หน้า 1 จากทั้งหมด 1

แบ่งปันอาทิตย์ที่16เทศกาลธรรมดา(2009)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 18, 2009 10:53 pm
โดย Man of Macedonia
บทอ่านที่1:หนังสือประกาศกเยเรมีย์(ยรม.23:1-6)
บทอ่านที่2:จดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส(อฟ.2:13-18)
บทอ่านที่3:พระวรสารนักบุญมาระโก(มก.6:30-34)

สารวัดอัสสัมชัญ:บทสนทนาจากเจ้าอาวาส
(โดย คุณพ่อเปโตร สุรสิทธิ์ ชุ่มศรีพันธ์)

"สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน

บางครั้ง,พ่อนึกสงสัยอยู่บ้างว่า เราพระสงฆ์ รู้สึกเป็นสุขหรือไม่ ในเวลาที่ต้องถวายมิสซา และต้องเทศน์ หรือทำเป็นเพียงหน้าที่ให้เสร็จไป
เช่นเดียวกับที่พ่อนึกสงสัยเหมือนกันว่า "บรรดาสัตบุรุษรู้สึกเป็นสุขหรือเปล่า ในเวลาที่มาร่วมมิสซาวันอาทิตย์"
พวกเขาต้องการอะไร พวกเขาความหวังอะไร หรือ แค่อะไรก็ได้แล้วอย่านานนักได้เป็นดี
อันที่จริง เร็วหรือช้า ไม่น่าสำคัญเท่าไร จิตใจที่ยินดีและมีความต้องการฝ่ายวิญญาณต่างหากที่น่าจะสำคัญ

เมื่อสี่ปีที่แล้ว พ่อจำได้ว่าพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เมื่อเป็นพระสันตะปาปาใหม่ๆ เสด็จไปร่วมพิธีชุมนุมเคารพศีลมหาสนิทที่เมืองหนึ่งในอิตาลี
พระองค์ทรงยกย่องคำพูดของคริสตชนสมัยแรกๆกลุ่มหนึ่งที่ยอมตายในสมัยถูกเบียดเบียน
เป็นคำพูดของคริสตชนที่ตอบการไต่สวนของผู้มีอำนาจในสมัยนั้นว่า

"ปราศจากวันอาทิตย์(ซึ่งเป็นวันที่พวกเขามาร่วมในพิธีศีลมหาสนิท)เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้"

คำพูดนี้มีนัยสำคัญที่บ่งบอกว่าทุกครั้งที่พวกเขามีโอกาสมาร่วมในพิธีศีลมหาสนิท จิตใจของพวกเขา จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี
พวกเขามาพร้อมกับความต้องการสิ่งที่ให้คุณค่าฝ่ายวิญญาณ หรือพูดง่ายๆอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาเป็นสุขที่ได้มาวัด

บางทีตอนนี้ เราอาจรู้สึกเฉยๆกับการมาวัด
บางครั้งอาจรู้สึกเบื่อหน่าย และเกียจคร้านด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะ
เราอยู่ในสถานการณ์ที่สะดวกสบาย มีหลายวัดให้เลือกด้วยซ้ำไป แต่ละวัด ยังมีหลายรอบให้เลือกไปตามแต่ใจของเราอีกด้วย
แต่ถ้าเราคิดว่า สักวันหนึ่ง เราอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีวัด หรือวัดอยู่ห่างไกล หรือสักวันหนึ่ง กระแสเรียกพระสงฆ์ลดน้อยลง
จนเป็นเรื่องยากที่จะมีมิสซาได้สักครั้งหนึ่ง เวลานั้น เราอาจรู้สึกจริงๆว่าศีลมหาสนิท หรือการมาวัด มีคุณค่าต่อชีวิตของเรามากแค่ไหน
น่าสงสัยก็ตรงที่ว่า ทำไมเราจึงต้องรอให้ถึงวันนั้น หรือสถานการณ์แบบนั้นด้วยเล่า!

(ใครอ่านสารวัดถึงตรงนี้เลขาวัดคงพิมพ์ผิดนะครับ)
นี่แหละตรงกับคำพูดที่ใช้เตือนสติที่ว่า "คนเราจะรู้ถึงคุณค่าของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต่อเมื่อเราได้สูญเสียบุคคลนั้น หรือสิ่งนั้นไป"น่าเสียดายจริงๆ!

บังเอิญ พ่อไปอ่านพบบทสอนของพระสงฆ์ฝรั่งท่านหนึ่ง
ท่านสอนว่า "มนุษย์เรามิได้แสวงหาเพียงแค่ขนมปังเท่านั้นแต่ดอกกุหลาบด้วย"
พ่อแปลเอาเองว่า ขนมปัง หมายถึง อาหารอันจำเป็นต่อร่างกาย ส่วนกุหลาบคือ ความสุนทรีย์อันจำเป็นต่อวิญญาณ
ทำให้พ่อนึกถึง คำสอนของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาตอนหนึ่ง ท่านสอนว่า "มนุษย์หิวโหยความรักมากกว่าขนมปัง"
พ่อเองก็เคยเห็นบางคนเต็มใจทนหิว เพื่อเสียสละอาหารให้คนที่ตนเองรักและเขาเป็นสุขที่ได้ทำเช่นนั้น

นี่แหละ ความรัก ก็คือ สุนทรีย์อย่างหนึ่งของจิตใจ

มนุษย์ทุกคนย่อมต้องการ ความสุนทรีย์บ้างในชีวิตของตน
เพราะถ้าขาดสิ่งนี้ ชีวิตก็เป็นดังพืชผัก ชีวิตเหมือนไม่ใช่ชีวิต ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่ใครๆก็รักและร้องเสียงดนตรีที่โปรดปราน
ชอบท่องเที่ยวทัศนศึกษา หาทิวทัศน์ที่สวยงามเปลี่ยนบรรยากาศ ชอบเปลี่ยนเมนูอาหารบ้าง และอื่นๆตามความสามารถ
อันเป็นสุนทรีย์แห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ มนุษย์ต้องการพักผ่อน และความสงบแห่งจิตวิญญาณของตน
บางครั้ง เพียงแค่มีเวลาเล็กน้อย ย้อนกลับไปคิดถึงอดีตที่งดงามบ้าง ก็ทำให้ชีวิตเป็นสุขแล้ว
ชีวิตย่อมต้องการรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

พ่อยังนึกชื่นชมอยู่เสมอถึงสิ่งที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงปฏิบัติต่อเด็กผู้ยากไร้และด้อยโอกาสทุกปี แทนที่จะห่วงใยเฉพาะเรื่องอาหารประทังชีวิต พระองค์จะทรงจัดตุ๊กตา จำนวนมากสำหรับเด็ก พระองค์ทรงเห็นความจริงข้อนี้ของมนุษย์ ตุ๊กตาแม้จะรับประทานไม่ได้ แต่มันให้คุณค่ายิ่งใหญ่ต่อจิตใจ

พ่อคิดว่า พระวาจาของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ มีคุณค่า และความหมายอย่างยิ่งสำหรับบรรดาอัครสาวก และควรเป็นเช่นนั้นสำหรับพวกเราด้วย
"ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด"

นี่คือ ความหมายที่พ่ออยากนำเสนอคือ

"ปราศจากวันอาทิตย์เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้"

Re: แบ่งปันอาทิตย์ที่16เทศกาลธรรมดา(2009)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 18, 2009 11:25 pm
โดย Man of Macedonia
แบ่งปัน

หลังจากอ่านที่พ่อเขียนแล้ว
ผมสะดุดใจกับคำว่า"ปราศจากวันอาทิตย์เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้"
จากนั้น ก็มีความคิดหนึ่งเข้ามานั่นคือ"อยู่ไม่ได้จริงๆนะ"

เมื่อมาถามตัวเอง(เพื่อที่จะมาถ่ายทอดกับคนอื่น)
ว่าเพราะอะไรน่ะหรือ?ที่ทำให้มั่นใจว่า"อยู่ไม่ได้จริงๆ"

คำตอบที่ได้ก็คือ เพราะพระวาจาและบทเทศน์เป็นเครื่องนำทางของเราคริสตชนในแต่ละวันแต่ละอาทิตย์
ทุกปัญหาที่เราเจอในโลกภายนอกนั้น มีคำตอบสำหรับทุกคนจริงๆ ที่พิศเพ่งปัญหานั้นอาศัยพระวาจาของพระองค์แต่ละวัน
ในยามที่เราเหนื่อย ถ้าเราเปิดใจฟังให้พระจิตเจ้าทำงาน เราจะพบความบรรเทาใจบางอย่างในบทอ่านนั้น
ทั้งที่ๆ บทอ่านนั้นเนื้อหามันอาจจะไม่ใกล้กับเรื่องที่เราประสบเลย แต่อาศัยพระจิตเจ้าคุณพ่อก็เทศน์โดนจนได้ หลายครั้งเป็นแบบนี้บ้างไหม

ความเชื่อเหล่านี้ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจเรื่อง"แผนการของพระเจ้า"
มันมิใช่ความงมงาย หากแต่เป็นประโยชน์ ทุกครั้งที่ฟังมิสซา เราย่อมได้ข้อเล็กๆน้อยๆที่ต้องมีการปรับปรุงตนเองให้ก้าวไปในหนทางแห่งความดี
บ่อยครั้ง เรามีความจำเป็นต้องขอโทษพระองค์อย่างพิเศษ เราก็สามารถขอโทษพระองค์ได้ทางหนึ่งอาศัย"บทสารภาพบาป(Confession)"
แต่นั่นก็ไม่ได้ลบล้างความหมายของศีลอภัยบาปแต่อย่างใด กลับต้องยิ่งเพิ่มความซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ ที่มีแต่ให้(อภัย)ของพระ

หัวใจของบูชามิสซา(แก่นแท้ของการไปวัด)อย่างหนึ่งคือ "ศีลมหาสนิท"
"อาหารนี่แหละ ที่เลี้ยงวิญญาณข้าพเจ้าอย่างแท้จริง" เมื่อรับไปแล้ว ไม่ได้ทำให้เรามีอิทธิฤทธิ์อะไรขึ้น นอกจาก "มีสันติสุขและความดี"
ความสมบูรณ์ครบครันที่พระเยซูเจ้าคริสตเจ้าเผยแสดง อาศัยพระศาสนจักรพิทักษ์รักษา
นี้เพียงพอจริงๆกับทุกสิ่งในชีวิตของเรา ถ้าเราไม่เอาใจไปผูกพันกับของฝ่ายข้างโลกมากจนเกินไป

เป็นบ้างไหม,ที่รู้สึกอยากรับศีล เวลาที่มีโอกาสได้รับศีลน้อยกว่าเคยรับ
เป็นบ้างไหม,ที่รู้สึกต้องแก้บาป เวลาไม่ได้ไปวัดวันอาทิตย์(การไม่ไปวัดวันอาทิตย์เป็นบาปที่ต้องแก้)

หลายครั้ง บางคนคิดว่า การไปวัดไม่ใช่การพักผ่อน
แท้จริงแล้ว การไปวัดคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด เราจะนอนหลับได้อย่างไร ถ้าเรายังมีบาปที่ยังไม่ได้แก้
เราจะสงบสบายได้อย่างไร ถ้าเราไม่ให้โอกาสพระชี้ทางเรา เราจะอ้างว่า เราต้องออกแรงไปวัด มีความลำบาก
แล้วพระองค์บนกางเขนล่ะ?ทรงทำผิดอะไร ต้องมาออกแรงให้เราพ้นบาป?


ผมนึกถึงท่อนหนึ่งในบทภาวนาอธิษฐานขอชดเชยบาปที่ว่า
"ข้าแต่พระเยซูผู้อ่อนหวาน พระองค์ทรงรักมนุษย์นักหนา แต่กลับถูกสนองด้วยลืม ความเมินเฉย ความสบประมาท และความอตัญญูเหลือประมาณ" หรือจะเป็นบทพระเยซูผู้พระทัยดีที่ว่า"ข้าพเจ้ากำลังพิจารณาดูบาดแผลทั้งห้าของพระองค์ ด้วยความรักและความสะเทือนใจ"

ผมคิดว่าวัดนี้ล่ะคือที่สงบ ที่พักจิตวิญญาณ
หลายบทเพลง หลายบทอ่าน หลายบทสวด เร้าจิตใจเราให้รู้สึกแบบนั้น
เพราะมันเป็นความจริง นี่คือบ้านแท้ของเรา "ขอให้เราบรรลุถึงถิ่นเที่ยงแท้"

วันนี้เพลงสดุดีที่ 23
"พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้า ประทานมาสารพัดไม่ขัดสน"
เป็นเพลงที่ผมชื่นชอบมาก และมักจะนำมาฮัมบ่อยๆ หลายท่อนมีความหมายดีๆ

พูดมาถึงตรงนี้
อย่าเข้าใจว่า การพักผ่อนคือการหยุดทุกสิ่ง พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกว่า การพักผ่อนคือการหยุดทุกสิ่ง
หากแต่การพักผ่อน คือ การกลับมาพบพระอาจารย์ เพื่อ ตื่นเฝ้าภาวนา เพื่อย้อนกลับมาดูว่า
เราเดินไปถึงไหนแล้วหนอ แล้วเราต้องอาศัยโอกาสพักนี้เดินเข้าไปในความบริบูรณ์ของพระองค์
อาศัยศีลมหาสนิทหล่อเลี้ยงชีวิต เราจงสงบ เพื่อให้พระอานุภาพทางจิตวิญญาณ ช่วยให้จิตใจเราพร้อมสำหรับการประจญต่อไป

"พักกับเรา พำนักอยู่กับเรา ตื่นเฝ้าภาวนา"
"จงอย่ากังวลใจ จงอย่าได้กลัวเลย ผู้วางใจพระเจ้าไม่ขาดสิ่งใดเลย"


*อย่าลืมภาวนาให้องค์สมเด็จพระสันตะปาปาด้วย ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

Re: แบ่งปันอาทิตย์ที่16เทศกาลธรรมดา(2009)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 19, 2009 2:14 pm
โดย My Hope
ขอบคุณสำหรับ การแบ่งปันครับ 
ขอพระเจ้าอวยพรครับ

Re: แบ่งปันอาทิตย์ที่16เทศกาลธรรมดา(2009)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 19, 2009 4:48 pm
โดย Man of Macedonia
เด็ก-สาย-ศิลป์ เขียน: ขอบคุณสำหรับ การแบ่งปันครับ 
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
พระเจ้าอวยพรเช่นกันครับ