ทูตสวรรค์ VS มนุษย์ในฐานะบุตรของพระเจ้า
-
- โพสต์: 20
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 26, 2006 4:20 am
เกิดความสงสัยใคร่อยากรู้
พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ก่อนเพื่อรับใช้พระองค์ช่วยงานพระองค์ หลังจากนั้นพระเจ้าค่อยมาสร้างมนุษย์คู่แรกในฐานะบุตรของพระเจ้า
มนุษย์ตายไปก็ไปเป้นบุตรของพระเจ้าบนสวรรค์
แล้วทูตสวรรค์ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยุ่เช่นเดิม มารับใช้เราในฐานะบุตรของพระองค์อีก
ทำไมเราจึงต้องได้ฐานะนี้ ทำไมไม่เป็นทูตสวรรค์ที่ได้ สร้างทูตสวรรค์ก่อน แต่มาให้สิทธิ์ มนุษย์เป็นบุตร
น่าสงสารทุตสวรรค์ออก
แล้วยุติธรรมกับทูตสวรรคืไหมครับพระเจ้าทำแบบนี้
ลูซิเฟอร์มันถึงอยากเป้นพระเจ้าเสียเอง ก็เพราะไม่อยากเป้นคนรับใช้นิรันดร์
ผมถามก็เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมกับทูตสวรรค์เท่าไหร่น่ะครับ พอมีคำตอบให้ผมกระจ่างใจไหมครับ
หรือคำถามแบบนี้ต้องไปรอถามต่อหน้าพระเจ้าเท่านั้น
มนุษย์หาคำตอบได้หรือยังครับ ถ้าได้แล้วใครพอทราบ ช่วยกรุณาบอกหน่อยครับจักเป็นพระคุณยิ่ง
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นครับ..
อาเมน
พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ก่อนเพื่อรับใช้พระองค์ช่วยงานพระองค์ หลังจากนั้นพระเจ้าค่อยมาสร้างมนุษย์คู่แรกในฐานะบุตรของพระเจ้า
มนุษย์ตายไปก็ไปเป้นบุตรของพระเจ้าบนสวรรค์
แล้วทูตสวรรค์ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยุ่เช่นเดิม มารับใช้เราในฐานะบุตรของพระองค์อีก
ทำไมเราจึงต้องได้ฐานะนี้ ทำไมไม่เป็นทูตสวรรค์ที่ได้ สร้างทูตสวรรค์ก่อน แต่มาให้สิทธิ์ มนุษย์เป็นบุตร
น่าสงสารทุตสวรรค์ออก
แล้วยุติธรรมกับทูตสวรรคืไหมครับพระเจ้าทำแบบนี้
ลูซิเฟอร์มันถึงอยากเป้นพระเจ้าเสียเอง ก็เพราะไม่อยากเป้นคนรับใช้นิรันดร์
ผมถามก็เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมกับทูตสวรรค์เท่าไหร่น่ะครับ พอมีคำตอบให้ผมกระจ่างใจไหมครับ
หรือคำถามแบบนี้ต้องไปรอถามต่อหน้าพระเจ้าเท่านั้น
มนุษย์หาคำตอบได้หรือยังครับ ถ้าได้แล้วใครพอทราบ ช่วยกรุณาบอกหน่อยครับจักเป็นพระคุณยิ่ง
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นครับ..
อาเมน
..งั้น การที่ พระเจ้า สร้างสุนัข มาเป็น สัตว์เลี้ยงเรานี่ เป็นความไม่ยุติธรรมรึเปล่าครับ :huh:
...ในมุมมอง ของคาทอลิค แล้ว ทูตสวรรค์ ไม่ใช่แค่ข้ารับใช้ครับ
แต่คือ "เพื่อน" ในฐานะสิ่งสร้างด้วยกัน
ในเรื่องที่ เราเป็น บุตรพระเจ้านั้น นั้นคือ ความเห็นชอบโดยพระเจ้าเอง
ทุกรูปแบบ ของ สิ่งสร้าง ไม่ว่า ต้นไม้/สัตว์ หรือ ทูตสวรรค์ และมนุษย์ ก็ล้วน มีความเหมาะสม
เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่าดีแล้ว (ปฐมกาลบทที่1)
...ในมุมมอง ของคาทอลิค แล้ว ทูตสวรรค์ ไม่ใช่แค่ข้ารับใช้ครับ
แต่คือ "เพื่อน" ในฐานะสิ่งสร้างด้วยกัน
ในเรื่องที่ เราเป็น บุตรพระเจ้านั้น นั้นคือ ความเห็นชอบโดยพระเจ้าเอง

ทุกรูปแบบ ของ สิ่งสร้าง ไม่ว่า ต้นไม้/สัตว์ หรือ ทูตสวรรค์ และมนุษย์ ก็ล้วน มีความเหมาะสม
เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่าดีแล้ว (ปฐมกาลบทที่1)

แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 10:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
วันดีคืนดีผมจะมาอธิบายพระคัมภีร์ที่ทำให้เกิดแนวคิดเทววิทยาอันนี้ และเหตุใดคำสอนทำนองนี้จึงเกิดมีขึ้น
สำหรับผม ถ้าผมได้ไปสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่คิดไปอวดเบ่งกับทูตสวรรค์ที่มาอยู่ก่อนหรอกครับ
ปล.ขอบคุณการเข้าเงียบที่นำพาให้ได้เข้าใจเรื่องปัญหาทูตสวรรค์กับบุตรมนุษย์ในจดหมายนักบุญเปาโล
สำหรับผม ถ้าผมได้ไปสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่คิดไปอวดเบ่งกับทูตสวรรค์ที่มาอยู่ก่อนหรอกครับ
ปล.ขอบคุณการเข้าเงียบที่นำพาให้ได้เข้าใจเรื่องปัญหาทูตสวรรค์กับบุตรมนุษย์ในจดหมายนักบุญเปาโล
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
รออ่านนะครับพี่ Holy 

รอลุ้นด้วยใจระทึกยิ่งHoly เขียน: วันดีคืนดีผมจะมาอธิบายพระคัมภีร์ที่ทำให้เกิดแนวคิดเทววิทยาอันนี้ และเหตุใดคำสอนทำนองนี้จึงเกิดมีขึ้น
สำหรับผม ถ้าผมได้ไปสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่คิดไปอวดเบ่งกับทูตสวรรค์ที่มาอยู่ก่อนหรอกครับ
ปล.ขอบคุณการเข้าเงียบที่นำพาให้ได้เข้าใจเรื่องปัญหาทูตสวรรค์กับบุตรมนุษย์ในจดหมายนักบุญเปาโล
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi

-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
ขออนุญาตในอีกมุมมองที่แตกต่างออกไปนะครับ(ในระหว่างรอคุณHoly)
.............ถ้าว่ากันตรงๆเรื่องจิตวิญญาณโดยเฉพาะแล้ว เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนทีเดียว กล่าวคือ จขกท จะเข้าใจได้มากขึ้น ก็ต่อเมื่อ ท่านคิดในหลายแง่มิได้ใช้มุมมองปกติมองอย่างเดียว
.............ด้วยเหตุว่าความเป็นทูตสวรรค์นั้นต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง เพราะทูตสวรรค์คือพระอานุภาพของพระบิดาเจ้าอย่างใดอย่างหนึ่งสถิตอยู่ในดวงจิต(มีความแนบแน่นสัมพันธ์,พระเจ้าทรงสถิตย์และจำเริญอยู่กับท่านเหล่านั้นภายใน) เช่น พระอานุภาพแห่งการบรรเทา(ราฟาแอล) พระอานุภาพแห่งการสื่อสาร(กาเบรียล) พระอานุภาพแห่งพระปรีชาญาน(เชรูบิม) พระอานุภาพแห่งเปลวเพลิง(อูรีเอล).....และอานุภาพแห่งเหล่าเทวทูตที่ว่านั้น ก็หาได้เป็นอานุภาพของเทวทูตเองไม่ หากแต่เป็นพลังอำนาจแห่งพระบิดาเจ้า(อันเร้นลับ) ที่ทรงมีพระทัยการุนย์ ให้"เทวทูตเหล่านั้น" สนองงานตามพระประสงค์(ทันทีทันใด-ฉับไวเท่าคิด) และสายดวงจิตที่เชื่อมต่อกันแห่งเหล่าเทวทูตจะไล่จากความเข้มข้นแห่งแสง(Supernals,Seraphim)มากลงมาความเข้มข้นแห่งแสงน้อย(angel) เพื่อให้"สภาพมนุษย์ที่กอปรไปด้วยบาป"รับไหว การที่เราจะมองว่า"พระบิดาเจ้าทรงสร้างเหล่าเทวดานี้เพื่อรับใช้ช่วยงานพระองค์นั้น" คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเหตุว่า เป็นการมองอย่างมนุษย์ที่อิงกับหลักการพลีและรับใช้บูชา ต้องมองให้ลึกลง ไปว่าทำไมต้องช่วยทั้งที่พระบิดาเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่งอันในโลก เหตุใดต้องรับใช้ในเมื่อพระบิดาเจ้ามิได้ต้องการสร้าง"อะไรสักอย่างเพื่อรับใช้" เหตุผลหนึ่งในหลายข้อคือ พระบิดาเจ้ามีพระประสงค์ให้ "พระอานุภาพแห่งพระองค์"เป็นที่เข้าใจสำหรับมนุษย์มากขึ้น และการรับใช้เป็นไปโดย"เทวดาเอง"ที่ถ่อมองค์ลง เพื่อทำคารวะกิจแด่ "พระผู้เป็นแสงแห่งแสง"
.............ส่วนเรื่องของ Lucifer,Satan,Samael ที่มักอนุโลมเรียกรวมกันว่า"Lucifer(หัวหน้ากบฏ)"นั้น ในจุดนั้นเขาไม่ได้คิดว่า"พระเจ้าไม่ยุติธรรม"กับเขานะ เขาเพียงมีความ"โอหัง"จะยึดครองสวรรค์เสียเอง หมายจะทำการปกครองเสียใหม่(อย่างเข้มงวด-ไร้เมตตา) แต่ยอมรับว่า มีเทวดาที่ไม่ชอบ"มนุษย์" เพราะว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงรักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัญลักษณ์สูงสุดของความรัก คือ การส่งพระเอกบุตรเยซูคริสต์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์(ที่อยู่ในสภาพมนุษย์) ......... ความไม่อยากรับใช้นิรันดร์คงไม่ใช่สิ่งที่ Lucifer คิด เขาอยากจัดระเบียบโลกใหม่ก็เท่านั้น(หากเราคิดอย่างมนุษย์ ความไม่อยากรับใช้อาจจะมาก่อน แล้วตามด้วยการหาเหตุผลคือ อยากจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งในเทวดา Lucifer เองก็เป็นเทวทูตชั้นเชรูบิมผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างคือพระปัญญาญาณ ด้วยปัญญานี้จึงเกิดความยึดถือใน"ปัญญา"เป็นเบื้องต้น)
..........ผมไม่รู้ว่าตอบคำถามคุณกระจ่างหรือเปล่า(เพราะพยายามสรุปให้มันรวบรัด) กล่าวคือ ทูตสวรรค์ทั้งหลายไม่คิดกันเรื่อง"ความยุติธรรม"เพราะท่านเหล่านั้นมีพระเป็นเจ้าจำเริญอยู่เป็นนิตย์(เหมือนว่าเป็นหนึ่งกับพระเจ้า)การมองแบบ คนนี้"พระเจ้า" คนนั้น"ทูตสวรรค์" ไอ้นี่"มนุษย์" อาจทำให้เราคิดถึงความยุติธรรมได้(แบบที่คุณถาม) แต่แท้จริงทูตสวรรค์เป็นสับเซต(Subset)ของพระเจ้า แยกกันไม่ได้(ในแง่จิตวิญญาณ) แต่มนุษย์มีความพิเศษกว่าคือจะ สามารถจำเริญในพระเป็นเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อ ร้อนรนจะไปยังหนทางนั้น(เปรียบเหมือน ยังไม่อยู่ในหนทางตั้งแต่แรก แต่ร้อนรนที่จะกลับไปในหนทางนั้น)......สำหรับทูตสวรรค์แล้วเขาเป็นผู้อยู่บนหนทางนั้นแต่เริ่ม
.........และโดยมาก เราทั้งหลาย(มนุษย์+ทูตสวรรค์) ควรรีบเร่งที่จะ"ถ่อมตน,ถ่อมใจ"ลงเสมอ เมื่อเราทั้งหลายถ่อมตนเองลง เราทั้งหลายมุ่งแต่จะถ่อมตนเองลงมากขึ้น "ความเหลื่อมล้ำสาเหตุแห่งอยุติธรรม" จะไม่ปรากฎเพราะทุกท่านไม่ได้มองที่ "ใครควรได้เช่นนั้นเช่นนี้" แต่เรามองไปว่า"เราไม่สมควรได้เช่นนั้นเช่นนี้เลย"
........บางครั้งเราควรคำนึงด้วยพื้นฐานของนามธรรมที่ดีว่า สิ่งที่เขียนไม่ใช่สิ่งที่แสดงตามนั้น หากแต่ท่านต้องสัมผัสด้วยใจ พยายามหาเวลาอยู่เงียบๆสงบใจ ภาวนา ฟังเสียงพระจิตเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเรา(ผ่านเทวทูตแห่งเสียง)เราจะได้ข้อสรุปที่ชอบธรรมสมเหตุสมผล กลมกลืนและเป็นสากลมากขึ้น(สำหรับยุคนี้)
ปล.สำหรับการตอบของคุณ Holy ขอเป็นอีกหนึ่งที่รอด้วยใจระทึกยิ่ง
พระเจ้าอวยพร
.............ถ้าว่ากันตรงๆเรื่องจิตวิญญาณโดยเฉพาะแล้ว เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนทีเดียว กล่าวคือ จขกท จะเข้าใจได้มากขึ้น ก็ต่อเมื่อ ท่านคิดในหลายแง่มิได้ใช้มุมมองปกติมองอย่างเดียว
.............ด้วยเหตุว่าความเป็นทูตสวรรค์นั้นต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง เพราะทูตสวรรค์คือพระอานุภาพของพระบิดาเจ้าอย่างใดอย่างหนึ่งสถิตอยู่ในดวงจิต(มีความแนบแน่นสัมพันธ์,พระเจ้าทรงสถิตย์และจำเริญอยู่กับท่านเหล่านั้นภายใน) เช่น พระอานุภาพแห่งการบรรเทา(ราฟาแอล) พระอานุภาพแห่งการสื่อสาร(กาเบรียล) พระอานุภาพแห่งพระปรีชาญาน(เชรูบิม) พระอานุภาพแห่งเปลวเพลิง(อูรีเอล).....และอานุภาพแห่งเหล่าเทวทูตที่ว่านั้น ก็หาได้เป็นอานุภาพของเทวทูตเองไม่ หากแต่เป็นพลังอำนาจแห่งพระบิดาเจ้า(อันเร้นลับ) ที่ทรงมีพระทัยการุนย์ ให้"เทวทูตเหล่านั้น" สนองงานตามพระประสงค์(ทันทีทันใด-ฉับไวเท่าคิด) และสายดวงจิตที่เชื่อมต่อกันแห่งเหล่าเทวทูตจะไล่จากความเข้มข้นแห่งแสง(Supernals,Seraphim)มากลงมาความเข้มข้นแห่งแสงน้อย(angel) เพื่อให้"สภาพมนุษย์ที่กอปรไปด้วยบาป"รับไหว การที่เราจะมองว่า"พระบิดาเจ้าทรงสร้างเหล่าเทวดานี้เพื่อรับใช้ช่วยงานพระองค์นั้น" คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเหตุว่า เป็นการมองอย่างมนุษย์ที่อิงกับหลักการพลีและรับใช้บูชา ต้องมองให้ลึกลง ไปว่าทำไมต้องช่วยทั้งที่พระบิดาเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่งอันในโลก เหตุใดต้องรับใช้ในเมื่อพระบิดาเจ้ามิได้ต้องการสร้าง"อะไรสักอย่างเพื่อรับใช้" เหตุผลหนึ่งในหลายข้อคือ พระบิดาเจ้ามีพระประสงค์ให้ "พระอานุภาพแห่งพระองค์"เป็นที่เข้าใจสำหรับมนุษย์มากขึ้น และการรับใช้เป็นไปโดย"เทวดาเอง"ที่ถ่อมองค์ลง เพื่อทำคารวะกิจแด่ "พระผู้เป็นแสงแห่งแสง"
.............ส่วนเรื่องของ Lucifer,Satan,Samael ที่มักอนุโลมเรียกรวมกันว่า"Lucifer(หัวหน้ากบฏ)"นั้น ในจุดนั้นเขาไม่ได้คิดว่า"พระเจ้าไม่ยุติธรรม"กับเขานะ เขาเพียงมีความ"โอหัง"จะยึดครองสวรรค์เสียเอง หมายจะทำการปกครองเสียใหม่(อย่างเข้มงวด-ไร้เมตตา) แต่ยอมรับว่า มีเทวดาที่ไม่ชอบ"มนุษย์" เพราะว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงรักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัญลักษณ์สูงสุดของความรัก คือ การส่งพระเอกบุตรเยซูคริสต์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์(ที่อยู่ในสภาพมนุษย์) ......... ความไม่อยากรับใช้นิรันดร์คงไม่ใช่สิ่งที่ Lucifer คิด เขาอยากจัดระเบียบโลกใหม่ก็เท่านั้น(หากเราคิดอย่างมนุษย์ ความไม่อยากรับใช้อาจจะมาก่อน แล้วตามด้วยการหาเหตุผลคือ อยากจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งในเทวดา Lucifer เองก็เป็นเทวทูตชั้นเชรูบิมผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างคือพระปัญญาญาณ ด้วยปัญญานี้จึงเกิดความยึดถือใน"ปัญญา"เป็นเบื้องต้น)
..........ผมไม่รู้ว่าตอบคำถามคุณกระจ่างหรือเปล่า(เพราะพยายามสรุปให้มันรวบรัด) กล่าวคือ ทูตสวรรค์ทั้งหลายไม่คิดกันเรื่อง"ความยุติธรรม"เพราะท่านเหล่านั้นมีพระเป็นเจ้าจำเริญอยู่เป็นนิตย์(เหมือนว่าเป็นหนึ่งกับพระเจ้า)การมองแบบ คนนี้"พระเจ้า" คนนั้น"ทูตสวรรค์" ไอ้นี่"มนุษย์" อาจทำให้เราคิดถึงความยุติธรรมได้(แบบที่คุณถาม) แต่แท้จริงทูตสวรรค์เป็นสับเซต(Subset)ของพระเจ้า แยกกันไม่ได้(ในแง่จิตวิญญาณ) แต่มนุษย์มีความพิเศษกว่าคือจะ สามารถจำเริญในพระเป็นเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อ ร้อนรนจะไปยังหนทางนั้น(เปรียบเหมือน ยังไม่อยู่ในหนทางตั้งแต่แรก แต่ร้อนรนที่จะกลับไปในหนทางนั้น)......สำหรับทูตสวรรค์แล้วเขาเป็นผู้อยู่บนหนทางนั้นแต่เริ่ม
.........และโดยมาก เราทั้งหลาย(มนุษย์+ทูตสวรรค์) ควรรีบเร่งที่จะ"ถ่อมตน,ถ่อมใจ"ลงเสมอ เมื่อเราทั้งหลายถ่อมตนเองลง เราทั้งหลายมุ่งแต่จะถ่อมตนเองลงมากขึ้น "ความเหลื่อมล้ำสาเหตุแห่งอยุติธรรม" จะไม่ปรากฎเพราะทุกท่านไม่ได้มองที่ "ใครควรได้เช่นนั้นเช่นนี้" แต่เรามองไปว่า"เราไม่สมควรได้เช่นนั้นเช่นนี้เลย"
........บางครั้งเราควรคำนึงด้วยพื้นฐานของนามธรรมที่ดีว่า สิ่งที่เขียนไม่ใช่สิ่งที่แสดงตามนั้น หากแต่ท่านต้องสัมผัสด้วยใจ พยายามหาเวลาอยู่เงียบๆสงบใจ ภาวนา ฟังเสียงพระจิตเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเรา(ผ่านเทวทูตแห่งเสียง)เราจะได้ข้อสรุปที่ชอบธรรมสมเหตุสมผล กลมกลืนและเป็นสากลมากขึ้น(สำหรับยุคนี้)
ปล.สำหรับการตอบของคุณ Holy ขอเป็นอีกหนึ่งที่รอด้วยใจระทึกยิ่ง
พระเจ้าอวยพร
ขอเล่าประวัติศาสตร์ให้คิดเล่นๆนะจ๊ะHoly เขียน:
สำหรับผม ถ้าผมได้ไปสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่คิดไปอวดเบ่งกับทูตสวรรค์ที่มาอยู่ก่อนหรอกครับ
เมื่อสมัย ร.6 ท่านมีพระธิดาองค์เดียวคือ เจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ราชสุดาฯ
ต่อมาเมื่อ ร.7 ขึ้นครองราชย์ และอภิเษกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี
ได้รับพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินี นับเป็นหมายเลขหนึ่งของฝ่ายใน
คนต่างซุบซิบกันว่า เมื่อทั้งสองพระองค์พบกัน ใครจะไหว้ใครก่อน
ระหว่าง พระธิดาของกษัตริย์ และ พระราชินีองค์ใหม่
และวันนั้นก็มาถึง
ทั้งสองพระองค์ต่างทรุดองค์ลงและกราบพร้อมกัน
The End
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
สมแล้วที่เป็นขัตติยะนารีกันทั้งสองพระองค์นะครับPhulasso เขียน:ขอเล่าประวัติศาสตร์ให้คิดเล่นๆนะจ๊ะHoly เขียน:
สำหรับผม ถ้าผมได้ไปสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่คิดไปอวดเบ่งกับทูตสวรรค์ที่มาอยู่ก่อนหรอกครับ
เมื่อสมัย ร.6 ท่านมีพระธิดาองค์เดียวคือ เจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ราชสุดาฯ
ต่อมาเมื่อ ร.7 ขึ้นครองราชย์ และอภิเษกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี
ได้รับพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินี นับเป็นหมายเลขหนึ่งของฝ่ายใน
คนต่างซุบซิบกันว่า เมื่อทั้งสองพระองค์พบกัน ใครจะไหว้ใครก่อน
ระหว่าง พระธิดาของกษัตริย์ และ พระราชินีองค์ใหม่
และวันนั้นก็มาถึง
ทั้งสองพระองค์ต่างทรุดองค์ลงและกราบพร้อมกัน
The End
รู้กาลเทศะกันทั้งพระองค์เลย
ว้าวววววววว ท่านทั้งสองทรงมีความถ่อมตนดีมาก ๆ เลยครับPhulasso เขียน:ขอเล่าประวัติศาสตร์ให้คิดเล่นๆนะจ๊ะHoly เขียน:
สำหรับผม ถ้าผมได้ไปสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่คิดไปอวดเบ่งกับทูตสวรรค์ที่มาอยู่ก่อนหรอกครับ
เมื่อสมัย ร.6 ท่านมีพระธิดาองค์เดียวคือ เจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ราชสุดาฯ
ต่อมาเมื่อ ร.7 ขึ้นครองราชย์ และอภิเษกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี
ได้รับพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินี นับเป็นหมายเลขหนึ่งของฝ่ายใน
คนต่างซุบซิบกันว่า เมื่อทั้งสองพระองค์พบกัน ใครจะไหว้ใครก่อน
ระหว่าง พระธิดาของกษัตริย์ และ พระราชินีองค์ใหม่
และวันนั้นก็มาถึง
ทั้งสองพระองค์ต่างทรุดองค์ลงและกราบพร้อมกัน
The End