ในที่สุดวันนั้นมาถึง...

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2009 3:29 pm

  เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2009 นี้เอง ผมไปวัดเซนต์จอห์นเพื่อไปเรียนคำสอน ก็เลยเอา'พระคัมภีร์'กับ'หนังสือประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก'ติดตัวไปด้วย แต่ว่าวันนั้นไม่ได้เรียนคำสอนเพราะติดเรียนพิเศษ ก็เลยเดินทางไปพญาไทเพื่อเรียนพิเศษ พอตอนที่เลิกเรียนแล้วแม่ก็โทรมาบอกผมว่าวันนี้จะไปรับที่ตึกวรรณสรณ์(เคมี อ.อุ๊) เพราะว่าจะพาไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด พอไปเยี่ยมญาติเสร็จก็กลับมาถึงกรุงเทพประมาณ 19.00 น. ผมก็บอกพ่อว่าไปส่งผมที่ร้านตัดผมหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้ผมต้องเรียนรด. แล้วก็จะตรวจทรงผมด้วย ก่อนเข้าบ้านพ่อก็เลยแวะไปส่งร้านตัดผมก่อนที่จะเข้าบ้าน พอพ่อผมขับรถไปแล้วผมก็เลยเดินไปวัดเซนต์จอห์น เพราะเห็นบอกว่าวันนี้จะมีแห่แม่พระ พอผมไปแห่แม่พระเสร็จก็ไปตัดผมแล้วก็กลับบ้าน

  พอผมมาถึงบ้านผมก็เห็นพ่อนั่งที่โต๊ะอาหารแล้วก็ทำให้เครียดๆ ผมก็เลยไม่ได้สนใจเพราะก่อนที่จะไปเยี่ยมญาติพ่อบอกผมว่าพ่อปวดหัว เพราะ อากาศมันร้อน แต่พอผมเดินไปที่โต๊ะวางกระเป๋าเรียนหนังสือ ก็เห็นพระคัมภีร์กับหนังสือประมวลคำสอนฯวางไว้อยู่บนโต๊ะเหมือนมีใครหยิบออกมาจากกระเป๋านักเรียน ผมเห็นแล้วก็หน้าซีดเลย เพราะผมเชื่อว่าพ่อต้องมาค้นกระเป๋าผมแน่ ผมทำอะไรไม่ถูกเลยก็เลยไปอาบน้ำ ทานข้าวแล้วก็ไปคุยกับพ่อ ซึ่งพ่อก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผม แต่พูดผ่านทางแม่ว่า "พ่อไม่มีอะไรจะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว" ผมก็รู้สึกช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมก็เลยสวดขอแม่พระก่อนนอนแล้วก็เข้านอนเลย


  ในตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2009 ทุกอย่างดูเป็นปกติดี พ่อยอมคุยกับผมเหมือนทุกๆวัน แต่ผมก็ยังติดใจเรื่องเมื่อคืนอยู่ พอพ่อกับแม่ผมไปทำงานแล้ว ผมก็ไปวัดเซนต์จอห์น แล้วก็ไปภาวนาต่อหน้าแม่พระว่า "แม่ครับ ได้โปรดช่วยลูกด้วย ตอนนี้ในบ้านของผมกำลังมีปัญหากันอยู่ ผมอยากให้แม่ช่วย ผมรู้ว่าพระบิดาได้เตรียมทางในการเป็นคริสตังไว้สำหรับผมแล้ว แต่ผมก็เริ่มที่จะท้อใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมอยากให้พ่อและแม่ของผมเข้าใจในพระเจ้ามากขึ้น อยากให้ท่านทั้งสองยอมรับพระองค์ ผมไม่เหลือใครแล้วนอกจากพระเจ้าและพระแม่ที่จะคอยช่วยผม ได้โปรดช่วยผมด้วย" พอสวดจบผมก็ร้องไห้ออกมาเลย ผมคิดว่าผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

  เมื่อถึงตอนเย็นพ่อกับแม่ผมก็กลับมาจากที่ทำงาน เราทุกคนในครอบครัวก็มานอนดูทีวีด้วยกัน พอดูเสร็จ พ่อก็บอกผมว่าอยากจะคุยเรื่องศาสนาด้วย พ่อเริ่มต้นด้วยการบอกผมว่า "พ่ออยากจะพูดกับมาร์ค(ชื่อผมเอง) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อคืนที่ผ่านมาพ่อก็คิดอยู่ว่า เวลาต่างๆก็ผ่านไปรวดเร็ว พ่อก็ไม่รู้ว่าอีกนานสักแค่ไหนที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเรามีเวลาก็อยากที่จะปรับความเข้าใจกัน พ่ออยากให้มาร์คเล่าเรื่องความศรัทธาในศาสนาคริสต์ของมาร์คให้พ่อฟัง" ผมก็เล่าไปถึงความศรัทธาของผมให้พ่อฟัง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการถกเถียงกันอยู่บ้าง เพราะความไม่เข้าใจในศาสนา พอเล่าเสร็จ พ่อก็บอกว่า"พ่อไม่ว่าหรอกนะที่มาร์คจะนับถือศาสนาอะไร เพราะจากที่ฟังก็เข้าใจถึงความศรัทธาของมาร์ค พ่อไม่ว่าเลยเรื่องที่จะไปโบสถ์ หรือจะสวดภาวนาก็ตาม แต่พ่ออยากจะขอเรื่องการอ่านพระคัมภีร์ เพราะว่าตอนนี้มันเป็นช่วงของการเรียนที่เราจะต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของมาร์คด้วย พ่ออยากจะให้อ่านหนังสือเรียนมากกว่า" หลังจากที่พ่อพูดจบ เราสองคนก็ได้ปรับความเข้าใจกันถึงข้อเสียของแต่ละคน พ่อบอกว่าผมเป็นคนปิดตัวเอง เพราะว่าผมเป็นคนที่ความเป็นโลกส่วนตัวสูง ซึ่งตรงนี้ผมก็ยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขตัวเอง




ผมคิดว่าผมอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่านี้ ผมก็ยังไม่ได้บอกเลยเรื่องที่ไปวัดเพราะ วันที่ผมไปวัดก็คือวันที่ผมโดดเรียนพิเศษ ก็เลยยังไม่บอกพ่อ เรื่องรับศีลล้างบาป ผมคิดว่าไว้อายุประมาณ20กว่าแล้วค่อยรับดีกว่า เพราะผมคิดว่ามันเร็วเกินไปสำหรับคนรอบข้างก็คือคนที่ผมรักนั่นเอง

ป.ล. ผมขอบคุณพี่Buddy, พี่ Little Lamb, พี่Holyและทุกๆคนในเว็บบอร์ดnewmanaที่คอยเป็นกำลังใจและคอยให้คำปรึกษาผมมาตลอด
ป.ล.2 ผมอยากให้พี่Holyและทุกคนๆช่วยหาคำตอบสักอย่างให้ผมหน่อยได้ไหมครับ คือพ่อผมเขาไม่เข้าใจเรื่องพระเจ้าดีพอ


                                                              : xemo026 :ขอบคุณครับ : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 06, 2009 3:33 pm

ขอบคุณพระเจ้า : emo045 :

ขอให้ความเชื่อของน้องเป็นเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดนะครับ
จะผ่านไปนานแค่ไหน ก้ขอให้ไม่กลายพันธุ์มีแต่จะทวีฟูยิ่งๆขึ้นไป
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2009 3:34 pm

ป.ล. 2 1.คือพ่อผมเขาบอกว่าพ่อและแม่คือพระเจ้าคนแรกที่ให้กำเนิดผมมา : emo073 : คือผมอธิบายเรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นก็เลยอยากให้ช่วยหน่อยอะครับ
          2.พ่อผมคิดว่าเมื่อผมเป็นคริสต์แล้วจะไม่ให้ทิ้งพ่อแม่ไปเหมือนกับ ผมออกมาจากท้องแม่แล้วก็ไปรักพระเจ้าแทน ไม่รักท่านอีกแล้ว
          3. พ่อสงสัยว่าทำไมศาสนาคริสต์ถึงสอนให้เชื่อก่อน ทำไมไม่เหมือนพุทธตรงที่"อย่าเชื่อหนังสือ หรือครูอาจารย์ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
          4. พ่อผมเขาบอกว่าเขามาถึงจุดๆนี้ก็เพราะตัวของเขาเอง เขาไม่ต้องมีพระเจ้ามาคอยช่วย(เหมือนกะว่าเขาไม่ต้องการพึ่งพระเจ้า แต่เขาเชื่อว่าทุกๆอย่างอยู่ที่การกระทำ)

ถ้าเกิดมีคำถามอะไรผมจะมาถามอีกนะครับ


ขอโทษทีนะครับ ผมโพสต์ผิดกระทู้(พึ่งมารู้ตัว) รบกวนพี่Holyช่วยย้ายทีครับ ::042::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ต.ค. 06, 2009 3:56 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
วอ
โพสต์: 1153
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ย. 13, 2008 7:36 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2009 6:35 pm

เราก็คงต้องรอ 20 อ่ะนะ : emo102 :
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2009 6:42 pm

สู้ต่อไปนะ อย่าท้อนะจ๊ะ พระเจ้ารักน้องเสมอค่ะ : xemo026 : : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 06, 2009 6:45 pm

Holy Bible เขียน: ป.ล. 2 1.คือพ่อผมเขาบอกว่าพ่อและแม่คือพระเจ้าคนแรกที่ให้กำเนิดผมมา : emo073 : คือผมอธิบายเรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นก็เลยอยากให้ช่วยหน่อยอะครับ
           2.พ่อผมคิดว่าเมื่อผมเป็นคริสต์แล้วจะไม่ให้ทิ้งพ่อแม่ไปเหมือนกับ ผมออกมาจากท้องแม่แล้วก็ไปรักพระเจ้าแทน ไม่รักท่านอีกแล้ว
           3. พ่อสงสัยว่าทำไมศาสนาคริสต์ถึงสอนให้เชื่อก่อน ทำไมไม่เหมือนพุทธตรงที่"อย่าเชื่อหนังสือ หรือครูอาจารย์ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
           4. พ่อผมเขาบอกว่าเขามาถึงจุดๆนี้ก็เพราะตัวของเขาเอง เขาไม่ต้องมีพระเจ้ามาคอยช่วย(เหมือนกะว่าเขาไม่ต้องการพึ่งพระเจ้า แต่เขาเชื่อว่าทุกๆอย่างอยู่ที่การกระทำ)

ถ้าเกิดมีคำถามอะไรผมจะมาถามอีกนะครับ


ขอโทษทีนะครับ ผมโพสต์ผิดกระทู้(พึ่งมารู้ตัว) รบกวนพี่Holyช่วยย้ายทีครับ ::042::


พี่ขอตอบก่อนแล้วกันนะ

1. พ่อกับแม่เป็นผู้ให้กำเนิดร่างกาย  และ มาร์คสำนึกและเคารพรักเสมอ  
แต่พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดวิญญาณมาร์ค  ดังนั้น มาร์คจึงเคารพ และ รักพระเจ้า

2. พระบัญญติ 10 ประการของพระเจ้า  ข้อ 1-3 คือ เคารพ นับถือพระเจ้า แล้ว ข้อที่ 4 คือ จงนับถือบิดา มารดา
พระเจ้าให้ความสำคัญในการเคารพบิดามารดา ว่ามีความสำคัญมากกว่า
ความโลภ การฆ่าคน ความลามก ฯลฯ อีก  ไม่ีมีทางที่มาร์คจะไม่รักไม่นับถือพ่อแม่อีก
ตรงกันข้าม  จะยิ่งให้ความสำคัญ  เพราะเป็นบัญญัติที่พระเจ้า ให้ความสำคัญมาก

3. แต่ก็เพราะได้อ่านพระคัมภีร์  ได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า มาร์คถึงได้เชื่อใช่ไหม?
อยู่ดี ๆ จะเชื่อเลยไม่ได้หรอกคับ   ก็เพราะได้ยิน ได้ฟัง  ได้สัมผัส ถึงได้เกิดความเชื่อขึ้นมา

4. ศาสนาเราเชื่อว่า ไม่มีคำว่าบังเอิญ  ไม่มีคำว่าโชคดี  ไม่มีคำว่าฟลุ๊ค  
ทุกอย่างล้วนมาจากพรเจ้าทั้งนั้น  ดังนั้น  เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยการตระหนักถึง และ  สำนึกในบุญคุณเสมอ  
ไม่มีใครทำอะไรสำเร็จได้ด้วยลำพังคนเดียวหรอกค่ะ  

ไม่มีทางที่ใครคนนึงจะบอกว่า เขาได้ทุกอย่างมาด้วยตัวเอง โดยไม่ได้ความร่วมมือ หรือ การช่วยเหลือจากใคร

ความช่วยเหลือต่าง ๆ จากคนรอบข้าง กำลังใจในยามท้อแท้  สิ่งดี ๆ โอกาสต่าง ๆ ที่เข้ามา
ที่เราได้รับ  จนทำให้เรามีทุกสิ่งอย่างในวันนี้    เราเชื่อว่าเล่านี้แหละ
พระเจ้าได้ส่งผ่านทางคนรอบข้างมาให้เรา  

ขอย้ำว่า บังเอิญ โชคดี  ฟลุ๊ค  ส้มหล่น  คำพวกนี้ไม่มีจริงหรอกค่ะ  


 
ภาพประจำตัวสมาชิก
Léon
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 8:43 pm
ที่อยู่: แผ่นดินโลก
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:14 pm

ขนาดนี้ถือว่า ไฟเขียวให้เราหนึ่งดวงแล้วคะ ยินดีด้วยนะคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ขอโทษครับ
โพสต์: 40
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 17, 2009 8:59 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:35 pm

ชื่อเดียวกันเลย เหตุการณ์ในชีวิตก็คล้ายๆกัน แต่ของผมเป็นแม่ที่ไม่พอใจ ตอนที่มาค้นเจอไบเบิ้ลในกระเป๋าผม ผมก็เลยบอกแม่ไปตรงๆว่า ผมจะขอเป็นคริสต์ ตอนนั้นแม่ถึงกลับบอกว่า "ใครล้างสมองมาร์ค ไปเลยนะ ถ้ามาร์คเป็นคริสต์ แม่ตายก็ไม่ต้องมาเผาศพแม่" ทำเอาผมช็อคไปเลย แต่พอเวลาผ่านไป ผมก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า ขอให้พระองค์สถิตอยู่กับผมแล้วช่วยผมด้วย ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปพูดกับแม่ว่าทำไมผมอยากเป็นคริสต์ทั้งน้ำตา แล้วในที่สุด แม่ของผมก็เข้าใจ

ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:07 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Léon
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 8:43 pm
ที่อยู่: แผ่นดินโลก
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:50 pm

ขอโทษครับ เขียน: ชื่อเดียวกันเลย เหตุการณ์ในชีวิตก็คล้ายๆกัน แต่ของผมเป็นแม่มที่ไม่พอใจ ตอนที่มาค้นเจอไบเบิ้ลในกระเป๋าผม ผมก็เลยบอกแม่ไปตรงๆว่า ผมจะขอเป็นคริสต์ ตอนนั้นแม่ถึงกลับบอกว่า "ใครล้างสมองมาร์ค ไปเลยนะ ถ้ามาร์คเป็นคริสต์ แม่ตายก็ไม่ต้องมาเผาศพแม่" ทำเอาผมช๊อคไปเลย แต่พอเวลาผ่านไป ผมก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า ขอให้พระองค์สถิตอยู่กับผมแล้วช่วยผมด้วย ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปพูดกับแม่ว่าทำไมผมอยากเป็นคริสต์ทั้งน้ำตา แล้วในที่สุด แม่ของผมก็เข้าใจ

ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ
ก็เราก็ขอมิสซาสุขสำราญให้แม่บ่อยๆ นะคะ
วอ
โพสต์: 1153
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ย. 13, 2008 7:36 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2009 9:06 pm

ปีที่แล้วคุณพ่อที่วัดเซนต์หลุยส์บอกว่า พวกชาวยิวเชื่อว่าคนต่างศาสนาเมื่อตายไปต้องอยู่ในไฟนรก คุณพ่อบอกอีกว่า โชคดีที่ศาสนาของเราไม่เป็นแบบนั้น

แสดงว่าคนต่างศาสนาก็สามารถรอดได้ และพ่อบอกว่าโชคดีแสดงว่าพระเจ้าทรงเมตตาคนต่างศาสนาให้รอด  : xemo029 :
APaladin
โพสต์: 204
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:59 am

อังคาร ต.ค. 06, 2009 11:18 pm

วอ เขียน: ปีที่แล้วคุณพ่อที่วัดเซนต์หลุยส์บอกว่า พวกชาวยิวเชื่อว่าคนต่างศาสนาเมื่อตายไปต้องอยู่ในไฟนรก คุณพ่อบอกอีกว่า โชคดีที่ศาสนาของเราไม่เป็นแบบนั้น

แสดงว่าคนต่างศาสนาก็สามารถรอดได้ และพ่อบอกว่าโชคดีแสดงว่าพระเจ้าทรงเมตตาคนต่างศาสนาให้รอด  : xemo029 :
พระเจ้าก็รักจิตวิญญาณทุกดวงรักทุกสิ่งที่พระองค์สร้างไม่ใช่เหรอ ไม่แปลกนักหรอกที่พระองค์จะเตรียมทางที่เหมาะสมเพื่อให้จิตวิญญาณมากมายไปถึงพระองค์ได้ ผมรู้ว่าวิญญาณที่มืดมิดสุดๆพระเจ้าก็ยังรักและหวังจะให้เขารอด แม้แต่ซาตานก็เถอะ พระเจ้าก็รักมากแระ ไม่งั้นคงทำลายดวงวิญญาณไปแล้ว คงไม่ปล่อยให้อยู่ขนาดนี้ แต่นั่นละพระองค์รู้ว่าคืออะไร ผมรักพระเจ้ามากมาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
ต้นไม้แห่งเจสซี
โพสต์: 343
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 21, 2009 3:33 pm
ที่อยู่: หลุมที่4 สุสานวัดพระราชินีแห่งสันติภาพ อรัญประเทศ
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 06, 2009 11:19 pm

ขอพระเป็นเจ้าทรงอวยพระพรให้น้อง รวมทั้งคุณพ่อ คุณแม่ด้วยนะครับ อาแมน. : xemo026 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ต.ค. 07, 2009 12:05 am

เท่าที่อ่าน ก็พบว่าเป็นปัญหาเก่าแก่ คือคนต่างศาสนาโดยเฉพาะคนพุทธในไทย จะมีความเชื่อแบบผิดๆว่า ศาสนาคริสต์สอนไม่ให้นับถือพ่อแม่ อันนี้ก็มีสาเหตุมาจากข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เมื่อราว10ปีก่อน ที่คริสตจักรเกิดใหม่สายสุดโต่งแห่งหนึ่ง เน้นประกาศกับวัยรุ่น และมีการยุให้เด็กที่เชื่อพระเจ้าแต่พ่อแม่ไม่ยอมรับให้หนีออกจากบ้าน มาอยู่ที่สถานที่ๆคริสตจักรเช่าไว้ และต่อมาก็มีข่าวอีกคริสตจักรหนึ่ง ซึ่งเป็นลัทธิอันตรายจากเกาหลี ที่สอนว่าเจ้าลัทธิคือพ่อแม่ที่แท้จริงของผู้เชื่อทุกคน

จากนั้นผู้ที่เกลียดศาสนาคริสต์ แม้แต่คนระดับนักบวชบางคน ก็มักบิดเบือนเอาเรื่องนี้มาพูดจิกกัดโจมตีศาสนาคริสต์โดยตลอด จนอาจเรียกได้ว่า ล้างสมองกลับคืน

ดังนั้นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่รุ่นตารุ่นยาย จะมีความเข้าใจศาสนาคริสต์ผิดในเรื่องนี้กันมาก

ประกอบกับว่า เด็กที่เปลี่ยนความเชื่อ มักเลือกศาสนาแทนการตามใจพ่อแม่ ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ที่เด็กดื้อกับพ่อแม่ เพราะศาสนาสอนแบบนี้

ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆคริสตจักรที่สุดโต่งกลัวตกนรกจัด จะสอนให้เด็กไม่ร่วมงานใดๆเลยของครอบครัว ห้ามร่วมงานศพ เชงเม้ง ลอยกระทง ฯลฯ หรืองานอะไรที่มีแววทางศาสนา แบบขนาดไปนั่งเฉยๆในงานก็ห้าม ก็เลยตอกย้ำภาพไปใหญ่ว่า เป็นคริสต์แล้วต้องตัดขาดจากครอบครัว

ซึ่งคาทอลิคที่จริงไม่มีอะไรแบบนี้ หรือปัญหาทำนองนี้เลย เราอณุญาติให้ร่วมงานต่างๆได้หมด และห้ามเพียงการกระทำบางอย่างที่ชัดเจนว่าเป็นการนมัสการพระเจ้าอื่นเท่านั้น

อย่าว่าแต่ศาสนาอื่นเลย ไม่กี่วันมานี้ มีเพื่อนแม่ผมคนหนึ่ง ครอบครัวเป็นคาทอลิค แต่ลูกเมื่อไปเรียนมหาวิทยาลัยถูกชักนำให้เปลี่ยนไปนับถือคริสตจักรหนึ่งแถวคลองเตย

วันดีคืนดีก็เปิดพระคัมภีร์ด่าคาทอลิคให้แม่ฟังว่าเชื่อผิดและจะตกนรก


และพูดกับแม่ด้วยคำที่ผมเองยังคิดเลยว่า ทำไมต้องกร้าวร้าวกับแม่ขนาดนี้ ว่า

"ถ้าแม่ตายเมื่อไหร่ จะเอาพวกรูปเคารพ(รูปปั้นแม่พระ พระเยซู)พวกนี้ ไปเผาทิ้งให้หมดเลย"


คิดดูว่าขนาดถูกเลี้ยงดูแบบคาทอลิคมาแต่เด็ก พอเปลี่ยนไปอยู่คริสตจักรหนึ่ง ยังพูดจาร้ายกาจโดยไม่สนใจว่าแม่จะเสียใจแค่ไหนได้ขนาดนี้ ถ้ากับคนต่างศาสนาเขาโดนขึ้นมา เขาคงคิดนั่นแหละว่าศาสนาคริสต์สอนไม่ให้นับถือพ่อแม่

ยิ่งไปกว่านั้น แม่เขายังบ่นว่า กลับมาจากมหาวิทยาลัยวิทยาเขตต่างจังหวัดเฉพาะวันอาทิตย์ แทนที่จะอยู่กับครอบครัว กลับหายไปทั้งวัน ออกไปอยู่กับเพื่อนในคริสตจักร เพราะต้องหาผู้เชื่อใหม่ให้ได้ยอดตามกำหนด กลายเป็นไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย (ซึ่งคาทอลิคเรา เช้าไปวัดสายๆก็กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ต่อได้แล้ว)

ขนาดผมฟังแม่เขาเล่าด้วยความเป็นทุกข์ ผมยังคิดเลยว่า ทำไมเขาไม่คิดจะรักษาบัญญัติข้อที่ว่าจงนับถือบิดามารดาบ้างเลยเหรอ แค่ทำข้อแรกข้อเดียวไปสวรรค์ละ อีก9ข้อทิ้งได้หมดเลยเหรอ

แล้วนับประสาอะไรกับคนต่างศาสนา ที่ครอบครัวมากมายก็คงเจอประสบการณ์โหดเช่นนี้ และเล่าต่อๆกันจนกลายเป็นน่ากลัว เพราะลูกดูเหมือนไม่เหมือนคนศรัทธาในศาสนา แต่เหมือนคนโดนล้างสมองจริงๆ

ที่พูดมายืดยาว ก็แค่จะบอกว่า พ่อแม่ของคุณมาร์ค กลัวในสิ่งที่คิดว่าอาจจะเกิดกับเขา แต่ที่จริงมันไม่เกิดหรอก เพราะมาืร์คเป็นคริสต์คาทอลิคต่างหาก ดังนั้นนอกจากการอธิบายให้เข้าใจ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เอง ว่าที่เขากลัวนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ลูกยังอยู่กับเขา รักพระเจ้า และรักเขาด้วย


ส่วนเรื่องการให้กำเนิด ให้อธิบายเรื่องที่ว่า ใช่แล้วเราเกิดจากพ่อแม่ แต่แล้ววิญญาณของเราแต่ละคนมาจากใคร ใครให้กำเนิดวิญญาณ พระเจ้าไม่ได้เป็นแค่พระบิดาฝ่ายวิญญาณของเรา แต่เป็นของพ่อและแม่ด้วยดังนั้น ดังนั้นเอาจริงๆ พระเจ้าเป็นพ่อคนแรกของวิญญาณเราทุกคน ขนาดพ่อแม่ให้กำเนิดมาร์คมายังรักมาร์ค ไม่เคยคิดร้ายกับมาร์ค และหวังให้เจอแต่สิ่งดีๆ แล้วพ่อที่ให้กำเนิดวิญญาณเรา จะไม่รักเรา และหวังให้เราเจอสิ่งดีๆมากกว่านั้นอีกเหรอ ดังนั้นเรารักพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเราในโลกนี้อย่างไร เราก็ควรรักพ่อที่ให้กำเนิดวิญญาณเราเช่นกันมิใช่หรือ

ส่วนในเรื่องเชื่อก่อนหรือพิสูจน์ก่อน อันนี้ก็ตอบได้ง่าย ว่า ทางพุทธเอง ไม่ใช่ว่าต้องพิสูจน์จนพบพระนิพานแล้วถึงเชื่อได้ ที่เชื่อๆกันอยู่ทั่วประเทศนี้ ยังไม่มีใครไปถึงนิพานได้สักคน แต่การที่เราจะเชื่ออะไรสักอย่าง เราสามารถพิจารณาด้วยเหตุผลได้ พิจารณาจากในความคิดก็ได้ และก็ตอบไปว่า มาร์คศึกษา คิด และพิจารณาแล้ว ว่ามาร์คเชื่อพระเจ้า และเชื่อในคำสอนของศาสนาคริสต์ ว่าสอนดี และเป้นจริงยังไง

เรื่องการกระทำ ก็ตอบไปว่า ศาสนาคริสต์ก็สอนให้ทำ ไม่ได้สอนให้พึ่งพระเจ้าแล้วงอมืองอเท้า

มาร์คก็อธิบายไปว่า ก่อนเชื่อพระเจ้า เวลาทำอะไรที่ต้องพยายามเอง มันแห้งแล้งเพียงไร มันเหนื่อยยากเพียงไร มันได้มาแต่ไร้สุขยังไง แต่วันหนึ่งที่เรามีการกระทำ พร้อมกับมีพระเจ้าอยู่ด้วย เราชื่นชมยินดี แม้พลาดไปเราก็ยังมีพระเจ้าเคียงข้าง แม้ได้มาก็ก็เหนื่อยยากในความชื่นชมยินดี เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าแล้วไม่ต้องทำกิจการใดๆ หรือเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เจออุปสรรค แต่จากเดิมเราทำทุกอย่างเพียงลำพัง เราก็มาทำทุกอย่างโดยมีพระเจ้าอยู่เคียงข้าง


แถมแต่ก่อนทำลำพัง เวลาไม่มีใครเห็นก็ง่ายที่จะออกนอกลู่นอกทางหรือทำสิ่งชั่ว เพียงเพื่อให้เกิดความสำเร็จ พอมาเชื่อพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าดูอยู่ ก็รู้สึกว่า ทำชั่วยากขึ้น เพราะเราไม่ได้ทำอะไรตามลำพังแล้ว เราก็จะไม่เลือกทางชั่วเพื่อความสำเร็จแต่เลือกทางที่ดีที่พระเจ้าพอพระทัยด้วย เพราะเราทำอยู่กับพระเจ้า


ก็ตอบไปด้วยความรัก และสันติสุขจะตามมา ที่สำคัญ

1คร 4:20
พระอาณาจักรของพระเจ้าไม่อยู่ในคำพูด แต่อยู่ในการกระทำซึ่งแสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้า



ต่อให้เราพูดดีแค่ไหน หรือเก่งพระคัมภีร์จนเถียงชนะ ยังไง แต่ถ้าพฤติกรรม ไม่สะท้อนความรัก ไม่พิสูจน์ให้เขาเห็นจริงว่า มานับถือศาสนาคริสต์แล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนดีจริง สันติสุขแท้ หรือการยอมรับแท้จากพ่อแม่ก็ไม่เกิด


1ปต 3:13-17  คริสตชนต้องวางตนอย่างไรเมื่อถูกเบียดเบียน
ใครจะทำร้ายท่านได้ถ้าท่านมุ่งมั่นในความดี  ถ้าท่านจะต้องทนทุกข์ทั้ง ๆ ที่ทำความดีแล้ว ก็จงเป็นสุขเถิด อย่ากลัวเขา อย่าวุ่นวายใจเลย แต่จงนมัสการ องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระคริสตเจ้าในจิตใจของท่าน จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่ต้องการรู้เหตุผลแห่งความหวังของท่าน  จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อเมื่อท่านถูกใส่ร้าย ผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านตามคำสอนของพระคริสตเจ้า ก็จะต้องประสบความอับอาย หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้น  ย่อมดีกว่าการทนทุกข์เพราะทำความชั่ว


ขอพระเจ้าอวยพร
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พุธ ต.ค. 07, 2009 12:08 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Like a Heaven
.
.
โพสต์: 1739
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
ที่อยู่: In the Christ

พุธ ต.ค. 07, 2009 12:50 am

ขอบคุณพรเปนเจ้า

ลูกพระกลับมาหาพระองค์อีกหนึ่ง ..

: emo038 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ ต.ค. 07, 2009 9:37 am

อ่า คริสตชนใหม่นี่มักจะเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กันเลยนะครับ คือ คิดว่ายังไม่ถึงเวลาจะบอก กะว่าจะบอกพ่อแม่เอง แต่สุดท้ายพระก็จัดเตรียมเวลาไว้ให้แล้วโดยคาดไม่ถึง ตอนผมเองก็เหมือนกัน แต่เจอแบบว่าเข้ามาในห้องตอนสวดสายประคำอยู่ ช๊อคครับ !!!!(เพิ่งอธิษฐานขอให้พระเจ้าเตรียมเวลาให้ด้วยเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมที่จะบอกพ่อแม่ พระองค์ก็จัดให้เลย -*-)
PeterCartoon
โพสต์: 141
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 12:17 pm

พุธ ต.ค. 07, 2009 9:57 am

ความเชื่อ...

ศาสนาคริสต์มักถูกมองว่า เป็นศาสนาที่บังคับให้เชื่อ โดยปราศจากเหตุผล

จริง ๆ ศาสนาคริสต์มีเหตุผลแทบจะทุกข้อคำสอน เพียงแต่เราอาจจะยังไม่เข้าใจ (เพราะส่วนใหญ่เราจบคำสอนแค่ ป.6 แต่คำสอนจริง ๆ มีถึงปริญญาจัตวา (มากกว่าเอกงัย))

และในนิวมานา เป็นสถานที่หนึ่งในการที่จะได้รู้คำสอนเพิ่มมากขึ้น จากการแบ่งปันซึ่งกันและกัน

"ความเชื่อ" "ความวางใจ" "ความรัก" ในศาสนาคริสต์มันมีพื้นฐานมาจากความสัมพันธ์แบบครอบครัว
ใช่ครับ ศาสนาเราเป็นศาสนาแบบครอบครัว พระเจ้าเป็นพ่อแม่และเราเป็นลูก (ที่ทั้งดื้อและก็ซน แต่ก็มีบางคนที่เรียบร้อย)

ในตอนเราเป็นเด็ก เราไม่เคยสงสัยในตัวพ่อแม่ ไม่ว่าจะอุ้ม จะจูง จะพาเดิน ไปที่ไหนก็ตาม (ตรู...เฮฮาอย่างเดียว)
หรือ ในยามที่พ่อแม่สั่งให้เราทำอะไร บางทีเราก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเราทำตาม มันก็จะเกิดผลดีกับเรา (แต่อาจจะแหกปาก เอะอะ โวยวาย ก่อนที่จะทำตาม)
เหมือนตอนที่เราเข้าอนุบาล เราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ต้องทิ้งเรา พ่อแม่ไม่รักเราแล้วเหรอ แต่เมื่อเราทำตามก็เกิดผลดีตามมา

นั่นคือ เราเชื่อใจในพ่อแม่เรา เราวางใจในพ่อแม่เรา และเรารักพ่อแม่เรา

ความสัมพันธ์แบบนี้ เป็นพื้นฐานของความเข้าใจและพฤติกรรมในเรื่อง ความเชื่อ ความวางใจและความรักในพระเจ้า ของคริสต์ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

พุธ ต.ค. 07, 2009 11:36 am

ข้อเสียที่พวกมันเมคขึ้นมาด่าพวกเราน่ะ พวกมันเป็นเองทั้งนั้น

หากในโลกมีคนสองประเภท คือคนเลวแต่หันเข้าหาพระเจ้า กับคนเลวที่ไม่ยอมรับพระองค์

ใครควรจะหายไปจากพระพักตร์พระองค์ตลอดกาล คงรู้กันอยู่แล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พุธ ต.ค. 07, 2009 1:20 pm

Pegasus Valkyrie เขียน: ข้อเสียที่พวกมันเมคขึ้นมาด่าพวกเราน่ะ พวกมันเป็นเองทั้งนั้น

หากในโลกมีคนสองประเภท คือคนเลวแต่หันเข้าหาพระเจ้า กับคนเลวที่ไม่ยอมรับพระองค์

ใครควรจะหายไปจากพระพักตร์พระองค์ตลอดกาล คงรู้กันอยู่แล้ว

เออ.... อารมณ์เย็นนิดนึงค่ะ    ::051::
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

พุธ ต.ค. 07, 2009 1:58 pm

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบครับ : emo045 :
poloplow
โพสต์: 402
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 11, 2006 11:01 pm

พุธ ต.ค. 07, 2009 2:15 pm

คนอื่นพูดไปหมดแล้ว

สู้ ๆ นะ  พระอยู่กับเราเสมอ
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

ศุกร์ ต.ค. 09, 2009 12:11 am

พี่ก็ไปวัดเซนต์จอห์นบ่อยเหมือนกันครับ เพราะใกล้บ้านที่สุด เป็นสัตบุรุษรุ่นวัดน้อย สมัยวัดหลังปัจจุบันยังไม่สร้าง แต่ช่วง 6 ปีกว่าๆมานี้ทำงานต่างจังหวัดก็เลยเข้าวัดตามพื้นที่ๆที่สะดวก


พี่ว่าถ้าเรารักและศรัทธาพระจริง พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งเราหรอกครับ ปาฏิหารย์จะเกิดขึ้นเสมอ

แฟนพี่ซึ่งเป็นชาวพุทธปกติไม่ค่อยสนใจเรื่องศาสนานัก หลังๆนี่ก็ว่าจะมาเรียนคำสอนด้วยเหมือนกัน แถมว่าที่พ่อตายังเชียร์ลูกสาวให้ไปเข้าคาทอลิกอีกตะหาก ทั้งที่ตัวเองก็ยังเป็นพุทธ เมื่อก่อนแม่พี่ก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับแฟนพี่เท่าไหร่ จู่ๆก็เกิดไฟเขียวขึ้นมา เหมือนกับพระจิตเจ้าทรงดลใจ
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ต.ค. 09, 2009 7:06 am

"ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้  เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า  สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง" (ฮีบรู 11:1) อ่านฮีบรูบทที่ 11 ทั้งบทฮะ

การอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ และเจาะจงเรื่องนั้นๆ พระเจ้าทรงตอบคำภาวนาเสมอครับ

"ถ้าเจ้าเชื่อจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า" อ่านในหนังสือ (นักบุญ)ยอห์น บทที่ 11 จะเห็นการอัศจรรย์มากมายเพราะความเชื่อ : emo010 :
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

ศุกร์ ต.ค. 09, 2009 2:11 pm

sansrepos เขียน: พี่ก็ไปวัดเซนต์จอห์นบ่อยเหมือนกันครับ เพราะใกล้บ้านที่สุด เป็นสัตบุรุษรุ่นวัดน้อย สมัยวัดหลังปัจจุบันยังไม่สร้าง แต่ช่วง 6 ปีกว่าๆมานี้ทำงานต่างจังหวัดก็เลยเข้าวัดตามพื้นที่ๆที่สะดวก


พี่ว่าถ้าเรารักและศรัทธาพระจริง พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งเราหรอกครับ ปาฏิหารย์จะเกิดขึ้นเสมอ

แฟนพี่ซึ่งเป็นชาวพุทธปกติไม่ค่อยสนใจเรื่องศาสนานัก หลังๆนี่ก็ว่าจะมาเรียนคำสอนด้วยเหมือนกัน แถมว่าที่พ่อตายังเชียร์ลูกสาวให้ไปเข้าคาทอลิกอีกตะหาก ทั้งที่ตัวเองก็ยังเป็นพุทธ เมื่อก่อนแม่พี่ก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับแฟนพี่เท่าไหร่ จู่ๆก็เกิดไฟเขียวขึ้นมา เหมือนกับพระจิตเจ้าทรงดลใจ
ปัจจุบันแฟนพี่เรียนคำสอนที่เซนต์จอห์นรึเปล่าครับ
Jeab Agape เขียน: "ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้  เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า  สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง" (ฮีบรู 11:1) อ่านฮีบรูบทที่ 11 ทั้งบทฮะ

การอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ และเจาะจงเรื่องนั้นๆ พระเจ้าทรงตอบคำภาวนาเสมอครับ

"ถ้าเจ้าเชื่อจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า" อ่านในหนังสือ (นักบุญ)ยอห์น บทที่ 11 จะเห็นการอัศจรรย์มากมายเพราะความเชื่อ : emo010 :
ขอบคุณพี่Jeab Agapeครับ ::022::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ ต.ค. 09, 2009 10:44 pm

รอคอยเวลาที่เหมาะสมค่ะน้องมาร์ค  : emo045 :

พระอวยพรนะคะ  : emo033 :

ปล.  5 ตค ฉลองบุญราศีซีลอส และนักบุญโฟสตินาค่ะ  : xemo026 :
sansrepos
โพสต์: 460
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 04, 2005 6:23 pm

เสาร์ ต.ค. 10, 2009 10:49 am

ปัจจุบันแฟนพี่เรียนคำสอนที่เซนต์จอห์นรึเปล่าครับ

ไม่ได้เรียนที่เซนต์จอห์นครับ เพราะว่าอยู่ต่างจังหวัด ว่าจะให้เรียนใกล้ๆบ้านเธอ หรือไม่ถ้าแต่งแล้ว อาจจะให้มาเรียนที่ทำงานพี่ครับ (พี่อยู่รพ.คาทอลิก St Mary โคราช)
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

เสาร์ ต.ค. 10, 2009 3:35 pm

Buddy เขียน: รอคอยเวลาที่เหมาะสมค่ะน้องมาร์ค  : emo045 :

พระอวยพรนะคะ  : emo033 :

ปล.  5 ตค ฉลองบุญราศีซีลอส และนักบุญโฟสตินาค่ะ  : xemo026 :
หายไปนานเลยนะครับพี่ส้ม : xemo016 :
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 15, 2009 4:35 pm

เมื่อวานนี้เองครับตอนที่ผมไปเรียนพิเศษในตอน7.30น.และก็กลับมาถึงบ้านประมาณ10.30น.ครับ พอผมกลับมาบ้านแม่ผมก็โทรมาหาผมเลย แม่ถามผมว่ากลับมานานหรือยัง ทำอะไรอยู่ ผมก็บอกไปว่าพึ่งกลับมาเมื่อกี้นี้เอง แล้วแม่ก็วางสายไป มันเป็นอะไรที่แปลกมากปกติแม่ไม่เคยโทรมาเวลานี้ ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ปรมาณสัก11โมงผมขึ้นไปที่ห้องของผม ไปที่ชั้นหนังสือเพื่อท่จะอ่านประวิตินักบุญ สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากก็คือ หนังสือเสริมศรัทธาพระคัมภีร์ทั้งหมดที่ผมมีหายไปหมดเลย รวมทั้งกล่องที่ผมใส่รูปปั้นแม่พระ ไม้กางเขน น้ำเสก น้ำจากลูร์ดหายไปเช่นกัน ผมตกใจมาก ตอนนั้นรู้สึกช็อกเลย แล้วก็ร้องไห้อย่างหนักเลยด้วย ทุกคนคงจะเข้าใจนะครับว่ามันรู้สึกยังไง สมมุติว่าคุณกลับมาในบ้านของคุณแล้วพบว่าของทุกชิ้นในบ้านนั้นถูกขโมยไปหมดเลย ผมโทรไปหาแม่ ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่พูดอะไรก็ไม่รู้กับผม ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสติ พูดหรือทำอะไรไม่ถูก แต่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองโกรธมากๆจนไปด่าแม่ว่า "แม่ทำอะไรลงไป! แม่ทำอย่างนี้ทำไม แม่รู้จักนรกมั้ย" แม่บอกว่าแม่จะกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ ผมร้องไห้อย่างเดียวเลย ในใจรู้สึกแต่ความคับแค้นใจและเจ็บใจ

เมื่อพ่อกับแม่กลับมาถึงบ้าน ทั้ง2คนระเบิดใส่ผมใหญ่เลย พ่อพูดแบบว่าจะตัดพ่อตัดลูกกันเลย รู้สึกว่าเถียงกันแรงมากเลย พอผมได้สติผมก็ไปขอโทษพ่อกับแม่ ช่วงนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย รู้สึกอย่างเดียวว่าหมดแรงและปวดหัว แม่บอกผมให้ไปกินยาแล้วไปนอน ผมก็ทานยาแล้วก็หลับไปเลย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอน6โมงครึ่ง แม่กลับมาพอดีเลย แม่ก็เข้ามาหาผม ถามผมว่ารู้สึกยังไงบ้าง กินข้าวหรือยัง แล้วแม่ก็ออกไปซื้อของข้างนอก ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าพ่อเอาของไปไว้ไหน แต่ที่แน่ๆพ่อบอกว่าไม่ได้เอาไปทิ้งแน่นอน ผมไม่รู้เลยว่าพ่อคิดยังไงถึงอยู่ดีๆมาทำอะไรแบบนี้



ผมรู้สึกผิดมากที่ว่าแม่แรงๆอย่างนั้น เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนวันนี้ผมไปถามแม่บ้านว่าตอนที่ผมไม่อยู่นั้นเกิดอะไรขึ้น แม่บ้านบอกผมว่า พ่อผมเขาโมโหเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องผมไปเอาหนังสือและของต่างๆไปหมด ยกเว้นสายประคำกับบทภาวนา ซึ่งสองสิ่งนี้พ่อจงใจทิ้งไว้ให้ผมเท่านั้น พ่อกับแม่ผมรู้แล้วว่าผมไปวัดเซนต์จอห์นมา เพราะว่าเขารู้จากขวดน้ำเสก ตอนนี้ทั้งสองยังไม่พูดอะไรกับผมมาก ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผมต่อไป

ช่วยภาวนาให้ผมหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมหมดกำลังใจมาก เรียนพิเศษไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เพราะเรื่องนี้มันเข้ามาในหัวผมตลอด
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 15, 2009 5:52 pm

สวดภาวนาเยอะๆ นะคะ เอาใจช่วยค่ะ : xemo026 :

พระยังอยู่รอบๆ น้องเสมอค่ะ : xemo026 : : emo027 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. ต.ค. 15, 2009 6:32 pm

อ่านแล้วปี๊ดแทน เหอๆ
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พฤหัสฯ. ต.ค. 15, 2009 7:39 pm

Holy Bible เขียน: เมื่อวานนี้เองครับตอนที่ผมไปเรียนพิเศษในตอน7.30น.และก็กลับมาถึงบ้านประมาณ10.30น.ครับ พอผมกลับมาบ้านแม่ผมก็โทรมาหาผมเลย แม่ถามผมว่ากลับมานานหรือยัง ทำอะไรอยู่ ผมก็บอกไปว่าพึ่งกลับมาเมื่อกี้นี้เอง แล้วแม่ก็วางสายไป มันเป็นอะไรที่แปลกมากปกติแม่ไม่เคยโทรมาเวลานี้ ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ปรมาณสัก11โมงผมขึ้นไปที่ห้องของผม ไปที่ชั้นหนังสือเพื่อท่จะอ่านประวิตินักบุญ สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากก็คือ หนังสือเสริมศรัทธาพระคัมภีร์ทั้งหมดที่ผมมีหายไปหมดเลย รวมทั้งกล่องที่ผมใส่รูปปั้นแม่พระ ไม้กางเขน น้ำเสก น้ำจากลูร์ดหายไปเช่นกัน ผมตกใจมาก ตอนนั้นรู้สึกช็อกเลย แล้วก็ร้องไห้อย่างหนักเลยด้วย ทุกคนคงจะเข้าใจนะครับว่ามันรู้สึกยังไง สมมุติว่าคุณกลับมาในบ้านของคุณแล้วพบว่าของทุกชิ้นในบ้านนั้นถูกขโมยไปหมดเลย ผมโทรไปหาแม่ ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่พูดอะไรก็ไม่รู้กับผม ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสติ พูดหรือทำอะไรไม่ถูก แต่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองโกรธมากๆจนไปด่าแม่ว่า "แม่ทำอะไรลงไป! แม่ทำอย่างนี้ทำไม แม่รู้จักนรกมั้ย" แม่บอกว่าแม่จะกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ ผมร้องไห้อย่างเดียวเลย ในใจรู้สึกแต่ความคับแค้นใจและเจ็บใจ

เมื่อพ่อกับแม่กลับมาถึงบ้าน ทั้ง2คนระเบิดใส่ผมใหญ่เลย พ่อพูดแบบว่าจะตัดพ่อตัดลูกกันเลย รู้สึกว่าเถียงกันแรงมากเลย พอผมได้สติผมก็ไปขอโทษพ่อกับแม่ ช่วงนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย รู้สึกอย่างเดียวว่าหมดแรงและปวดหัว แม่บอกผมให้ไปกินยาแล้วไปนอน ผมก็ทานยาแล้วก็หลับไปเลย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอน6โมงครึ่ง แม่กลับมาพอดีเลย แม่ก็เข้ามาหาผม ถามผมว่ารู้สึกยังไงบ้าง กินข้าวหรือยัง แล้วแม่ก็ออกไปซื้อของข้างนอก ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าพ่อเอาของไปไว้ไหน แต่ที่แน่ๆพ่อบอกว่าไม่ได้เอาไปทิ้งแน่นอน ผมไม่รู้เลยว่าพ่อคิดยังไงถึงอยู่ดีๆมาทำอะไรแบบนี้



ผมรู้สึกผิดมากที่ว่าแม่แรงๆอย่างนั้น เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนวันนี้ผมไปถามแม่บ้านว่าตอนที่ผมไม่อยู่นั้นเกิดอะไรขึ้น แม่บ้านบอกผมว่า พ่อผมเขาโมโหเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องผมไปเอาหนังสือและของต่างๆไปหมด ยกเว้นสายประคำกับบทภาวนา ซึ่งสองสิ่งนี้พ่อจงใจทิ้งไว้ให้ผมเท่านั้น พ่อกับแม่ผมรู้แล้วว่าผมไปวัดเซนต์จอห์นมา เพราะว่าเขารู้จากขวดน้ำเสก ตอนนี้ทั้งสองยังไม่พูดอะไรกับผมมาก ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผมต่อไป

ช่วยภาวนาให้ผมหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมหมดกำลังใจมาก เรียนพิเศษไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เพราะเรื่องนี้มันเข้ามาในหัวผมตลอด
เราจะรู้สึกเหมือนว่า พ่อกับแม่เรา ไม่เคารพในสิ่งที่เราเป็น ไม่ให้เกียรติเราด้วยใช่มั้ย ...

จะเล่าอะไรให้ฟังค่ะ มีพี่ในบอร์ดเราคนนึง ตอนนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาเท่าไหร่ เค้าแต่งงานกับสามีที่เป็นคาทอลิก แต่เค้าไม่ได้เปลี่ยนศาสนาตามสามี พาลูกไปล้างบาป ก็ไปแบบงั้นๆ และก็ทำทุกอย่างเพื่อขวางลูกไม่ให้สวดภาวนา ไม่ให้อ่านพระคัมภีร์ พยายามซื้อหนังสือพุทธให้ลูกอ่านเยอะๆ ลูกไม่ว่าอะไร เงียบๆไป แต่ในความเงียบนั้น ลูกสวดภาวนา ขอให้แม่ได้กลับใจ  : xemo017 :

และวันนี้ พี่คนนี้เป็นคาทอลิกค่ะ  : emo045 :  เป็นคาทอลิกที่ศรัทธามากด้วย และจากที่ครอบครัวต่างคนต่างนับถือ ก็กลายเป็นมาสวดสายประคำร่วมกัน เป็นครอบครัวคาทอลิกที่อบอุ่น  : emo027 :

และพี่คนนี้ก็รู้สึกผิดมากๆ ที่ทำแบบนั้นกับลูกชายตัวเอง พี่เค้าก็ขอโทษลูก แต่ลูกก็บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ ผมสวดให้แม่มาตลอด" ขอพระเป็นเจ้าให้แม่มาเป็นคาทอลิก เพราะกลัวแม่จะไม่พบความรอด ไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่ได้เห็นพระเป็นเจ้า  : emo027 :

ขอให้อดทน สวดภาวนานะคะ ไม่ใช่เพื่อตัวเองจะได้ไม่มีอุปสรรค แต่เพื่อให้ครอบครัวเราได้มีความรอด ได้พบพระเป็นเจ้า และพี่เชื่ออย่างนึงนะคะว่า น้องเจอกางเขนหนักแบบนี้ พระพรที่รออยู่จะมากด้วย ขอให้อดทนนะคะ  และพี่เชื่อว่า พระจะทำงานผ่านน้องมาร์ก ไปยังทุกคนในครอบครัวค่ะ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ สวดให้ท่านเยอะๆค่ะ แต่อย่าสวดเพื่อตัวเอง ให้สวดเพื่อความรอดของท่านนะคะ เหมือนที่ลูกชายของพี่คนนั้น สวดให้แม่เค้า จนแม่เค้าได้ล้างบาปเมื่อน้องอายุ 8 ปีพอดี ซึ่งเป็นอายุที่ต้องไปเรียนคำสอนเพื่อรับศีลมหาสนิท (ไม่งั้นแม่ก็ไม่ยอมพาไปเรียนคำสอนซักที) ตอนนี้คุณแม่ ไม่ได้แต่จะพาไปเรียนคำสอนนะคะ แต่ยังเป็นคนฝึกเด็กที่วัดให้เป็นเด็กช่วยมิสซา และสอนให้ลูกชายเป็นเด็กช่วยมิสซาอย่างดีด้วยค่ะ  : emo045 :

พระอวยพรนะคะ  : emo045 :

PS น้องมาร์คยังเหลือสายประคำกับบทสวดนะคะ  : emo045 :
ตอบกลับโพส