เราคริสตชนคงเคยได้ยินความเชื่อง่ายๆที่ว่าทุตสวรรค์นั้นเป็นเพียงผู้รับใช้พระเจ้า และพระเยซูเจ้าคือพระบุตร และยิ่งเมื่อพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์แล้วยิ่งยกฐานะมนุษย์ทุกคนเป็นบุตรพระเจ้า ซึ่งดูไปแล้วเหมือนจะใหญ่กว่าทูตสวรรค์ซะอีกนี่นะ ข้อความเชื่อนี้มาจากไหนกัน
ถ้าถามว่าข้อความเชื่อแบบที่สอนบทบาทมนุษย์ว่าเป็นบุตรพระเจ้าที่เหมือนจะตำแหน่งดีกว่าผู้รับใช้อย่างทูตสวรรค์ เราคงหาไม่เจอในพระธรรมเก่าแน่ๆ และแม้แต่ในพระวารสารทั้ง 4 ก็ยังไม่โดดเด่นเห็นชัดนอกจากในการรับใช้พระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่พอเรามาเจอข้อความในจดหมายนักบุญเปาโล เรากลับต้องประหลาดใจที่มันเต็มไปด้วยข้อความที่ Discerdit ทูตสวรรค์เต็มไปหมด แถมโผล่มาต้นจดหมายกันเลยทีเดียว ดังนั้น เราอนุมานได้ในเบื้องต้นว่า ข้อเทววิทยาอันนี้ เติบโตสุดๆโดยจดหมายของนักบุญเปาโลนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะรียนรู้เรื่องพวกนี้ ผมคิดว่าเราควร เรียนรู้พื้นฐานที่มีมาก่อนหน้านี้ก่อนจึงจะเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งขึ้นได้

ทูตสวรรค์ในพระธรรมเก่า-ทูตสวรรค์คือผู้แทนพระเจ้า-ทูตสวรรค์คือบุตรพระเจ้า
ในพระธรรมเดิมนั้น หากเราอ่านดูเราจะพบความจริงอันหนึ่งว่า จากสมัยอาดัมเอวามาจนถึงก่อนอับราฮัม พระเจ้าทรงดูเหมือนตรัสกับมนุษย์เอง แต่ตั้งแต่อับราฮัมเป็นต้นมาทรงตรัสผ่านทูตสวรรค์ซึ่งเมื่อมาแล้ว ให้สัมผัสเหมือนว่าพระเจ้ามาเอง และถูกปฎิบัติดุจผู้แทนพระเจ้า เช่นการก้มลงกราบทูตสวรรค์ทั้ง3และรับใช้พวกท่านของอับราฮัมที่คุยไปคุยมา กลายเป็นคุยกับพระเจ้าไปเฉยเลย หรือการก้มลงกราบทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยรบของโยชูวา หรือการปล้ำสู้กับทูตสวรรค์ของยาโคบที่สู้เสร็จทูตสวรรค์นั้นกลับพูดว่ายาโคบปล้ำสู้กับพระเจ้าแล้วชนะ และการปรากฏมาหาโมเสสขอให้เราลองอ่านพระคัมภีร์ท่อนนี้
อพยพ3-1
ฝ่ายโมเสสเมื่อเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรพ่อตา ผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน ได้พาฝูงแพะแกะไปทางตะวันตกของถิ่นทุรกันดาร จนมาถึงภูเขาของพระเจ้าคือ โฮเรบ ทูตของพระเจ้าก็ปรากฏแก่โมเสส ท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเปลวไฟ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้โทรมไป โมเสสจึงว่า “ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้”
ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส โมเสสเอ๋ย”
โมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
พระองค์จึงตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า
เห็นได้ชัดครับว่า เริ่มต้นที่ทูตสวรรค์แต่จบลงที่พระเจ้ามาเอง ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ทูตสวรรค์นั้นเป็นเหมือนผู้แทนหรือโทรโข่งของพระเจ้าก็ว่าได้ และสิ่งที่พึงกระทำต่อทูตสวรรค์นั้นคือ การปฏิบัติต่อผู้แทนพระเจ้าซึ่งมนุษย์เรามีฐานะต่ำกว่าอย่างชัดเจน หรือจะพูดให้ง่ายเข้าคือ ทูตสวรรค์มาเหมือนพระเจ้ามาเอง ทูตสวรรค์พูดเหมือนพระเจ้าพูดเอง
นอกจากนี้ในปฐมกาล และในโยบ พวกทูตสวรรค์ ยังถูกเรียกว่า “บุตรพระเจ้า” ด้วย
อธิกธรรม
ก่อนอื่นต้องมาเข้าใจอธิกธรรมให้ถูกต้องก่อนนะครับ ในสมัยก่อนนั้น ชาวยิวก็อ่านอธิกธรรมหลายๆฉบับเหมือนอ่านพระคัมภีร์เล่มหลัก ดังนั้นมีอธิกธรรมหลายเล่ม ที่บรรดาชาวยิวเชื่อและอ้างอิงเนื้อหา โดยเฉพาะพระธรรมใหม่เองในบรรดาจดหมายของนักบุญต่างๆ มีการอ้างอิงถึงอธิกธรรมหลายเล่ม ดังนั้นชีชัดนะครับว่า มุมมองของชาวยิวและคริสตชนสมัยแรกไม่ได้ต่อต้านตัดทิ้งอธิกธรรมเหมือน โปรแตสแตนท์ สายFundamentalist (พวกตีความตามตัวอักษร) ที่เหมาเอาหมดว่าอธิกธรรมเป็นเรื่องไม่มีคุณค่าไม่น่าเชื่อถือ แต่ความจริงคนที่เริ่มแยกพระคัมภีร์ และทำการรับรองพระคัมภีร์หลัก และแยกอธิกธรรม สาระบบรอง กับคัมภีร์เท็จ ก็คือคาทอลิคเองแหละ โดยสมัยช่วง ค.ศ. 384 น.เยโรม ภายใต้คำสั่งของพระสันตะปาปา จัดสาระบบพระคัมภีร์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เรียกว่าฉบับวุลเกต แต่กระนั้น นอกจากพระคัมภีร์สาระบบรองที่เรายอมรับ ยังมีอธิกธรรมอีกหลายๆเล่ม ที่แม้เราไม่ได้รับรองว่าเป็นการเขียนโดยพระจิตเจ้าดลใจ แต่เราก็ยอมรับมันในฐานะหนังสือเชิงประวัติศาสตร์ที่บอกเล่า “ข้อมูล” ในสมัยนั้นที่พระคัมภีร์เล่มหลักไม่ได้บันทึกไว้ ที่คงจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง อันทำให้เรารู้ว่า น.เปาโล เปโตร และเหล่าอัครสาวกตายยังไง แม่พระขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ นักบุญเวโรนิกาเอาผ้ามาซับพระพักตร์ระหว่างทางไปกางเขน ฯลฯ
ทูตสวรรค์ในอธิกธรรม
เป็นที่น่าตกใจที่เรื่องทูตสวรรค์ที่นักบุญเปาโลเอ่ยถึง ในจดหมายของท่านมีที่ มาจากอธิกธรรมชื่อดังคือ หนังสือเอโนคฉบับที่1และ2 ที่ทำให้เรารู้ชื่ออัครเทวดาทั้งหลาย การตกสวรรค์ ตลอดจนตำแหน่งและการทรงสร้างสวรรค์และโลกแบบละเอียดขึ้นกว่า ปฐมกาล อันทำให้เรารู้ว่ามีสวรรค์ของสวรรค์อีกที ที่เรียกว่าสุดยอดสวรรค์อันเป็นที่สูงสุดของพระเจ้าและคำนี้ยังมีปรากฏในพระธรรมเดิมที่เราแปลเพียงว่า “สวรรค์” เฉยๆ และยังมี หนังสือ Jubiless ที่บรรยายการทรงสร้างทูตสวรรค์ซะละเอียดยิบ
ลองถามตัวเองดูว่า คำว่า ทูตสวรรค์ชั้นนิกรเทพ นิกรอำนาจ นิกรเจ้า ฯลฯ ในจดหมายนักบุญเปาโล เราเคยเจอที่ไหนมาก่อนในพระธรรมเก่าเล่มหลักหรือไม่ แน่นอนมันไม่มี เพราะที่จริงมันอยู่ในอธิกธรรม และท่านนักบุญเปาโลก็ไม่ได้ปฎิเสธว่ามันไม่มีหรือไม่จริง แต่เขียนบรรยายในลักษณะว่าเป็นความรู้ทั่วไปที่ชาวยิวสมัยนั้นเขารู้กันดีอยู่แล้ว ดังนั้นเราคงต้องยอมรับความจริงตรงนี้ว่า มีความจริงบางอย่างที่พระคัมภีร์เล่มหลักไม่ได้รวมไว้ให้เราอ่าน
นอกจากนี้ สิ่งที่อาจทำให้คริสตชนทั้งผอง(รวมทั้งโปรแตสแตนท์สายตีความตามตัวอักษร) ต้องถามตัวเองกันอีกครั้งว่า มันมีเขียนตรงไหน ว่ามีทูตสวรรค์กบฏโดนถีบตกสวรรค์มาเป็นซาตานก่อนการสร้างมนุษย์? นั่นสินะ แล้วเชื่อกันมาตามๆกันหมดเลย ขนาดโปรแตสแตนท์ยังสอนแบบนี้ ทั้งที่ไม่มีบทพระคัมภีร์ในพระธรรมเล่มหลักอ้างอิงเรื่องนี้เลย เราอาจพบเรื่องสงครามทูตสวรรค์ในวิวรณ์ แต่ดูเหมือนเป็นเหตุการณ์หลังพระเยซูประสูตินี่ แล้วอีตาซาตานที่ปลอมเป็นงูนี่มันโผล่มาตั้งแต่หนังสือเล่มแรกเลยมิใช่หรือ
ความจริงแล้วมีอธิกธรรมที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ นอกจากหนังสือเอโนคแล้ว ยังมีหนังสือ Life of Adum&Eve ที่บรรยายเรื่องที่ซาตานและพรรคพวกถูกไล่ออกมาจากสวรรค์ โดยทูตสวรรค์มิคาแอล แถมเรื่องในอธิกธรรมเล่มนี้ ยังไปโผล่ในกรุอ่านด้วย ชี้ชัดว่า หนังสือเล่มนี้มีอ่านกันโดยไม่ได้ห้ามจนถึงค.ศ.500ช่วงกำเนิดอิสลามเลยทีเดียว และยังมีอิทธิพลในความเชื่อเรื่องกำเนิดซาตานในคริสต์ศาสนาทุกนิกายมาจนทุกวันนี้
เหตุที่ยกกรณีอธิกธรรมยืดยาว เพียงเพราะจะสรุปสั้นๆตรงนี้ว่า
ชาวยิวในสมัยก่อนและหลังพระเยซูเจ้านั้นมีความรู้เรื่องทูตสวรรค์ มากมายและลึกซึ้งกว่าที่พวกเราคริสตชนรู้มากนัก