ความอัศจรรย์ ของแม่พระคอนเซ็ปชั่น สามเสน ฉลองวัด 24 กย
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 24, 2009 12:38 am
วัดคอนเซ็ปชัญมีวัตถุอันล้ำค่าอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ชาวบ้านต่างเคารพบูชาและหวงแหนอย่างที่สุด วัตถุนั้นคือ รูปสลักพระรูปพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอา พระรูปสลักนี้มีขนาดสูงประมาณ 100 เมตร แกะสลักด้วยฝีมือประณีตบรรจง และลงรักปิดทองสวยงามหาที่ติมิได้
การได้มาซึ่งพระรูปสลักนี้ มีเรื่องปรากฏเป็นหลักฐาน อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ว่า เมื่อ พ.ศ. 2325 ซึ่งตรงกับ ค.ศ. 1782 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ได้สร้างกรุงเทพมหานคร ได้เกิดการจลาจลขึ้นในเมืองเขมร เวลานั้นพระยายมราช (แบบ) ได้ตั้งตัวเป็นที่ฟ้าทละหะปกครองกัมพูชา ในขณะเดียวกันได้มีขุนนางเขมรบางนายได้คบคิดกับพวกแขกจามเมืองตะโบงคะมุม ยกกองทัพเรือจะไปกำจัดพระยายมราช (แบบ) ท่านเห็นว่าจะต่อต้านไม่ไหว จึงได้เกลี้ยกล่อมพวกเขมรที่นับถือศาสนาคริสต์ และอัญเชิญนักองเมน นักองอี นักองเภา ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ราชากษัตริย์เขมร และนักองเองราชบุตรของสมเด็จท่าน หลบเข้ามาเมืองไทย ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ซึ่งได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ทะนุบำรุงเจ้านายของเขมรไว้เยี่ยงพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ ส่วนชาวเขมรที่เข้ามาด้วย 500 คนนั้น ได้โปรดเกล้าฯให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หมู่บ้านเหนือวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) คือที่วัดคอนเซ็ปชัญในปัจจุบันนี้ เหตุที่โปรดเกล้าฯให้ชาวเขมร 500 คน มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ ก็ด้วยทรงเห็นว่าในหมู่บ้านนี้มีชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นคริสตังอาศัยอยู่ก่อนแล้วและชาวเขมรเหล่านั้นก็เป็นคริสตังเช่นเดียวกัน จึงเห็นควรให้อยู่ด้วยกัน เพื่อจะได้ถือปฏิบัติทางศาสนกิจร่วมกันต่อไป
ชาวเขมรที่อพยพมาคราวนั้น ได้อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอาดังกล่าวข้างต้นเข้ามาด้วย และได้ประดิษฐานพระรูปนั้นไว้ในวัดคอนเซ็ปชัญ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของคนในหมู่บ้านนั้น คือชาวโปรตุเกสซึ่งมาอยู่ก่อน และชาวเขมรที่ได้มาอยู่ภายหลังนี้ด้วยทั้งสองพวกต่างอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวด้วยความผาสุขตลอดมา
ต่อมาเหตุการณ์ในเมืองเขมรสงบราบคราบ ได้มีชาวเขมรที่อพยพหนีภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารบางหมู่เห็นว่าบ้านเมืองของตนสงบเรียบร้อยดีแล้ว จึงใคร่จะกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม ณ เมืองเขมร ในที่สุดได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้ชาวเขมรที่ต้องการกลับคืนสู่มาตุภูมิของตนได้ตามความประสงค์ และในการกลับคืนบ้านเกิดเมืองนอนของชาวเขมรเหล่านั้น ก็ได้อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าลงเรือเพื่อนำกลับไปเมืองเขมรด้วย
ในตอนนี้ได้มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าขณะที่อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าไปนั้นได้เกิดอัศจรรย์ขึ้น คือเรือที่อัญเชิญพระรูปพระแม่เจ้าไปนั้น เมื่อแจวออกไปไม่ไกลนักเรือก็หยุดอยู่นิ่งกับที่คนแจวพยายามแจวเท่าไรเรือก็ไม่ยอมเดินหน้า แม้จะเพิ่มคนแจวเข้าไปอีกเรือก็มิได้แล่นต่อไป เป็นเหตุให้เกิดความพิศวงมาก มีชาวเขมรบางคนสงสัยว่า อาจจะเป็นเพราะอำนาจปาฏิหารย์ของพระรูปพระแม่เจ้าที่มีพระประสงค์จะประทับอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญก็อาจเป็นได้ จึงได้ทดลองแจงเรือกลับไปทางเก่าอีก เรือก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน ได้กระทำอยู่เช่นนี้หลายครั้งหลายหน ก็คงเป็นอยู่ในลักษณะเดิม ชาวเขมรที่จะกลับเมืองเขมรก็แน่ใจว่า พระแม่เจ้ามีพระประสงค์จะให้พระรูปสลักนี้ประทับอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ จึงได้อัญเชิญพระรูปกลับมาประดิษฐานไว้ ณ วัดคอนเซ็ปชัญ แล้วพวกเขาก็เดินทางกลับเมืองเขมรโดยสวัสดิภาพ และพระรูปสลักรูปพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอาก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญตราบเท่าทุกวันนี้
พระรูปสลักพระแม่เจ้าองค์นี้ เดิมเข้าใจกันว่าชาวเขมรเป็นผู้แกะสลัก แต่เมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. 2517 มีนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องไม้ ประจำสำนักงาน เอฟ.เอ.โอ. ที่กรุงเทพฯ ผู้หนึ่งคือ มิสเตอร์โยเซฟ เทอร์แบงก์ (J. Turbang) ได้มาชมพระรูป เมื่อได้ตรวจดูแล้วมิสเตอร์โยเซฟ เทอร์แบงก์ได้บอกว่า พระรูปสลักองค์นี้มาจากประเทศอินโดนีเซีย โดยสันนิฐานจากเนื้อไม้ที่นำมาแกะสลักว่า ไม้ชนิดนี้มีอยู่ในอินโดนีเซียเท่านั้น ประกอบกับฝีมือแกะสลักก็ปรากฏว่าชาวอินโดนีเซียมีฝีมือในการแกะสลักที่ดีเยี่ยมอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ จึงคิดว่ารูปพระแม่เจ้าองค์นี้ไปจากอินโดนีเซีย แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงการสันนิฐานเท่านั้น
เกี่ยวกับพระรูปพระแม่เจ้านี้ ได้มีเรื่องเล่าต่อๆมาว่า ตั้งแต่ได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญนี้แล้ว ความเลื่อมใสศรัทธาในพระรูปนี้แพร่หลายออกไป มีผู้นิยมนับถือมากขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งคือเมื่อ ค.ศ. 1849 ได้เกิดอหิวาตกโรคระบาด ทำให้ชาวกรุงเทพฯล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านคอนเซ็ปชัญจึงได้ตกลงประชุมพร้อมกันให้อัญเชิญพระรูปพระแม่เจ้าแห่ไปตามหมู่บ้านจนทั่ว พร้อมทั้งสวดอ้อนวอนขอพระมหากรุณาต่อพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดบำบัดโรคร้านี้ ปรากฏว่าหลังจากได้แห่พระรูปพระแม่เจ้าแล้ว รุ่งขึ้นโรคร้ายก็สงบ ผู้ที่กำลังทรมานด้วยโรคก็หายรอดชีวิตได้จำนวนมาก ทั้งนี้เข้าใจกันว่าเนื่องจากพระบารมีของพระแม่เจ้าคุ้มครอง และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอันแรงกล้าของชาวบ้านนั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้ได้อยู่ในความทรงจำของชาววัดคอนเซ็ปชัญและได้เล่าต่อกันมาจนทุกวันนี้
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่พระคุณเจ้ายวง ปัลเลอกัวซ์ ปกครองวัดคอนเซ็ปชัญอยู่ในครั้งนั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่หมู่บ้านด้านหลังวัดน้อย ไฟได้ลุกโหมและไหม้ลามมาจนถึงกำแพงหลังวัด (ได้รื้อออกหมดแล้ว) ขณะนั้นพระคุณเจ้า ยวงฯ ได้ไปคุกเข่าสวดอยู่ที่สะพานข้ามคลองข้างวัดน้อย ได้มีชาวไทยคนแจวเรือจ้างผู้หนึ่งวิ่งมาดูไฟไหม้ ขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชายไทยแจวเรือก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า
การได้มาซึ่งพระรูปสลักนี้ มีเรื่องปรากฏเป็นหลักฐาน อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ว่า เมื่อ พ.ศ. 2325 ซึ่งตรงกับ ค.ศ. 1782 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ได้สร้างกรุงเทพมหานคร ได้เกิดการจลาจลขึ้นในเมืองเขมร เวลานั้นพระยายมราช (แบบ) ได้ตั้งตัวเป็นที่ฟ้าทละหะปกครองกัมพูชา ในขณะเดียวกันได้มีขุนนางเขมรบางนายได้คบคิดกับพวกแขกจามเมืองตะโบงคะมุม ยกกองทัพเรือจะไปกำจัดพระยายมราช (แบบ) ท่านเห็นว่าจะต่อต้านไม่ไหว จึงได้เกลี้ยกล่อมพวกเขมรที่นับถือศาสนาคริสต์ และอัญเชิญนักองเมน นักองอี นักองเภา ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ราชากษัตริย์เขมร และนักองเองราชบุตรของสมเด็จท่าน หลบเข้ามาเมืองไทย ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ซึ่งได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ทะนุบำรุงเจ้านายของเขมรไว้เยี่ยงพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ ส่วนชาวเขมรที่เข้ามาด้วย 500 คนนั้น ได้โปรดเกล้าฯให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หมู่บ้านเหนือวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) คือที่วัดคอนเซ็ปชัญในปัจจุบันนี้ เหตุที่โปรดเกล้าฯให้ชาวเขมร 500 คน มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ ก็ด้วยทรงเห็นว่าในหมู่บ้านนี้มีชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นคริสตังอาศัยอยู่ก่อนแล้วและชาวเขมรเหล่านั้นก็เป็นคริสตังเช่นเดียวกัน จึงเห็นควรให้อยู่ด้วยกัน เพื่อจะได้ถือปฏิบัติทางศาสนกิจร่วมกันต่อไป
ชาวเขมรที่อพยพมาคราวนั้น ได้อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอาดังกล่าวข้างต้นเข้ามาด้วย และได้ประดิษฐานพระรูปนั้นไว้ในวัดคอนเซ็ปชัญ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของคนในหมู่บ้านนั้น คือชาวโปรตุเกสซึ่งมาอยู่ก่อน และชาวเขมรที่ได้มาอยู่ภายหลังนี้ด้วยทั้งสองพวกต่างอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวด้วยความผาสุขตลอดมา
ต่อมาเหตุการณ์ในเมืองเขมรสงบราบคราบ ได้มีชาวเขมรที่อพยพหนีภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารบางหมู่เห็นว่าบ้านเมืองของตนสงบเรียบร้อยดีแล้ว จึงใคร่จะกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม ณ เมืองเขมร ในที่สุดได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้ชาวเขมรที่ต้องการกลับคืนสู่มาตุภูมิของตนได้ตามความประสงค์ และในการกลับคืนบ้านเกิดเมืองนอนของชาวเขมรเหล่านั้น ก็ได้อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าลงเรือเพื่อนำกลับไปเมืองเขมรด้วย
ในตอนนี้ได้มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าขณะที่อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าไปนั้นได้เกิดอัศจรรย์ขึ้น คือเรือที่อัญเชิญพระรูปพระแม่เจ้าไปนั้น เมื่อแจวออกไปไม่ไกลนักเรือก็หยุดอยู่นิ่งกับที่คนแจวพยายามแจวเท่าไรเรือก็ไม่ยอมเดินหน้า แม้จะเพิ่มคนแจวเข้าไปอีกเรือก็มิได้แล่นต่อไป เป็นเหตุให้เกิดความพิศวงมาก มีชาวเขมรบางคนสงสัยว่า อาจจะเป็นเพราะอำนาจปาฏิหารย์ของพระรูปพระแม่เจ้าที่มีพระประสงค์จะประทับอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญก็อาจเป็นได้ จึงได้ทดลองแจงเรือกลับไปทางเก่าอีก เรือก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน ได้กระทำอยู่เช่นนี้หลายครั้งหลายหน ก็คงเป็นอยู่ในลักษณะเดิม ชาวเขมรที่จะกลับเมืองเขมรก็แน่ใจว่า พระแม่เจ้ามีพระประสงค์จะให้พระรูปสลักนี้ประทับอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ จึงได้อัญเชิญพระรูปกลับมาประดิษฐานไว้ ณ วัดคอนเซ็ปชัญ แล้วพวกเขาก็เดินทางกลับเมืองเขมรโดยสวัสดิภาพ และพระรูปสลักรูปพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอาก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญตราบเท่าทุกวันนี้
พระรูปสลักพระแม่เจ้าองค์นี้ เดิมเข้าใจกันว่าชาวเขมรเป็นผู้แกะสลัก แต่เมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. 2517 มีนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องไม้ ประจำสำนักงาน เอฟ.เอ.โอ. ที่กรุงเทพฯ ผู้หนึ่งคือ มิสเตอร์โยเซฟ เทอร์แบงก์ (J. Turbang) ได้มาชมพระรูป เมื่อได้ตรวจดูแล้วมิสเตอร์โยเซฟ เทอร์แบงก์ได้บอกว่า พระรูปสลักองค์นี้มาจากประเทศอินโดนีเซีย โดยสันนิฐานจากเนื้อไม้ที่นำมาแกะสลักว่า ไม้ชนิดนี้มีอยู่ในอินโดนีเซียเท่านั้น ประกอบกับฝีมือแกะสลักก็ปรากฏว่าชาวอินโดนีเซียมีฝีมือในการแกะสลักที่ดีเยี่ยมอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ จึงคิดว่ารูปพระแม่เจ้าองค์นี้ไปจากอินโดนีเซีย แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงการสันนิฐานเท่านั้น
เกี่ยวกับพระรูปพระแม่เจ้านี้ ได้มีเรื่องเล่าต่อๆมาว่า ตั้งแต่ได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญนี้แล้ว ความเลื่อมใสศรัทธาในพระรูปนี้แพร่หลายออกไป มีผู้นิยมนับถือมากขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งคือเมื่อ ค.ศ. 1849 ได้เกิดอหิวาตกโรคระบาด ทำให้ชาวกรุงเทพฯล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านคอนเซ็ปชัญจึงได้ตกลงประชุมพร้อมกันให้อัญเชิญพระรูปพระแม่เจ้าแห่ไปตามหมู่บ้านจนทั่ว พร้อมทั้งสวดอ้อนวอนขอพระมหากรุณาต่อพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดบำบัดโรคร้านี้ ปรากฏว่าหลังจากได้แห่พระรูปพระแม่เจ้าแล้ว รุ่งขึ้นโรคร้ายก็สงบ ผู้ที่กำลังทรมานด้วยโรคก็หายรอดชีวิตได้จำนวนมาก ทั้งนี้เข้าใจกันว่าเนื่องจากพระบารมีของพระแม่เจ้าคุ้มครอง และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอันแรงกล้าของชาวบ้านนั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้ได้อยู่ในความทรงจำของชาววัดคอนเซ็ปชัญและได้เล่าต่อกันมาจนทุกวันนี้
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่พระคุณเจ้ายวง ปัลเลอกัวซ์ ปกครองวัดคอนเซ็ปชัญอยู่ในครั้งนั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่หมู่บ้านด้านหลังวัดน้อย ไฟได้ลุกโหมและไหม้ลามมาจนถึงกำแพงหลังวัด (ได้รื้อออกหมดแล้ว) ขณะนั้นพระคุณเจ้า ยวงฯ ได้ไปคุกเข่าสวดอยู่ที่สะพานข้ามคลองข้างวัดน้อย ได้มีชาวไทยคนแจวเรือจ้างผู้หนึ่งวิ่งมาดูไฟไหม้ ขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชายไทยแจวเรือก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า