ยินดีด้วยค่ะ 8) ;DAndreas เขียน: เมื่อวานนี้ ผมได้มีโอกาสพบคุณพ่อคณะคาร์เมไลท์ที่มาจากประเทศสิงคโปร์แล้วครับ ก็ได้พูดคุยกันเรื่องกระแสเรียกของผม อีกไม่นานคงมีข่าวดีครับ ตอนนี้ผมคงต้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจะได้นำไปใช้เวลาอยู่ที่นั่นแล้ว ก็เหลือเพียงต้องไปทำแบบทดสอบจิตวิทยาก่อน ถ้าผ่านทางนั้นก็ยินดีรับ ...ดีจังมากเลยที่สุดเยราร์ดก็จะได้มีโอกาสเป็นนักบวชแล้ว ผมจะพยายามรักษากระแสเรียกให้ดีที่สุดครับ
คณะภราดาคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้า
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ถ้าไปที่สิงคโปร์ปีหน้า ผมคงเป็นคนไทยคนเดียวที่อาราม อดพูดภาษาไทยเลย เขายิ่งแซวว่า He is very silence. ขนาดภาษาไทยผมยังพูดไม่กี่คำเอง
นี่เป็นชีวิตที่ผมเคยฝันมาก่อนครับ
ส่วนตัวเป็นไม่ได้แต่ก็รักและเป็นกำลังใจให้นะครับ
ส่วนตัวเป็นไม่ได้แต่ก็รักและเป็นกำลังใจให้นะครับ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เพชรสู้ ๆ เพชรสู้ ๆ
อุตส่าห์นน.ขึ้นมาตั้งนิดนึงแล้ว *no1
อุตส่าห์นน.ขึ้นมาตั้งนิดนึงแล้ว *no1
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เกี่ยวกันด้วยหรอพี่ ???~@Little lamb@~ เขียน: เพชรสู้ ๆ เพชรสู้ ๆ
อุตส่าห์นน.ขึ้นมาตั้งนิดนึงแล้ว *no1
เกี่ยวสิ ก็เมื่อปี 2004 ที่ผมไปสิงคโปร์มา ทางคุณพ่ออธิการให้การบ้านมา 3 ข้อ คือ 1. อยากให้น้ำหนักตัวมากกว่านี้ เพราะตอนนั้นดูผอมไปBatholomew เขียน:เกี่ยวกันด้วยหรอพี่ ???~@Little lamb@~ เขียน: เพชรสู้ ๆ เพชรสู้ ๆ
อุตส่าห์นน.ขึ้นมาตั้งนิดนึงแล้ว *no1
2. ให้ลองทำงานหาประสบการณ์ประมาณ 1 ปี
3. ให้ไปเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติได้
สวัสดีครับมินนี่ ผมลืมถามเซอร์ในรายละเอียดเรื่องสมาชิกภาพชั้นที่สามของคณะคาร์เมไลท์ให้น่ะครับ ขออภัย ผมลืมหมดเลยอะ น่าละอายมากเลย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมสัญญาจะถามให้นะครับminnie เขียน:พี่เล่น msn อะปะ ไม่ใช่อะไร เพราะต้องการหลังไมค์Asleep but Live เขียน:สวัสดีครับน้องมินนี่ เมื่อวานพี่ไปเซนต์หลุยส์ อยากเจอน้องเหมือนกันครับ แต่ไม่รู้จะหาอย่างไร วัดวันอาทิตย์ที่เซนต์หลุยส์คนเยอะมากๆๆๆๆๆๆ เหมือนฉลองวัดเลย กลัวๆๆ ไม่กล้าไปอีกminnie เขียน: รบกวนอธิบายนิดหนึ่งได้ม๊ะค่ะ สมาชิกชั้นที่ 3 ของคณะคาร์เมไลท์
โพสเยอะ อ่านไม่ทันอะค่ะ
เป็นยังไงค่ะ เพราะไม่ทราบจริงๆๆ :D
คนเยอะอย่างนั้น พี่ไม่รูจะหาน้องอย่างไรดี ถ้าได้เจอตัว จะได้แนะนำคาร์เมไลท์ให้น้องรู้จักครับ
คณะนักบวชคณะใหญ่ๆหน่อย เช่น โดมินิกัน ฟรังซิสกัน หรือแม้แต่คาร์เมไลท์ เป็นคณะนักบวชที่มีจิตตารมณ์ที่โดดเด่น สมาชิกของคณะ ถ้าเป็นผู้ชาย ก็จะเรียกกันว่าเป็น"ภราดา" เขาก็นิยมจัดให้เป็นนักบวชชั้น 1 ( ไม่ใช่ชั้น 1 แบบรถทัวร์ รถไฟ เครื่องบินนะครับ และก็คงไม่ได้หมายถึง ดีเลิศ ดีเยี่ยม ชั้นหนึ่ง แจ่มแจ๋ว ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ไม่มีใครทัดเทียมได้แล้วในโลกนี้ ) ส่วนผู้หญิงก็จะเรียกกันว่า"ภคินี" เขาก็นิยมจัดให้เป็นนักบวชชั้น 2 ( ก็คงไม่ได้หมายความรองกว่าผู้ชาย สู้ผู้ชายไม่ได้ อิ อิ ) ทีนี้ ก็คงมีคนบางกลุ่มที่มีกระแสเรียกเป็นฆราวาส แล้วอยากมีส่วนในจิตตารมณ์ของคณะนักบวชดังกล่าว เช่น จิตตารมณ์การเพ่งพิศภาวนาของคาร์เมไลท์ แต่ทีนี้พวกเขาไม่สะดวกจะมาใช้ชีวิตเต็มรูปแบบแบบนักบวชในอาราม เพราะมีครอบครัวต้องดูแล เขาก็อาจสมัครเป็นนักบวชชั้น 3 เพื่อร่วมส่วนในชีวิตจิตของคณะนั้นๆได้ครับ โดยพวกเขาก็อยู่บ้านตัวเองตามปกติ แล้วอาจมีประชุมตามกำหนดเวลา และทำกิจบางอย่างตามความเหมาะสมครับ
ในเมืองไทย นอกจากนักบวชชั้นที่ 3 ของคณะคาร์เมไลท์แล้ว ก็ยังมีนักบวชชั้น 3 ของคณะฟรังซิสกันด้วยครับ ( ถือโอกาสประชาสัมพันธ์เผื่อคณะฟรังซิสกันด้วยเลยนะครับ )
เจอซิสเตอร์ คณะคาแมล โห รีบวิ่งไปทักเลยอะ
ทั้งที่ไม่รู้จักงะ ไปขอจับสายประคำอันยาวๆๆงะ
สำหรับMSNนั้น ผมแอดมินนี่นานมากแล้ววววววว แต่ยังไม่เคยเจอกันเลย ผมเล่นเน็ตน้อยมากครับ เพราะไม่ได้เล่นที่บ้าน ต้องมาเล่นที่ร้านนอกบ้าน มีข้อจำกัดเรื่องเวลา อย่างน้อยที่สุด กลางคืนผมก็ไม่ได้เล่นน่ะ ได้แต่ออกมาเล่นตอนกลางวัน และก็เล่นนานมากไม่ได้ เพราะเล่นที่ร้านก็แพงน่ะครับ ไม่ได้งกนะ แต่ผมไม่ค่อยมีเงินน่ะครับ เอาเป็นว่า ถ้าอยากคุยMSN ก็นัดเวลากันได้ครับ
ขอพระอำนวยพร
เพชรอยากได้หนังสือภาษาอังกฤษบ้างไหมล่ะ เราพอมีนะ ของเราก็เรียนเองเหมือนกัน ไม่ค่อยมีตังค์น่ะAndreas เขียน: ถ้าไปที่สิงคโปร์ปีหน้า ผมคงเป็นคนไทยคนเดียวที่อาราม อดพูดภาษาไทยเลย เขายิ่งแซวว่า He is very silence. ขนาดภาษาไทยผมยังพูดไม่กี่คำเอง
ค้นให้แล้วตามสัญญาครับ อ้างอิงจากเว็บ นิวแอดเวนท์ นะครับFat Shepherd เขียน:คุณแกะครับ ผมขอโทษ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมลืมถามพ่อกับบราเดอร์ให้ แล้วอย่างไร ผมจะค้นคว้าหาให้นะครับ คิดว่าในเน็ตน่าจะมีครับ :-[~@Little lamb@~ เขียน: ยังรอคำตอบอยู่นะค๊า
คำว่า"ไม่สวมรองเท้า" ภาษาอังกฤษคือคำว่า"discalced" คำว่า"discalced"นี้ มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินที่ว่า "dis" ซึ่งหมายถึง "ปราศจาก" บวกกับ "calceus" ที่แปลว่า "shoe" หรือ"รองเท้า" นั่นเองครับ
คำว่า"ไม่สวมรองเท้า"นั้น ใช้กับคณะนักบวชชายและหญิง ที่ไม่สวมรองเท้าเลยหรือสวมรองเท้าที่มีสายรัด(sandals) ซึ่งจะดูแตกต่างจากสาขาอื่นๆในคณะนักบวชเดียวกัน
ผู้นำ"แฟชั่น"การไม่สวมรองเท้าในทางตะวันตก ได้แก่ นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี สำหรับนักบวชชาย และนักบุญคลารา สำหรับนักบวชหญิง
หลังจากการชำระพระวินัยของนักบุญฟรังซิสหลายต่อหลายครั้ง มีภราดาบางกลุ่มที่หวนกลับไปยึดปฏิบัติกับประเพณีดั้งเดิมในการไม่สวมรองเท้า เช่น คณะภราดาน้อยกาปูชิน เป็นต้น (แต่ในปัจจุบันนี้ ก็สวมรองเท้ากันหมดแล้วนะครับ)
ภคินีคณะนักบุญคลาราก็เช่นกัน ในสมัยแรก ก็ไม่สวมรองเท้าเหมือนกัน ในภายหลังถึงได้เริ่มใส่รองเท้าที่มีสายรัดหรือรองเท้าหุ้มส้นปกติกัน
ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวครับ ถ้าผิดพลาดประการใด ผมขออภัยและรับผิดแต่ผู้เดียวครับ
ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าการไม่สวมรองเท้า ก็เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะปฏิบัติความยากจน (poverty) เพราะดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ผู้นำ"แฟชั่น"การไม่สวมรองเท้า ก็คือ นักบุญฟรังซิลและคลาราแห่งอัสซีซี ท่านทั้งสอง พวกเราก็คงทราบกันดีว่าเป็นผู้ปฏิบัติ"ฤทธิ์กุศลความยากจน"ระดับแนวหน้าของพระศาสนจักรทีเดียว ฉะนั้น การไม่ใส่รองเท้า น่าจะเป็นแนวปฏิบัติหนึ่งในการตัดสละทรัพย์สินฝ่ายข้างโลก เราคงจำกันได้ว่า ตอนที่นักบุญฟรังซิสสละบ้านติดตามพระคริสตเจ้านั้น ท่านก็เปลือยกายต่อหน้าพระสังฆราชท้องถิ่น เพื่อแสดงว่าข้าพเจ้าเป็นไทแก่ตัว ไม่ยึดไม่ติดกับทรัพย์สิน เสื้อผ้าของโลกอีกแล้ว แล้วหันมาสวมเสื้อผ้าเก่าๆแบบแฟชั่นที่ขอทานสมัยนั้นสวมใส่กัน
และในความเห็นส่วนตัวอีกเช่นกันครับ ผมคิดว่าการไม่สวมรองเท้านั้น นอกจากจะสื่อถึงความยากจนแล้ว ยังเป็นแนวทางปฏิบัติในเรื่องความเรียบง่าย (simplicity) อีกด้วยนะครับ ไม่ต้องไปเลือกสรรรองเท้าสวยๆงามๆ ก็แบร์ฟูต อย่างนี้แหละ เรียบง่ายดี
ผมเห็นว่า เมื่อยุคสมัยผ่านไป การไม่สวมรองเท้า กับ ความยากจนและความเรียบง่าย ก็อาจไม่ประนีประนอมกันได้อย่างลงรอยเหมือนก่อน หมายความว่า หลายสิ่งในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นการให้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น ไฟแดง แปลว่า ต้องจอดรถ ไฟเขียว แปลว่า ไปได้ การโรยขี้เถ้าตามเนื้อตามตัว (แบบชาวนิเนเวห์) หมายถึง การเป็นทุกข์ถึงบาป กลับใจหาพระ ฯลฯ เมื่อ"กาล" (time) ได้เคลื่อนคล้อยไป ความหมายเชิงสัญลักษณ์ก็อาจเพี้ยนไปได้ (นอกจาก"กาล"แล้ว ก็ยังมีเรื่อง"เทศะ"หรือ"อวกาศ" (space) ที่เป็นปัจจัยอันส่งผลกระทบต่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ผิดแผกแตกต่างกันไปอีกได้ครับ เช่น ในยุคสมัยเดียวกัน การส่ายศีรษะ และ การพยักหน้า ในสองสังคมวัฒนธรรม อาจสื่อความหมายเหมือนกันโดยบังเอิญ คือ แปลว่า yes เหมือนกันก็ได้นะครับ) นั่นก็หมายความว่า "ความยากจน" ก็ไม่อาจจำเป็นต้องแสดงด้วยการไม่สวมรองเท้าเหมือนเดิมแล้ว แต่อาจแสดงความยากจนได้ในลักษณะอื่น เช่น การไม่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อในเรื่องที่พักอาศัย (สำหรับนักบวช ก็อาจหมายถึงอาราม) อาหารการกิน เพราะความฟุ้งเฟ้อในลักษณะดังกล่าว นำมาซึ่งการใช้จ่ายที่หมดเปลือง การติดยึดอยู่กับความสะดวกสบายฝ่ายร่างกาย ในขณะที่รองเท้านั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวพันกับความฟุ้งเฟ้อโดยตรงเสียแล้ว ดังนั้นคณะนักบวชหลายคณะที่เคยไม่สวมรองเท้ามาก่อน ก็อาจหันกลับมาสวม และไม่เพียงแค่สวมsandals เท่านั้น อาจสวมรองเท้าคัทชูส์เลยก็ได้ เพราะสวมแล้วก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับการถือความยากจนและความเรียบง่าย ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม อาจกล่าวได้ว่า การสวมรองเท้าหรือไม่สวมรองเท้านั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยตัดสินว่า นักบวชคณะใดยากจนหรือร่ำรวย เพราะรองเท้าถูกๆก็มีอยู่มากมายให้ซื้อหา แต่น่าจะอยู่ที่ประเภทหรือชนิดของรองเท้ามากกว่า และคงต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของนักบวชเองด้วยครับ
ฉะนั้น สรุป นักบวชที่เคยไม่สวมรองเท้ามาก่อน ( ฟรังซิสกัน คาร์เมไลท์ ฯลฯ ) ก็หันมาสวมรองเท้ากันแล้ว แม้แต่คัทชูส์ ก็สวมครับ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยตรงกับความยากจนและความเรียบง่ายแล้ว เหลือเป็นเพียงความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ได้มีความหมายเชิงปฏิบัติจริง (practical) แล้ว เพราะอย่างน้อย คิดกันง่ายๆ ในยุคปัจจุบันนี้ นักบวชสามารถถือความยากจนและความเรียบง่ายได้ แม้จะสวมรองเท้า (ราคาถูก) แต่ถ้าไม่สวมรองเท้า อะไรตำเท้า ก็บาดเจ็บกันพอดี ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าที่ต้องบำรุงรักษา และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบาดเจ็บ ก็เดินไม่ได้ หรือเดินไม่สะดวก ก็จะมีผลต่อการปฏิบัติศาสนกิจ การทำงานตามจิตตารมณ์ของคณะอีกด้วยครับ
ทั้งหมดนี้ ผมเดาเอาเอง บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่เล็กน้อยครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ มิ.ย. 14, 2006 5:12 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
รบกวน ติดต่อกันทาง IM ได้ม๊ะค่ะ ส่ง message อะค่ะ เพราะเวลาเราไม่ตรงกันค่ะFat Shepherd เขียน:สวัสดีครับมินนี่ ผมลืมถามเซอร์ในรายละเอียดเรื่องสมาชิกภาพชั้นที่สามของคณะคาร์เมไลท์ให้น่ะครับ ขออภัย ผมลืมหมดเลยอะ น่าละอายมากเลย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมสัญญาจะถามให้นะครับminnie เขียน:พี่เล่น msn อะปะ ไม่ใช่อะไร เพราะต้องการหลังไมค์Asleep but Live เขียน: สวัสดีครับน้องมินนี่ เมื่อวานพี่ไปเซนต์หลุยส์ อยากเจอน้องเหมือนกันครับ แต่ไม่รู้จะหาอย่างไร วัดวันอาทิตย์ที่เซนต์หลุยส์คนเยอะมากๆๆๆๆๆๆ เหมือนฉลองวัดเลย กลัวๆๆ ไม่กล้าไปอีก
คนเยอะอย่างนั้น พี่ไม่รูจะหาน้องอย่างไรดี ถ้าได้เจอตัว จะได้แนะนำคาร์เมไลท์ให้น้องรู้จักครับ
คณะนักบวชคณะใหญ่ๆหน่อย เช่น โดมินิกัน ฟรังซิสกัน หรือแม้แต่คาร์เมไลท์ เป็นคณะนักบวชที่มีจิตตารมณ์ที่โดดเด่น สมาชิกของคณะ ถ้าเป็นผู้ชาย ก็จะเรียกกันว่าเป็น"ภราดา" เขาก็นิยมจัดให้เป็นนักบวชชั้น 1 ( ไม่ใช่ชั้น 1 แบบรถทัวร์ รถไฟ เครื่องบินนะครับ และก็คงไม่ได้หมายถึง ดีเลิศ ดีเยี่ยม ชั้นหนึ่ง แจ่มแจ๋ว ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ไม่มีใครทัดเทียมได้แล้วในโลกนี้ ) ส่วนผู้หญิงก็จะเรียกกันว่า"ภคินี" เขาก็นิยมจัดให้เป็นนักบวชชั้น 2 ( ก็คงไม่ได้หมายความรองกว่าผู้ชาย สู้ผู้ชายไม่ได้ อิ อิ ) ทีนี้ ก็คงมีคนบางกลุ่มที่มีกระแสเรียกเป็นฆราวาส แล้วอยากมีส่วนในจิตตารมณ์ของคณะนักบวชดังกล่าว เช่น จิตตารมณ์การเพ่งพิศภาวนาของคาร์เมไลท์ แต่ทีนี้พวกเขาไม่สะดวกจะมาใช้ชีวิตเต็มรูปแบบแบบนักบวชในอาราม เพราะมีครอบครัวต้องดูแล เขาก็อาจสมัครเป็นนักบวชชั้น 3 เพื่อร่วมส่วนในชีวิตจิตของคณะนั้นๆได้ครับ โดยพวกเขาก็อยู่บ้านตัวเองตามปกติ แล้วอาจมีประชุมตามกำหนดเวลา และทำกิจบางอย่างตามความเหมาะสมครับ
ในเมืองไทย นอกจากนักบวชชั้นที่ 3 ของคณะคาร์เมไลท์แล้ว ก็ยังมีนักบวชชั้น 3 ของคณะฟรังซิสกันด้วยครับ ( ถือโอกาสประชาสัมพันธ์เผื่อคณะฟรังซิสกันด้วยเลยนะครับ )
เจอซิสเตอร์ คณะคาแมล โห รีบวิ่งไปทักเลยอะ
ทั้งที่ไม่รู้จักงะ ไปขอจับสายประคำอันยาวๆๆงะ
สำหรับMSNนั้น ผมแอดมินนี่นานมากแล้ววววววว แต่ยังไม่เคยเจอกันเลย ผมเล่นเน็ตน้อยมากครับ เพราะไม่ได้เล่นที่บ้าน ต้องมาเล่นที่ร้านนอกบ้าน มีข้อจำกัดเรื่องเวลา อย่างน้อยที่สุด กลางคืนผมก็ไม่ได้เล่นน่ะ ได้แต่ออกมาเล่นตอนกลางวัน และก็เล่นนานมากไม่ได้ เพราะเล่นที่ร้านก็แพงน่ะครับ ไม่ได้งกนะ แต่ผมไม่ค่อยมีเงินน่ะครับ เอาเป็นว่า ถ้าอยากคุยMSN ก็นัดเวลากันได้ครับ
ขอพระอำนวยพร
รบกวนแนะนำ สมาชิกภาพชั้นที่สามของคณะคาร์เมไลท์ ด้วยค่ะ
นักบุณประจำตัวเราท่านก็อยากเข้าคณะคาร์เมล เนื่องจากท่านสุขภาพไม่อำนวยค่ะ
:D
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ขอบคุณก๊าบ........... เหตุผลฟังขึ้นค่ะ *ok
คุณแกะครับ ผมขอเสริมข้อมูลเล็กน้อยครับFat Shepherd เขียน:ค้นให้แล้วตามสัญญาครับ อ้างอิงจากเว็บ นิวแอดเวนท์ นะครับFat Shepherd เขียน:คุณแกะครับ ผมขอโทษ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมลืมถามพ่อกับบราเดอร์ให้ แล้วอย่างไร ผมจะค้นคว้าหาให้นะครับ คิดว่าในเน็ตน่าจะมีครับ :-[~@Little lamb@~ เขียน: ยังรอคำตอบอยู่นะค๊า
คำว่า"ไม่สวมรองเท้า" ภาษาอังกฤษคือคำว่า"discalced" คำว่า"discalced"นี้ มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินที่ว่า "dis" ซึ่งหมายถึง "ปราศจาก" บวกกับ "calceus" ที่แปลว่า "shoe" หรือ"รองเท้า" นั่นเองครับ
คำว่า"ไม่สวมรองเท้า"นั้น ใช้กับคณะนักบวชชายและหญิง ที่ไม่สวมรองเท้าเลยหรือสวมรองเท้าที่มีสายรัด(sandals) ซึ่งจะดูแตกต่างจากสาขาอื่นๆในคณะนักบวชเดียวกัน
ผู้นำ"แฟชั่น"การไม่สวมรองเท้าในทางตะวันตก ได้แก่ นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี สำหรับนักบวชชาย และนักบุญคลารา สำหรับนักบวชหญิง
หลังจากการชำระพระวินัยของนักบุญฟรังซิสหลายต่อหลายครั้ง มีภราดาบางกลุ่มที่หวนกลับไปยึดปฏิบัติกับประเพณีดั้งเดิมในการไม่สวมรองเท้า เช่น คณะภราดาน้อยกาปูชิน เป็นต้น (แต่ในปัจจุบันนี้ ก็สวมรองเท้ากันหมดแล้วนะครับ)
ภคินีคณะนักบุญคลาราก็เช่นกัน ในสมัยแรก ก็ไม่สวมรองเท้าเหมือนกัน ในภายหลังถึงได้เริ่มใส่รองเท้าที่มีสายรัดหรือรองเท้าหุ้มส้นปกติกัน
ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวครับ ถ้าผิดพลาดประการใด ผมขออภัยและรับผิดแต่ผู้เดียวครับ
ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าการไม่สวมรองเท้า ก็เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะปฏิบัติความยากจน (poverty) เพราะดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ผู้นำ"แฟชั่น"การไม่สวมรองเท้า ก็คือ นักบุญฟรังซิลและคลาราแห่งอัสซีซี ท่านทั้งสอง พวกเราก็คงทราบกันดีว่าเป็นผู้ปฏิบัติ"ฤทธิ์กุศลความยากจน"ระดับแนวหน้าของพระศาสนจักรทีเดียว ฉะนั้น การไม่ใส่รองเท้า น่าจะเป็นแนวปฏิบัติหนึ่งในการตัดสละทรัพย์สินฝ่ายข้างโลก เราคงจำกันได้ว่า ตอนที่นักบุญฟรังซิสสละบ้านติดตามพระคริสตเจ้านั้น ท่านก็เปลือยกายต่อหน้าพระสังฆราชท้องถิ่น เพื่อแสดงว่าข้าพเจ้าเป็นไทแก่ตัว ไม่ยึดไม่ติดกับทรัพย์สิน เสื้อผ้าของโลกอีกแล้ว แล้วหันมาสวมเสื้อผ้าเก่าๆแบบแฟชั่นที่ขอทานสมัยนั้นสวมใส่กัน
และในความเห็นส่วนตัวอีกเช่นกันครับ ผมคิดว่าการไม่สวมรองเท้านั้น นอกจากจะสื่อถึงความยากจนแล้ว ยังเป็นแนวทางปฏิบัติในเรื่องความเรียบง่าย (simplicity) อีกด้วยนะครับ ไม่ต้องไปเลือกสรรรองเท้าสวยๆงามๆ ก็แบร์ฟูต อย่างนี้แหละ เรียบง่ายดี
ผมเห็นว่า เมื่อยุคสมัยผ่านไป การไม่สวมรองเท้า กับ ความยากจนและความเรียบง่าย ก็อาจไม่ประนีประนอมกันได้อย่างลงรอยเหมือนก่อน หมายความว่า หลายสิ่งในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นการให้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น ไฟแดง แปลว่า ต้องจอดรถ ไฟเขียว แปลว่า ไปได้ การโรยขี้เถ้าตามเนื้อตามตัว (แบบชาวนิเนเวห์) หมายถึง การเป็นทุกข์ถึงบาป กลับใจหาพระ ฯลฯ เมื่อ"กาล" (time) ได้เคลื่อนคล้อยไป ความหมายเชิงสัญลักษณ์ก็อาจเพี้ยนไปได้ (นอกจาก"กาล"แล้ว ก็ยังมีเรื่อง"เทศะ"หรือ"อวกาศ" (space) ที่เป็นปัจจัยอันส่งผลกระทบต่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ผิดแผกแตกต่างกันไปอีกได้ครับ เช่น ในยุคสมัยเดียวกัน การส่ายศีรษะ และ การพยักหน้า ในสองสังคมวัฒนธรรม อาจสื่อความหมายเหมือนกันโดยบังเอิญ คือ แปลว่า yes เหมือนกันก็ได้นะครับ) นั่นก็หมายความว่า "ความยากจน" ก็ไม่อาจจำเป็นต้องแสดงด้วยการไม่สวมรองเท้าเหมือนเดิมแล้ว แต่อาจแสดงความยากจนได้ในลักษณะอื่น เช่น การไม่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อในเรื่องที่พักอาศัย (สำหรับนักบวช ก็อาจหมายถึงอาราม) อาหารการกิน เพราะความฟุ้งเฟ้อในลักษณะดังกล่าว นำมาซึ่งการใช้จ่ายที่หมดเปลือง การติดยึดอยู่กับความสะดวกสบายฝ่ายร่างกาย ในขณะที่รองเท้านั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวพันกับความฟุ้งเฟ้อโดยตรงเสียแล้ว ดังนั้นคณะนักบวชหลายคณะที่เคยไม่สวมรองเท้ามาก่อน ก็อาจหันกลับมาสวม และไม่เพียงแค่สวมsandals เท่านั้น อาจสวมรองเท้าคัทชูส์เลยก็ได้ เพราะสวมแล้วก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับการถือความยากจนและความเรียบง่าย ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม อาจกล่าวได้ว่า การสวมรองเท้าหรือไม่สวมรองเท้านั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยตัดสินว่า นักบวชคณะใดยากจนหรือร่ำรวย เพราะรองเท้าถูกๆก็มีอยู่มากมายให้ซื้อหา แต่น่าจะอยู่ที่ประเภทหรือชนิดของรองเท้ามากกว่า และคงต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของนักบวชเองด้วยครับ
ฉะนั้น สรุป นักบวชที่เคยไม่สวมรองเท้ามาก่อน ( ฟรังซิสกัน คาร์เมไลท์ ฯลฯ ) ก็หันมาสวมรองเท้ากันแล้ว แม้แต่คัทชูส์ ก็สวมครับ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยตรงกับความยากจนและความเรียบง่ายแล้ว เหลือเป็นเพียงความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ได้มีความหมายเชิงปฏิบัติจริง (practical) แล้ว เพราะอย่างน้อย คิดกันง่ายๆ ในยุคปัจจุบันนี้ นักบวชสามารถถือความยากจนและความเรียบง่ายได้ แม้จะสวมรองเท้า (ราคาถูก) แต่ถ้าไม่สวมรองเท้า อะไรตำเท้า ก็บาดเจ็บกันพอดี ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าที่ต้องบำรุงรักษา และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบาดเจ็บ ก็เดินไม่ได้ หรือเดินไม่สะดวก ก็จะมีผลต่อการปฏิบัติศาสนกิจ การทำงานตามจิตตารมณ์ของคณะอีกด้วยครับ
ทั้งหมดนี้ ผมเดาเอาเอง บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่เล็กน้อยครับ ขอบคุณครับ
ผมคิดว่าในสมัยที่นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลาและนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนปฏิรูปคณะคาร์เมไลท์นั้น ท่านคงต้องการปฏิรูปธรรมเนียม ให้เกิดแนวปฏิบัติใหม่ๆที่แตกต่างไปจากคณะคาร์เมไลท์ดั้งเดิม เช่น คอปกเครื่องแบบภราดาคาร์เมไลท์ จะเห็นได้ว่าต่างกัน ถ้าเป็นคาร์เมไลท์ดั้งเดิม ก็จะคลุมตั้งแต่ไหล่ บ่า มาจนถึงต้นแขน ทีเดียวนะครับ แต่ถ้าเป็นคาร์เมไลท์ปฏิรูป ก็จะปิดแค่บ่าเท่านั้น (บราเดอร์สิงคโปร์คนที่ผมเคยบอกว่าคุยสนุกๆความรู้เยอะๆนั้น บอกผมว่า เหตุผลของการเปลี่ยนรูปแบบคอปกเครื่องแบบให้เป็นแบบใหม่นั้น นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนท่านว่า ประหยัดผ้าดี อิ อิ ... ฟังหูไว้หูก็ดีครับ) อีกอย่างหนึ่ง ก็คงเป็นเรื่องของรองเท้า คือเปลี่ยนเป็น"ไม่สวมรองเท้า"ซะ discalced ไปเลย ทั้งนี้ ผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า เป็นแนวปฏิบัติที่นิยมกันของนักบวชในยุคนั้นอยู่แล้ว เช่น คณะฟรังซิสกัน ก็ discalced เหมือนกัน (คณะฟรังซิสกันเกิดก่อนการปฏิรูปคณะคาร์เมไลท์นะครับ) แต่การจะไม่สวมรองเท้าตามแนวการปฏิรูปของท่านนักบุญทั้งสอง ก็คงไม่ใช่การเปลือยเท้าเปล่า อย่างที่บางคนอาจเผลอเข้าใจไป ทั้งนี้ผมเห็นในดีวีดีประวัตินักบุญเทเรซาแห่งอาวิลาที่ได้ดูที่สิงคโปร์ ท่านก็ใส่รองเท้าตลอดนะครับ (ผมคิดว่าจะทำเป็นภาพยนตร์ทั้งที คงต้องมีการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่พอดู ฉะนั้นคงน่าจะเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง) ฉะนั้น คำว่าไม่สวมรองเท้า สำหรับคาร์เมไลท์แล้ว ก็คงหมายถึงการใส่รองเท้าที่มีสายรัด ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า sandals ทั้งนี้ดังที่ผมได้อ้างอิงข้อมูลจากเว็บนิวแอ๊ดเวนท์ไปแล้วข้างต้น และในปัจจุบัน นักบวชคาร์เมไลท์จำนวนหนึ่งก็คงเปลี่ยนมาใส่คัทชูส์กันบ้างแล้ว ทั้งนี้ ถ้าจะแต่งตัวกันตามประเพณีของคณะ ก็ในเมื่อชื่อ Discalced Carmelite ก็น่าจะใส่เป็นsandals นะครับ
อนึ่ง เนื่องจากคณะคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้า เป็นคณะที่ปฏิรูป จึงมีอีกชื่อว่า คณะคาร์เมไลท์ปฏิรูป (Reformed Carmelite) และการปฏิรูปนี้ก็เริ่มโดยนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา (นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนเป็นเพียงผู้ร่วมปฏิรูปนะครับ ฉะนั้น คณะคาร์เมไลท์จึงพิเศษที่ว่ามีผู้หญิงเป็นผู้ปฏิรูปคณะ ในขณะที่หลายคณะ ผู้ตั้งคณะและ/หรือผู้ปฏิรูปเป็นผู้ชาย) จึงมีอีกชื่อเช่นกันครับว่า คณะคาร์เมไลท์แบบเทเรซา (Teresian Carmelite) นักบุญเทเรซานี้ มีชื่อเสียงมากด้านชีวิตจิต มีวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นโดยอาศัยนามของท่าน คือ วิทยาลัยTeresianum ครับ ตั้งอยู่ที่ประเทศอิตาลี
อนึ่ง (เป็นครั้งที่สอง) ผมได้พบว่าแม้ว่าคณะคาร์เมไลท์ดั้งเดิม กับ คณะคาร์เมไลท์ปฏิรูปจะยังไม่รวมกันเป็นคณะเดียว แต่ก็มีความร่วมมือกันในหลายด้าน นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนะครับ ที่คณะได้เริ่มก้าวสู่แนวทางแห่งการเป็นเอกภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
ในอนาคตคณะภราดาคาร์เมไลท์จะมาเปิดบ้านในประเทศไทยแน่นอนครับ ตอนนี้มีนักบวชที่เป็นคนไทยในคณะนี้แล้ว 4 ท่าน กำลังเรียนในระดับปรัชญาและเทววิทยาอยู่ เมื่อได้บวชเป็นพระสงฆ์แล้ว ก็จะกลับมาทำงานในเมืองไทยครับยูว์ เขียน: แล้วจะมีคณะมาเปิดที่เมืองไทยหรือเปล่าครับ
เค้าบอกว่า คณะซิสเตอร์ อารามคาเมล รับจำนวนจำกัด
เมื่อมีซิสเตอร์ ตายไป ค่อยรับ
อันนี้จริงอะปะงะ :D
โดนทาบทามไปเป็นซิสเตอร์แย้ว แง๊ะ
บอกว่า ต้องถือโสด เอาม๊ะ แง๊ๆๆๆๆๆๆ ???
เมื่อมีซิสเตอร์ ตายไป ค่อยรับ
อันนี้จริงอะปะงะ :D
โดนทาบทามไปเป็นซิสเตอร์แย้ว แง๊ะ
บอกว่า ต้องถือโสด เอาม๊ะ แง๊ๆๆๆๆๆๆ ???
ทราบมาว่าหลังจากที่ได้เฟ้นหาที่ดินสำหรับการตั้งหมู่คณะ(Foundation)มานานโขอยู่ ก็ได้รับที่ดินจากพระคาร์ดินัลที่แถวๆหัวตะเข้ และภคินีอารามกรุงเทพก็มีโครงการจะย้ายไปอยู่ติดๆกันกับภราดา เพราะบริเวณถนนคอนแวนต์นั้นอึกทึกเหลือเกินครับยูว์ เขียน: แล้วจะมีคณะมาเปิดที่เมืองไทยหรือเปล่าครับ
ใช่แล้วครับ แต่ตอนนี้ผมว่าที่ในอารามคงว่างเยอะ กระแสเรียกลดลงอย่างน่าใจหาย บางทีมาทดลองชีวิตนักบวช 5 คน เข้าจริงแค่คนเดียว ผมว่าถ้าตอนนี้ใครไปสมัครเป็นภคินีคาร์เมไลท์ ไม่น่ามีปัญหาเรื่องที่หรืออารามเต็มนะครับ เพราะมีที่เหลืออยู่เยอะแยะแน่นอนครับminnie เขียน: เค้าบอกว่า คณะซิสเตอร์ อารามคาเมล รับจำนวนจำกัด
เมื่อมีซิสเตอร์ ตายไป ค่อยรับ
อันนี้จริงอะปะงะ :D
โดนทาบทามไปเป็นซิสเตอร์แย้ว แง๊ะ
บอกว่า ต้องถือโสด เอาม๊ะ แง๊ๆๆๆๆๆๆ ???
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร มิ.ย. 20, 2006 1:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ผมว่าอาจเกิดความคลาดเคลื่อนบางประการในการสอบถาม สมาชิกชั้นสามไม่จำเป็นต้องถือโสดนะครับ ผมเห็นบางคนก็แต่งงานแต่งการกัน มินนี่ลองถามใหม่นะ หรือไม่ถ้าผมเจอเซอร์ ผมจะถามให้ด้วยอีกทางครับminnie เขียน: ถามซิสเตอร์มาแล้น ขั้นสามถือโสดด
แง๊ๆๆๆๆๆ
หาที่เหมาะกะตัวเองดีกว่า :D