ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
-
Florian

- โพสต์: 1513
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
อังคาร มิ.ย. 27, 2006 11:00 am
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน
ในพระศาสนจักรนับแต่สมัยโบราณ คริสตชนได้ประจักษ์กับพระพรเหนือธรรมชาติมากมายนับกันไม่ถ้วน ไม่หวาดไม่ไหวเลยครับ เราควรมีความเข้าใจและท่าทีต่อพระพรเหนือธรรมชาติอย่างไร ผมใคร่ขอเสนอแนวคิดของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของคณะคาร์เมไลท์ และนักปราชญ์ของพระศาสนจักรด้านชีวิตภายในครับ ;)
พระพรเหนือธรรมชาติ(Supernatural goods) หมายถึง พระพระและพระหรรษทานต่างๆของพระเป็นเจ้าที่อยู่เหนือธรรมชาติ และพลังตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นพระคุณที่ได้รับมาเปล่าๆ เช่น พระพรแห่งการรักษาโรค การทำอัศจรรย์ พระคุณแห่งการพูดภาษาแปลกๆ ฯลฯ
นักบุญเปาโลสอนว่า"แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาทั้งหมดของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ - ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบและฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อและมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาไปได้ - ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด" (1 คร 13:1-2)
เมื่อบรรดาผู้ที่ภูมิใจในการงานของตน แสวงหาเกียรติรุ่งโรจน์จากพระคริสตเจ้า โดยกล่าวว่า"พระเจ้าข้า ข้าพเจ้ากล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ?" พระองค์จะตรัสตอบว่า" เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา" ( มธ 7:22-23 )
พระผู้ไถ่จึงทรงตำหนิบรรดาศิษย์ซึ่งกำลังชื่นชมกับความสำเร็จในการขับไล่ปีศาจว่า"อย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์เพราะชื่อของท่านถูกบันทึกไว้ในบัญชีชีวิตแล้ว" ( ลก 10:12 )
ความเสียหายของการที่คนเราชื่นชมยินดีในพระพรเหนือธรรมชาติ คือ การหลอกลวงที่วิญญาณเป็นผู้กระทำและผู้รับการกระทำ หมายความว่า ในการที่คนๆหนึ่งได้รับพระพรเหนือธรรมชาติ ถ้าพระพรนั้นมาจากพระเป็นเจ้าจริงๆ พระองค์ก็จะประทานความสว่างให้สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พร้อมด้วยแรงจูงใจให้ใช้พระคุณและพระหรรษทานตามกาละเทศะด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อได้รับพระพรเหนือธรรมชาติแล้ว คนๆนั้น ( 1 ) จำต้องแยกแยะให้ได้ว่าเป็นพระพรของจริงหรือพระพรของปลอม ; ( 2 ) พระพรดังกล่าวจะนำไปใช้อย่างไรและในเวลาใด แต่อุปสรรคก็คือ ทั้งสองอย่างนี้จะถูกขัดขวางโดยความภูมิใจและความชื่นชมยินดีในพระพรเหนือธรรมชาตินั้นๆ และเพราะคนเราไม่เพียงแต่กระตือรือร้นที่จะเชื่อถึงการอัศจรรย์ต่างๆอย่างรวดเร็ว และเขายังถูกผลักดันให้กระทำการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติในเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น นักบุญยากอบและนักบุญยอห์นอยากให้มีไฟตกลงมาเหนือชาวสะมาเรีย ซึ่งได้ปฏิเสธไม่ต้อนรับพระผู้ไถ่ของเรา แต่พระอาจารย์เจ้าทรงติเตียนท่านทั้งสองในเรื่องนี้ ( ลก 9:54-55 )
ความเสียหายประการที่สอง คือ การให้ความสำคัญกับการอัศจรรย์ คนเราก็สูญเสียความช่วยเหลือของพระพรที่มีแก่นสารของความเชื่อซึ่งเป็นปกติวิสัยที่มืดมัว ที่ใดมีเครื่องหมายและหลักฐานอยู่มากมาย ก็มีบุญกุศลความเชื่อน้อยลง นักบุญเกรโกรีกล่าวว่า ความเชื่อปราศจากบุญกุศล เมื่อความเชือมีข้อพิสูจน์จากเหตุผลตามประสามนุษย์ เช่น นักบุญโธมัสโดนพระเยซูเจ้าตำหนิที่ท่านปรารถนาจะเห็นและสัมผัสรอยแผลของพระองค์ ( ยน 20:25,29 ) และพระเยซูเจ้ายังเคยทรงตำหนิพวกฟาริสีด้วยว่า"ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่านก็จะไม่เชื่อ" ( ยน 4:48 )
ความเสียหายประการที่สาม การชื่มชมกับการอัศจรรย์ต่างๆ ตามปกติทำให้คนเราโอ้อวดหรือเย่อหยิ่ง การที่พระอาจารย์เจ้าทรงตำหนิบรรดาศิษย์ซึ่งชื่นชมยินดีที่พวกเขามีอำนาจเหนือปีศาจ ก็แสดงให้เห็นความจริงข้อนี้ ถ้าความชื่นชมยินดีนี้ไม่ไร้สาระแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ตำหนิ ( ลก 10:20 )
( 1 ) พระเป็นเจ้าทรงมิได้รับการเทิดทูนด้วยการที่หัวใจและความชื่นชมยินดีของน้ำใจถูกแยกออกจากทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเป็นเจ้าและจดจ่ออยู่กับพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว
( 1.1 ) "จิตใจของมนุษย์จะได้รับการยกขึ้นให้สูงส่ง และพระเป็นเจ้าจะได้รับการเทิดทูน" ( สดด. 63:7-8 )
( 1.2 ) "จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า" ( สดด. 46:10 )
( 1.3 ) " ในดินแดนที่แห่งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ เช่นนั้นแหละ ข้าพเจ้าจึงเห็นพระฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์" ( สดด. 63:1-2 )
( 2 ) ยิ่งความเชื่อและการรับใช้ที่เราถวายแด่พระเจ้าปราศจากหลักฐานและเครื่องหมายมากขึ้น พระองค์ก็ได้รับการสรรเสริญมากขึ้น เนื่องจากวิญญาณเชื่อถึงพระองค์มากกว่าเชื่อสิ่งที่เครื่องหมายและการอัศจรรย์สอนเรา
ผลประโยชน์ประการที่สองคือ การถอนน้ำใจออกจากหลักฐานและเครื่องหมายทั้งหลายที่ปรากฎเด่นชัด ทำให้วิญญาณได้รับการยกให้สูงในความเชื่อบริสุทธิ์ ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงหลั่งลงสู่วิญญาณและเพิ่มพูนอย่างอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนไม่ได้ปฏิเสธพระพรเหนือธรรมชาตินะครับ เพียงแต่ท่านสอนไม่ให้ยึดติดกับพระพรนี้ สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการเนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ"ขึ้นภูเขาคาร์แมล" ของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร มิ.ย. 27, 2006 2:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
Holy
- Defender of lawS

- โพสต์: 10011
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm
อังคาร มิ.ย. 27, 2006 5:00 pm
สรุปง่ายๆว่า เราไม่ควรชื่นชมยินดีกับตัวอัศจรรย์ แต่ต้องชื่นชมยินดีทุกครั้งที่เกิดอัศจรรย์เพราะมันคือเครื่องหมายว่า พระเจ้านั้นทรงแสนดีต่อเราเพียงไร แม้อัศจรรยเล็กๆน้อยๆที่สุด หรือในฐานะที่ไม่ได้โจ่งแจ้งเหนือธรรมชาติ แบบที่เราเรียกว่า"พระญาณเอื้ออาทร" เราก็สมควรอย่างยิ่งที่จะชื่นชมนยินดีใน "ความรัก" ของผู้มอบของขวัญนั้น และสรรเสริญขอบพระคุณพระเมตตารักของผูมอบของขวัญนั้น
เป็นการถูกต้องที่ไม่ควรหลงไหลของขวัญจนลืมชื่นชมในความมีน้ำใจของผู้มอบ แต่ตรงกันข้าม ต้องไม่ลืมที่จะ ชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอทุกครั้ง และทุกเวลา แม้ในอัศจรรย์ที่เล็กน้อยที่สุด และแม้ในอัศจรรย์ที่เรียบง่ายที่สุด แม้เพียงตื่นเช้ามาแล้วมีลมหายใจอยู่ก็จงชื่นชมเถิด
ฟป 4:4
จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า จงชื่นชมเถิด
-
minnie
อังคาร มิ.ย. 27, 2006 8:38 pm
อ่านเรื่องของนักบุณยอร์นแห่งไม้กางเขนเหมือนกัน
อ่่านแล้วคิดตามไปด้วย ยากน๊ะ แล้วแต่คนจะตีความอีก
ตอนแรกเราอ่านก็ตกใจกลัวเหมือนกัน ก็ไปปรึกษาหลายๆๆท่าน
อยากให้อ่านวิจารณ์ของนักบุณยอร์นด้วยค่ะ ว่า แนวของท่านเป็นอย่างไร
จะได้เห็นหลายๆๆมุม เพราะ บอกตรงๆๆน๊ะ นำเรื่องของท่านไปประยุก ใช้ในชีิวิตจริง
เป็นไปไม่ได้ เพราะ ชีวิตของสัตบุรุษต้องทำมาหากิน
จะให้ละทิ้ง เป็นความว่างเปล่า ทั้งหมด โดยใช้ความว่างเปล่า ไปพบพระเป็นเจ้า
เราคนทำมาหากิน มีภาระ ต้องรับผิดชอบ ความเห็นส่วนตัวเราน๊ะ
วิธีการที่ไปหาพระเป็นเจ้า สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกันอะ
even แม่ชีเทเรซาแห่งเอวีลา องค์ใหญ่ ประสบการ์ณที่ท่านเขียนไว้ การพบกะพระเป็นเจ้า
สวนทางกะ ทางขี้นภูเขาคาเมล อย่างสิ้นเชิง อันนี้ความเห็นส่วนตัวเราเองอะ
เราชอบ แนวทางของแม่ชีเทเรซา แห่ง เอวีลามากกว่า เข้าใจง่าย กว่า
การยกประเด็นเป็นแค่หัวข้อมา และ ยกมาไม่จบ ทำให้ผิดเพี้ยนได้น๊ะ
เราเป็นแค่สัตบุรุษ เราคิดได้แค่นี้แหละ แฮะ แฮะ :D
แก้ไขล่าสุดโดย
minnie เมื่อ อังคาร มิ.ย. 27, 2006 8:41 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
minnie
อังคาร มิ.ย. 27, 2006 8:48 pm
เรื่องที่คุณยกมา ของนักบุณยอร์น เรื่องการสูญเสียพระพร หกประการจ๊ะ
และหกประการ จะต่อเนื่องกันเป็นวงกลม ยกมาบางท่อน หรือยกมา ตัดแป๊ะ
อาจทำให้ผิดเพี้ยนได้
เรื่องนี้ การสูญเสียพระพร หกประการ เรานำเรื่องนี้ปรึกษาคุณพ่อโดยตรง คุณพ่อที่ไม่ติดกับอัศจรรย์ อะ ที่สอนใช้ในชีวิตประจำวัน เรื่องอื่นเราไม่ตอบ
แต่ท่านสอนเราว่า
เป็นอย่างที่เราเป็น ก็โอเค
ในความเห็นส่วนตัวของเรา คำสอนบางอย่างที่เราไม่สามารถกระทำได้ เพราะติด ภาระครอบครัว หรือหน้าที่การงาน
ก็ทำอย่างที่เราเป็น ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ตื่นเช้ามา ไม่ใช่แค่ เดชะพระนามอย่างเดียว
คำสอนพระเยซูไปใหน เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือไม่ แค่นี้แหละ
-
minnie
อังคาร มิ.ย. 27, 2006 11:28 pm
คุณดูนักบุณ ฟรังซิส แห่ง อาซัสซีน๊ะ
ท่านไปสงครามกลับเกิดอัศจรรย์ขี้นกับตัวท่าน
ท่านเอาเสื้อผ้าไปแจกเค้าหมด แม้กระทั้งเสื้อผ้าที่ท่านใส่ คุณพ่อ เอาผ้าห่มชุดสงฆ์มาคลุมให้
ท่านก็ไม่เอา
ท่านเดินออกไปโดยร่างกายเปลือยเปล่า เพื่อไปหาความรัก
ดูคณะของท่านถือยากจน เหมือนกัน แต่การเข้าหาพระเป็นเจ้า หาด้วยความรัก ช่วยเหลือคนยากจน
ก็คล้ายๆๆกันอะ
นักบุณฟรังซิส อาซัสซี ท่านพูดกับสัตว์ต่างๆๆ และมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ เกิดขึ้นกับท่าน
ที่ยกตัวอย่างมาให้ดู ไม่อยากให้สรุปอะไรว่า ต้องเป็นแบบนี้แบบนี้
ชีวิตของนักบุณยอร์น ความคิดของเรา ท่านอดทนมาก แนวขมขื่นอะ
การสอนให้ว่างเปล่าเป็นสิ่งดีมั๊ย ถามจริงๆๆเหอะ ในโลกนี้มีกี่คนที่ทำได้
เรารักนักบุณยอร์น มั๊ย เราก็รัก รักในความอดทนของท่าน ท่านต้องเจอมรสุมต่างๆๆๆ
การต่อต้านต่างๆๆเป็นแบบอย่างของความอดทนอะ
และสิ้นใจ อายุ ประมาณ 49 ปี เองอะ (ประมาณการอะ)
พระเป็นเจ้าก็ไม่ได้ เลือกคนที่ร้อยเปอร์เซนต์ไปหาพระองค์งะ
-
Florian

- โพสต์: 1513
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
พุธ มิ.ย. 28, 2006 9:35 am
นักบุญฟรังซิสสอนให้รัก นักบุญคลาราก็สอนให้รัก นักบุญยอห์นก็สอนให้รัก นักบุญเทเรซาก็สอนให้รัก นักบุญฟรังซิสสอนให้ถือความยากจน นักบุญคลาราก็สอนให้ถือความยากจน นักบุญยอห์นก็สอนให้ถือความยากจน นักบุญเทเรซาก็สอนให้ถือความยากจน แม้จะต่างกันในการนำเสนอ แต่สาระสำคัญก็ไม่ต่างกัน เพราะตั้งอยู่บนเอกภาพในคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้าครับ
ผมไม่ได้ติดยึดกับคำสอนของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนอย่างไม่ลืมหูลืมตาเสียจนคิดว่าคำสอนของท่านเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะมุ่งไปสู่พระเจ้า คำสอนและแนวทางของนักบุญองค์อื่นๆ ผมก็ยอมรับและศึกษาด้วยเช่นกันครับ แนวทางของนักบุญยอห์นผมก็ชอบ แนวทางของนักบุญฟรังซิสผมก็นิยม นักบุญแต่ละองค์มีฤทธิ์กุศลที่โดดเด่นไปกันคนละทาง แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกัน แต่โดยแก่นแล้ว ผมว่าก็อยู่บนฐานของคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น อย่างในกรณีของคำสอนของนักบุญเทเรซาแห่งพระเยซูและคำสอนของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน ผมไม่พบว่าจะขัดกันในเชิงสารัตถะแต่อย่างใด พระจิตเจ้ามีองค์เดียว แต่พระพรมีมากมายหลายหลาก ซึ่งชีวิตของนักบุญทั้งหลายและพระพรพิเศษที่พระเจ้าประทานผ่านคณะนักบวชมากมายในพระศาสนจักรเป็นประจักษ์พยานได้ดีในเรื่องนี้ อันมีความโดดเด่นไปคนละด้าน ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นความแตกต่าง แต่เห็นว่าเป็นความหลากหลายในพระเจ้าหนึ่งเดียว จึงน่าจะเป็นเอกภาพเสียมากกว่านะครับ และก็อย่าลืมว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นคนกลางแต่เพียงผู้เดียว พระองค์ตรัสด้วยว่าพระองค์ทรงเป็น