---เทววิทยาเรื่องความตาย---ภาค2

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 1:22 am

อ่านภาค1ได้ที่ viewtopic.php?f=2&t=10073&start=0



---เทววิทยาเรื่องความตาย---ภาค2

โดย  บาทหลวงฟรังซิส ไกส์ แสงธรรมปริทัศน์ปีที่ 25 ฉบับที่  2

2.      ความตายในธรรมประเพณีทางเทววิทยา

2.1    ความตายและบาป

ธรรมประเพณีด้านเทววิทยาสอนกันมาหลายศตวรรษแล้วว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับความตายของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับบาปอย่างใกล้ชิด คำสอนของพระศาสนจักรในเอกสารต่างๆ ยืนยันความจริงนี้หลายครั้ง แต่ไม่ได้อธิบายในรายละเอียด พื้นฐานทางพระคัมภีร์ของคำสอนนี้มีอยู่ในหนังสือปฐมกาล (ปฐม 2:16 ฯ ; 3:19) และในจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม  (รม 5:12)  แต่พระศาสนจักรไม่เคยตีความหมายของข้อความเหล่านี้อย่างละเอียดในลักษณะที่เป็นกฎเกณฑ์บังคับ

ข้อความเหล่านี้ในรายละเอียดก่อให้เกิดปัญหามากมายสำหรับผู้ตีความและสำหรับนักเทววิทยาสมัยใหม่ที่ต้องการใช้ในการอธิบายความเชื่อ แต่ผู้เขียนหนังสือคู่มือเทววิทยาโดยทั่วไปมักจะตีความหมายอย่างง่ายๆ เพื่อสนับสนุนคำสอนของพระศาสนจักร และคิดว่าความหมายของข้อความเหล่านี้ชัดเจนตรงไปตรงมา เขาสรุปความหมายของข้อความเหล่านี้ว่า ความตายเป็นผลลัพธ์ของบาป ถ้ามนุษย์คู่แรกได้รักษาสภาพความชอบธรรมดั้งเดิมโดยไม่ทำบาป    เขาคงจะไม่ต้องตายเพราะพระคุณเหนือธรรมชาติของพระเจ้า 


รูปภาพ

  ตามความคิดของนักบุญออกัสติน พระพรของความเป็นอมตะไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ตายไม่ได้ แต่หมายความว่ามนุษย์อาจไม่ตายด้วยฤทธิ์อำนาจของพระหรรษทานจากพระเจ้า  ดังนั้น มนุษย์ไม่มีชีวิตอมตะโดยธรรมชาติ แต่อาจหลุดพ้นจากความตายอาศัยพระพรเหนือธรรมชาติของพระเจ้า ทัศนะนี้ของนักบุญออกัสตินมีอิทธิพลต่อเทววิทยาทางตะวันตกอย่างกว้างขวางตลอดหลายศตวรรษ จึงนำไปสู่ความคิดทางเทววิทยาโดยทั่วไปว่าถ้ามนุษย์ไม่ทำบาป เขาจะไม่ประสบกับความตายในด้านร่างกายอีกด้วย

  ถึงแม้ว่าความคิดนี้เป็นที่ยอมรับของบรรดานักเทววิทยาโดยทั่วไป และเป็นข้อสันนิษฐานที่อยู่เบื้องหลังคำสอนทางการของพระศาสนจักร น่าสังเกตว่าความคิดนี้ไม่เป็นข้อความเชื่อที่พระศาสนจักรได้นิยามเป็นความจริงให้ทุกคนต้องเชื่อ คำสอนทางการของพระศาสนจักรเกี่ยวกับบาปและความตายต้องการเพียงยืนยันว่าประสบการณ์ของมนุษย์ที่ต้องตายทางด้านร่างกายนั้นมีความสัมพันธ์กับบาปที่มนุษย์ได้กระทำ  แต่คำสอนทางการของพระศาสนจักรไม่ได้อธิบายในรายละเอียดถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ว่าเป็นอะไร
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 1:26 am

2.2 ความตายเป็นการแยกวิญญาณออกจากร่างกาย

โดยปกติแล้ว ความเข้าใจของ เพลโต และอาริสโตเติล ในเรื่องธรรมชาติมนุษย์ เป็นพื้นฐานของนักเทววิทยาในความเข้าใจถึงความหมายของความตาย ตามความคิดของเพลโต วิญญาณของมนุษย์อาศัยอยู่ในร่างกายเหมือนกับกะลาสีที่อยู่ในเรือ เมื่อมนุษย์ตาย วิญญาณได้รับการปลดปล่อยจากการถูกจองจำในร่างกายที่เป็นวัตถุ ปรัชญาดังกล่าวมองร่างกายในแง่ลบและทัศนะนี้มีอิทธิพลมากต่อแนวความคิดของนักเทววิทยาตลอดหลายศตวรรษจนกระทั่งความคิดของอาริสโตเติลเข้ามามีอิทธิพลเป็นที่รู้จักทั่วไปในสมัยกลาง

อิทธิพลของอาริสโตเติลแผ่ขยายไปในคริสตชนทางตะวันตก ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับวิญญาณที่เคยเป็นความสัมพันธ์อันหละหลวมตามแนวคิดของเพลโต ได้รับความกระชับมากขึ้นเช่น นักบุญโทมัส อาไควนัส ใช้อภิปรัชญาของอาริสโตเติลเรื่องกฎการเป็นสาเหตุ ในด้าน “รูปแบบ”และสสาร (Material และ formal cause) และสรุปว่า วิญญาณเป็น “รูปแบบ” ของร่างกาย “รูปแบบ” เป็นตัวกำหนดสสารให้เป็นร่างกายของมนุษย์โดยเฉพาะ วิญญาณเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของมนุษย์เช่นเดียวกับร่างกาย

รูปภาพ

ความคิดโดยรวมของเทววิทยา ไม่ว่าจากพื้นฐานทางธรรมประเพณีของเพลโต หรือของอาริสโตเติล มักจะมองความตายว่าเป็นการแยกวิญญาณออกจากร่างกาย นักเทววิทยาที่ใช้ความคิดทางปรัชญาของอาริสโตเติล มีความจำเป็นที่จะแก้ไขแนวความคิดของอาริสโตเติลเรื่อง “รูปแบบ” เพื่อที่จะสร้างแนวความคิดใหม่ว่า แม้วิญญาณแยกออกจากร่างกายชั่วคราว แต่เป็นไปได้ว่าวิญญาณยังคงอยู่ เพราะตามความคิดของอาริสโตเติล “รูปแบบ” จำเป็นต้องร่วมกับสสารอยู่เสมอ เพื่อจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ในฐานะที่เป็นสาเหตุภายใน “รูปแบบ” ก่อให้เกิดผลพร้อมกับสสารซึ่งเป็นวัสดุปัจจัย ทัศนะนี้หมายความว่า ถ้าวิญญาณเป็นรูปแบบของร่างกายอย่างแท้จริง สำหรับอาริสโตเติล วิญญาณสูญสลายไปเมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตลง จากมุมมองทางปรัชญา “รูปแบบ” ที่ทำให้สสารเป็นมนุษย์นั้น สูญสลายเมื่อมนุษย์ตายไป ศพไม่เป็นมนุษย์ และ “รูปแบบ” ที่ทำให้สสารเป็นศพนั้น ก็ไม่ใช่วิญญาณของมนุษย์ ปรัชญาของอาริสโตเติลไม่เคยสันนิษฐานว่า มนุษย์อาจจะมีชีวิตอยู่แบบใดแบบหนึ่งหลังจากความตายได้

ด้วยเหตุนี้ นักเทววิทยาคริสตชนซึ่งปรารถนาที่จะใช้ทฤษฏีสสารและรูปแบบของอาริสโตเติล จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเรื่อง “รูปแบบ” เพื่อจะนำมาใช้อธิบายข้อความเชื่อตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักร การดัดแปลงนี้นำไปสู่ความคิดที่ว่าวิญญาณเป็นรูปแบบในความหมายใหม่ กล่าวคือเป็นรูปแบบที่มีความสัมพันธ์ที่จำเป็นกับสสาร แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้หมายความว่า “รูปแบบ”จำเป็นต้องร่วมกับสสารตลอดเวลา เพราะรูปแบบสามารถคงอยู่ได้ชั่วคราวโดยปราศจากสสาร แม้ยังมีแนวโน้มที่จะร่วมกับสสารอยู่เสมอ โดยสรุปแล้ว นี่เป็นความคิดทางเทววิทยาเรื่องวิญญาณแยกออกจากร่างกายหลังจากความตาย ซึ่งยังคงมีอยู่โดยมีความต้องการที่จะร่วมกับร่างกายสักวันหนึ่ง ตามทฤษฎีนี้วิญญาณในฐานะที่เป็น “รูปแบบ” ซึ่งมีความสัมพันธ์ภายในกับสสาร เมื่อแยกจากร่างกายจึงทำหน้าที่ 2 ประการคือ

1) วิญญาณเป็นพื้นฐานสำหรับความเข้าใจเรื่องเอกลักษณ์ของมนุษย์หลังจากความตาย
2) วิญญาณเป็นพื้นฐานสำหรับความเข้าใจว่าทำไมมนุษย์ไม่สมบูรณ์จนกว่าร่างกายจะกลับคืนชีพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 1:31 am

2.3 ความตายเป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ส่วนตัวของมนุษย์แต่ละบุคคล

ธรรมประเพณีทางเทววิทยาสอนโดยทั่วไปว่า ความตายไม่เป็นเหตุการณ์ทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์ทั้งหมด เพราะความตายของแต่ละบุคคลเป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของตน แม้วิชาการแพทย์อาจกำหนดความตายไว้ด้วยวิธีหลายอย่าง นักเทววิทยาเข้าใจถึงความตายของมนุษย์ว่าเป็นจุดจบของชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีก เราอาจจะไม่รู้อย่างแน่นอนว่าจุดจบของชีวิตเกิดขึ้นอย่างไรและเมื่อไร และอาจจะไม่ตรงกับความตายที่การแพทย์กำหนดไว้จากข้อมูลทางชีวภาพ แต่สำหรับเทววิทยาของคริสตชน ความตายเป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็จะไม่เป็นชีวิตที่หวนกลับมาสู่ประสบการณ์ด้านเวลาและสถานที่เดิมในโลกนี้อย่างแน่นอน และจะไม่เป็นชีวิตใหม่ที่เวียนว่ายตายเกิดอีก เวลาที่มนุษย์ดำเนินชีวิตโดยเลือกกิจการอย่างอิสระว่าจะทำอย่างไรนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่จะจบลงพร้อมกับความตาย

ด้วยเหตุนี้ ประสบการณ์ของบางคนที่ดูเหมือนตายแล้ว แต่การแพทย์ช่วยเขาให้กลับมามีชีวิตอีกอันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากในสมัยของเรา เมื่อพิจารณาจากมุมมองทางเทววิทยาแล้ว ก็ต้องสรุปว่าประสบการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ประสบการณ์ของผู้ที่ตายแล้ว แต่เป็นเพียงประสบการณ์ของผู้ที่ใกล้จะตายเท่านั้น จากการอธิบายของผู้ป่วยที่ได้รับประสบการณ์การฟื้นขึ้นมาจากสภาพของความตายดังที่การแพทย์กำหนดไว้ เราอาจจะอธิบายประสบการณ์ของเขาว่าเป็นสภาพจิตสำนึกที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่ศึกษาสภาพจิตสำนึกที่เปลี่ยนแปลงเพราะประสบการณ์เข้าภวังค์หรือเพราะกินยาเสพติด บรรยายปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเช่นเดียวกับประสบการณ์ของผู้ที่ใกล้จะตายเหล่านั้น วิชาจิตวิทยาสมัยใหม่ยอมรับว่าจิตสำนึกของมนุษย์มีหลายระดับ ดังนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่บางคนมีประสบการณ์ “ใกล้จะตาย” เช่นนั้น

เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ประสบการณ์ดังกล่าวไม่พิสูจน์ได้ว่า มนุษย์ยังมีชีวิตหลังจากความตาย แม้ประสบการณ์นั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์หล่านั้น แต่ประสบการณ์ดังกล่าวมีความหมายในการพิสูจน์ความจริงอีกข้อหนึ่งคือ มีหลักฐานพิสูจน์ว่า มนุษย์ยังเป็นผู้กระทำบางสิ่งบางอย่างแม้ในเวลาที่การแพทย์ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ที่บ่งบอกได้ว่าจิตสำนึกยังมีชีวิตอยู่ เรามีหลักฐานอย่างพอเพียงที่จะสนับสนุนความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นผู้กระทำด้วยตนเองตลอดชีวิตรวมทั้งเวลาที่ประสบกับความตาย ความสำคัญของความคิดนี้จะชัดเจนขึ้นในภายหลัง เมื่อเราจะพิจารณาความคิดเห็นของนักเทววิทยาร่วมสมัยเรื่องความตาย

รูปภาพ

พระศาสนจักรสอนความจริงประการหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับความคิดที่ว่า ความตายเป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ส่วนตัวของมนุษย์แต่ละบุคคล คือความจริงที่ว่าหลังจากความตายวิญญาณของผู้ชอบธรรมที่ไม่ต้องการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้น จะได้มีความสุขอย่างแท้จริงในการเห็นพระเจ้าทันทีทันใด ส่วนวิญญาณของผู้ที่ตายในสถานะบาปหนัก จะได้รับความทุกข์ทรมานในนรกทันทีทันใดเช่นกัน คำสอนทางการของพระศาสนจักรมีความรอบคอบในการประกาศชะตากรรมนิรันดรของแต่ละบุคคล คริสตชนมีความเชื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพและเสด็จขึ้นสวรรค์ จึงยืนยันว่าสวรรค์มีอยู่จริง พระศาสนจักรได้ย้ำความจริงนี้เมื่อประกาศว่าพระนางมารีย์ทรงรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ และทุกครั้งที่สถาปนานักบุญองค์ใดองค์หนึ่ง หมายความว่าอย่างน้อยมนุษย์บางคนอยู่ในสวรรค์อย่างแน่นอน คือพระเยซูเจ้า พระนางมารีอา และนักบุญทั้งหลาย แต่พระศาสนจักรไม่เคยยืนยันว่ามนุษย์ผู้ใดอยู่ในนรก แน่นอนพระศาสนจักรยึดมั่นว่าเป็นไปได้ที่มนุษย์อาจพินาศไปตลอดนิรันดร แต่ไม่มีคำสอนใดเป็นทางการที่บ่งบอกว่ามนุษย์คนใดอยู่ในนรก

สรุปแล้ว คำสอนตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักรเกี่ยวกับความตายยังมีข้อจำกัดอยู่มาก มักจะพัฒนาความคิดในเหตุการณ์ก่อนหรือหลังความตาย มากกว่าที่จะอธิบายความเป็นจริงของการตายโดยตรง เพียงแต่อธิบายว่าความตายคือการที่วิญญาณแยกออกจากร่างกาย พระศาสนจักรสอนเราว่าเหตุการณ์ที่ควรจะเกิดขึ้นก่อนความตายคือ การกลับใจเป็นทุกข์ถึงบาป และรับศีลเจิมคนไข้ ส่วนเหตุการณ์ที่จะตามมาหลังจากความตายคือ การพิพากษาส่วนตัว สวรรค์ นรก ไฟชำระ และสถานะที่รอคอยการกลับคืนชีพ คำสอนเรื่องนี้มีพื้นฐานอยู่บนข้อสันนิษฐานที่ว่า ความตายคือการที่วิญญาณแยกออกจากร่างกาย แต่ถ้าความเข้าใจเรื่องความตายได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างสิ้นเชิงแล้ว คำสอนเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับความตายจะต้องได้รับการตีความแบบใหม่อีกด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 1:44 am

3. ความตายในเทววิทยาร่วมสมัย

ความเข้าใจเรื่องความตาย นับเป็นหัวใจของวิชาอวสานกาลวิทยาส่วนบุคคล ดังที่นักเทววิทยาร่วมสมัยพัฒนาขึ้น เขาตั้งคำถามที่ว่า “อะไรจะเกิดขึ้นกับบุคคลเมื่อเขาตาย” บรรดานักเทววิทยาร่วมสมัยมีความคิดหลากหลาย แต่ทุกคนมั่นใจว่านิยามความตายตามธรรมประเพณีที่สอนว่า ความตายเป็นการแยกกันระหว่างร่างกายกับวิญญาณนั้น ไม่เป็นการเพียงพอ จะต้องค้นหาความหมายให้ลึกซึ้งกว่านี้

การพัฒนาความคิดหลักในเรื่องความตายมีนักเทววิทยาสำคัญ 3 ท่าน ที่ให้แนวใหม่ไว้คือ

คาร์ล ราห์เนอร์ (K. Rahner) ทรัวฟังแตนส์ (R. Troisfontaines) โบรอส (L. Boros)

โดยที่ทรัวฟังแตนส์ ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปรัชญาของมาแซล (G.Marcel) แต่ราห์เนอร์และโบรอสได้ใช้ปรัชญาเชิงอุตรภาพเป็นพื้นฐาน ท่านทั้ง 3 คนพยายามหาเหตุผลสนับสนุนความคิดที่ว่า ความตายของมนุษย์ไม่ใช่เป็นเพียงชะตากรรมที่เขาเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว แต่เขาเป็นผู้กระทำอีกด้วย ความตายจึงเป็นการกระทำส่วนตัวของแต่ละบุคคล ผลงานของราห์เนอร์มีอิทธิผลต่อนักเทววิทยาอื่นๆ หลายคน แต่ในที่นี้ เราจะพิจารณาถึงทัศนะของราห์เนอร์ และผลกระทบของเขาที่มีต่องานของโบรอส

รูปภาพ

3.1 ความคิดของราห์เนอร์

ความคิดหลักของราห์เนอร์มาจากความมั่นใจที่ว่า ความตายไม่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก หรือเป็นชะตากรรมซึ่งมีสาเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ แน่นอนความตายก็เป็นเช่นนี้แต่มีความหมายมากกว่านั้นคือ ความตายเป็นการกระทำของมนุษย์ที่จำเป็นต้องทำ ความตายไม่เพียงเป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเองเท่านั้น แต่เป็นกิจการของเราอีกด้วย เพื่อจะเข้าใจความคิดของราห์เนอร์เราจำเป็นที่จะมาพิจารณาความเข้าใจเรื่องชีวิตมนุษย์ตามที่ราห์เนอร์สั่งสอน

ราห์เนอร์มีความคิดว่ามนุษย์แสวงหาความหมายของชีวิตและพยายามที่จะได้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ ในทัศนะนี้ชีวิตมนุษย์เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่องของสองฝ่ายที่กระทำระหว่างกัน คือ ระหว่างการกระทำของแต่ละบุคคลกับการกระทำของผู้อื่นและกับการกระทำของสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นบริบทของชีวิตของตน แต่ละบุคคลถูกกระทำจากผู้อื่นและในทางตรงกันข้ามเขามีปฏิกิริยาต่อผู้อื่น เราจึงสรุปได้ว่า ชีวิตมนุษย์เป็นปฏิพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของกัมมันตภาพและอกัมมันตภาพ (an ongoing dialectic of passivity and activity).

อันดับแรกเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราเริ่มมีชีวิตในครรภ์มารดาโดยไม่มีการกระทำของเราเลย เราได้รับชีวิตโดยไม่มีใครมาปรึกษาหารือกับเราก่อน เราไม่ได้เลือกเอาเองที่จะมีชีวิต แต่เมื่อเรามีชีวิตแล้ว เราต้องดำเนินชีวิตที่เราได้รับนั้น อาศัยการกระทำของเราเอง และส่วนหนึ่งของชีวิตของเราเป็นผลของการกระทำที่เราจงใจกระทำ

รูปภาพ

ทำนองเดียวกัน ชีวิตของเรายังขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เราไม่อาจควบคุมได้ ความตายจึงเป็นรูปแบบชัดเจนมากที่สุดของปฏิพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของกัมมันตภาพและอกัมมันตภาพ ซึ่งคงอยู่ตลอดชีวิตของเรา ความตายสำหรับชีวิตมนุษย์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของร่างกายที่แตกสลายไป ดังที่เป็นสำหรับสัตว์และต้นไม้ โดยแท้จริงแล้ว ความตายของมนุษย์มีความหมายมากกว่านั้น คือ เป็นการกระทำของบุคคลที่ใช้ทั้งสติปัญญาและเจตจำนง เมื่อมนุษย์ตาย ก็เป็นเวลาที่เขาอยู่ใต้อำนาจพลังที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ในเวลาเดียวกันเขายังถูกเรียกที่จะแสดงเสรีภาพของตนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเขาเลือกทางใดทางหนึ่งก็จะดำรงอยู่ในทางนั้นตลอดไป

ความเข้าใจเช่นนี้ ทำให้เรามองความตายในแง่ที่เป็นการกระทำที่นำความสมบูรณ์มาสู่ชีวิตมนุษย์ เพราะความตายทำให้ทุกสิ่งที่มนุษย์เคยกระทำสำเร็จไป มองในแง่ที่เป็นการกระทำของมนุษย์ ความตายจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่มนุษย์กระทำอย่างเสรี แม้ชีวิตทั้งหมดของมนุษย์นับว่าเป็นการเตรียมการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในเวลาแห่งความตายก็ตาม ความตายก็ยังเป็นเวลาพิเศษสุดที่มนุษย์ใช้เสรีภาพของตนในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และการตัดสินใจครั้งนี้มีผลตลอดไป

ความคิดนี้ ทำให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ทำไมราห์เนอร์พบว่าการให้คำนิยามในเรื่องความตายที่มีมาแต่โบราณนั้นไม่เพียงพอ ความตายไม่เป็นเพียงการแยกกันของวิญญาณจากร่างกาย แต่ยังเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ส่วนตัวของแต่ละคน ความตายไม่เพียงมีผลกระทบต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อวิญญาณอีกด้วย เพราะเมื่อมนุษย์ตาย วิญญาณของเขาบรรลุถึงความสมบูรณ์ วิญญาณเข้าสู่ความสัมพันธ์ใหม่และลึกซึ้งกับโลก ซึ่งราห์เนอร์เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบสหจักรวาล (pan-cosmic)” นั่นคือ เมื่อวิญญาณสละร่างกายที่จำกัดของตนในชีวิตนี้ วิญญาณก็จะเปิดตัวต่อจักรวาลทั้งหมด

ราห์เนอร์ได้ให้คำอธิบายเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับความคิดที่ว่า โดยพื้นฐานแล้ว ความตายของมนุษย์แต่ละคนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความตายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น สัตว์และต้นไม้ ความตายของมนุษย์มีลักษณะเฉพาะเพราะเป็นการกระทำของมนุษย์ ความคิดนี้ของราห์เนอร์เป็นความคิดทางปรัชญาก็จริง แต่มีเหตุผลสนับสนุนจากคำสอนของพระคัมภีร์และของเทววิทยา ราห์เนอร์ชี้ให้เห็นถึงรายละเอียดที่พระคัมภีร์ใช้ในการเสนอการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้า ในข้อความของพระคัมภีร์เราพบทั้งการกระทำของผู้อื่นและการกระทำของพระองค์ ซึ่งสอดคล้องกับคุณลักษณะที่ได้วิเคราะห์ทางปรัชญา
แน่นอน การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าไม่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงถูกกระทำ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรับทรมาน (มก 14:32-41;15:34) อีกด้านหนึ่ง พระคัมภีร์ชี้แจงว่า การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าเป็นกิจการของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงมอบพระองค์อย่างอิสระไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดา (ลก 23:46; ยน 14:2, 28; 16:7; 19:30) จากข้อความเหล่านี้ นักเทววิทยาได้ไตร่ตรองเป็นเวลาหลายศตวรรษและสรุปว่า การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าเป็นกิจการสูงสุดที่แสดงความอ่อนน้อมเชื่อฟังต่อพระประสงค์ของพระบิดา ธรรมประเพณีทางเทววิทยาสอนว่า การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นได้ เพราะเป็นกิจการที่พระองค์ทรงจงใจกระทำ การวิเคราะห์ของราห์เนอร์พัฒนาความเข้าใจเช่นนี้เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้ามากยิ่งขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 1:54 am

3.2 ความคิดของโบรอส

โบรอสทำให้ความคิดของราห์เนอร์ก้าวหน้ามากกว่าอีก เขาพัฒนาปรัชญาของราห์เนอร์เกี่ยวกับเสรีภาพ เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของความตาย สำหรับโบรอส ความตายเป็นช่วงเวลาพิเศษของเสรีภาพ คือเวลาที่มนุษย์เปิดวิญญาณของตนให้มีความสัมพันธ์กว้างขวางกับโลกทั้งหมด ถ้าวิญญาณเปิดตัวกว้างต่อโลกเช่นนี้แล้ว วิญญาณก็จะต้องเปิดตัวต่อพื้นฐานของโลก คือพระเจ้า โบรอสจึงเสนอทฤษฎีที่ว่า “ความตายเป็นกิจการแรกที่มนุษย์กระทำอย่างรู้ตัวและเป็นอิสระอย่างเต็มเปี่ยม เพราะฉะนั้น ในเวลาแห่งความตาย มนุษย์พบกับพระเจ้า โดยมีความรู้ตัวและมีเสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยม ต่างกับการพบพระเจ้าในโอกาสอื่นๆ ในชีวิต เพื่อจะได้ตัดสินใจเลือกชะตากรรมนิรันดรของตนเป็นครั้งสุดท้าย”

เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า ความคิดนี้ของโบรอสเน้นเป็นพิเศษ การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของมนุษย์ในเวลาที่เขาจะตาย เพราะการตัดสินดังกล่าวจะกำหนดชะตากรรมนิรันดรของมนุษย์ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้มักจะชี้ว่า โบรอสเน้นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของมนุษย์เกินไป ทำให้กิจการอื่นๆ ที่มนุษย์ทำก่อนตายลดความหมายลง แต่โบรอสพยายามตอบการโต้แย้งนี้ว่า การตัดสินใจครั้งสุดท้ายในเวลาแห่งความตาย ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจครั้งอื่นๆ ที่มนุษย์ได้ทำในชีวิตก่อนตาย เพราะการตัดสินเหล่านี้ได้ตระเตรียมเขาให้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย กิจการอิสระที่มนุษย์กระทำตลอดชีวิตมีอิทธิพล อย่างมากต่อการกำหนดอนาคตของตน จริงอยู่ การตัดสินใจครั้งสุดท้ายสำคัญกว่าการตัดสินใจครั้งอื่นๆที่ทำก่อนตาย แต่ยังเป็นผลของการตัดสินใจเหล่านี้ และการตัดสินใจครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการตัดสินใจเหล่านี้มาก่อน

ดังนั้น ทฤษฎีการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในเวลาแห่งความตายไม่สนับสนุนให้ดำเนินชีวิตโดยไม่รับผิดชอบ หรือไม่สนใจปฏิบัติทางศีลธรรม โบรอสคิดว่าทฤษฎีนี้สอดคล้องกับคำสอนทางพระคัมภีร์เกี่ยวกับการตื่นเฝ้าระวังตลอดชีวิตและกับคำสอนทางธรรมประเพณีที่ยืนยันว่า มนุษย์รู้ไม่ได้อย่างแน่นอนว่าตนจะเอาตัวรอดหรือไม่

แนวความคิดนี้ได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการไตร่ตรองทางเทววิทยาโรมันคาทอลิกในเรื่องความตาย แม้จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างในการยกเหตุผลสนับสนุน ทุกคนที่มีความคิดนี้ยืนยันว่าช่วงเวลาแห่งความตายเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับมนุษย์ ไม่เหมือนช่วงเวลาอื่นๆ ในชีวิตของเขา เพราะเป็นช่วงเวลาที่เขาใช้เสรีภาพของตนอย่างเต็มเปี่ยม ทฤษฎีนี้ดูเหมือนมีทัศนะเช่นเดียวกับในสมัยก่อนเมื่อสอนว่าความตายเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตของมนุษย์แต่ละคน


รูปภาพ

เราอาจสรุปความคิดของนักเทววิทยาร่วมสมัยเกี่ยวกับความตายได้ดังต่อไปนี้

ก) ความตายเป็นจุดสุดท้ายแห่ง ปฏิพัฒนาการของการรับทรมานและการกระทำของมนุษย์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของชีวิตมนุษย์ จากประสบการณ์ของผู้ที่สังเกตบุคคลที่กำลังสิ้นใจได้พบว่า ปฏิพัฒนาการเช่นนี้เกิดขึ้นในผู้ที่ตาย เทววิทยาเรื่องการตัดสินใจครั้งสุดท้ายพยายามวิเคราะห์ประสบการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง ถ้ากระบวนการของผู้ที่กำลังจะตายเป็นการกระทำส่วนบุคคลนั้น ความตายจึงจะเป็นโอกาสที่ผู้ตายบรรลุถึงความสมบูรณ์โดยการกระทำของตนเอง ความตายจึงเป็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการแห่งชีวิต

ข) ความตายเป็นการยอมจำนนตนเองเป็นครั้งสุดท้าย นี่คือความหมายของความตายตามอุดมการณ์ แต่อาจจะไม่เป็นความจริงสำหรับทุกคน เพราะเขาไม่ยอมรับชะตากรรมของตน ความตายควรจะเป็นกิจการสุดท้ายของผู้ที่ดำเนินชีวิตโดยพยายามที่จะรักผู้อื่นและอุทิศตนแก่ผู้อื่น แต่ประสบการณ์ของมนุษย์คลุมเครืออยู่เสมอ ไม่ชัดว่าอนาคตสำหรับเราเมื่อตายและหลังจากความตายจะเป็นอย่างไร เราจะพบความว่างเปล่า หรือจะพบธรรมล้ำลึกอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่ในโลกนี้ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ความตายก็ไม่รู้คำตอบ ความรู้สึกล้มเหลวในเวลาแห่งความตายเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเรากำลังจะสูญสลายไปหรือ ความรู้สึกว่างเปล่าเป็นเพียงเงื่อนไขเพื่อจะได้รับชีวิตอย่างถาวรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ โดยลำพังตนเองมนุษย์ไม่สามารถที่จะตอบคำถามดังกล่าวนี้ แต่เมื่อเรามองการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า เราพบตัวอย่างของมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย และได้บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์อย่างรุ่งเรือง ดังนั้นเรารู้ว่า ความตายของมนุษย์เป็นการยอมจำนนครั้งสุดท้ายต่อพระเจ้าได้เช่นกัน เป็นการมอบชีวิตของตนแด่พระเจ้าด้วยความไว้วางใจ เพราะเราเชื่อว่าพระองค์ทรงมีความรัก ความเมตตากรุณาและการยอมรับทุกคน ความตายเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราเลือกว่า จะรักหรือไม่รัก สำหรับคริสตชนแล้วการเลือกที่จะรักในช่วงสุดท้ายของชีวิตเป็นการมอบตนเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงรักและทรงเมตตา เป็นการกระทำด้วยใจอิสระของผู้มีความเชื่อ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับธรรมล้ำลึกของการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระ ชนมชีพของพระเยซูเจ้า

ค) ความตายกำหนดจุดจบประวัติศาสตร์ของแต่ละคน ในฐานะที่สอนว่าความตายเป็นการกระทำส่วนตัวของแต่ละคน เทววิทยาร่วมสมัยเสนออีกวิธีหนึ่งเพื่ออธิบายความหมายของความตายในแง่ที่เป็นจุดจบของการเดินทางจาริกแสวงบุญของแต่ละคน เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงครั้งเดียว การตัดสินใจต่างๆ ที่เรากระทำในชีวิตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในช่วงเวลาแห่งความตาย ก็มีความหมายตลอดไป
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 1:57 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 2:10 am

4. การภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับ

แนวความคิดใหม่เรื่องความตายชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเลื่อมใสศรัทธาของคริสตชนที่มีต่อผู้ล่วงหลับ คำสอนทางการของพระศาสนจักรได้แสดงความมั่นใจว่าผู้ล่วงหลับไปแล้วอาจจะได้รับความช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งจากคำภาวนาและกิจการดีงามของผู้เป็น คำสอนตลอดหลายศตวรรษมานี้ได้รับการยืนยันใหม่จากเอกสารของสมณกระทรวงเพื่อส่งเสริมคำสอนเรื่องความเชื่อ ปี 1979 เอกสารนี้เตือนให้เอาใจใส่เป็นพิเศษต่อเรื่องนี้ว่า “พระศาสนจักรพึงหลีกเลี่ยงทั้งความคิด และคำพูดที่จะทำให้คำภาวนา พิธีฝังศพ หรือบุญกุศลอื่นๆ เพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงหลับไร้ความหมาย หรือเข้าใจไม่ได้” คำสอนเรื่องไฟชำระมีความผูกพันธ์กับความหมายของคำภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับ และกับความเข้าใจทางเทววิทยาเรื่องสหพันธ์นักบุญ และความหวังในการกลับคืนชีพ

คำสอนเรื่องสหพันธ์นักบุญเป็นข้อความเชื่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพอย่างลึกซึ้งในหมู่คริสตชน ความหมายของสมานฉันท์ของมนุษย์หยั่งรากลึกในพระคัมภีร์ และเป็นข้อเท็จจริงสำคัญในคำสอนของพระศาสนจักรเรื่องบาปกำเนิดและการไถ่บาป ความเข้าใจทางเทววิทยาของสมานฉันท์นี้ อาจจะชัดขึ้นถ้าอาศัยปรัชญามนุษยวิทยา ในด้านปรัชญา ความสมานฉันท์เป็นลักษณะสำคัญของธรรมชาติมนุษย์ที่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ในด้านเทววิทยา คำสอนเรื่องพระหรรษทานและความรอดพ้นของมนุษย์ส่งเสริมลักษณะดังกล่าวของธรรมชาติมนุษย์

รูปภาพ

พระคัมภีร์และคำสอนของบรรดาปิตาจารย์แสดงความคิดนี้โดยใช้คำอุปมาว่า มนุษย์ที่ได้รับพระหรรษทานและความรอดพ้นเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นพระวิหาร และเป็นพระวรกายของพระคริสตเจ้า เมื่อเรานำความคิดนี้ร่วมกับความเชื่อในชีวิตนิรันดรกับพระเจ้านั้น ก็ต้องสรุปได้ว่า ความสมานฉันท์ของมนุษย์ในโลกนี้จะต้องคงไว้และต่อเนื่องไปในชีวิตหลังจากความตาย ถ้ามนุษย์มีความสัมพันธ์กันโดยธรรมชาติและโดยพระหรรษทานเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ความสัมพันธ์นี้จะไม่หมดสิ้นไปพร้อมกับความตาย

ตามความคิดเห็นของราห์เนอร์ พื้นฐานทางเทววิทยาของการภาวนาเพื่อผู้ล่วงหลับอยู่ในความคิดที่ว่า แม้ความตายเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของมนุษย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจนั้นจะเกิดผล ขึ้นอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใด เราอาจคิดได้ว่าการเจริญเติบโตของบุคคลหนึ่งทั้งหมดไม่สำเร็จลงในช่วงเวลาแห่งความตาย การเจริญเติบโตที่เกิดขึ้นหลังจากความตายจนถึงขั้นสมบูรณ์คือ ความหมายของ “ไฟชำระ” แต่ความคิดนี้ไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนว่าคำภาวนา และกิจการดีของผู้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มีอิทธิพลต่อกระบวนการการเติบโตนี้อย่างไร

กระนั้นก็ดี ปรัชญาของราห์เนอร์ให้แนวความคิดและมุมมองที่พัฒนาได้ต่อไป มนุษยวิทยาของราห์เนอร์เน้นเอกภาพพื้นฐานของมนุษยชาติและความสัมพันธ์ของแต่ละคนกับมนุษยชาติทั้งหมด ถ้าเรามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชีวิตนี้ น่าจะสรุปได้ว่าความสัมพันธ์ต่อกันยังต้องคงอยู่หลังจากความตายโดยรูปแบบใหม่ ความสมานฉันท์ของมนุษย์นำเราข้ามพ้นเขตแดนแห่งความตาย ความสัมพันธ์ที่เรามีกับผู้อื่นเป็นลักษณะสำคัญของชีวิตของเราแต่ละคน ความจริงนี้ชัดเจนอยู่แล้วสำหรับมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่เราอาจนำความคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตหลังจากความตาย เพราะชีวิตนิรันดรไม่มีลักษณะที่แต่ละคนอยู่ลำพังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่มีความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะความสัมพันธ์กับผู้อื่นนี้ทำให้เขาเป็นบุคคลอย่างที่เขาเป็น ถ้า “ไฟชำระ” หมายถึงขบวนการรักษาให้หายและการเจริญเติบโตของผู้ล่วงหลับ อาจเป็นไปได้ว่าเครือข่ายของความสัมพันธ์ที่ผู้อื่นมีอิทธิพลต่อผู้ล่วงหลับและผู้ล่วงหลับเคยมีอิทธิพลต่อผู้อื่น ก็จะต้องได้รับการรักษาให้หายเช่นกัน

รูปภาพ

พระคาร์ดินัล รัทซิงเกอร์ (Ratzinger) ได้เสนอความคิดเดียวกัน การเผชิญหน้ากับพระคริสตเจ้าในความตายเป็นการพบปะกับพระวรกายของพระคริสตเจ้า ดังนั้นเป็นการพบปะระหว่างแต่ละคนที่ได้กระทำความผิดต่อสมาชิกซึ่งรับทนทุกข์ทรมานในพระวรกายของพระเยซูคริสตเจ้ากับพระคริสตเจ้าผู้เป็นศรีษะของพระวรกาย ซึ่งแสดงความรักที่ให้อภัย คำสอนเรื่อง “ไฟชำระ” และการภาวนาอุทิศให้ผู้ล่วงหลับแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของมนุษย์ในความหมายกว้างที่สุด คำสอนนี้แสดงความเชื่อของพระศาสนจักรในพลังแห่งความรักที่ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นและคงอยู่ตลอดไป ความตายไม่ได้จำกัดข้อบังคับแห่งความรัก เราไม่รู้รายละเอียดของชีวิตหลังจากความตายจะเป็นอย่างไร แต่ความสมานฉันท์ของมนุษย์เป็นเหตุผลพอสมควรที่เราอาจยกมาเป็นพื้นฐานของความเชื่อของพระศาสนจักรที่ว่า คำภาวนาและกิจการแสดงเมตตาจิตของคริสตชนสามารถมีผลต่อผู้ตายได้.

----------------------------------------------

หมายเหตุ-“ผู้ล่วงหลับ” (ไม่ใช่ “ล่วงลับ” ตามปกติ) ภาพพจน์กล่าวถึงความตายว่าเป็นการนอนหลับ พบได้บ่อยๆ ในพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่และวรรณคดีกรีก ในทำนองเดียวกัน “การกลับคืนชีพ” จึงเปรียบได้กับ “การตื่นจากหลับ” ความเชื่อของคริสตชนถือว่า ความตายเป็นการหลับพักผ่อนในพระคริสตเจ้า เปาโลใช้สำนวนนี้บ่อยๆ (1คร15:6, 18, 20, 51; 1ธส 4:13)

------------------------------------------------

ที่มา-บาทหลวงฟรังซิส ไกส์ แสงธรรมปริทัศน์ปีที่ 25 ฉบับที่ 2
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ เม.ย. 17, 2011 8:59 am

ยน 8:51
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา
ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ เม.ย. 17, 2011 9:08 pm

^
ความตายที่พี่โฮลี่ยกมา คือ การตายฝ่ายจิตวิญญาณ หรือการแยกจากพระเจ้านิรันดร์
ภาษาง่ายๆ คือตกนรก
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

จันทร์ เม.ย. 18, 2011 12:07 am

เชื่อพระเยซูก็รอดนรกอยู่แล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2011 5:00 pm

เคยอ่านพระคัมภีร์ มัตธิวบทที่7ข้อ21-27 :s030:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 23, 2012 7:49 am

มีภาค2ด้วยน่าอ่านมาก..... :s015:
ตอบกลับโพส