
:+: ความหมายผ่านทางมิสซา :+:
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi

-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
minnie เขียน: หนังสือภาคมิซซาละเอียดๆๆยังไม่ได้อ่านเลยเจ๊
รอผู้รู้เค้ามาตอบด้วยคนจ้า

ก็ตั้งแต่ชุดที่พระสงฆ์ใส่เวลาถวายมิสซาฯนั่นแหละครับ มีความหมายทุกชิ้นเลย ต้องอ่านดูจากหนังสือคริสต์ศิลป์ครับ ผมจำไม่ได้ ส่วนเด็กช่วยมิสซานั้นไม่น่าจะหมายถึงทหารที่มาจับพระเยซูเจ้านะครับ เพราะเด็กช่วยมิสซานั้นเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพระสงฆ์มากกว่าครับ
เจ๊ใจคอจะชงพี่แซ๊ปทุกกระทู้เลยเหรอ:+: seraphim :+: เขียน:minnie เขียน: หนังสือภาคมิซซาละเอียดๆๆยังไม่ได้อ่านเลยเจ๊
รอผู้รู้เค้ามาตอบด้วยคนจ้า
จ๊ะๆๆๆๆ หน้าที่หนูคือ ทูตเชียร์พี่แซ๊ปก็พอจ๊ะ
พี่แซ๊ป ฮัดเช้ยแล้วเนี๊ยะ
หรือว่าจะมีหนุ่มคนอื่นให้ชงอีก ชักเอียนพี่แซ๊ปเหมือนกันอะเจ๊
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
minnie เขียน:เจ๊ใจคอจะชงพี่แซ๊ปทุกกระทู้เลยเหรอ:+: seraphim :+: เขียน:minnie เขียน: หนังสือภาคมิซซาละเอียดๆๆยังไม่ได้อ่านเลยเจ๊
รอผู้รู้เค้ามาตอบด้วยคนจ้า
จ๊ะๆๆๆๆ หน้าที่หนูคือ ทูตเชียร์พี่แซ๊ปก็พอจ๊ะ
พี่แซ๊ป ฮัดเช้ยแล้วเนี๊ยะ
หรือว่าจะมีหนุ่มคนอื่นให้ชงอีก ชักเอียนพี่แซ๊ปเหมือนกันอะเจ๊

-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Andreas เขียน: ก็ตั้งแต่ชุดที่พระสงฆ์ใส่เวลาถวายมิสซาฯนั่นแหละครับ มีความหมายทุกชิ้นเลย ต้องอ่านดูจากหนังสือคริสต์ศิลป์ครับ ผมจำไม่ได้ ส่วนเด็กช่วยมิสซานั้นไม่น่าจะหมายถึงทหารที่มาจับพระเยซูเจ้านะครับ เพราะเด็กช่วยมิสซานั้นเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพระสงฆ์มากกว่าครับ

-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
รอ่านนะครับ น่าสนใจๆ 

-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Batholomew เขียน: รอ่านนะครับ น่าสนใจๆ![]()

http://www.catholic.or.th/document/doc001/ed3/ed3.html หาได้มามีแต่อันนี้อ่ะ

แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ก.ย. 30, 2006 7:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เปิดไม่ได้อ่ะครับ 
แต่ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณหลาย ๆ

แต่ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณหลาย ๆ
อย่างที่พ่อจั่วว่าล่ะ ที่จริง ถ้าไปถามคุณพ่อที่ไปเรียนด้านพิธีกรรมโดยตรง
น่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีกว่า เพราะเนื้อหาเรื่องพวกนี้ ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ
แค่เรื่องอาภรณ์พระสงฆ์เรื่องเดียว นี่ก็เต็มไปด้วยความหมายเยอะแยะแล้ว
อาภรณ์พระสงฆ์ที่ใส่ในเวลาประกอบพิธีมิสซานั้น ล้วนแต่เป็นสัญญลักษณ์
ที่มีความสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าทั้งสิ้น ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ล้วนถือเป็นสัญญลักษณ์
สื่อถึงพระทรมานศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าทั้งนั้น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ
การสวมพระคริสตเจ้าออกมาอยู่ต่อหน้าประชากรของพระเป็นเจ้านั่นเอง
เริ่มจาก อัลบา ที่มาจากภาษาลาติน หมายถึง ความขาว เป็นสัญลักษณ์ของ
การถูกชำระให้ขาวสะอาดด้วยแสงสว่างขององค์พระเยซูเจ้า
ก่อนที่พระสงฆ์จะสวมอัลบา ก็จะต้องมีบทสวดก่อนสวมด้วย
(แต่ไม่รู้ว่าสวดว่าอะไร) คล้ายๆกับจะเป็นการขอให้ชำระจิตใจตนเองให้สะอาด
ให้บริสุทธิ์เหมือนดั่งพระโลหิตของพระชุมพา อะไรทำนองนี้อะ
ต่อมา คือ เชือก หรือรัดปะคตที่ผูกรอบเอว
ที่จริงก็อาจมีจุดประสงฆ์เพื่อความสะดวกในการเดินด้วยแหละ เพราะ
อัลบาของพระสงฆ์ค่อนข้างใหญ่ ลุ่มล่าม ก็อาจไม่ค่อยสะดวกนัก
เชือกนี้ยังเป็นสัญญลักษณ์ของการผูกมัดพระเยซูเจ้าติดกับเสาระหว่างที่ถูกเฆี่ยนตี
ยังเป็นการเตือนใจผู้สวมให้จริงจังกับการรักษาชีวิตจิตให้บริสุทธิ์ และเข้มแข็ง
ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายต่างๆ
จะรัดเชือกรอบเอว พระสงฆ์ก็ต้องสวดอีกเหมือนกัน อีกหนึ่งบทสั้นๆ
ต่อมา สตอลา เป็นผ้าที่ใช้คล้องคอ ตามธรรมเนียมแล้ว สตอลาจะสวมไว้ใต้กาซูลา
แต่สมัยนี้ บางทีก็อาจเห็นบางแห่งจัดให้สตอลาถูกสวมบนกาซูลาก็มี
ตามธรรมเนียม จะมีลายคาดอยู่ระหว่างอกอันเป็นเสมือนกางเขนของพระเยซูเจ้า
ทั้งยังเป็นเหมือนเข็มขัดของทหารโรมัน ที่มีดาบห้อยอยู่
เตือนใจพระสงฆ์ถึงภาระหน้าที่ของการประกาศพระวาจาของพระเจ้า
เป็นดังทหารของพระเยซูเจ้าต่อสู้กับอำนาจบาปและซาตาน
ก่อนสวม ก็ต้องสวดอีกบทเหมือนกัน
สุดท้าย กาซูลา อันเป็นอาภรณ์ชิ้นนอกสุด มาจากภาษาลาติน ที่มีความหมายถึง บ้าน
เชื่อว่าเป็นเหมือนดังฉลองพระองค์ที่พวกทหารเอามาจับสลากแบ่งกัน
ทั้งเป็นสัญญลักษณ์ของความมีใจเมตตาขององค์พระเยซูเจ้า
เป็นสัญญลักษณ์ของแอก หรือภาระ อันอ่อนหวาน และ บางเบา
เพราะเต็มไปด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ขององค์พระเยซูเจ้าที่มอบให้กับเรา
ก่อนสวม ก็ต้องสวดอีกบทเหมือนกัน
ทั้งยังมีหลายสี เขียว แดง ม่วง ทอง หรือขาว เปลี่ยนไปตามแต่ละเทศกาล
ที่จริง ก็ยังมีผ้าคล้องมือพระสงฆ์อีกอย่างด้วยนะ เคยเห็นในภาพเก่าๆ
แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นกันแล้ว
ดังนั้น ที่เซราฟิมพูดถึงความหมายของการที่พระสงฆ์เดินออกมาในตอนเริ่มพิธี
ว่าเป็นเสมือนการที่พระเยซูเจ้าถูกจับตัวออกมา ผมว่าจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไหร่
เพราะ อาภรณ์พระสงฆ์ที่สวมใส่ มันก็ล้วนเป็นสัญญลักษณ์ที่สื่อถึงพระทรมานของ
พระเยซูเจ้าแทบทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้น
มันก็เลยไม่น่าแปลก ถ้าอาจจะมีคนที่อยากจะพรรณาภาพของพระสงฆ์ที่กำลังเดินออกมา
ว่าไม่ต่างไปจากพระเยซูเจ้าที่ยอมให้เค้าจับออกมา เพื่อถวายตัวเองเป็นดังเครื่องบูชา
แต่ความเห็นส่วนตัวแล้ว นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพๆหนึ่ง
ที่คนๆ หนึ่งอยากจะสื่อความหมายส่วนตัวออกมาก็เท่านั้น
แต่มันคงไม่ได้เป็นความหมายที่พระศาสนจักรต้องการตั้งใจจะสื่อ
เพราะที่จริงแล้ว ภาคเริ่มพิธีนั้น ล้วนมีจุดประสงค์เดียวก็คือ
การพยายามเตรียมจิตใจผู้ร่วมพิธีทุกคนให้พร้อมที่จะรับฟังพระวาจาของพระเจ้า
ส่วนที่ว่า ใครจะไปมองพระสงฆ์ที่เดินออกมานั้น เป็นเสมือนพระเยซูเจ้า
ที่กำลังจะมอบตัวเองเป็นเครื่องบูชา เป็นดังลูกแกะที่พร้อมจะถูกถวาย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้เป็นการตีความหมายที่ผิดแต่อย่างใด (ยกเว้นเรื่องเด็กช่วยมิสซานะ)
เพราะแน่นอนว่าพระสงฆ์ ขณะที่ประกอบพิธี ก็คือองค์พระเยซูเจ้า
และเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็คือพระวรกายของพระองค์เอง
ตามความเชื่อของคาทอลิก
(ยิ่งวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระสงฆ์ใส่กาซูลาสีแดงเดินออกมา
แล้วนอนหมอบราบอยู่หน้าพระแท่น ภาพนี้ยิ่งเห็นชัดมาก)
แต่ถ้าพูดถึงภาคเริ่มพิธี ผมว่ามันขัดๆ ยังงัยอยู่ชอบกลนะ ว่าไหม
ที่คริสตชนเมื่อมารวมตัวกัน พวกเขามีความสุขที่ได้มาเจอกัน
มาอยู่ร่วมกันในพระเป็นเจ้า และแล้วภาพนี้ก็ต้องถูกเบรคทันที
ที่พระสงฆ์เดินออกมา เหมือนภาพพระเยซูเจ้าถูกจับกุมตัวเดินออกมา
ดังนั้น ส่วนตัวแล้ว ผมว่าพระศาสนจักรไม่ได้ต้องการสื่อภาพนี้ในตอนเริ่มพิธีมั๊ง
ศูนย์รวมของภาคเริ่มพิธี ผมว่าคือการทำให้เราได้ตระหนักถึงว่า
เราทุกคนก็คือพี่น้องกัน พวกเราเป็นประชากรเดียวกันในพระคริสตเจ้า
หรือนั่นก็คือ พระวรกายเดียวกันกับของพระองค์ ผู้ทรงไถ่บาปให้กับเรา
ไม่ใช่ภาพของประชาชนที่มามุงดูนักโทษคนหนึ่งเดินออกมา
แต่มันน่าจะเป็นภาพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากกว่าซึ่งเสด็จมา
ประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์
(มีกลิ่นกำยาน ในช่วงเริ่มพิธี อันเป็นของใช้สำหรับกษัตริย์)
การจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เสนอว่า ควรจะเริ่มจาก
การพยายามแยกให้ออกว่าอะไรคือ signs อะไรเป็น symbol
มีประโยคหนึ่งที่ติดหูมากๆ เวลาอ่านเรื่องพวกนี้ก็คือ
All symbols are signs, but not all signs are symbols.
ที่จริง ผมเองก็ไม่ค่อยจะศึกษาหรือสนใจเรื่องพิธีกรรมมากซักเท่าไหร่
ให้ Andreas ถามพ่อที่ศึกษาด้านพิธีกรรมมาโดยตรง น่าจะชัดเจนกว่า
ที่อยากจะสรุปก็คือ ในพิธีบูชามิสซาล้วนเต็มไปด้วย signs และ symbol
ถ้าเราหมั่นขวนขวาย หาความรู้เพิ่มเติม ก็จะเป็นประโยชน์มากๆ
จำได้ว่า เคยได้ยินเด็กคนหนึ่งถามพ่อแม่ของเค้าเวลาที่พระสงฆ์
โยนกำยานบนแท่นว่า "คุณพ่อเค้าทำอะไรอยู่อะ...เหม็นอะ"
ก็เห็นพ่อแม่เค้าได้แต่ยิ้มๆ
(ผมคิดอยู่ในใจว่า นี่เค้าจะมีคำตอบให้เด็กไหมน๊อ)
น่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีกว่า เพราะเนื้อหาเรื่องพวกนี้ ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ
แค่เรื่องอาภรณ์พระสงฆ์เรื่องเดียว นี่ก็เต็มไปด้วยความหมายเยอะแยะแล้ว
อาภรณ์พระสงฆ์ที่ใส่ในเวลาประกอบพิธีมิสซานั้น ล้วนแต่เป็นสัญญลักษณ์
ที่มีความสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าทั้งสิ้น ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ล้วนถือเป็นสัญญลักษณ์
สื่อถึงพระทรมานศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าทั้งนั้น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ
การสวมพระคริสตเจ้าออกมาอยู่ต่อหน้าประชากรของพระเป็นเจ้านั่นเอง
เริ่มจาก อัลบา ที่มาจากภาษาลาติน หมายถึง ความขาว เป็นสัญลักษณ์ของ
การถูกชำระให้ขาวสะอาดด้วยแสงสว่างขององค์พระเยซูเจ้า
ก่อนที่พระสงฆ์จะสวมอัลบา ก็จะต้องมีบทสวดก่อนสวมด้วย
(แต่ไม่รู้ว่าสวดว่าอะไร) คล้ายๆกับจะเป็นการขอให้ชำระจิตใจตนเองให้สะอาด
ให้บริสุทธิ์เหมือนดั่งพระโลหิตของพระชุมพา อะไรทำนองนี้อะ
ต่อมา คือ เชือก หรือรัดปะคตที่ผูกรอบเอว
ที่จริงก็อาจมีจุดประสงฆ์เพื่อความสะดวกในการเดินด้วยแหละ เพราะ
อัลบาของพระสงฆ์ค่อนข้างใหญ่ ลุ่มล่าม ก็อาจไม่ค่อยสะดวกนัก
เชือกนี้ยังเป็นสัญญลักษณ์ของการผูกมัดพระเยซูเจ้าติดกับเสาระหว่างที่ถูกเฆี่ยนตี
ยังเป็นการเตือนใจผู้สวมให้จริงจังกับการรักษาชีวิตจิตให้บริสุทธิ์ และเข้มแข็ง
ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายต่างๆ
จะรัดเชือกรอบเอว พระสงฆ์ก็ต้องสวดอีกเหมือนกัน อีกหนึ่งบทสั้นๆ
ต่อมา สตอลา เป็นผ้าที่ใช้คล้องคอ ตามธรรมเนียมแล้ว สตอลาจะสวมไว้ใต้กาซูลา
แต่สมัยนี้ บางทีก็อาจเห็นบางแห่งจัดให้สตอลาถูกสวมบนกาซูลาก็มี
ตามธรรมเนียม จะมีลายคาดอยู่ระหว่างอกอันเป็นเสมือนกางเขนของพระเยซูเจ้า
ทั้งยังเป็นเหมือนเข็มขัดของทหารโรมัน ที่มีดาบห้อยอยู่
เตือนใจพระสงฆ์ถึงภาระหน้าที่ของการประกาศพระวาจาของพระเจ้า
เป็นดังทหารของพระเยซูเจ้าต่อสู้กับอำนาจบาปและซาตาน
ก่อนสวม ก็ต้องสวดอีกบทเหมือนกัน
สุดท้าย กาซูลา อันเป็นอาภรณ์ชิ้นนอกสุด มาจากภาษาลาติน ที่มีความหมายถึง บ้าน
เชื่อว่าเป็นเหมือนดังฉลองพระองค์ที่พวกทหารเอามาจับสลากแบ่งกัน
ทั้งเป็นสัญญลักษณ์ของความมีใจเมตตาขององค์พระเยซูเจ้า
เป็นสัญญลักษณ์ของแอก หรือภาระ อันอ่อนหวาน และ บางเบา
เพราะเต็มไปด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ขององค์พระเยซูเจ้าที่มอบให้กับเรา
ก่อนสวม ก็ต้องสวดอีกบทเหมือนกัน
ทั้งยังมีหลายสี เขียว แดง ม่วง ทอง หรือขาว เปลี่ยนไปตามแต่ละเทศกาล
ที่จริง ก็ยังมีผ้าคล้องมือพระสงฆ์อีกอย่างด้วยนะ เคยเห็นในภาพเก่าๆ
แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นกันแล้ว
ดังนั้น ที่เซราฟิมพูดถึงความหมายของการที่พระสงฆ์เดินออกมาในตอนเริ่มพิธี
ว่าเป็นเสมือนการที่พระเยซูเจ้าถูกจับตัวออกมา ผมว่าจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไหร่
เพราะ อาภรณ์พระสงฆ์ที่สวมใส่ มันก็ล้วนเป็นสัญญลักษณ์ที่สื่อถึงพระทรมานของ
พระเยซูเจ้าแทบทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้น
มันก็เลยไม่น่าแปลก ถ้าอาจจะมีคนที่อยากจะพรรณาภาพของพระสงฆ์ที่กำลังเดินออกมา
ว่าไม่ต่างไปจากพระเยซูเจ้าที่ยอมให้เค้าจับออกมา เพื่อถวายตัวเองเป็นดังเครื่องบูชา
แต่ความเห็นส่วนตัวแล้ว นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพๆหนึ่ง
ที่คนๆ หนึ่งอยากจะสื่อความหมายส่วนตัวออกมาก็เท่านั้น
แต่มันคงไม่ได้เป็นความหมายที่พระศาสนจักรต้องการตั้งใจจะสื่อ
เพราะที่จริงแล้ว ภาคเริ่มพิธีนั้น ล้วนมีจุดประสงค์เดียวก็คือ
การพยายามเตรียมจิตใจผู้ร่วมพิธีทุกคนให้พร้อมที่จะรับฟังพระวาจาของพระเจ้า
ส่วนที่ว่า ใครจะไปมองพระสงฆ์ที่เดินออกมานั้น เป็นเสมือนพระเยซูเจ้า
ที่กำลังจะมอบตัวเองเป็นเครื่องบูชา เป็นดังลูกแกะที่พร้อมจะถูกถวาย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้เป็นการตีความหมายที่ผิดแต่อย่างใด (ยกเว้นเรื่องเด็กช่วยมิสซานะ)
เพราะแน่นอนว่าพระสงฆ์ ขณะที่ประกอบพิธี ก็คือองค์พระเยซูเจ้า
และเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็คือพระวรกายของพระองค์เอง
ตามความเชื่อของคาทอลิก
(ยิ่งวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระสงฆ์ใส่กาซูลาสีแดงเดินออกมา
แล้วนอนหมอบราบอยู่หน้าพระแท่น ภาพนี้ยิ่งเห็นชัดมาก)
แต่ถ้าพูดถึงภาคเริ่มพิธี ผมว่ามันขัดๆ ยังงัยอยู่ชอบกลนะ ว่าไหม
ที่คริสตชนเมื่อมารวมตัวกัน พวกเขามีความสุขที่ได้มาเจอกัน
มาอยู่ร่วมกันในพระเป็นเจ้า และแล้วภาพนี้ก็ต้องถูกเบรคทันที
ที่พระสงฆ์เดินออกมา เหมือนภาพพระเยซูเจ้าถูกจับกุมตัวเดินออกมา
ดังนั้น ส่วนตัวแล้ว ผมว่าพระศาสนจักรไม่ได้ต้องการสื่อภาพนี้ในตอนเริ่มพิธีมั๊ง
ศูนย์รวมของภาคเริ่มพิธี ผมว่าคือการทำให้เราได้ตระหนักถึงว่า
เราทุกคนก็คือพี่น้องกัน พวกเราเป็นประชากรเดียวกันในพระคริสตเจ้า
หรือนั่นก็คือ พระวรกายเดียวกันกับของพระองค์ ผู้ทรงไถ่บาปให้กับเรา
ไม่ใช่ภาพของประชาชนที่มามุงดูนักโทษคนหนึ่งเดินออกมา
แต่มันน่าจะเป็นภาพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากกว่าซึ่งเสด็จมา
ประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์
(มีกลิ่นกำยาน ในช่วงเริ่มพิธี อันเป็นของใช้สำหรับกษัตริย์)
การจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เสนอว่า ควรจะเริ่มจาก
การพยายามแยกให้ออกว่าอะไรคือ signs อะไรเป็น symbol
มีประโยคหนึ่งที่ติดหูมากๆ เวลาอ่านเรื่องพวกนี้ก็คือ
All symbols are signs, but not all signs are symbols.
ที่จริง ผมเองก็ไม่ค่อยจะศึกษาหรือสนใจเรื่องพิธีกรรมมากซักเท่าไหร่
ให้ Andreas ถามพ่อที่ศึกษาด้านพิธีกรรมมาโดยตรง น่าจะชัดเจนกว่า
ที่อยากจะสรุปก็คือ ในพิธีบูชามิสซาล้วนเต็มไปด้วย signs และ symbol
ถ้าเราหมั่นขวนขวาย หาความรู้เพิ่มเติม ก็จะเป็นประโยชน์มากๆ
จำได้ว่า เคยได้ยินเด็กคนหนึ่งถามพ่อแม่ของเค้าเวลาที่พระสงฆ์
โยนกำยานบนแท่นว่า "คุณพ่อเค้าทำอะไรอยู่อะ...เหม็นอะ"
ก็เห็นพ่อแม่เค้าได้แต่ยิ้มๆ
(ผมคิดอยู่ในใจว่า นี่เค้าจะมีคำตอบให้เด็กไหมน๊อ)
ตอนที่พระสงฆ์รินน้ำลงไปในเหล้าองุ่น น้ำคือเรา เรามีส่วนร่วมในความศักดิ์สิทธิ์กับพระองค์ และก็ตอนหักปังคือตอนที่พระเยซูเจ้าสิืนพระชนม์ และตอนที่พระสงฆ์บิปังเล็กๆลงไปในเหล้าองุ่น ตอนนั้นคือพระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนม์ชีพ 
ทั้งมิสซารู้แค่นี้

ทั้งมิสซารู้แค่นี้

คำว่า"มิสซา" แปลว่า การส่งออกไป ในพิธีบูชาขอบพระคุณภาษาลาตินตอนจบพิธี พระสงฆ์จะกล่าวประโยคสุดท้ายว่า "Ite missa est." อีเต มิสซาแอสต์ แปลว่า"จงไปเถิด" สัตบุรุษจะตอบว่า "Deo Gratias" เดโอ กราซีอาส แปลว่า "ขอขอบพระคุณพระเจ้า"
ดังนั้นในปัจจุบันทางผู้ที่ดูแลงานด้านพิธีกรรมจึงพยายามทำความเข้าใจกับสัตบุรุษในเรื่องพิธีบูชาขอบพระคุณ ว่าไม่ควรเรียกว่าพิธีมิสซา เพราะเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากที่เรียกพิธีบูชาของพระคริสตเจ้าว่าคือการส่งออกไปเฉย ๆ ตามความหมายของคำว่า"มิสซา" ในความหมายของภาษาลาติน เพราะพิธีบูชาขอบพระคุณเป็นชีวิตของพระศาสนจักรในพระธรรมล้ำลึกปัสกาของพระคริสตเจ้า ในพิธีบูชาขอบพระคุณ พระเจ้าทรงตรัสกับเรามนุษย์ผ่านทางพระคัมภีร์ และพระวาจานั้นเองก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ถวายองค์เป็นบูชาบนไม้กางเขน และมอบพระองค์เองเป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณของเรา เราจึงต้องขอบพระคุณพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ ที่พระองค์ทรงมอบความรักให้แก่เรามากมายถึงเพียงนี้ นี่แหละคือเหตุผลของการเรียกว่า "พิธีบูชาขอบพระคุณ"
ดังนั้นในปัจจุบันทางผู้ที่ดูแลงานด้านพิธีกรรมจึงพยายามทำความเข้าใจกับสัตบุรุษในเรื่องพิธีบูชาขอบพระคุณ ว่าไม่ควรเรียกว่าพิธีมิสซา เพราะเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากที่เรียกพิธีบูชาของพระคริสตเจ้าว่าคือการส่งออกไปเฉย ๆ ตามความหมายของคำว่า"มิสซา" ในความหมายของภาษาลาติน เพราะพิธีบูชาขอบพระคุณเป็นชีวิตของพระศาสนจักรในพระธรรมล้ำลึกปัสกาของพระคริสตเจ้า ในพิธีบูชาขอบพระคุณ พระเจ้าทรงตรัสกับเรามนุษย์ผ่านทางพระคัมภีร์ และพระวาจานั้นเองก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ถวายองค์เป็นบูชาบนไม้กางเขน และมอบพระองค์เองเป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณของเรา เราจึงต้องขอบพระคุณพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ ที่พระองค์ทรงมอบความรักให้แก่เรามากมายถึงเพียงนี้ นี่แหละคือเหตุผลของการเรียกว่า "พิธีบูชาขอบพระคุณ"
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Batholomew เขียน: เปิดไม่ได้อ่ะครับ
แต่ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณหลาย ๆ

-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เปิดได้แล้วครับ ขอบคุณนะครับ:+: seraphim :+: เขียน:Batholomew เขียน: เปิดไม่ได้อ่ะครับ
แต่ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณหลาย ๆ
เปิดได้นะ ลองใหม่ดิ
ขอบคุณทุก ๆ คนด้วยนะครับ ได้ความรู้เยอะแยะเลย

-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
เคยอ่านหนังสือ ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน แปลโดย พ่อวิษณุ ธัญญอนันต์ ที่เอาเรื่องสาวกสองคนได้พบพระเยซูเจ้า ระหว่างทางเดินกลับเอ็มมานิอุส ( อาจจะจำเมืองผิดเล็กน้อยนะ) มาอธิบายเปรียบเทียบกับพิธีมิสซา น่าสนใจดีเหมิอนกัน
ในหนังสือ พูดถึงสาวกสองคน เดินคุยกันมาตามทางถึงสิ่งที่พวกเขาได้เจอ ก็คือ เหตุการร์ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน พวกเขาพุดคุย ปรับทุกข์ จิตใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง อาลัย และไร้ทิศทาง สับสนและ เจ็บปวด
เมื่อมาถึงระหว่างทาง ก็พบเจอชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นถามว่า พวกท่านคุยเรื่องอะไรกัน ทั้งสองคนจึงได้เล่าเรื่องของผู้ชายชาวนาซาแรต ที่ถูกตรึงกางเขน หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารแล้ว ชายแปลกหน้า ยังได้พูดถึงคำสอนในพระคัมภีร์ อีกหลายเรื่องทำให้ทั้งสองรู้สึกทึ่ง และประทับใจ
จึงได้ออกปากเชื้อเชิญ ให้มาพักที่บ้าน และทานข้าวด้วยกัน เมื่อชายคนนั้น หยิบขนมปังขึ้น แล้วบิ ออก เขาทั้งสองก็จำได้ทันที ว่าชายที่เขาร่วมพูดคุยอยู่นี่ คือพระเยซู ที่พวกเขารักและอาลัยอยู่เสมอมา
ซึ่งเมื่อเทียบกับมิสซาก็คือ หลังจากที่พระเยซุสิ้นพระชนม์ เรารู้สึกถึงความทุกข์ทรมาน และร่ำร้องขอความเมตตาจากพระเป็นเจ้า จากนั้นเราก็ฟังบทอ่าน ซึ่งก็คือ การที่สาวกฟังพระเยซุตรัสสอนเรื่องพระคัมภีร์ แต่เราก็เหมือนสาวกเหล่านั้นคือ จำพระเยซูเจ้าไม่ได้ แต่ความประทับใท่ได้รับจากการฟัง ก็ทำให้เราอยากจะอยู่ด้วย จนเมื่อพระองค์บิปัง ก็คือ การที่พระสงฆ์ หักแผ่นปัง เราจะจำได้ และรู้สึกเร่าร้อนระอุด้วยความรักและความเชื่อ จนอยากให้พระองค์อยู่ด้วยไม่อยากไปไหน
ชักออกอ่าวแฮะ อยากให้ลองไปหาอ่านดูค่ะ ทำให่เราร่วมมิสซาอย่างมีความหมายมากขึ้น และด้วยใจที่เร่าร้อนมากขึ้นด้วย
ในหนังสือ พูดถึงสาวกสองคน เดินคุยกันมาตามทางถึงสิ่งที่พวกเขาได้เจอ ก็คือ เหตุการร์ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน พวกเขาพุดคุย ปรับทุกข์ จิตใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง อาลัย และไร้ทิศทาง สับสนและ เจ็บปวด
เมื่อมาถึงระหว่างทาง ก็พบเจอชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นถามว่า พวกท่านคุยเรื่องอะไรกัน ทั้งสองคนจึงได้เล่าเรื่องของผู้ชายชาวนาซาแรต ที่ถูกตรึงกางเขน หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารแล้ว ชายแปลกหน้า ยังได้พูดถึงคำสอนในพระคัมภีร์ อีกหลายเรื่องทำให้ทั้งสองรู้สึกทึ่ง และประทับใจ
จึงได้ออกปากเชื้อเชิญ ให้มาพักที่บ้าน และทานข้าวด้วยกัน เมื่อชายคนนั้น หยิบขนมปังขึ้น แล้วบิ ออก เขาทั้งสองก็จำได้ทันที ว่าชายที่เขาร่วมพูดคุยอยู่นี่ คือพระเยซู ที่พวกเขารักและอาลัยอยู่เสมอมา
ซึ่งเมื่อเทียบกับมิสซาก็คือ หลังจากที่พระเยซุสิ้นพระชนม์ เรารู้สึกถึงความทุกข์ทรมาน และร่ำร้องขอความเมตตาจากพระเป็นเจ้า จากนั้นเราก็ฟังบทอ่าน ซึ่งก็คือ การที่สาวกฟังพระเยซุตรัสสอนเรื่องพระคัมภีร์ แต่เราก็เหมือนสาวกเหล่านั้นคือ จำพระเยซูเจ้าไม่ได้ แต่ความประทับใท่ได้รับจากการฟัง ก็ทำให้เราอยากจะอยู่ด้วย จนเมื่อพระองค์บิปัง ก็คือ การที่พระสงฆ์ หักแผ่นปัง เราจะจำได้ และรู้สึกเร่าร้อนระอุด้วยความรักและความเชื่อ จนอยากให้พระองค์อยู่ด้วยไม่อยากไปไหน
ชักออกอ่าวแฮะ อยากให้ลองไปหาอ่านดูค่ะ ทำให่เราร่วมมิสซาอย่างมีความหมายมากขึ้น และด้วยใจที่เร่าร้อนมากขึ้นด้วย
กิริยาในมิสซามีความหมายเกือบทุกกรณี
ที่เคยได้ทราบมาเช่น การที่พระสงฆ์ยกมือขึ้น และสวดว่า พระเจ้าสถิตย์กับท่าน
การยกมือขึ้นสวด เป็นกิริยาการสวดที่ตกทอดมาจากชาวยิวโบราณที่สวดขอต่อพระเจ้า
และเมื่อสมัยก่อนพระสงฆ์จะต้องยกมือขึ้นสูงเหนือไหล่ระดับศีรษะ กางออกทำมุมเท่านั้นเท่านี้
เป็นกฏที่เคร่งครัดมาก ปัจจุบันไม่เข้มงวดกับเรื่องนี้เท่าใด
จะเห็นว่าบางองค์ก็ยกมือขึ้นนิดเดียว บางองค์ก็กางแขนออกกว้าง
แต่รายละเอียดมากๆ ต้องถามพระสงฆ์ที่อายุเกิน 60 ปีน่าจะได้คำตอบดีที่สุด
ที่เคยได้ทราบมาเช่น การที่พระสงฆ์ยกมือขึ้น และสวดว่า พระเจ้าสถิตย์กับท่าน
การยกมือขึ้นสวด เป็นกิริยาการสวดที่ตกทอดมาจากชาวยิวโบราณที่สวดขอต่อพระเจ้า
และเมื่อสมัยก่อนพระสงฆ์จะต้องยกมือขึ้นสูงเหนือไหล่ระดับศีรษะ กางออกทำมุมเท่านั้นเท่านี้
เป็นกฏที่เคร่งครัดมาก ปัจจุบันไม่เข้มงวดกับเรื่องนี้เท่าใด
จะเห็นว่าบางองค์ก็ยกมือขึ้นนิดเดียว บางองค์ก็กางแขนออกกว้าง
แต่รายละเอียดมากๆ ต้องถามพระสงฆ์ที่อายุเกิน 60 ปีน่าจะได้คำตอบดีที่สุด
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi



บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายที่แท้จริงของพิธี