่องของโฮเมอร์ เป็นจินตนาการบริสุทธิ์ ความพยายามของ Schliemann เป็นที่ขบขันในสมัยนั้น คิดว่าเขาเป็นนักค้นคว้าที่ประหลาด แต่ก็ไม่น่าเชื่อ ด้วยความสนใจตามที่พรรณาในอีเลียดของโฮเมอร์และนักเขียนชาวกรีกอื่นๆ Schliemannเริ่มขุนค้นปี ๑๘๗๑ เขาพบซากที่หลงเหลือของเมืองทรอยโบราณ สิ่งที่ตามรอยเท้านักผจญภัยผู้กล้านี้ คือนักโบราณคดีที่อดทนที่ทำการศึกษาและแยกแยะการค้นพบเหล่านี้ในแบบเป็นระบบ ก่อกำเนิดวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในงานโบราณคดี
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:42 pm

ยุคแห่งความสงสัย

โชคไม่ดี ความกระตือรือร้นเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของนักโบราณคดีสมัยแรกๆ ยังนำไปสู่การประกาศไม่พบสถานที่ตามพระคัมภีร์ ตัวอย่างของการประกาศ นี้ ก็เช่น มีการขุดค้นพบที่เก็บสมบัติของโซโลมอน และที่ฝังศพกษัตริย์ดาวิด ที่ต่อมาได้รับการพิสูจน์ว่าไม่จริง เมล็ดพืชแห่งความสงสัยเริ่มเพาะขึ้นในเรื่องของความถูกต้องของเรื่องราวทางพระคัมภีร์

ผู้รับมรดกแห่งความสงสัยเมื่อร้อยปีก่อนหน้านี้ ในศต.ที่๒๐ ชาร์ล ดาร์วิล และคนอื่นๆ สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ กำหนดข้อสมมติฐานอธิบายเรื่องการเริ่มต้นและพัฒนาของสิ่งมีชีวิตแยกออกจากเรื่องพระผู้สร้าง ความเห็นเช่นนั้นเผชิญกับคำถามเรื่องประวัติศาสตร์ของไบเบิล

ที่เข้มแข็งขึ้นในยุโรปคือกำเนิดความคิดของคาร์ล มาร์ก ผู้ที่ในการตีความหมายประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ ,คณิตศาสตร์ ไม่สนใจเรื่องพระเจ้าและความอัศจรรย์ นักวิชาการ หลายคนขบขันเรื่องราวทางพระคัมภีร์ว่าเป็นเพียงตำนาน ไบเบิลกลายเป็นเกมส์ที่ยุติธรรมสำหรับการวิพากษ์ วิจารณ์ในระดับสูง การต่อสู้ ฟ้องร้องกันอย่างหนักระหว่างผู้เชื่อในการดลใจและความถูกต้องของไบเบิลกับผู้เยาะเย้ย

นักวิชาการทางพระคัมภีร์และเทววิทยาปัจจุบันประกาศว่าไบเบิลเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ใหม่กว่า ที่ได้บอกไว้ บางคนโต้แย้งคนในพระคัมภีร์เดิม ว่ายังไม่รู้วิธีการเขียนหรืออ่าน นักวิชาการบางคนสรุปว่า พระคัมภีร์เดิมเหนือกว่าตำนานเล็กน้อย

นักเขียนนอรแมน กิสเลอร์ และพอล ฟินเบอร์ ตั้งข้อสังเกตุว่า"บางทีตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนที่ยึดถือความคิดเรื่องเหตุผลอยู่เหนือการเปิดเผย "มีความคิดที่รู้จักกันในชื่อ เสรีนิยม หรือการวิจารณ์ที่สูงกว่า กล่าวคร่าวๆได้ว่า นี่หมายถึงการเคลื่อนไหวทางเทววิทยาที่เริ่มต้นจากยุโรปในศต.ที่ ๑๗และ๑๘ โดยได้รับอิทธิพลจากสปินโนซ่า,คาร์ลและเฮเกล ผู้ที่ สรุปจากเหตุผลของมนุษย์ว่าบางส่วนของไบเบิลและทั้งหมดไม่ได้รับการเปิดเผยของพระเจ้า นักวิชาการชั้นสูงที่เป็นผู้สรุปเช่นนี้ เช่น Jean Astruc(๑๖๘๔-๑๗๖๖)และจูเลียส เวลฮอเซนส์ (๑๘๔๔-๑๙๑๘)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:42 pm

"ตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์ ออธอด๊อกซ์มีความคิดว่า ไบเบิลเป็นคำของพระเจ้า ผู้เชื่อสายเสรีนิยม ว่าไบเบิลเป็นเพียงสิ่งที่บรรจุพระคำของพระเจ้า เมื่อพวกเขาดูจากการรวบรวม เหตุผลของมนุษย์ชาติหรือนักวิชาการสมัยใหม่ ที่มีต่อไบเบิล พวกเขารู้สึกว่าไบเบิลบางส่วนขัดแย้งกัน และส่วนอื่นๆก็เป็นเรื่องตำนานหรือนิทาน เรื่องของพระคัมภีร์เดิมบางส่วนถูกปฏิเสธ จากนักวิขาการเหล่านี้เพราะเหตุการณ์เหล่านั้น ดูเหมือน"ไร้ศีลธรรม"

การปฏิเสธการดลใจจากพระเจ้าในไบเบิล นักโบราณคดีจากสถาบันทางพระคัมภีร์สายเสรีนิยม ยอมให้พวกเขามีอิทธิพลเป็นเวลาหลายปีในความสงสัยทางเทววิทยา ไม่ว่าโดยสำนึกหรือไม่สำนึก พวกเขากลายเป็นคนมีอคติต่อเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเจ้าในไบเบิล
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:43 pm

สงสัยเรื่องการล่มสลายของเมืองเจริโค

ตัวอย่างความมีอคติระดับพื้นๆ เมื่อไม่นานมานี้ ในเรื่องวันล่มสลายของเมืองเจริโค ตามบันทึกทางพระคัมภรี เมืองเจริโค ถูกทำลายโดยชนอิสราเอล ภายใต้การปกครองของโยซูอะ

เมื่อพวกเขาเริ่มได้รับชัยชนะแผ่นดินแห่งพันธสัญญา อย่างไรก็ตาม การขุดค้นสถานที่ตั้งเมืองเจริโค นำไปสู่ความเด่นชัดที่สุด -นักโบราณคดีชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุด แคทลีน แคนยอน -ปฏิเสธข้อความตามพระคัมภีร์

ในนิตยสารไบบิคาล อาชีโอโลจี ริไวน์ นักโบราณคดี ไบอัน วูด อธิบายความคิดต่อต้านเรื่องตามพระคัมภีร์ก่อนหน้านั้นว่า "หลักฐานทางโบราณคดี ขัดแย้งกับเรื่องราวตามพระคัมภีร์ -ที่จริง, ตามข้อสรุปของแคนยอน (แคทลีน แคนยอน นักโบราณคดี ) เจริโคกลายเป็นตัวอย่างที่ตามมาของการเผชิญกับความยุ่งยาก ในความพยายามทำให้เกี่ยวพันกันระหว่างการค้นพบทางโบราณคดีกับเรื่องราวตามพระคัมภีร์ เกี่ยวกับเรื่องชัยชนะทางทหารในคานาอัน นักวิชาการจำนวนมากได้เขียนถึงบันทึกเรื่องราวตามพระคัมภีร์ว่าเป็น นิทานพื้นบ้านและวาทศิลป์ทางศาสนา และนี่เป็นเรื่องที่มีอยู่เมื่อ๒๕ ปีก่อน "
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:45 pm

การตรวจสอบหลักฐานใหม่อีกครั้ง

มีการประเมินคุณค่างานของแคนยอน ใหม่อีกครั้ง ที่แสดงว่า บทสรุปของเธอท้าทายเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ทางพระคัมภีร์ ว่าเป็นเรื่องน่าสงสัย ขณะที่ เรื่องตามพระคัมภีร์ ได้รับการหลักฐานสนับสนุนอย่างแข็งแรงที่สุด วูดมีข้อสังเกตุว่า "อย่างไรก็ตาม รายงานรายละเอียดการขุดค้นอย่างถี่ถ้วนและรายละเอียดการค้นพบของเธอ ไม่พาดพิง มาสู่งานวิเคราะห์ของเธอ เมื่อหลักฐานถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่มีอคติสำหรับความเห็นของเธอที่ว่า เมือง๔ (ระดับของเมืองที่สอดคล้องกับยุคสมัยของโยซูอะ )ถูกทำลายกลางศต.ที่๑๖ ก่อนค.ศ.

นิตยสารไทม์เพิ่มเติมดังต่อไปนี้

"เวลาผ่านไป๓๐ ปี มีมติเห็นด้วยกับบันทึกตามพระคัมภีร์ (ถึงเรื่องการล่มสลายของเมืองเจริโค) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ แคทลีน เคนยอน ให้ไว้ เมื่อปี๑๙๕๐ ว่าขณะที่เมืองอื่นๆ ถูกทำลายไปหมด ราวปี๑๕๕๐ก่อนค.ศ. ก่อนที่โฮซูอะมีบทบาทราว ๑๕๐ ปี แต่ไบอัน วูดบอกว่า แคนยอน ผิด โดยมีรากฐานจากการประเมินคุณค่างานของเธอใหม่ วูดบอกว่า กำแพงเมืองล่มลงในเวลาที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ......มันทำให้ดิฉันเชื่อว่าเรื่องราวตามพระคัมภีร์ถูกต้อง(นิตยสารไทม์ ฉบับ๕ มีนาคม ๑๙๙๐ หน้า๔๓)

และเมื่อเป็นเช่นนั้น ปัจจุบันการถกเถียงเกี่ยวกับความถูกต้องอขงไบเบิล ยังคงมีอย่างต่อเนื่องระหว่างนักโบราณคดีสายอนุรักษ์ และเสรีนิยม
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:46 pm

การค้นพบความเป็นจริงของเรื่องตามพระคัมภีร์

เมื่อศต.ที่๒๐ ผ่านไป การค้นพบความจริงบันทึกตามพระคัมภีร์ก็ปรากฏขึ้น ต้นศต.ที่๑๙๐๐ นักขุดค้นชาวเยอรมันภายใต้การนำของ โรเบิรต์ คอนดีวีย์ ได้เขียนแผนที่เมืองบาบิโลนโบราณและพบว่าสอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ชาวอียิปต์และวัฒนธรรมโดยทั่วไปสอดคล้องกับเรื่องราวตามพระคัมภีร์

ความขาดแคลน(หลักฐาน)ทางโบราณคดี ได้เปิดเผยหลักฐานของคนโบราณอื่นๆที่กล่าวไว้ในจารึก ตัวอย่างนั้นคืออาณาจักรฮิตไตต์ มีกล่าวไว้ในไบเบิลเท่านั้น ซึ่งไม่ได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์ทั้งหลายเนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องนิยายปรัมปรา ตามที่ กลีสัน อาร์เชอร์ กล่าวไว้ ที่อ้างไว้(ในไบเบิล) ถึงชนชาติฮิตไตต์ ถูกคิดว่าเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อและถูกประนามว่าเป็นเรื่องนิยายของผู้เขียนโตราในช่วงหลัง " นอกจากนั้น การขุดค้นในซีเรียและตุรกียังเผยให้เห็นว่าฮิตไตต์เคยเป็นชนชาติที่มีอำนาจ ด้วยอาณาจักรที่แผ่ขยายจากเอเชียไมเนอร์ไปยังส่วนหนึ่งของอิสราเอล

ที่สำคัญเช่นกันคือการค้นพบม้วนหนังสือทะเลตาย ที่เขียนเป็นภาษาฮีบรูโบราณ ม้วนหนังสือถูกพบในถ้ำใกล้ทะเลเดดซีในปี๑๙๔๗ บางส่วนที่ค้นพบเป็นหนังสือพระคัมภีร์เดิม ที่เขียนมากว่า๑๐๐ ปีก่อนสมัยพระคริสต์ อย่างไรก็ตาม ก็มีคำถามจากนักวิจารณ์สมัยแรกเกี่ยวกับความจริงของไบเบิล ที่สั่นคลอนความเชื่อของคนหลายคน
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:47 pm

เพิ่มมิติในความเข้าใจ

อินเตอร์เนชั่นแนล สแตนดาร์ด ไบเบิล เอ็นไซโครพีเดีย อธิบายว่า " นักวิชาการในศต.ที่๑๙ ผู้ที่เชื่อว่าอับราอัม อิสฮาค ยาโคบและบางทีแม้แต่โมเสส เป็นการสร้างจินตนาการ อย่างธรรมดาของผู้เขียนชาวอิสราเอลในสมัยหลัง แต่นักโบราณคดี ก็ได้ดึงบุคคลเหล่านี้เข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง เป็นผลให้นักวิชาการ เช่น ย(อห์น) ไบรท์ หลังจากอุทิศหนังสือจำนวน ๓๖หน้า กับเรื่องนี้ เขาเขียนว่า "ภาพของไบเบิลเรื่องการปกครองตามระบบอาวุโสสูงสุดหยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์".....สิ่งที่โบราณคดีให้หมายถึงเพื่อความเข้าใจ

หลายๆสถานการณ์ทางพระคัมภีร์(:)มันเพิ่มมิติของความเป็นจริงให้กับภาพที่มิฉะนั้น อาจเป็นสิ่งแปลกและบางทีไม่จริง และฉะนั้น มันให้องค์ประกอบของความเชื่อถือได้ ขณะที่คนที่เชื่อไม่ถามให้ขอให้มีการพิสูจน์ เขาต้องการรู้สึกว่าความเชื่อของเขาสามารถสมเหตุสมผลได้ และไม่ใช่เรื่องเพื่อความบันเทิง โดยทางโบราณคดี ที่ตอบสนองเขาด้วยสิ่งที่ยังหลงเหลือทางวัตถุ จากเวลาและสถานที่ตามพระคัมภีร์ และโดยการตีความข้อมูลเหล่านี้ ให้เรื่องของความจริง จากเรื่องราวตามพระคัมภีร์และคามสมเหตุสมผลได้สำหรับความเชื่อตามพระคัมภีร์

การค้นพบทางโบราณคดีในอียิปต์และอิรัค เป็นที่มีคุณค่า ในการยืนยันเรื่องราวตามพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานจำนวนมากยังอยู่ภายใต้รูปร่างที่ปรากฏภายนอก ดินแดนจำนวนมากของอาณาจักรอิสราเอลตามพระคัมภีร์และยูดา ยังคงได้รับการสำรวจตามวิธีการทางโบราณคดี

จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่๑ เมื่อพื้นที่บางแห่งอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษ ทำให้การสำรวจทางวิทยาศาสตร์และการขุดค้นเริ่มต้นขึ้นและต่อเนื่อง หลังจากการประกาศบัลโฟร์ในปี๑๙๑๗ ชาวยิวเริ่มมาถึงดินแดนปาเลสไตน์; อังกฤษ,อเมริกาและชาติอื่นๆร่วมกับชาวยิวขุดค้นแผ่นดินบรรพบุรุษของพวกเขา ทุกวันนี้ มีการขุดค้นจำนวน ๓๐๐ แห่งในอิสราเอล สำหรับขนาดของพื้นที่ที่ยาว๒๐๐ ไมล์ กว้าง ๖๐ ไมล์เท่านั้น
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

เสาร์ ม.ค. 22, 2005 12:49 pm

โบราณคดีทำให้มีผู้เชื่อ

หลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากมายที่สนับสนุนไบเบิลสามารถเสริมความเชื่อและในบางกรณีมันช่วยเหลืออย่างมากให้การก่อให้เกิดความเชื่อ ในขณะที่ไม่มีมาก่อน

ตัวอย่างของหลักฐานทางวัตถุที่สร้างความเชื่อกับ ชีวิตของคนหนึ่ง ชาวอังกฤษ วิลเลียม เอ็ม.แรมเซ(ปี๑๘๕๑-๑๙๓๙) เขากำเนิดในครอบครัว ที่มีทุกอย่างพร้อม แรมเซได้รับการเลี้ยง ดูอย่างดีจากบิดามารดาของเขาที่ไม่เชื่อพระเจ้า.เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ดพร้อมด้วยปริญญาเอกทางปรัชญาและมาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแอนเบอร์ดีน

เมื่อตัดสินใจที่จะทำลายความถูกต้องของไบเบิลทางประวัติศาสตร์ ,เขาศึกษาโบราณคดีพร้อมกับการพิสูจน์ว่าเรื่องราวตามไบเบิลไม่จริง , เมื่อเตรียมเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นไว้พร้อมแล้ว เขาเดินทางไปปาเลสไตน์ และเน้นการศึกษาพระธรรมกิจการ ซึ่งเขาก็คาดการณ์ไว้ในใจอย่างเต็มที่ที่จะปฏิเสธว่า(ไบเบิล)ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องตามตำนาน

หลังจากการทำงาน เป็นเวลา๒๕ปี แรมเซก็ต้องตกใจกลัวถึงความถูกต้องของพระธรรมกิจการ ในการเสาะแสวงหาเพื่อปฎิเสธ ไบเบิล แรมเซ พบความจริงหลายอย่างซึ่งสนับสนุนความถูกต้องของไบเบิล
(ยังมีต่อ)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:40 pm

บทความนี้แบ่งเป็นตอนๆ และจะจบตอนที่ ๑ แล้ว ตอน ที่๒เรื่อง โบราณคดีและปฐมกาล จะเป็นกระทู้ใหม่ จะเขียน(พิมพ์) ไปเรื่อยๆ ขอเชิญ ติดตามอ่านกันได้ต่อไป
--------------
เขาได้กล่าวต่อไปว่า เรื่องของลูกาเกี่ยวกับเหตุการณ์และการบันทึกแบบบรรยายเป็นความจริงแม้รายละเอียดที่เล็กที่สุด นอกจากไม่โจมตีเรื่องราวตามพระคัมภีร์แล้ว แรมเซยังผลิตหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ"นักบุญเปาโล,การเดินทางของเขา,และประชาชนโรมัน"เพื่อสนับสนุนความจริง

ลำดับต่อมา วิลเลียม แรมเซ สั่นคลอนโลกแห่งภูมิปัญญา โดยการเขียนว่า เขาได้เปลี่ยนไปเป็นคริสเตียน หากกล่าวอย่างแดกดันแล้ว ชายคนนี้ ที่ตั้งต้นปฏิเสธคัมภีร์ไบเบิล

พบว่าตนเอง ยอมรับไบเบิลว่า เป็นพระคำของพระเจ้า เพราะการสำรวจและค้นพบของเขา สำหรับการช่วยเหลือเรื่องความรอบรู้ทางพระคัมภีร์ ด้วยหนังสือจำนวนมากมายของเขา เขาได้รับเครื่องราชอิสรยาภรณ์ชั้นอัศวิน เช่นกัน

การศึกษาโบราณคดีสามารถช่วยให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น มันทำให้เราเดินทางกลับไปอย่างตื่นตาตื่นใจยังเวลาที่ศึกษาศิลาและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่ไม่ส่งเสียงแต่ร่วมเป็นพยานถึงความจริงของจารึกคัมภีร์
แล้วยังพบอะไรอีก บทความต่อไปจะพรรณาการค้นพบพร้อมกับการฉายแสงสว่างถึงเรื่องราวตามพระคัมภีร์
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:41 pm

๒ภาพจิ๊กซอร์ที่น่าฉงน,๒วัตถุประสงค์

เราสามารถกล่าวอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไบเบิลและโบราณคดี การยกตัวอย่างสามารถช่วยได้ ให้เรานึกภาพถึงเกมส์จิ๊กซอร์ ๒ ภาพ อันแรกเป็นไบเบิล ที่ประกอบเข้าด้วยกันภายใต้การดลใจของพระเจ้าเอง ชิ้นส่วนเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า"จารึกทั้งหมดได้จากการดลใจและเป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอน, สำหรับปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องเพื่อสั่งสอนในความชอบธรรม ที่ให้คนของพระเจ้าสมบูรณ์ได้ ตลอดจทั้งการดีทั้งปวง"(๒ทิโมที ๓ข้อ๑๖,๑๗)

จุดประสงค์แรกของภาพจิ๊กซอร์แรกคือการเปิดเผยสิ่งที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ แต่เป็นบันทึกความเกี่ยวข้องระหว่างพระเจ้าและมนุษยชาติ ส่วนมากการเปิดเผยนี้เป็นความรู้ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยใช้กล้องจุลทรรศ์หรือรับรู้ผ่านรู้สึกสำนึกของเรา มันเป็นความรู้ที่เปิดเผยโดยพระเจ้า ตลอดทั่วทั้งเล่ม เรื่องโดยทั่วไปเป็นความเกี่ยวข้องของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ไม่ว่าเรื่องการสร้าง ความเกี่ยวข้องของพระองค์กับชาวอิสราเอลหรือศาสนาจักรพันธสัญญาใหม่,พระเจ้าที่เป็นศูนย์กลาง

ข้อมูลจำนวนมากนี้ ไม่ใช่เรื่องราวที่โบราณคดีจะสามารถค้นพบได้ โดยอาศัยสิ่งที่หลงเหลือแต่โบราณ เรื่องการดลใจของพระเจ้าในเรื่องปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชัวิต , เข้าแทรกแซงระบายลมหายใจแก่คนเป็นการเขียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพของคนเหล่านั้น ข้อความเหล่านี้ป็นจริงและถูกต้องเนื่องจากพระเจ้ามุสาไม่ได้ (ติตุส๑ข้อ๒)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:44 pm

ข้อจำกัดของโบราณคดี

หลักฐานทางวัตถุ เหมือนกับภาพจิ๊กซอร์ อันหนึ่งมีพื้นฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และนั่นคือสิ่งที่มีค่าต่อความเชื่อของเรา จากความสามารถของมันที่จะยืนยันความจริงของเรื่องราวตามพระคัมภีร์

ภาพจิ๊กซอร์ที่สองเกี่ยวข้องกับวิธีการที่โบราณคดี และระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องสามารถเผยให้เห็นหลักฐานทางกายภาพ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางพระคัมภีร์ ภาพที่แสดงให้เห็นเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่หลักฐานโบราณคดีที่อยู่รอดจนถึงปัจจุบันทั้งหมด บทสรุปที่ได้การค้นพบทางโบราณคดียังไม่แน่นอน ด้วยความจำเป็น เมื่อมีการค้นพบใหม่ หรือมีการเสนอการตีความที่ดีกว่า เกิดขึ้น ตำแหน่งบางชิ้นส่วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หลายชิ้นซีดและฉีกขาด ทำให้การทดแทนทำได้ยาก

การระบุอายุสถานที่ตั้งตามคัมภีร์ มีพื้นฐานเริ่มแรกที่เครื่องปั้นดินเผาที่หลงเหลืออยู่ ด้วยรูปแบบเฉพาะที่สัมพันธ์กับระยะเวลาทางประวัติศาสตร์เป็นการเฉพาะ สิ่งอะไรที่หลงเหลืออยู่เป็นภาพของอดีตที่ยังไม่สมบูรณ์ เหมือนที่ พอล ดับเบิลยู แลบ นักโบราณคดีกล่าวว่า "โบราณคดีปาเลสไตน์อาจผ่านขั้นเริ่มต้น แต่ก็แทบจะไม่เกินวัยเด็ก "โบราณคดี คือศาสตร์ที่กำลังพัฒนาและไม่สมบูรณ์

นักโบราณคดีบางคนยังประมาณว่า มีเพียงหนึ่งในพันของสิ่งประดิษฐ์แต่เดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ สถานที่จำนวน ห้าพันแห่งในปาเลสไตน์ที่มีนักวิทยาศาสตร์รู้จัก และมีประมาณ๓๕๐ แห่งที่ได้รับการขุดค้นแล้ว นั่นข้อสรุปทั้งหมดมีที่มาจากหลักฐานจำนวนเล็กๆนี้
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:45 pm

ส่วนที่มีลักษณะเฉพาะของไบเบิลได้รับการยืนยันปัจจุบัน


ความสัมพันธ์ระหว่างหลักฐานที่มีไม่เพียงพอ มีผลต่อความเชื่อของคริสเตียนอย่างไร ความเชื่อของเราไม่ได้มีพื้นฐาน ที่การมีอยู่ของหลักฐานทางวัตถุหรือประวัติศาสตร์ การวิเคราะห์คำจำกัดความ ไม่ได้ตั้งใจแสวงหาการตัดสินใจว่าไบเบิลถูกต้องและเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์หรือไม่

แม้ว่ามีความสัมพันธ์กับจำนวนวัตุที่มีไม่มากนัก ที่ได้รับการขุดค้นและวิเคราะห์ หลักฐานที่พิจารณายืนยันเรื่องราวทางพระคัมภีร์ว่าสามารถใช้เป็นประโยชน์ได้ ยังมีสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่มีลักษณะเฉพาะของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เดิม ตอนนี้ได้รับการยืนยันทางโบราณคดี

ไบอัน วูด ให้ข้อสังเกตุ ความเห็นพ้องต้องกันของนักโบราณคดีต่อไปนี้ "จุดประสงค์ของโบราณคดีตามพระคัมภีร์คือขยายความเข้าใจของเราต่อพระคัมภีร์และดังนั้น ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ ในความเห็นของข้าพเจ้า คือการให้ความกระจ่างเป็นพิเศษเกี่ยวกับ....เวลาของการปกครองโดยกษัตริย์ของอิสราเอล

นับแต่ช่วงพันธสัญญาใหม่ถึงปี ๑๐๐๐ แห่งคศ. หลักฐานทางโบราณคดีชัดเจน ก่อนสมัยนั้น มีน้อย นี่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง"การสำรวจช่วงก่อนประวัติศาสตร์(ก่อนคศ๑๐๐๐)เป็นเรื่องท้าทาย มันต้องการการสืบหาร่องรอยการบันทึกทางโบราณคดีของชุมชนที่เลี้ยงสัตว์ แทนที่จะเป็นเรื่องทางการเมืองของชุมชนที่มีพื้นฐานทางเกษตรกรรมที่สร้างเมืองและเริ่มทำการติดต่อกับชาติรอบๆ

เราไม่เคยได้มาซึ่งหลักฐานทางวัตถุทั้งหมด ส่วนใหญ่ถูกทำลายจากกาลเวลาและการสึกกร่อน เราไม่สามารถทำการอัศจรรย์ขึ้นใหม่ได้ ทั้งไม่สามารถตรวจสอบการปรากฏของพระเจ้าและยืนยันในห้องปฏิบัติการ ความศรัทธาจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณและความจริงในพระคำของพระเจ้า
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:48 pm

ตอนที่๒ การตรวจสอบโบราณคดีตามพระคัมภีร์(ตอนที่๒)
โบราณคดีและปฐมกาล จะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ ในกระดานศาลาธรรม

ขอเชิญผู้สนใจทุกคน ติดตามอ่านต่อไป
spirit

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 1:10 pm

เป็นบทความที่ มีหลายแห่งไม่เข้าใจเลย ???
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 12:38 am

Lost Lamb เขียน: เป็นบทความที่ มีหลายแห่งไม่เข้าใจเลย ???

ไม่เข้าใจตรงไหนคะ
ลองก๊อปมาแปะดู คิดว่าน่าจะมีหลายๆคนสามารถอธิบายได้ *ok
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 6:10 am

เพิ่งมีเวลาได้ตั้งใจอ่านอย่างจริงจังครับ (มัวแต่เล่น) ขอบคุณมากครับคุณ watch จะติดตามไปเรื่อยๆจนจบครับ
กานต์

จันทร์ พ.ย. 26, 2007 10:16 pm

1.  จดหมายเหตุของชาวต่างชาติที่เขียนกับประเทศไทยของชาติใดเก่าแก่ที่สุด
2.  นักวิชาการที่ศึกษาโบราณคดี  เรียกว่าอะไร
3.  การตีความเพื่อค้นหาความหมายมราแอบแฝงอยู่  เป้นการตีความขั้นไหน :afro: : xemo023 : ::017::
ช่วยตอบหน่อยนะค่ะ
Dis volentibus

จันทร์ พ.ย. 26, 2007 10:19 pm

กานต์ เขียน: 2.  นักวิชาการที่ศึกษาโบราณคดี  เรียกว่าอะไร
ขอตอบข้อสองนะคะ นักโบราณคดี ไงคะ เเห่ะๆ :grin:
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ พ.ย. 26, 2007 10:41 pm

ตอบคำถามคุณกานต์

1.  จดหมายเหตุของชาวต่างชาติที่เขียนกับประเทศไทยของชาติใดเก่าแก่ที่สุด

>>: น่าจะเป็นจีนครับ (เดา )

2.  นักวิชาการที่ศึกษาโบราณคดี  เรียกว่าอะไร

<<: ยืนยันว่านักโบรารคดี ครับ


3.  การตีความเพื่อค้นหาความหมายมราแอบแฝงอยู่  เป้นการตีความขั้นไหน 
ช่วยตอบหน่อยนะค่ะ

<<: ไม่ทราบครับ คุณเรียนหลักตีความเหรอ

แล้วนี่เป็นการบ้านของสถาบันไหนล่ะ
ตอบกลับโพส