แบ่งปันอาทิตย์ที่19เทศกาลธรรมดา(2009)
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 1:18 am
บทอ่านที่1:หนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่หนึ่ง(1พกษ.19:4-8)
บทอ่านที่2:จดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส(อฟ.4:30-5:2)
บทอ่านที่3:พระวรสารนักบุญยอห์น(ยน.6:41-51)
สารวัดอัสสัมชัญ:บทสนทนาจากเจ้าอาวาส
(โดย คุณพ่อเปโตร สุรสิทธิ์ ชุ่มศรีพันธ์)
สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน
มีนักคิดคนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า
"การต่อสู้ที่น่ากลัว ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย ที่มีฝ่ายหนึ่งถูกและอีกฝ่ายหนึ่งผิด แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองถูก"
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ใครๆต่างก็คิดว่า ตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอไป บางครั้งเรื่องที่ปรากฎชัดเจนว่าตนเองผิด
มนุษย์เราก็สามารถหาเหตุผลต่างๆนานา เข้าข้างตนเอง เพื่อสนับสนุนว่า ควรหรือต้องทำความผิดนั้น
ตัวอย่าง เหตุผลง่ายๆที่มักใช้ประจำ ก็คือ "ก็ใครๆเขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น" หรือไม่ก็ "เราก็ทำอย่างนี้มาเป็นสิบๆปีแล้วนี่" หรือไม่ก็ "ถ้าฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ" เป็นต้น
เมื่อคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสียแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะวิจารณ์ว่าคนอื่นผิดอย่างไร
เดี๋ยวนี้ เราสามารถพบนักวิจารณ์ผู้เชี่ยวชาญได้ทั่วไป ทั้งในโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์
ใครที่ไม่มีหลักคิดถูกต้อง มั่นคง มักจะเคลิบเคลิ้ม คล้อยตามไปโดยง่าย แล้วการต่อสู้ที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น
พ่อพอจะรู้จักบางคน แสดงอารมณ์สนุกมากในเวลาที่วิจารณ์ใครต่อใคร แต่พอถูกคนอื่นวิจารณ์ตนเองบ้าง กลับเป็นเรื่องร้ายแรง จนรับไม่ได้ ทั้งๆที่ บางทีก็เป็นเรื่องเดียวกัน หรือเทียบเคียงกันได้ด้วยซ้ำ
เรื่องทำนองนี้ พอจะพิสูจน์ความจริงบางอย่างได้ว่า "บางครั้ง การวิจารณ์ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ"
อย่างไรก็ตาม การยอมรับความจริง เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อการปฏิบัติ หรือ การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
บ่อยๆความจริง ก็มาถึงเรา ผ่านทางคำวิจารณ์ของผู้คนรอบข้างนี่เอง
เพียงแต่ บางทีเราต้องตัดเอาอารมณ์ไม่พอใจของเราออกไปบ้าง เพื่อจะมองเห็นความจริง แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของทัศนคติ
ใครมีทัศนคติที่ปิด ย่อมไม่อาจมองเห็นความจริงได้ ซ้ำร้ายกว่านั้นอีกก็คือ ตนเองยังคิดว่า มีทัศนคติที่เปิดอยู่แล้ว เสียอีก
เอาเป็นว่า ในสังคมทุกวันนี้ ใครๆก็อ้างตนเองว่า อยู่ฝ่ายความถูกต้อง รักความชอบธรรม ด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร กลับเป็นเรื่องดีเสียอีกสำหรับสำนึกของคน
แต่ปัญหาอาจอยู่ที่ การเอาแต่วิจารณ์ว่าร้ายคนอื่น และอยู่ที่ทัศนคติที่ตนมี
บางทีเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เราก็ควร "เลิกวิจารณ์กันเสียทีเถิด"
อย่างที่พระเยซูเจ้าทรงว่าไว้ในพระวรสารวันนี้ แล้วหันมาปรับทัศนคติเสียใหม่
ในความหมายของพระเยซูเจ้า ก็คือ"เราเรียนรู้ จากคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า อย่ายึดเอาแต่สิ่งที่ตนเองคิด"
"ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร"(ยอห์น 6:47)
พ่อรู้สึกว่า มนุษย์ทุกวันนี้ อยากจะยอมรับความเชื่อ เฉพาะสิ่งที่ตนอยากเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้า ประสงค์ให้เราเชื่อ
ถ้าความเชื่อนั้น เป็นที่พอใจหรือให้ประโยชน์ เราก็ยอมรับด้วยความชื่นชม
แต่ถ้าขัดใจ ความเชื่อนั้นก็พังทลายโดยง่าย แล้วก็เอาแต่วิจารณ์ต่อไปต่างๆนานา
สำหรับบางคน ความเชื่อ อาจเป็นทำนองเดียวกันกับการ "ติเรือทั้งโกลน"
คือยังไม่ทันเห็นอะไร ดั่งใจ หรือยังไม่ชัดเจน ก็เอาแต่บ่นว่าเสียแล้ว
ลืมไปว่า "พระปรีชาญาณของพระเจ้าสูงกว่าความฉลาดของมนุษย์เป็นไหนๆหรือมนุษย์เอาแต่มั่นใจตนเอง และขาดความวางใจในพระเจ้า"
อีกบางคน มองดูความเชื่อ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับตัวเอง จึงได้แต่วิจารณ์ด้านลบที่มีผลกระทบกับตน
และไม่สนใจ ด้านบวกที่มีผลต่อคนอื่น เหมือนคนบ่นว่าฟ้าฝน เวลาที่ต้องการจะตากผ้า แต่ลืมไปว่าบ้านที่กำลังไฟไหม้ต้องการฝนแค่ไหน อะไรทำนองนั้น
ฉะนั้น "จงทำตามแบบฉบับของพระเจ้า จงดำเนินชีวิตในความรัก เป็นเครื่องบูชาอันหอมฟุ้ง ถวายแด่พระเจ้า"(เอเฟซัส 5:2)
หมายเหตุ
งวดนี้ ถ้าพี่น้องอ่านแล้วไม่เคลีย ก็ถามพ่อใหญ่ได้เลย วันที่ฉลองวัด ได้เลย(หางานให้พ่อหรือเปล่าเนี่ย) 55+
บทอ่านที่2:จดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส(อฟ.4:30-5:2)
บทอ่านที่3:พระวรสารนักบุญยอห์น(ยน.6:41-51)
สารวัดอัสสัมชัญ:บทสนทนาจากเจ้าอาวาส
(โดย คุณพ่อเปโตร สุรสิทธิ์ ชุ่มศรีพันธ์)
สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน
มีนักคิดคนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า
"การต่อสู้ที่น่ากลัว ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย ที่มีฝ่ายหนึ่งถูกและอีกฝ่ายหนึ่งผิด แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองถูก"
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ใครๆต่างก็คิดว่า ตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอไป บางครั้งเรื่องที่ปรากฎชัดเจนว่าตนเองผิด
มนุษย์เราก็สามารถหาเหตุผลต่างๆนานา เข้าข้างตนเอง เพื่อสนับสนุนว่า ควรหรือต้องทำความผิดนั้น
ตัวอย่าง เหตุผลง่ายๆที่มักใช้ประจำ ก็คือ "ก็ใครๆเขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น" หรือไม่ก็ "เราก็ทำอย่างนี้มาเป็นสิบๆปีแล้วนี่" หรือไม่ก็ "ถ้าฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ" เป็นต้น
เมื่อคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสียแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะวิจารณ์ว่าคนอื่นผิดอย่างไร
เดี๋ยวนี้ เราสามารถพบนักวิจารณ์ผู้เชี่ยวชาญได้ทั่วไป ทั้งในโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์
ใครที่ไม่มีหลักคิดถูกต้อง มั่นคง มักจะเคลิบเคลิ้ม คล้อยตามไปโดยง่าย แล้วการต่อสู้ที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น
พ่อพอจะรู้จักบางคน แสดงอารมณ์สนุกมากในเวลาที่วิจารณ์ใครต่อใคร แต่พอถูกคนอื่นวิจารณ์ตนเองบ้าง กลับเป็นเรื่องร้ายแรง จนรับไม่ได้ ทั้งๆที่ บางทีก็เป็นเรื่องเดียวกัน หรือเทียบเคียงกันได้ด้วยซ้ำ
เรื่องทำนองนี้ พอจะพิสูจน์ความจริงบางอย่างได้ว่า "บางครั้ง การวิจารณ์ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ"
อย่างไรก็ตาม การยอมรับความจริง เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อการปฏิบัติ หรือ การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
บ่อยๆความจริง ก็มาถึงเรา ผ่านทางคำวิจารณ์ของผู้คนรอบข้างนี่เอง
เพียงแต่ บางทีเราต้องตัดเอาอารมณ์ไม่พอใจของเราออกไปบ้าง เพื่อจะมองเห็นความจริง แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของทัศนคติ
ใครมีทัศนคติที่ปิด ย่อมไม่อาจมองเห็นความจริงได้ ซ้ำร้ายกว่านั้นอีกก็คือ ตนเองยังคิดว่า มีทัศนคติที่เปิดอยู่แล้ว เสียอีก
เอาเป็นว่า ในสังคมทุกวันนี้ ใครๆก็อ้างตนเองว่า อยู่ฝ่ายความถูกต้อง รักความชอบธรรม ด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร กลับเป็นเรื่องดีเสียอีกสำหรับสำนึกของคน
แต่ปัญหาอาจอยู่ที่ การเอาแต่วิจารณ์ว่าร้ายคนอื่น และอยู่ที่ทัศนคติที่ตนมี
บางทีเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เราก็ควร "เลิกวิจารณ์กันเสียทีเถิด"
อย่างที่พระเยซูเจ้าทรงว่าไว้ในพระวรสารวันนี้ แล้วหันมาปรับทัศนคติเสียใหม่
ในความหมายของพระเยซูเจ้า ก็คือ"เราเรียนรู้ จากคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า อย่ายึดเอาแต่สิ่งที่ตนเองคิด"
"ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร"(ยอห์น 6:47)
พ่อรู้สึกว่า มนุษย์ทุกวันนี้ อยากจะยอมรับความเชื่อ เฉพาะสิ่งที่ตนอยากเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้า ประสงค์ให้เราเชื่อ
ถ้าความเชื่อนั้น เป็นที่พอใจหรือให้ประโยชน์ เราก็ยอมรับด้วยความชื่นชม
แต่ถ้าขัดใจ ความเชื่อนั้นก็พังทลายโดยง่าย แล้วก็เอาแต่วิจารณ์ต่อไปต่างๆนานา
สำหรับบางคน ความเชื่อ อาจเป็นทำนองเดียวกันกับการ "ติเรือทั้งโกลน"
คือยังไม่ทันเห็นอะไร ดั่งใจ หรือยังไม่ชัดเจน ก็เอาแต่บ่นว่าเสียแล้ว
ลืมไปว่า "พระปรีชาญาณของพระเจ้าสูงกว่าความฉลาดของมนุษย์เป็นไหนๆหรือมนุษย์เอาแต่มั่นใจตนเอง และขาดความวางใจในพระเจ้า"
อีกบางคน มองดูความเชื่อ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับตัวเอง จึงได้แต่วิจารณ์ด้านลบที่มีผลกระทบกับตน
และไม่สนใจ ด้านบวกที่มีผลต่อคนอื่น เหมือนคนบ่นว่าฟ้าฝน เวลาที่ต้องการจะตากผ้า แต่ลืมไปว่าบ้านที่กำลังไฟไหม้ต้องการฝนแค่ไหน อะไรทำนองนั้น
ฉะนั้น "จงทำตามแบบฉบับของพระเจ้า จงดำเนินชีวิตในความรัก เป็นเครื่องบูชาอันหอมฟุ้ง ถวายแด่พระเจ้า"(เอเฟซัส 5:2)
หมายเหตุ
งวดนี้ ถ้าพี่น้องอ่านแล้วไม่เคลีย ก็ถามพ่อใหญ่ได้เลย วันที่ฉลองวัด ได้เลย(หางานให้พ่อหรือเปล่าเนี่ย) 55+