ไบเบิลและโบราณคดี (ตอนที่๒)โบราณคดีและปฐมกาล
บันทึกแสดงอะไร
เมื่อ๑ ศต.มาแล้ว ดาร์วิล ล้ำหน้าไปสู่ทางเลือกอีกทางหนึ่ง ของเรื่องราวตามคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการสร้าง คาร์น มาร์ค ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยม ซึ่งกล่าวว่าเรื่องใดๆ มีอยู่แล้วและไม่ต้องการผู้สร้าง สิ่งนี้ทำให้ผู้ติดตามของเขามีทางเลือกให้เชื่อพระเจ้า(หรือไม่เชื่อพระเจ้า) ดังนั้น การวิจารณ์เป็นตัวอักษรเน้นที่ความหยั่งรู้ไบเบิลและเริ่มต้นความพยายามที่จะฉีกไบเบิลออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การวิจารณ์เป็นข้อเขียนต่างๆบอกว่า ไบเบิลเต็มไปด้วยเรื่องนิยายและแต่งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากปีที่กล่าวไว้มาก
ตามที่นักวิชาการคนหนึ่งอธิบาย มนุษย์เริ่มคิดถึงตนเอง แทนที่จะนึกถึงพระเจ้า ว่าเป็นศูนย์กลางของเอกภพ"ความคิดเรื่องวิวัฒนาการเสริมแต่งความคิดของยุคนั้นและคิดว่าเป็นความคิดที่เป็นสิ่งที่เปิดเผยที่สุด ที่จะเข้าใจวิทยาศาสตร์รวมทั้งธรรมชาติ ศาสนาถูกกล่าวถึงจากจุดยืนของประโยชน์ของศาสนาในตัวมันเองต่อมนุษย์ ความเป็นไปได้ ทุกประการของการเปิดเผยพิเศษจากพระเจ้าที่เป็บบุคคลไม่ถูกนับเข้าไว้ และเรื่องศาสนาของคนได้รับการอธิบายโดยกระบวนการธรรมชาติ พวกเขาอธิบายว่า ศาสนาของ ชาวอิสราเอลจำต้องพัฒนาไปในแนวคล้ายกัน"
เมื่อเข้าศต.ที่๒๐ กระแสการวิจารณ์กัดกร่อนความเชื่อในความจริงที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเรื่องราวตามพระคัมภีร์ จากนั้นก็มาถึงเรื่องราวเป็นลำดับๆของการค้นพบทางโบราณคดีที่เห็นได้ชัด โบราณคดีเริ่มต้นในศต.ที่๑๙ แต่มามีผลเต็มที่ในศต.ที่๒๐ การวิจารณ์ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของไบเบิล เผชิญกับการทดสอบหลักฐานทางกายภาพ เพื่อความเป็นจริงของเรื่องราวที่แน่นอน
เมื่อ๑ ศต.มาแล้ว ดาร์วิล ล้ำหน้าไปสู่ทางเลือกอีกทางหนึ่ง ของเรื่องราวตามคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการสร้าง คาร์น มาร์ค ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยม ซึ่งกล่าวว่าเรื่องใดๆ มีอยู่แล้วและไม่ต้องการผู้สร้าง สิ่งนี้ทำให้ผู้ติดตามของเขามีทางเลือกให้เชื่อพระเจ้า(หรือไม่เชื่อพระเจ้า) ดังนั้น การวิจารณ์เป็นตัวอักษรเน้นที่ความหยั่งรู้ไบเบิลและเริ่มต้นความพยายามที่จะฉีกไบเบิลออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การวิจารณ์เป็นข้อเขียนต่างๆบอกว่า ไบเบิลเต็มไปด้วยเรื่องนิยายและแต่งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากปีที่กล่าวไว้มาก
ตามที่นักวิชาการคนหนึ่งอธิบาย มนุษย์เริ่มคิดถึงตนเอง แทนที่จะนึกถึงพระเจ้า ว่าเป็นศูนย์กลางของเอกภพ"ความคิดเรื่องวิวัฒนาการเสริมแต่งความคิดของยุคนั้นและคิดว่าเป็นความคิดที่เป็นสิ่งที่เปิดเผยที่สุด ที่จะเข้าใจวิทยาศาสตร์รวมทั้งธรรมชาติ ศาสนาถูกกล่าวถึงจากจุดยืนของประโยชน์ของศาสนาในตัวมันเองต่อมนุษย์ ความเป็นไปได้ ทุกประการของการเปิดเผยพิเศษจากพระเจ้าที่เป็บบุคคลไม่ถูกนับเข้าไว้ และเรื่องศาสนาของคนได้รับการอธิบายโดยกระบวนการธรรมชาติ พวกเขาอธิบายว่า ศาสนาของ ชาวอิสราเอลจำต้องพัฒนาไปในแนวคล้ายกัน"
เมื่อเข้าศต.ที่๒๐ กระแสการวิจารณ์กัดกร่อนความเชื่อในความจริงที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเรื่องราวตามพระคัมภีร์ จากนั้นก็มาถึงเรื่องราวเป็นลำดับๆของการค้นพบทางโบราณคดีที่เห็นได้ชัด โบราณคดีเริ่มต้นในศต.ที่๑๙ แต่มามีผลเต็มที่ในศต.ที่๒๐ การวิจารณ์ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของไบเบิล เผชิญกับการทดสอบหลักฐานทางกายภาพ เพื่อความเป็นจริงของเรื่องราวที่แน่นอน
นักเขียนคนหนึ่ง จอห์น เอดเลอร์ มีความเห็นว่า การศึกษาโบราณคดี จำต้องกระทำกับระดับความลาดเอียงอย่างมาก ในใจของคนหลายๆคน ที่มีเบื้องหลังชื่นชอบความเชื่อถือได้ของพระคัมภีร์" จากเล็กๆจนมากขึ้นๆ ,เมืองแล้วเมืองเล่า, ความเจริญแล้วความเจริญเล่า ,วัฒนธรรมแล้ววัฒนธรรมเล่า ความทรงจำเหล่านั้นมีค่าอยู่ในไบเบิลเท่านั้น ,ถูกรวบรวมไว้อีกครั้งตามสถานที่เหมาะสมในประวัติศาสตร์โบราณจากการศึกษาโดยนักโบราณคดี.......ไม่มีการค้นพบทางโบราณคดีใดขัดแย้งกับไบเบิลในเรื่องประวัติศาสตร์
ในบทนี้เราจะมองที่การค้นพบอันน่าประหลาดใจเมื่อ๒ ร้อยปีที่ผ่านมาและแสดงให้เห็นว่าหลักฐานทางวัตถุยืนยันมุมมองของบันทึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์อย่างไร
เมื่อลูกาเขียนพระธรรม ที่มีชื่อของเขา เขาวางหลักฐานที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของพระเยซูคริสต์และอัศจรรย์ของพระองค์ รวมทั้งการฟื้นคืนพระชนม์ เขาต้องการให้เรื่องราวของเขาพบกับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ของผู้สงสัย ลูกากล่าวว่า เขาตั้งใจเขียน"เรื่องราวตามลำดับ(ลูกา๑ข้อ๑-๔) ดังนั้นผู้อ่านของเขาควร"รู้แน่นอนถึงสิ่งเหล่านั้น ที่ซึ่งคุณจะได้รับการแนะนำ"
ดังนั้น ลูกาดำเนินการ ขยายความเรื่องราวของเขา ด้วยการกล่าวถึงเรื่องอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองร่วมสมัยของจูดาและจักรพรรดิ์จักรวรรดิโรมัน
เพราะว่าจำนวนของการค้นพบ,เราไม่สามารถตรวจสอบหลักฐานได้ทั้งหมดที่นี่ อย่างไรก็ตาม เราจะกล่าวถึงการค้นพบหลักฐานบางอย่างที่เป็นส่วนสนับสนุนยืนยันบันทึกตามพระคัมภีร์เรื่องปฐมกาล
ในบทนี้เราจะมองที่การค้นพบอันน่าประหลาดใจเมื่อ๒ ร้อยปีที่ผ่านมาและแสดงให้เห็นว่าหลักฐานทางวัตถุยืนยันมุมมองของบันทึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์อย่างไร
เมื่อลูกาเขียนพระธรรม ที่มีชื่อของเขา เขาวางหลักฐานที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของพระเยซูคริสต์และอัศจรรย์ของพระองค์ รวมทั้งการฟื้นคืนพระชนม์ เขาต้องการให้เรื่องราวของเขาพบกับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ของผู้สงสัย ลูกากล่าวว่า เขาตั้งใจเขียน"เรื่องราวตามลำดับ(ลูกา๑ข้อ๑-๔) ดังนั้นผู้อ่านของเขาควร"รู้แน่นอนถึงสิ่งเหล่านั้น ที่ซึ่งคุณจะได้รับการแนะนำ"
ดังนั้น ลูกาดำเนินการ ขยายความเรื่องราวของเขา ด้วยการกล่าวถึงเรื่องอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองร่วมสมัยของจูดาและจักรพรรดิ์จักรวรรดิโรมัน
เพราะว่าจำนวนของการค้นพบ,เราไม่สามารถตรวจสอบหลักฐานได้ทั้งหมดที่นี่ อย่างไรก็ตาม เราจะกล่าวถึงการค้นพบหลักฐานบางอย่างที่เป็นส่วนสนับสนุนยืนยันบันทึกตามพระคัมภีร์เรื่องปฐมกาล
ตราประทับการล่อลวง
ตราประทับเป็นการใช้ แบบการเขียนที่โบราณมากที่สุด ใช้ประทับเพื่อรับรองเอกสาร ,เพื่อแสดงอำนาจ ในบางโอกาสใช้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ การประทับตราสมัยแรกสุดทำด้วยดินเหนียว ทำเป็นเครื่องหมายหรือเขียนไว้บนตรา และบางตราประทับกลายเป็นของแข็งเมื่อเวลาผ่านไปหรือถูกย่างไฟเมื่อไฟไหม้ทั้งเมือง เนื่องจากตราประทับทำด้วยดินเหนียว พวกมันจึงหลงเหลืออยู่ยาวนานกว่าบันทึกที่เขียนบนแผ่นปาปิรัสหรือแผ่นหนัง
นักโบราณคดีกำหนดอายุ ตราประทับบางแผ่นที่ได้พบว่ามีอายุประมาณ ๕๐๐๐ปี พวกมันเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงจำนวนไม่กี่ชิ้น ที่ให้หลักฐานอย่างมั่งคงถึงความเชื่อของผู้คน ตอนเริ่มมีความเจริญรุ่งเรือง ตราประทับที่ถูกค้นพบนั้นยืนยันเรื่องราวตามพระคัมภีร์หลายอย่างรวมทั้งบางตอนในปฐมกาล
บทแรกของพระธรรมปฐมกาล ครอบคลุมเรื่องการสร้างมนุษยชาติและการล่อลวง ที่ชักนำเอดัมเข้าสู่ความบาป พระเจ้าให้กฏระเบียบที่แน่นอนบางอย่าง
(ยังมีต่อ)
ตราประทับเป็นการใช้ แบบการเขียนที่โบราณมากที่สุด ใช้ประทับเพื่อรับรองเอกสาร ,เพื่อแสดงอำนาจ ในบางโอกาสใช้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ การประทับตราสมัยแรกสุดทำด้วยดินเหนียว ทำเป็นเครื่องหมายหรือเขียนไว้บนตรา และบางตราประทับกลายเป็นของแข็งเมื่อเวลาผ่านไปหรือถูกย่างไฟเมื่อไฟไหม้ทั้งเมือง เนื่องจากตราประทับทำด้วยดินเหนียว พวกมันจึงหลงเหลืออยู่ยาวนานกว่าบันทึกที่เขียนบนแผ่นปาปิรัสหรือแผ่นหนัง
นักโบราณคดีกำหนดอายุ ตราประทับบางแผ่นที่ได้พบว่ามีอายุประมาณ ๕๐๐๐ปี พวกมันเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงจำนวนไม่กี่ชิ้น ที่ให้หลักฐานอย่างมั่งคงถึงความเชื่อของผู้คน ตอนเริ่มมีความเจริญรุ่งเรือง ตราประทับที่ถูกค้นพบนั้นยืนยันเรื่องราวตามพระคัมภีร์หลายอย่างรวมทั้งบางตอนในปฐมกาล
บทแรกของพระธรรมปฐมกาล ครอบคลุมเรื่องการสร้างมนุษยชาติและการล่อลวง ที่ชักนำเอดัมเข้าสู่ความบาป พระเจ้าให้กฏระเบียบที่แน่นอนบางอย่าง
(ยังมีต่อ)
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
Lost Lamb เขียน: ??? บทความน่าสนใจ แต่บางอย่างยังไม่*ใจเลย
ไม่เข้าใจตรงไหนคะ
ก๊อปมาแปะเลย....หลายๆท่านน่าจะสามารถอธิบายได้ ;)
คุณLost Lamb
ไม่เข้าใจหรือให้อธิบายตรงไหน บอกได้เลย ครับ เหมือนที่คุณลิตเติล แลมป์ บอก ถ้าผมอธิบาย ไม่ได้ เดี๋ยวจะขอให้ คุณโปรดปราน มาอธิบายแทน
อันที่จริงบทความนี้มีรูปประกอบด้วย แต่อยู่ในโปรแกรม Acrobat เดี๋ยว ท้ายเรื่องจะlink ให้ (ถ้าไม่ลืม หรือแกล้งลืม)
ไม่เข้าใจหรือให้อธิบายตรงไหน บอกได้เลย ครับ เหมือนที่คุณลิตเติล แลมป์ บอก ถ้าผมอธิบาย ไม่ได้ เดี๋ยวจะขอให้ คุณโปรดปราน มาอธิบายแทน
อันที่จริงบทความนี้มีรูปประกอบด้วย แต่อยู่ในโปรแกรม Acrobat เดี๋ยว ท้ายเรื่องจะlink ให้ (ถ้าไม่ลืม หรือแกล้งลืม)
และอธิบายผลของการไม่เชื่อฟัง "และพระเจ้าบัญชาแก่คนว่า ต้นไม้ทุกต้นในสวนเจ้ากินได้ทุกต้น เว้นแต่ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว เจ้ากินไม่ได้ เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตายเป็นแน่ (ปฐมกาล๒ข้อ๑๖-๑๗)
ปฐมกาลให้ภาพการล่อลวง, ซาตานมีอิทธิพลต่อเอวาและชักชวนสามีของเธอ , อาดัม ให้ขัดขืนพระเจ้าผู้สร้างเขา พระเจ้าบอกอาดัมและเอวา ว่าถ้าพวกเขาจะตาย ถ้ากินผลแห่งต้นไม้ แต่งู พูดกับเอวา ว่า "พวกเขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน" ดังนั้น เอวาเข้ามีส่วนร่วม,พบความพึงพอใจจากผลแห่งต้นไม้นั้น จากนั้นได้ชักชวนสามีของเธอ "และเขาได้กิน" (ปฐมกาล๓ข้อ๑-๖)
เรื่องเหล่านี้ เป็นตำนานโบราณหรือ? นักวิจารณ์หลายคนคิดเช่นนั้น นักโบราณคดีได้ขุดค้น, ไม่ใช่ในอิสราเอลเกี่ยวกับเรื่องตามพระคัมภีร์,แต่ในสถานที่ทราบว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยโบราณ , ชาวสูเมอร์ ได้วาดภาพลำดับเหตุการณ์ตามที่บรรยายรายละเอียดในปฐมกาล ไว้บนตราประทับ การค้นพบนี้ รู้จักกันว่าเป็นตราประทับการล่อลวง(THE TEMPATION SEAL) ปัจจุบันตราประทับ นี้อยูในพิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ มีอายุราว ๓,๐๐๐ ปีก่อนคศ. หรือ๕,๐๐๐ ปีในปัจุบัน สิ่งประดิษฐ์นี้แสดงรูปชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่งกำลังมองดูต้นไม้ และหลังผู้หญิงมีรูปงู ตัวหนึ่ง. ผู้หญิงและผู้ชายนั้น ต่างก็มาเพื่อกินผลไม้
เรื่องราวของปฐมกาลเรื่องการล่อลวง ได้รับการเชื่อว่าเป็นสิ่งที่นักเขียนชาวยิวแต่งขึ้น ภาพวาดนี้ยังเป็นเหตุการณ์ที่พรรณาไว้ในปฐมกาล ซึ่งมีอยู่ก่อน เป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่นักวิจารณ์จะเชื่อว่ามีอยู่ในเรื่องปฐมกาล สิ่งประดิษฐ์นี้ เป็นหนึ่งของการบันทึกแรกสุดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์ทราบถึงความสำคัญของการล่อลวง ,ไม่เพียงแต่เรื่องตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ในปฐมกาลเท่านั้น
ปฐมกาลให้ภาพการล่อลวง, ซาตานมีอิทธิพลต่อเอวาและชักชวนสามีของเธอ , อาดัม ให้ขัดขืนพระเจ้าผู้สร้างเขา พระเจ้าบอกอาดัมและเอวา ว่าถ้าพวกเขาจะตาย ถ้ากินผลแห่งต้นไม้ แต่งู พูดกับเอวา ว่า "พวกเขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน" ดังนั้น เอวาเข้ามีส่วนร่วม,พบความพึงพอใจจากผลแห่งต้นไม้นั้น จากนั้นได้ชักชวนสามีของเธอ "และเขาได้กิน" (ปฐมกาล๓ข้อ๑-๖)
เรื่องเหล่านี้ เป็นตำนานโบราณหรือ? นักวิจารณ์หลายคนคิดเช่นนั้น นักโบราณคดีได้ขุดค้น, ไม่ใช่ในอิสราเอลเกี่ยวกับเรื่องตามพระคัมภีร์,แต่ในสถานที่ทราบว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยโบราณ , ชาวสูเมอร์ ได้วาดภาพลำดับเหตุการณ์ตามที่บรรยายรายละเอียดในปฐมกาล ไว้บนตราประทับ การค้นพบนี้ รู้จักกันว่าเป็นตราประทับการล่อลวง(THE TEMPATION SEAL) ปัจจุบันตราประทับ นี้อยูในพิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ มีอายุราว ๓,๐๐๐ ปีก่อนคศ. หรือ๕,๐๐๐ ปีในปัจุบัน สิ่งประดิษฐ์นี้แสดงรูปชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่งกำลังมองดูต้นไม้ และหลังผู้หญิงมีรูปงู ตัวหนึ่ง. ผู้หญิงและผู้ชายนั้น ต่างก็มาเพื่อกินผลไม้
เรื่องราวของปฐมกาลเรื่องการล่อลวง ได้รับการเชื่อว่าเป็นสิ่งที่นักเขียนชาวยิวแต่งขึ้น ภาพวาดนี้ยังเป็นเหตุการณ์ที่พรรณาไว้ในปฐมกาล ซึ่งมีอยู่ก่อน เป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่นักวิจารณ์จะเชื่อว่ามีอยู่ในเรื่องปฐมกาล สิ่งประดิษฐ์นี้ เป็นหนึ่งของการบันทึกแรกสุดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์ทราบถึงความสำคัญของการล่อลวง ,ไม่เพียงแต่เรื่องตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ในปฐมกาลเท่านั้น
ตราประทับอาดัมและเอวา
ตราประทับของชาวสุเมเรียนอีกอันหนึ่งมีอายุราว ๓๕๐๐ ปีก่อนคศ. และปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐ แสดงภาพเหตุการณ์ภายหลังจากที่มนุษย์กินผลไม้ต้องห้าม , ตราประทับนี้ แสดงภาพเปลือยของชายและหญิง, ก้มศีรษะอย่างถ่อมตัว ,ถูกขับไล่ออกมา มีงูใหญ่ตัวหนึ่งตามมา , ภาพยังแสดงให้เห็นถึงการถูกขับออกมาจากสวนเอเด็น "ฉะนั้นพระเจ้าได้บังคับเขา(อาดัม)ออกไปจากสวนเอเดน ไปสู่ดินที่พวกเขาเป็นขึ้นมา(ปฐมกาล๓ข้อ๒๓)
มันเป็นการยากที่จะอธิบาย ภาพ ๓ ภาพนี้ ที่แกะบนตราประทับที่มีอายุนับแต่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง ถ้าไม่ใช่เป็นการแสดงภาพของเรื่องราวตามปฐมกาล
ตราประทับของชาวสุเมเรียนอีกอันหนึ่งมีอายุราว ๓๕๐๐ ปีก่อนคศ. และปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐ แสดงภาพเหตุการณ์ภายหลังจากที่มนุษย์กินผลไม้ต้องห้าม , ตราประทับนี้ แสดงภาพเปลือยของชายและหญิง, ก้มศีรษะอย่างถ่อมตัว ,ถูกขับไล่ออกมา มีงูใหญ่ตัวหนึ่งตามมา , ภาพยังแสดงให้เห็นถึงการถูกขับออกมาจากสวนเอเด็น "ฉะนั้นพระเจ้าได้บังคับเขา(อาดัม)ออกไปจากสวนเอเดน ไปสู่ดินที่พวกเขาเป็นขึ้นมา(ปฐมกาล๓ข้อ๒๓)
มันเป็นการยากที่จะอธิบาย ภาพ ๓ ภาพนี้ ที่แกะบนตราประทับที่มีอายุนับแต่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง ถ้าไม่ใช่เป็นการแสดงภาพของเรื่องราวตามปฐมกาล
ตำนานน้ำท่วมโลก
"และน้ำได้เพิ่มมากขึ้นบนโลก และภูเขาสูงภายใต้ฟ้าที่ปกคลุม...และสิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งหมดที่ไหวกายได้ตามหมด"ปฐมกาล๗ข้อ๑๙,๒๑) หนึ่งในคำถามมากที่สุดของไบเบิล คือน้ำท่วมโลกสมัยโนอา , หนึ่งศต.มาแล้ว ที่นักวิจารณ์สายเสรีนิยมบอกว่ามันเป็นตำนานที่ประหลาดในไบเบิล.ในเวลาอีกหนึ่งร้อยปีต่อมานักโบราณคดี ขุดพบเรื่องราวที่เปิดเผยเรื่องน้ำท่วม ในตอนแรกสุดที่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง
การค้นพบที่ตื่นตาตื่นใจมากที่สุดอย่างหนึ่งคือมหากาพย์Gilgamesh บันทึกไว้บนแผ่นดินเหนียว ที่ได้รับการแปลโดยยอร์ค สมิธ ในปี ๑๘๗๒ แห่งพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ,แผ่นดินเหนียวบรรยายเรื่องน้ำท่วมจากมุมมองของชาวบาบิโลเนียน โบราณ , เป็นเรื่องที่คล้ายๆกับที่พบบนแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียน ซึ่งเป็นงานเขียนสมัยแรกที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ
"และน้ำได้เพิ่มมากขึ้นบนโลก และภูเขาสูงภายใต้ฟ้าที่ปกคลุม...และสิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งหมดที่ไหวกายได้ตามหมด"ปฐมกาล๗ข้อ๑๙,๒๑) หนึ่งในคำถามมากที่สุดของไบเบิล คือน้ำท่วมโลกสมัยโนอา , หนึ่งศต.มาแล้ว ที่นักวิจารณ์สายเสรีนิยมบอกว่ามันเป็นตำนานที่ประหลาดในไบเบิล.ในเวลาอีกหนึ่งร้อยปีต่อมานักโบราณคดี ขุดพบเรื่องราวที่เปิดเผยเรื่องน้ำท่วม ในตอนแรกสุดที่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง
การค้นพบที่ตื่นตาตื่นใจมากที่สุดอย่างหนึ่งคือมหากาพย์Gilgamesh บันทึกไว้บนแผ่นดินเหนียว ที่ได้รับการแปลโดยยอร์ค สมิธ ในปี ๑๘๗๒ แห่งพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ,แผ่นดินเหนียวบรรยายเรื่องน้ำท่วมจากมุมมองของชาวบาบิโลเนียน โบราณ , เป็นเรื่องที่คล้ายๆกับที่พบบนแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียน ซึ่งเป็นงานเขียนสมัยแรกที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ
เรื่องที่เป็นจริงมากที่สุดของเรื่องน้ำท่วมคือเรื่องใด(ระหว่างน้ำท่วมของชาวสุเมเรียนและชาวบาบิโลเนียน) นั่นตอบได้อย่างง่ายๆ,
ศจ.กลีนสัน อาร์เซอร์ บันทึกความแตกต่างของการบรรยายระหว่าง Gilgameshและgenesis ไว้ว่า มันยิ่งใหญ่เกินไปกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะหยิบยืมมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง เขาเขียนไว้ว่า "ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความปรารถนา,ความอิจฉา ความโลภของเทพเจ้าของชาวบาบิโลเนียน และความศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจสูงสุดของพระเยโฮวา ที่แตกต่างกันมากและมีลักษณะเฉพาะ" เขาเขียนต่อว่า" เหมือนกับความเป็นไปไม่ได้ของเรือรูปคล้ายกรวยและน้ำที่ท่วมไหลบ่าทั่วโลกเพียง ๑๔ วัน(ในมหากาพย์ กิลกาเมส) ที่ตรงกันข้ามกับมิติทางทะเลและการท่วมของน้ำอย่างสิ้นเชิงในบันทึกตามไบเบิล "(จากหนังสือความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับ การสำรวจพระคัมภีร์เดิม, ปี ๑๙๗๔ หน้า ๒๑๑)
เป็นที่ชัดเจนว่า มหากาพย์กิลลาเมสแสดงหลักฐานทุจริต.
(ยังมีต่อ)
ศจ.กลีนสัน อาร์เซอร์ บันทึกความแตกต่างของการบรรยายระหว่าง Gilgameshและgenesis ไว้ว่า มันยิ่งใหญ่เกินไปกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะหยิบยืมมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง เขาเขียนไว้ว่า "ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความปรารถนา,ความอิจฉา ความโลภของเทพเจ้าของชาวบาบิโลเนียน และความศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจสูงสุดของพระเยโฮวา ที่แตกต่างกันมากและมีลักษณะเฉพาะ" เขาเขียนต่อว่า" เหมือนกับความเป็นไปไม่ได้ของเรือรูปคล้ายกรวยและน้ำที่ท่วมไหลบ่าทั่วโลกเพียง ๑๔ วัน(ในมหากาพย์ กิลกาเมส) ที่ตรงกันข้ามกับมิติทางทะเลและการท่วมของน้ำอย่างสิ้นเชิงในบันทึกตามไบเบิล "(จากหนังสือความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับ การสำรวจพระคัมภีร์เดิม, ปี ๑๙๗๔ หน้า ๒๑๑)
เป็นที่ชัดเจนว่า มหากาพย์กิลลาเมสแสดงหลักฐานทุจริต.
(ยังมีต่อ)
แผ่นโบราณเหล่านี้ ไม่ใช่มีความหมายเพียงการยืนยันหลักฐานการเล่าเรื่องน้ำท่วมตามพระคัมภีร์เท่านั้น นักประวัติศาสตร์อาชีพ เช่น อารอน สมิธ กล่าวถึง จำนวนนับเรื่องน้ำท่วมทั้งหมดที่เขาสามารถพบได้ เขาพบว่ามีจำนวนถึง ๘๐,๐๐๐ งาน ในจำนวน ๗๒ ภาษา ที่เป็นเรื่องน้ำท่วมโลก (อ้างใน วีเมอร์ เคนเลอร์, ไบเบิลในฐานะประวัติศาสตร์, ปี ๑๙๘๐ หน้า๓๘)
แน่นอน หากเรื่องน้ำท่วมของโนอา เป็นเพียงเหตุการณ์ที่มีผลเฉพาะดินแดนทางภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นที่จำกัดแล้ว ผลกระทบของมันคงไม่กัดกร่อนจิตใจผู้คน ที่อยู่ห่างไกลออกไปจนมิอาจลืมเลือนเรื่องนั้นได้ เช่นนั้น
นักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า "ชาวสุเมเรียน , บาบิโลเนียน และแอสซีเรียน แห่งเมโสโปเตเมียอาจมุ่งหวังที่จะรักษาธรรมเนียมที่คล้ายๆกัน กับของชาวฮีบรู เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กันกับสถานที่ ที่ได้รับการสันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของถิ่นที่มีความเจริญรุ่งเรืองก่อนน้ำท่วมโลก.........แต่เราจะว่าอย่างไรกับตำนานของมานู ที่ได้รับการรักษาไว้ในหมู่ชาวฮินดู........หรือของฟา-ฮี ที่เป็นของชาวจีน ......หรือของนู-อู ที่เป็นชาวฮาวาย หรือเรื่องของเทพ-พีของอินเดียนเม็กซิกัน หรือของมานาโบโซ ที่เป็นของชาวแอลกอนควินส์ ......ทั้งหมดนี้สอดคล้องกันว่า มนุษยชาติทั้งมวล ถูกทำลายจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ (โดยปกติเป็นการแสดงว่า"ทั่วโลก" ) อันเป็นผลจากความไม่พอใจของพระเจ้ากับบาปของมนุษยชาติ และนั่นมีชายคนหนึ่งพร้อมทั้งครอบครัวของเขาและเพื่อนอีกไม่กี่คน รอดพ้นจากความหายนะครั้งใหญ่นี้ โดยเรือหรือแพหรือเรือแคนนูกว้างในชนิดเดียวกัน (อ้างในอาเชอร์ หน้า๒๐๙)
แน่นอน หากเรื่องน้ำท่วมของโนอา เป็นเพียงเหตุการณ์ที่มีผลเฉพาะดินแดนทางภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นที่จำกัดแล้ว ผลกระทบของมันคงไม่กัดกร่อนจิตใจผู้คน ที่อยู่ห่างไกลออกไปจนมิอาจลืมเลือนเรื่องนั้นได้ เช่นนั้น
นักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า "ชาวสุเมเรียน , บาบิโลเนียน และแอสซีเรียน แห่งเมโสโปเตเมียอาจมุ่งหวังที่จะรักษาธรรมเนียมที่คล้ายๆกัน กับของชาวฮีบรู เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กันกับสถานที่ ที่ได้รับการสันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของถิ่นที่มีความเจริญรุ่งเรืองก่อนน้ำท่วมโลก.........แต่เราจะว่าอย่างไรกับตำนานของมานู ที่ได้รับการรักษาไว้ในหมู่ชาวฮินดู........หรือของฟา-ฮี ที่เป็นของชาวจีน ......หรือของนู-อู ที่เป็นชาวฮาวาย หรือเรื่องของเทพ-พีของอินเดียนเม็กซิกัน หรือของมานาโบโซ ที่เป็นของชาวแอลกอนควินส์ ......ทั้งหมดนี้สอดคล้องกันว่า มนุษยชาติทั้งมวล ถูกทำลายจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ (โดยปกติเป็นการแสดงว่า"ทั่วโลก" ) อันเป็นผลจากความไม่พอใจของพระเจ้ากับบาปของมนุษยชาติ และนั่นมีชายคนหนึ่งพร้อมทั้งครอบครัวของเขาและเพื่อนอีกไม่กี่คน รอดพ้นจากความหายนะครั้งใหญ่นี้ โดยเรือหรือแพหรือเรือแคนนูกว้างในชนิดเดียวกัน (อ้างในอาเชอร์ หน้า๒๐๙)
หอบาเบล
"จากนั้นพวกเขาพูดกับอีกคนหนึ่ง ว่ามาเถอะ ให้เราทำอิฐและตากอิฐให้ทั่วตลอด" พวกเขาทำอิฐจากหิน และยาด้วยปูน และพวกเขากล่าวว่า "มาเถิดให้เราสร้างเมืองของพวกเราและหอสูงแห่งนี้สูงขึ้นไปบนฟ้า" (ปฐมกาล๑๑ข้อ๓-๔)
เราหลายคนได้ยินเรื่องหอบาเบล แต่มีไม่กี่คนทราบเกี่ยวกับหลักฐานที่เป็นตัวตนเบื้องหลักเรื่องราวตามพระคัมภีร์
การขุดค้นในอิรักต้นศต.นี้ เปิดเผยให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งมีหอกว้างใหญ่อยู่ ในบาบาโลน, วีเมอร์ เคนเลอร์ เขียนไว้ว่า " ในปี๑๘๙๙ สมาคมตะวันออกเยอรมัน เตรียมการเดินทางระยะยาว ภายใต้การนำของศจ. โรเบริต์ โคนดีเวย์ สถาปนิก เพื่อไปตรวจสอบเนินดินปรักหักพัง "บาบิล" บนยูเฟรติส
ผลที่ได้จากการขุดค้น ที่ยาวนานมากกว่าครั้งใด ในปีที่๑๘ มหานครของโลกสมัยโบราณ ที่ตั้งของราชวงค์นะบูคัดเนซัร ก็กระจ่างขึ้น ,และในสมัยเดียวกัน,หนึ่งของสิ่งมหัศจรรย์ เจ็ดอย่างของโลก
"จากนั้นพวกเขาพูดกับอีกคนหนึ่ง ว่ามาเถอะ ให้เราทำอิฐและตากอิฐให้ทั่วตลอด" พวกเขาทำอิฐจากหิน และยาด้วยปูน และพวกเขากล่าวว่า "มาเถิดให้เราสร้างเมืองของพวกเราและหอสูงแห่งนี้สูงขึ้นไปบนฟ้า" (ปฐมกาล๑๑ข้อ๓-๔)
เราหลายคนได้ยินเรื่องหอบาเบล แต่มีไม่กี่คนทราบเกี่ยวกับหลักฐานที่เป็นตัวตนเบื้องหลักเรื่องราวตามพระคัมภีร์
การขุดค้นในอิรักต้นศต.นี้ เปิดเผยให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งมีหอกว้างใหญ่อยู่ ในบาบาโลน, วีเมอร์ เคนเลอร์ เขียนไว้ว่า " ในปี๑๘๙๙ สมาคมตะวันออกเยอรมัน เตรียมการเดินทางระยะยาว ภายใต้การนำของศจ. โรเบริต์ โคนดีเวย์ สถาปนิก เพื่อไปตรวจสอบเนินดินปรักหักพัง "บาบิล" บนยูเฟรติส
ผลที่ได้จากการขุดค้น ที่ยาวนานมากกว่าครั้งใด ในปีที่๑๘ มหานครของโลกสมัยโบราณ ที่ตั้งของราชวงค์นะบูคัดเนซัร ก็กระจ่างขึ้น ,และในสมัยเดียวกัน,หนึ่งของสิ่งมหัศจรรย์ เจ็ดอย่างของโลก
"วิธีการวางอิฐที่หอบาเบลในไบเบิล สอดคล้องตรงกับการค้นพบของนักโบราณคดี ตามที่ผู้ตรวจสอบยืนยัน ที่จริงอิฐที่ยาด้วยยางแอสฟันด์ที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณฐาน นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อความมั่นคงของโครงสร้างสอดคล้องกับระเบียบของอาคาร.....บริเวณฐานและงานหิน เพื่อกันน้ำและกันชื้นด้วย"โคลนเหนียว" เช่นยางแอสฟันด์
บริเวณชั้นที่๗ มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงกว่าชั้นอื่น แผ่นดินเหนียวชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่ถูกพบในวิหาร กล่าวแสดงว่า ความกว้างความยาวและสูง เท่ากัน ...ความยาวด้านข้างฐานที่ได้ ค่อนข้างเกินกว่า๒๙๐ ฟุต นักโบราณคดีวัดได้ ๒๙๕ฟุต ตามขนาดของหอนั้น ควรสูงเกือบ ๓๐๐ ฟุต (ไบเบิลในฐานะโบราณคดี ฉบับพิมพ์ปี ๑๙๘๐ หน้า๓๐๒,๓๑๗-๒๑๘)
นี่หมายความว่าหอสูงเทียบเท่าอาคาร ๒๐ ชั้น
บริเวณชั้นที่๗ มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงกว่าชั้นอื่น แผ่นดินเหนียวชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่ถูกพบในวิหาร กล่าวแสดงว่า ความกว้างความยาวและสูง เท่ากัน ...ความยาวด้านข้างฐานที่ได้ ค่อนข้างเกินกว่า๒๙๐ ฟุต นักโบราณคดีวัดได้ ๒๙๕ฟุต ตามขนาดของหอนั้น ควรสูงเกือบ ๓๐๐ ฟุต (ไบเบิลในฐานะโบราณคดี ฉบับพิมพ์ปี ๑๙๘๐ หน้า๓๐๒,๓๑๗-๒๑๘)
นี่หมายความว่าหอสูงเทียบเท่าอาคาร ๒๐ ชั้น
การค้นคว้าเพิ่มเติม เปิดเผยว่าหอเดิมถูกทำลายและหอในขนาดที่คล้ายกับหอเดิม ได้รับการสร้างขึ้นในสมัย นะบูคัดเนซัร
ดี.เจ.ไวน์แมน ศจ.สาขาแอสซีเรียน อธิบายว่า"หอมีความเสียหายหลายแห่งในสงครามปี๖๕๒-๖๔๘ก่อนค.ศ. แต่ได้รับการบูรณะในสมัยพระเจ้า นะบูคัดเนซัร ที่๒ (๖๐๕-๕๖๒ก่อนคศ.)มันเป็นอาคารแห่งนี้ ที่โคนดีเวย์ เดินทางไปขุดค้นในปี คศ. ๑๘๙๙ .
ตามที่เฮโรโดตัส (นักประวัติศาสตร์โรมัน ) ได้พรรณาไว้ตอนไปชมเมื่อปี๔๖๐ ก่อนคศ. ว่า ฐานของหอคอย(ที่สร้างขึ้นมาภายหลัง) วัดได้๙๐ คูณ๙๐ เมตร และสูง๓๓ เมตร .....ซิงกูรัส(หอศักดิ์สิทธิ์)ที่บาบิโลนถูกทำลายโดยเซอร์เซส ในปี๔๗๒ ก่อนคศ. และแม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะสั่งให้เก็บกวาดเศษหินเล็กๆ ก่อนเริ่มต้นปฏิสังขรณ์ แต่เรื่องนี้ก็ล้มเหลวไปเนื่องการการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ .
เวลาต่อมาอิฐนั้นถูกเคลื่อนย้ายโดยผู้อาศัยในท้องถิ่น ,และทุกวันนี้สถานที่ของเอทีเมแอนกี มีความลึกเหมือนอาคารสูงเดิม (นิวไบเบิลดิกชั้นนารีปี ๑๙๘๒ หน้า ๑๑๑)
หอศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ทั่วไปในเมโสโปเตเมีย ทุกวันนี้ มีจำนวนที่พบ ๓๕ แห่ง แห่งหนึ่งคือหอบาเบล
ดี.เจ.ไวน์แมน ศจ.สาขาแอสซีเรียน อธิบายว่า"หอมีความเสียหายหลายแห่งในสงครามปี๖๕๒-๖๔๘ก่อนค.ศ. แต่ได้รับการบูรณะในสมัยพระเจ้า นะบูคัดเนซัร ที่๒ (๖๐๕-๕๖๒ก่อนคศ.)มันเป็นอาคารแห่งนี้ ที่โคนดีเวย์ เดินทางไปขุดค้นในปี คศ. ๑๘๙๙ .
ตามที่เฮโรโดตัส (นักประวัติศาสตร์โรมัน ) ได้พรรณาไว้ตอนไปชมเมื่อปี๔๖๐ ก่อนคศ. ว่า ฐานของหอคอย(ที่สร้างขึ้นมาภายหลัง) วัดได้๙๐ คูณ๙๐ เมตร และสูง๓๓ เมตร .....ซิงกูรัส(หอศักดิ์สิทธิ์)ที่บาบิโลนถูกทำลายโดยเซอร์เซส ในปี๔๗๒ ก่อนคศ. และแม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะสั่งให้เก็บกวาดเศษหินเล็กๆ ก่อนเริ่มต้นปฏิสังขรณ์ แต่เรื่องนี้ก็ล้มเหลวไปเนื่องการการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ .
เวลาต่อมาอิฐนั้นถูกเคลื่อนย้ายโดยผู้อาศัยในท้องถิ่น ,และทุกวันนี้สถานที่ของเอทีเมแอนกี มีความลึกเหมือนอาคารสูงเดิม (นิวไบเบิลดิกชั้นนารีปี ๑๙๘๒ หน้า ๑๑๑)
หอศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ทั่วไปในเมโสโปเตเมีย ทุกวันนี้ มีจำนวนที่พบ ๓๕ แห่ง แห่งหนึ่งคือหอบาเบล
จากการสำรวจสั้นๆนี้ เราสามารถได้รับความกระจ่างที่โบราณคดี ให้กับคำถามเกี่ยวกับความเป็นจริงของเรื่องราวตามพระคัมภีร์ แม้ว่าผู้สงสัยจะมีคำถามเรื่องความเป็นจริงของพระคำของพระเจ้าเสมอ. แต่คนจำนวนไม่กี่คนที่สงสัยเกี่ยวกับข้อความทางประวัติศาสตร์
การค้นพบที่น่าตื่นเต้นทางโบราณคดีอื่นอีกหลายแห่ง ช่วยยืนยันและตอบคำถามเกี่ยวกับปฐมกาล และจะมาการตรวจสอบสิ่งนี้ในตอนต่อไป
(จบตอนที่ 2)
ตอนที่ 3 โบราณคดี และปฐมกาล ตอนอับราฮัม
การค้นพบที่น่าตื่นเต้นทางโบราณคดีอื่นอีกหลายแห่ง ช่วยยืนยันและตอบคำถามเกี่ยวกับปฐมกาล และจะมาการตรวจสอบสิ่งนี้ในตอนต่อไป
(จบตอนที่ 2)
ตอนที่ 3 โบราณคดี และปฐมกาล ตอนอับราฮัม
เรื่องน้ำท่วมเป็นอะไรที่น่าสนใจมากครับ เพราะหนึ่งในลูกชายสามคนของโนอาห์มีภรรยาชื่ออียิปตัส และนางเป็นคนที่เห็นแผ่นดินอียิปต์ตอนที่น้ำกำลังลด เลยจองไว้ เมื่อน้ำลดลงแล้ว นางและครอบครัวก็ย้ายไป ณ ที่นั้น และตั้งชื่อดินแดนว่า อียิปต์ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของประเทศอียิปต์
ปล. อันนี้มาจากพระคัมภีร์ในศาสนาของผมนะครับ (มอร์มอน) ไม่ทราบว่ามีในศาสนาอื่นหรืออะไรหรือไม่
สิ่งที่สำคัญที่อยากพูดถึงก็คือ หากศึกษาเทพนิยายของอียิปต์ เกี่ยวกับประวัติของโลก หรือของอียิปต์ จะพบว่า ในตอนเริ่ม โลกถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ และหลังจากที่น้ำลดแล้ว ดินแดนอียิปต์กโผล่ขึ้นมา
ซึ่งคล้ายๆกันกับในไบเบิ้ล เพียงแต่เวลาเริ่มนับที่น้ำลดเท่านั้นเอง
ปล. อันนี้มาจากพระคัมภีร์ในศาสนาของผมนะครับ (มอร์มอน) ไม่ทราบว่ามีในศาสนาอื่นหรืออะไรหรือไม่
สิ่งที่สำคัญที่อยากพูดถึงก็คือ หากศึกษาเทพนิยายของอียิปต์ เกี่ยวกับประวัติของโลก หรือของอียิปต์ จะพบว่า ในตอนเริ่ม โลกถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ และหลังจากที่น้ำลดแล้ว ดินแดนอียิปต์กโผล่ขึ้นมา
ซึ่งคล้ายๆกันกับในไบเบิ้ล เพียงแต่เวลาเริ่มนับที่น้ำลดเท่านั้นเอง
ขอบคุณ ครับคุณP ที่เขียนความเห็นเสริม
บันทึกของนักโบราณคดี ที่ได้ศึกษามาช่วยขยายและพิสูจน์ ความจริงเกี่ยวกับบันทึกตามพระคัมภีร์ เป็นอะไรที่น่าสนใจและน่าทึ่งมาก
นอกจากนักโบราณคดี แล้วยังมีนักประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาและเขียนความเห็นต่างๆ
มีที่น่าสังเกตุว่า ไม่ว่านักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ พวกเขาก็ศึกษาแบบนักวิชาการในสาขานั้น พวกเขาไม่ใช่นักศาสนาศาสตร์ จึงไม่มีอะไรไปชี้นำความคิดความเห็นพวกเขาได้
บันทึกของนักโบราณคดี ที่ได้ศึกษามาช่วยขยายและพิสูจน์ ความจริงเกี่ยวกับบันทึกตามพระคัมภีร์ เป็นอะไรที่น่าสนใจและน่าทึ่งมาก
นอกจากนักโบราณคดี แล้วยังมีนักประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาและเขียนความเห็นต่างๆ
มีที่น่าสังเกตุว่า ไม่ว่านักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ พวกเขาก็ศึกษาแบบนักวิชาการในสาขานั้น พวกเขาไม่ใช่นักศาสนาศาสตร์ จึงไม่มีอะไรไปชี้นำความคิดความเห็นพวกเขาได้