หน้า 1 จากทั้งหมด 1

The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 11:09 am
โดย P
ตอนนี้ผมเริ่มว่างขึ้นมาบ้างแล้ว จึงมีความคิดอยากจะแปลหนังสือโปรดของผมเล่มนี้มาลงที่บอร์ดนี้นะครับ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า The Screwtape Letters โดย C.S. Lewis [1] เป็นหนังสือรวบรวมจดหมายที่ Screwtape เขียนถึงหลานของเขา เพื่อให้คำปรึกษาว่าจะทำอย่างไรให้คนออกห่างจากพระเจ้า ทุกครั้งที่อ่านแต่ละฉบับ จะทำให้ผมนึกถึงความเขลาของตัวเองเสมอว่า "เราโดนสกรูเทปหลอกอีกแล้ว!"

ผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะมีเวลาแปลได้บ่อยแค่ไหน หรือจะแปลได้จนจบเล่มหรือไม่ ใจจริงอยากแปลให้จบ เผื่อได้ส่งสำนักพิมพ์ ;D (ทั้งเล่มมีจดหมายจากสกรูเทปทั้งหมด 31 ฉบับ) แต่ไม่ทราบว่าต่อไปงานจะยุ่งอีกหรือเปล่า อย่างไรก็ดี ผมจะนำมาลงเป็นระยะๆนะครับ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อย

อนึ่ง ผมไม่ได้เป็นนักแปลมืออาชีพ และความรู้ของผมก็เพียงน้อยนิด ดังนั้นหากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ปล. มีใครทราบกฏหมายลิขสิทธิ์บ้างไหมครับ ว่า ผมสามารถแปลหนังสือของคนอื่นได้หรือไม่ หรือว่าต้องขออนุญาตจากสำนักพิมพ์ก่อน (หากการแปลมาลงที่นี่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จะได้ไม่ทำครับ)



[1] C.S. Lewis เป็นนักเขียนชื่อดังของอังกฤษ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับคริสตศาสนาดีๆไว้มากมาย เพื่อนๆที่ไม่ได้สนใจหนังสือทางคริสตศาสนาอาจจะเคยได้ยินเรื่อง Chronicles of Narnia ซึ่งเป็นผลงานที่ดังมากของเขาอีกชิ้นหนึ่งด้วย

สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลสำคัญท่านนี้ กรุณาแวะชมได้ที่ http://www.cslewis.org/ นะครับ

ปล. C.S. Lewis นับถือศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกันครับ

Re:The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 11:29 am
โดย P
- 1 -

เวิร์มหวูด[1]หลานรัก

อาเข้าใจที่หลานเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการที่หลานพยายามชี้นำสิ่งที่คนไข้ของหลานอ่าน และพยายามให้เขาได้พบเจอกับเพื่อนนิสัยวัตถุนิยมของเขาบ่อยๆ แต่หลานไม่คิดว่าหลานอินโนเซ้นต์ไปหน่อยหรือ อาฟังแล้วรู้สึกว่าหลานหลงคิดไปว่าการโต้แย้งเป็นวิธีที่จะพาเขาออกมาจากศัตรูของเรา ก็โอเคนะ วิธีนี้อาจจะจริงถ้านี่เป็นสมัยแบบว่า สองสามร้อยปีก่อน คือสมัยนั้นชาวบ้านรู้ดีว่าอะไรพิสูจน์ได้ไม่ได้ และถ้าอะไรพิสูจน์ได้พวกเขาก็จะเชื่ออย่างปักใจ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากล้าทำในสิ่งที่เขาคิดและพร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตถ้าเรื่องราวที่เห็นมีเหตุผลเพียงพอ แต่ว่าสมัยนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เราใช้นิตยสารต่างๆและอื่นๆเป็นอาวุธจนสามารถเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา คนไข้ของหลาน ตั้งแต่เด็กมา ก็มีความคุ้นเคยกับปรัชญาโน่นนี่ที่ขัดแย้งกันไปมา วิ่งวนอยู่ในหัวของเขา เขาไม่คิดถึงคำสอนแล้วว่า "ถูก" หรือ "ผิด" แต่เขาคิดในทำนองว่า อืม อันนี้ "เป็นแง่วิชาการ" หรือ "เป็นแง่ปฏิบัติ" ไม่อย่างนั้นก็คิดว่า ตกลงอันนี้ "ล้าสมัย" หรือ "ร่วมสมัย" หรือมองในแง่ว่า "ธรรมดา" หรือ "ดุเดือด" เห็นไหมหลาน ศัพท์เฉพาะให้เขาหลงประเด็นต่างหากที่จะเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของหลานที่จะทำให้เขาออกห่างจากพระศาสนจักร ไม่ใช่การใช้การโต้แย้งนะ หลานอย่ามัวเสียเวลาพยายามกล่อมให้เขาคิดว่าวัตถุนิยมเป็นอะไรที่ถูกต้องเลย หลานมาทำให้เขาคิดว่า ตกลงมัน แกร่ง หรือ แน่นอนตายตัว หรือ ท้าทาย ให้เขาคิดว่ามันเป็นปรัชญาสำหรับโลกอนาคต แบบนี้ดีกว่า เพราะนั่นต่างหากเป็นอะไรที่เขาสนใจ

คืออย่างนี้นะหลาน ปัญหาของการโต้แย้งกันก็คือ มันทำให้เรื่องทั้งหมดเนี่ย ง่ายขึ้นสำหรับศัตรูของเรา อย่าลืมนะว่าศัตรูเราเขาก็โต้แย้งเป็นเหมือนกัน แต่ว่า ถ้าเป็นเรื่องที่อาพูดข้างต้นแล้วละก้อ[2] ใครๆก็รู้มาตั้งกี่ศตวรรษแล้วว่าเขาสู้พ่อของเราที่อยู่เบื้องล่าง[3]ไม่ได้หรอก แบบนั้นดีกว่านะ คืออย่างนี้หลาน เมื่อไหร่ที่เราเริ่มให้เกิดการโต้แย้ง เราก็จะกลายเป็นปลุกความคิดหาเหตุผลของคนไข้ของเราขึ้นมา เมื่อนั้น ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้ว่าในที่สุดหลานจะบิดเบือนความคิดของเขาได้สำเร็จให้หันมามองอะไรๆเหมือนเรา แต่หลานก็จะเห็นว่า นี่กลับเป็นการช่วยทำให้เขาเริ่มชอบที่จะคิดนั่นคิดนี่หาเหตุผลทั่วไป แทนที่เขาจะมัวสนใจเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แบบนี้ไม่ค่อยดีนะหลาน อย่าลืมนะหลานว่าหน้าที่ของหลานคือทำให้เขายึดติดกับตรงนี้ พยายามสอนเขาให้คิดตรงนี้ว่าเป็น "ชีวิตจริง" แต่อย่าให้เขาได้คิดว่า ที่เขาเรียกว่า "จริง"นั้น จริงๆเขาหมายความว่ายังไง

จำไว้นะหลาน ว่าเขาไม่เหมือนกับหลาน เขาไม่ได้เป็นวิญญาณทั้งแท่ง หลานเองก็ไม่เคยเป็นมนุษย์ (แย่ที่สุดเลย ฝ่ายศัตรูได้เปรียบเราสุดๆตรงนี้) หลานคงไม่เข้าใจว่าพวกมนุษย์เป็นทาสของเรื่อง"ธรรมดา" มากขนาดไหน อาเองก็เคยมีคนไข้เหมือนกัน คนนี้เป็นคนไร้ศาสนา ชอบอ่านหนังสือในพิพิธภัณฑ์บริติช[4] วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น อาเห็นว่ากระแสความคิดของเขาเริ่มไปผิดทางแล้ว ศัตรูของเรา แน่นอนที่สุด เป็นคนก่อให้เกิดเรื่อง กว่าอาจะรู้ตัว อาก็เห็นแล้วว่า ผลงานที่อาพยายามทำมาตลอดยี่สิบปีเริ่มที่จะง่อนแง่นเสียแล้ว ถ้าอาไม่ทันคิดและพยายามที่จะปกป้องด้วยการโต้เถียง อาก็คงจะเจ๊งไปแล้ว แต่อาไม่ได้โง่อย่างนั้น อาใช้วิธีโจมตีส่วนของมนุษย์ที่อาเก่ง คือ อาแอบแนะเขาว่า ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้วนะ ส่วนศัตรูของเราก็คงพยายามแนะนำในทางตรงข้าม (แต่หลานก็รู้ว่าชาวบ้านไม่ค่อยได้ยินเขาสักเท่าไหร่) ว่านี่สำคัญกว่าอาหารกลางวันนะ หรืออย่างน้อยอาก็คิดว่าเขาคงใช้คำพูดอะไรทำนองนี้แหละ เพราะพออาบอกว่า "เรื่องนี้สำคัญมากนะ จริงๆแล้วสำคัญมากเกินกว่าที่จะสามารถคิดออกก่อนเที่ยงด้วยซ้ำ" คนไข้ของอาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และก่อนที่อาจะมีโอกาสแหย่เพิ่มอีกว่า "น่าจะดีกว่ามั้งถ้าเราจะกลับมาคิดเรื่องนี้หลังอาหารกลางวัน ด้วยสมองที่ปรอดโปร่งกว่านี้" คนไข้ของอาก็เดินไปจะออกประตูแล้วด้วยซ้ำ และเมื่อเขาไปถึงถนนข้างนอก สงครามคราวนี้อาก็ชนะขาด อาแสดงให้เขาเห็นเด็กขายหนังสือพิมพ์ตะโกนขายหนังสือโหวกเหวก ให้เขาเห็นรถเมล์สาย 73 วิ่งผ่านไป และกว่าที่เขาจะก้าวพ้นบันไดหน้าตึกขั้นสุดท้าย อาก็ทำให้เขามั่นใจว่า เฮ้อ ไม่รู้ความคิดประหลาดไร้สาระอะไรเข้ามาในหัวของเขาตอนที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่คนเดียว เห็นไหมหลาน ป้อน"ชีวิตจริง"ให้เขาเต็มที่ (อาหมายถึงรถเมล์กับเด็กขายหนังสือพิมพ์ไง) แค่นี้ก็พอแล้วที่จะทำให้เขาคิดว่า "เรื่องอะไรแบบนั้น" ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ เขารู้นะว่าเขาเกือบไปแล้ว และหลายปีต่อมาเขาก็มีความสุขที่จะพูดถึง "ความรู้สึกเล็กๆของความเป็นจริง ซึ่งเป็นเกราะกำบังสุดยอดของเราจากความเพี้ยนของการใช้แค่ตรรกะ" ตอนนี้นะ เขาก็อยู่อย่างปลอดภัยเรียบร้อยในบ้านของพ่อเราแล้วล่ะ

หลานเริ่มเห็นภาพหรือยัง ต้องขอบคุณกระบวนการที่เราใช้ในคนพวกนี้นับศตวรรษมาแล้วนะ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยถ้าสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว หลานพยายามป้อนความคิดว่า นั่นก็ธรรมดา นี่ก็ธรรมดา ให้กับเขาบ่อยๆนะ และสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด อย่าพยายามใช้วิทยาศาสตร์ (อาหมายถึง วิทยาศาสตร์ของจริงนะ) ในการต่อสู้กับคริสตศาสนา เพราะวิธีนี้จะทำให้เขาสนใจที่จะคิดถึงความเป็นจริงที่เขามองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้มากขึ้นไปอีก เรื่องหน้าเศร้ามีให้เห็นมาก่อนนะกับพวกนักฟิสิกส์สมัยใหม่เนี่ย ถ้าเขาอยากจะละเลงกับวิทยาศาสตร์จริงๆ ก็พยายามชักนำให้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์หรือสังคมวิทยา แบบนี้ อย่าให้เขาหนีพ้นจาก "ชีวิตจริง" อันล้ำค่า และจะให้ดีที่สุด อย่าให้เขาศึกษาวิทยาศาสตร์เลย แต่ว่า ให้เขามีความรู้สึกเบ้อเริ่มว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว และอะไรก็ตามที่เขาบังเอิญได้ยินได้ฟังมาจากที่นั่นนิดที่นี่หน่อยเป็น "ผลมาจากการค้นคว้าสมัยใหม่" อย่าลืมนะหลาน หน้าที่ของหลานตรงนั้นคือเพื่อมอมเมาพวกเขา แต่ฟังจากที่ปีศาจหนุ่มๆสาวๆพูดจากันแล้ว ชาวบ้านเค้าจะเข้าใจผิดไปว่างานของเราคือการไปสอนคนอื่นนะ

จากอาผู้น่ารักของหลาน
สกรูเทป



[1] Wormwood

[2] สกรูเทปหมายถึง การใช้ศัพท์ที่ทำให้คนไขว้เขว - (ขออนุญาตอธิบายครับ เพราะผมนึกไม่ออกว่าจะแปลว่ายังไงและที่แปลไว้อาจจะทำให้ท่านผู้อ่านงง)

[3] Our Father Below หมายถึง ซาตาน

[4] British Musuem

Re:The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 11:53 am
โดย spirit
มารออ่านค่ะ 8)

Re:The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 1:47 pm
โดย Jeremy
บทความดีๆ ที่นำมาเขียนลงที่นี่ จะทำให้ ห้องศาลาธรรมแห่งนี้ น่าเข้ามาอ่าน ด้วยเนื้อหาที่มีสาระ


มาติดตามอ่านครับ

Re:The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 10:54 am
โดย DokPeepHorm
มารออ่านด้วยอีกคนค่ะ *thx

Re:The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 09, 2005 1:54 pm
โดย fizzy vippie
เพิ่มให้อีกนิดนึงว่า C.S. Lewis เป็นเพื่อนซี้กะ J.R.R. Tolkien ผู้เขียน The Lord Of The Ring
ทั้งคู่เป็นอาจารย์ทางด้านวรรณคดีอยู่ที่ Magdalen College ใน Oxford
งานเขียนที่เลื่องชื่อของ C.S. Lewis คือ The Chronicals Of Narnia
เป็นวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังของอังกฤษที่กำลังจะถูกสร้างเป็นหนังอยู่
แบบว่าถ้าเด็กอังกฤษ(หรือฝรั่ง) รู้จัก Lord of the Ring ก็ต้องรู้จัก Narnia ด้วย

Narnia เป็นชุด เล่มเล็กๆ มี 7 เล่มจบ บ้านเราแปลถึงเล่ม 5 แล้วหายไปเลย (รอให้ออกวางแผงอยู่)
เนื้อเรื่องเป็นแบบเด็กในโลกยุคสงครามโลกหลงเข้าไปในต่างมิติที่เป็นโลกที่เกิดขึ้นมาใหม่
และได้ไปผจญภัยเพื่อปราบสิ่งชั่วร้ายต่างๆเพื่อให้แผ่นดินสงบสุข
ตัวละครทุกตัวเป็น symbolic เพื่อสอนเด็กๆในแง่ความเชื่อถึงสิ่งดีงามและพระเจ้า
ที่แน่ๆเลยตัวเอกของเรื่องเป็นสิงโตตัวใหญ่ชื่อ Aslan เนี่ยหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซู

ใครสนใจลองไปหาอ่านดูได้ เป็นหนังสือดีที่น่าอ่านมากๆ และการเดินเรื่องก็ดีมากเลย
ถ้าให้พูดตรงๆก็เป็นแบบ Lord Of The Ring เวอร์ชั่นเด็กไง

อีกนิดนึง ชื่อเต็มๆของ C.S. Lewis คือ Clive Staple Lewis จ้า

Re:The Screwtape Letters (by C.S. Lewis)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 13, 2005 11:16 am
โดย stars
:Dน่าอ่านมากขอบคุณที่เอามาให้อ่านครับ :D