"In rebus autem unumquodque tantum habet de bono,quantum habet de esse:bonum enim et esse convertuntur"
(S.Thomas Aquinas,Summa theologiae I-II,)
http://www.newadvent.org/summa/2018.htm
แปล:การกระทำของมนุษย์ จะ"มีภาวะความดี"ถ้าการกระทำนั้นบริบูรณ์ และจะ"มีภาวะไม่ดี"เมื่อการกระทำนั้นไม่บริบูรณ์
-นักบุญโทมัส เขียน แถลงประโยคนี้โดยยืนบนพื้นฐานของเรื่อง "สัต(Being)"
หมายความว่าอย่างไร:
(1)ในชีวิตคริสตชนเราเห็นการกระทำที่บริบูรณ์ที่ใด?
ตอบ "สำเร็จบริบูรณ์แล้ว"(ยอห์น 19:30) เป็นคำตรัสของพระเยซูเจ้าเนื่องจากพระองค์ทรงทราบว่ากระทำทุกสิ่งสำเร็จแล้ว(ยอห์น 19:28) คือ พระภาระกิจที่พระบิดาทรงมอบให้ นั่นคือ การไถ่กู้มนุษยชาติ อันเป็นภาวะความดี ที่อยู่ในระดับ"ดีบริบูรณ์" ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงมั่นใจเรียกพระองค์ว่า
"องค์แห่งความดีบริบูรณ์"
(2)"ท่านจงเป็นคนดีอย่างบริบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีบริบูรณ์"(มัทธิว 5:48)
ตอบ อะไรที่จะทำให้เรา ดีอย่างบริบูรณ์ได้?คำตอบคือ การกระทำดีที่บริบูรณ์ ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงให้เราทราบแล้วในพระวรสาร แต่จะยกตัวอย่างที่สำคัญมาดังนี้
(2.1)บทภาวนาของพระเยซูเจ้า(มัทธิว 6:9-13)
"ข้าพเจ้าไม่เห็นว่า จะมีบทภาวนาใดที่รวบรวมสาระสำคัญแห่งพระวรสารไว้ครบถ้วนเท่าบทภาวนาของพระเยซูเจ้า"(นักบุญออกัสติน) ซึ่งเมื่อนำมาเป็นตัวตั้ง จะสามารถขยายไปหา บุญลาภได้(มัทธิว 5:3-12)
(3)"ความดีบริบูรณ์"(ลูกา 6:39-45)
ตอบ (แล้ว)อะไรที่จะทำให้เรา การกระทำดีที่บริบูรณ์?คำตอบคือ "การยอมรับความจริงของตัวเอง":ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย(ลูกา 6:41) ข้อนี้ เป็นสิ่งที่เรามนุษย์มักเผลอเรอหลงลืมมากที่สุด!หลายต่อหลายครั้งเราคิดว่า
เราเห็นความจริงจากภายนอกมากมาย เป็นต้นว่า พระวรสาร แต่หลายต่อหลายครั้งอีกเช่นกัน ที่เราไม่ยอมรับความจริงว่าเราปฏิบัติตนไม่สอดคล้องกับหลักพระวรสาร(ทำให้เรามองเมิน หรือไม่นึกถึงมัน หรือมีข้ออ้าง)
"แม้ว่าพระวาจาจะขัดต่อความรู้สึกของเรา แต่เราควรมีความวางใจ มั่นใจ และเชื่อ เราต้องรักษาพระวาจาไว้ในใจเรา"(S.John Chrysostom,Homily 82 on Matthew)หากเราไม่ยอมรับความจริงของตัวเองข้อนี้(ที่ว่า เราละเลย)เราไม่มีทางกระทำดีบริบูรณ์ได้ อย่างที่เราตั้งใจเลย
ข้อเท็จจริงของตัวเรา:
(1)เป็นการยากที่เราจะก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้!
................ถ้าใครสักคนคิดว่าการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์นั้นยาก แสนยาก และไม่"หวัง"จะเดินไปให้ถึง ให้เปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะคุณจะเห็นว่า"ความหวัง"คุณน้อยเกินไปแล้ว เกรงว่ามันจะฉุดความรักและความเชื่อของคุณเอง อย่าไปโยนว่า ค่อยเข้าไฟชำระเอา!
เป็นความจริงว่า เราอาจบรรลุความดีบริบูรณ์ได้ในปัจจุบันนี้(แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ถึงก็ถึง ไม่ถึงก็ไม่ถึง ตามน้ำพระทัยอาศัยพระจิต)
(2)ความคิดชั่วร้าย(ดู Reply ก่อนหน้า)เป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์
................จึงต้องศึกษาความคิดชั่วร้ายให้เข้าใจเพราะมันเป็นปัจจัยเดียวที่เป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ มันมีความตลบแตลงมาก สิ่งที่ดูเหมือนจะ"ดี"กลับไม่ดี เป็นต้นว่า
ความศรัทธาที่มากเกินไป ทำให้กลายเป็นพวกคลั่งศาสนา ทำอะไรที่ขัดกับพระวรสาร อาศัยความจองหอง(คิดว่าตัวเองศรัทธากว่าคนอื่น)
จุดนี้ เราสามารถศึกษาได้จากประวัติศาสตร์ มิใช่เพื่อตีค่าว่าดีหรือไม่ดี(จะไปยุ่งกับเรื่องตัดสินทำไม?) แต่ให้ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า อะไรน่าจะเป็นบทเรียนให้เราได้ อะไรเตือนใจเรา
(3)ในชีวิตประจำวัน เราควรพิจารณาตัวเอง อาศัยแก่นใจแห่งความลี้ลับเรียก"มโนธรรม"
................หลายคนนิยามว่า"การสำรวจมโนธรรม" เรารู้จักมโนธรรมได้มากขึ้น จากพระสมณสาสน์ Gaudium et Spes,เทียบคำสอนพระศาสนจักรข้อ 1776 ความว่า มนุษยชาติค้นพบกฎเกณฑ์แห่งมโนธรรมโดยอิสระซึ่งเขาได้เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข กฎเกณฑ์นั้นคือ"จงมีความรัก จงทำดี และ หลีกหนีความชั่ว"(หลักการสากล) กฎเกณฑ์นี้ปรากฎตัวในรูปของเสียงที่กล่าวกับเราว่า"อย่าทำสิ่งนั้น ให้ทำสิ่งนี้แทนเถิด"นั่นแหละ!คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจารึกไว้ในหัวใจมนุษยชาติ การแสดงความนบนอบต่อพระองค์ด้วยการทำดี หลีกหนีความชั่ว ดำรงตนในความรัก เป็นศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ (อันมนุษย์ย่อมได้รับผลตามที่กระทำนั้น-เทียบโรม 2:14-16) แก่น(nucleus)ของมโนธรรมคือส่วนที่อยู่ลึกที่สุด นั่นคือ เร้นลับที่สุด ณ ที่นั้น มโนธรรมได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า อันพระองค์จะทรงตรัสกับเราในมโนธรรมนั้น เหตุนี้มวลมนุษยชาติย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคริสตชนในการแสวงหาเครื่องหมายแห่งความจริง และกฎเกณฑ์เรื่องมโนธรรม เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น
In imo conscientiae legem homo detegit, quam ipse sibi non dat, sed cui obedire debet, et cuius vox, semper ad bonum amandum et faciendum ac malum vitandum eum advocans, ubi oportet auribus cordis sonat: fac hoc, illud devita. Nam homo legem in corde suo a Deo inscriptam habet, cui parere ipsa dignitas eius est et secundum quam ipse iudicabitur (17). Conscientia est nucleus secretissimus atque sacrarium hominis, in quo solus est cum Deo, cuius vox resonat in intimo eius (18). Conscientia modo mirabili illa lex innotescit, quae in Dei et proximi dilectione adimpletur (19). Fidelitate erga conscientiam christiani cum ceteris hominibus coniunguntur ad veritatem inquirendam et tot problemata moralia, quae tam in vita singulorum quam in sociali consortione exsurgunt, in veritate solvenda. Quo magis ergo conscientia recta praevalet, eo magis personae et coetus a caeco arbitrio recedunt et normis obiectivis moralitatis conformari satagunt. Non raro tamen evenit ex ignorantia invincibili conscientiam errare, quin inde suam dignitatem amittat. Quod autem dici nequit cum homo de vero ac bono inquirendo parum curat, et conscientia ex peccati consuetudine paulatim fere obcaecatur.
(มีต่อ)