รวมกระทู้น้องsinner
ความรักพระเจ้าในขณะสวดภาวนา ซึ่งจะทำให้เรามีความสำนึกรู้สึกถึงการประทับของพระเจ้า
พระองค์ประทับอยู่กับเรา และทรงอยู่เพื่อเราในขณะที่เราสวดภาวนา และเราจะต้องอยู่กับพระองค์
และอยู่เพื่อพระองค์เท่านั้น การภาวนาจึงไม่เป็นเพียง สวดตามแบบฟอร์ม เป็นแบบกลจักรขาดความรู้สึกนึกคิด
หรือภาวนาออกไปในลักษณะของความเคยชิน ไม่รู้ว่าตนกล่าวอะไรออกไป
แต่จะต้องออกมาจากริมฝีปาก และจากดวงใจของเราจริงๆ
จากหนังสือ ภาวนาด้วยคุณค่าและความหมาย
บาทหลวงวงศ์สวัสดิ์ แก้วเสนีย์
พระองค์ประทับอยู่กับเรา และทรงอยู่เพื่อเราในขณะที่เราสวดภาวนา และเราจะต้องอยู่กับพระองค์
และอยู่เพื่อพระองค์เท่านั้น การภาวนาจึงไม่เป็นเพียง สวดตามแบบฟอร์ม เป็นแบบกลจักรขาดความรู้สึกนึกคิด
หรือภาวนาออกไปในลักษณะของความเคยชิน ไม่รู้ว่าตนกล่าวอะไรออกไป
แต่จะต้องออกมาจากริมฝีปาก และจากดวงใจของเราจริงๆ
จากหนังสือ ภาวนาด้วยคุณค่าและความหมาย
บาทหลวงวงศ์สวัสดิ์ แก้วเสนีย์
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ก.พ. 06, 2010 11:53 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- إن الدين عندالله
- โพสต์: 51
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 30, 2009 8:34 pm
- ที่อยู่: สุไหปาดี นราธิวาส
ขอบคุณครับ
จากหนังสือ ภาวนาด้วยคุณค่าและความหมาย จ้าViridian เขียน:ชื่อหนังสือว่าอะไรหรอคะ แล้วที่วัดอัสสัมชัญมีขายไหมคะsinner เขียน: ช่วยอุดหนุนได้นะจ๊ะ โครงการหนังสือเทววิทยา ของวิทยาลัยแสงธรรม เล่มละ 60 เองจ้า ::031::
ซื้อตอนงานหนังสืออ่ะค่ะ ที่อัสสัมน่าจะมีนะคะ ถ้าไม่มีก็ฝากครูเจี๊ยบซื้อแสงธรรมก็ได้นิ
ขอบคุณค้าบบบบบบบบบบsinner เขียน:จากหนังสือ ภาวนาด้วยคุณค่าและความหมาย จ้าViridian เขียน:ชื่อหนังสือว่าอะไรหรอคะ แล้วที่วัดอัสสัมชัญมีขายไหมคะsinner เขียน: ช่วยอุดหนุนได้นะจ๊ะ โครงการหนังสือเทววิทยา ของวิทยาลัยแสงธรรม เล่มละ 60 เองจ้า
ซื้อตอนงานหนังสืออ่ะค่ะ ที่อัสสัมน่าจะมีนะคะ ถ้าไม่มีก็ฝากครูเจี๊ยบซื้อแสงธรรมก็ได้นิ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
คิดว่า คงมีผู้รู้มาให้ข้อมูลดีดีแน่ๆ แต่เข้ามาตอบสั้นๆก่อนแล้วกันว่า
สภาสังคายนาในราวปี 400 สภานี้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4)
พูดถึงเรื่อง Monophysitism ของพระเจ้าครับ
สภาสังคายนาในราวปี 400 สภานี้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4)
พูดถึงเรื่อง Monophysitism ของพระเจ้าครับ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
ภาษาไทย ถ้าเป็นหนังสือขายตามท้องตลาดที่บอกรายละเอียดเยอะๆ ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีหรือไม่sinner เขียน: ขอบคุณค่ะคุณ Man of Macedonia
สงสัยต้องหาข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษแทนค่ะ ภาษาไทยคงจะไม่มีแปลแน่ๆ ค่ะ
แต่โดยสรุป สังคายนาที่ว่า เป็นการสังคายนาอันเนื่องมาจาก "ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับพระเทวภาพพระเยซูคริสตเจ้า"
เริ่มจากคำถามทางเทววิทยาที่ว่า"พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียวคือเป็นพระเจ้าแท้หรือสองสภาวะคือเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์?"
เช่น ในซีเรียเกิดกลุ่มเนสโตเรียน(Nestorian Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสองสภาวะแยกขาดจากกัน
หรือในอียิปต์เกิดกลุ่มโมโนฟีไซท์(Monophysite Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียว
(อย่างคาทอลิกเราเวลาทำมหากางเขน จะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่านั่นคือ การยอมรับเรื่องสองสภาวะของพระเจ้า)
อย่างการประกาศยืนยันความเชื่อของคาทอลิก(Credo) (พิจารณาพระวรสารนักบุญยอห์น ยอห์น 10:37-38)
ข้อว่า "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา" นั่นหมายถึง
- ทรงมีพระธรรมชาติเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์ และทรงมีพระธรรมชาติดำรงอยู่ในสภาวะทั้ง 2 โดยบริบูรณ์
- พระธรรมชาติของพระองค์นี้ จัดเป็นธรรมล้ำลึกที่เรียกว่า "Hypostatic Union"(เทียบ สังคายนา เมืองเอเฟซัส) ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
ที่จริง ศาสนจักร coptic orthodox ของท่านนักบุญ มาระโก ไม่ยอมรับเรื่ิอง นี้ โดยเชื่อว่า เป็นพระเจ้า แท้ 100 เปอร์เซ็นMan of Macedonia เขียน:ภาษาไทย ถ้าเป็นหนังสือขายตามท้องตลาดที่บอกรายละเอียดเยอะๆ ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีหรือไม่sinner เขียน: ขอบคุณค่ะคุณ Man of Macedonia
สงสัยต้องหาข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษแทนค่ะ ภาษาไทยคงจะไม่มีแปลแน่ๆ ค่ะ
แต่โดยสรุป สังคายนาที่ว่า เป็นการสังคายนาอันเนื่องมาจาก "ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับพระเทวภาพพระเยซูคริสตเจ้า"
เริ่มจากคำถามทางเทววิทยาที่ว่า"พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียวคือเป็นพระเจ้าแท้หรือสองสภาวะคือเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์?"
เช่น ในซีเรียเกิดกลุ่มเนสโตเรียน(Nestorian Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสองสภาวะแยกขาดจากกัน
หรือในอียิปต์เกิดกลุ่มโมโนฟีไซท์(Monophysite Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียว
(อย่างคาทอลิกเราเวลาทำมหากางเขน จะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่านั่นคือ การยอมรับเรื่องสองสภาวะของพระเจ้า)
อย่างการประกาศยืนยันความเชื่อของคาทอลิก(Credo) (พิจารณาพระวรสารนักบุญยอห์น ยอห์น 10:37-38)
ข้อว่า "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา" นั่นหมายถึง
- ทรงมีพระธรรมชาติเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์ และทรงมีพระธรรมชาติดำรงอยู่ในสภาวะทั้ง 2 โดยบริบูรณ์
- พระธรรมชาติของพระองค์นี้ จัดเป็นธรรมล้ำลึกที่เรียกว่า "Hypostatic Union"(เทียบ สังคายนา เมืองเอเฟซัส) ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
นั่นไง เรารอผู้รู้โดยตรงมาช่วยเสริมอยู่พอดีjacky เขียน:ที่จริง ศาสนจักร coptic orthodox ของท่านนักบุญ มาระโก ไม่ยอมรับเรื่ิอง นี้ โดยเชื่อว่า เป็นพระเจ้า แท้ 100 เปอร์เซ็นMan of Macedonia เขียน:ภาษาไทย ถ้าเป็นหนังสือขายตามท้องตลาดที่บอกรายละเอียดเยอะๆ ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีหรือไม่sinner เขียน: ขอบคุณค่ะคุณ Man of Macedonia : emo045 :
สงสัยต้องหาข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษแทนค่ะ ภาษาไทยคงจะไม่มีแปลแน่ๆ ค่ะ
แต่โดยสรุป สังคายนาที่ว่า เป็นการสังคายนาอันเนื่องมาจาก "ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับพระเทวภาพพระเยซูคริสตเจ้า"
เริ่มจากคำถามทางเทววิทยาที่ว่า"พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียวคือเป็นพระเจ้าแท้หรือสองสภาวะคือเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์?"
เช่น ในซีเรียเกิดกลุ่มเนสโตเรียน(Nestorian Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสองสภาวะแยกขาดจากกัน
หรือในอียิปต์เกิดกลุ่มโมโนฟีไซท์(Monophysite Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียว
(อย่างคาทอลิกเราเวลาทำมหากางเขน จะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่านั่นคือ การยอมรับเรื่องสองสภาวะของพระเจ้า)
อย่างการประกาศยืนยันความเชื่อของคาทอลิก(Credo) (พิจารณาพระวรสารนักบุญยอห์น ยอห์น 10:37-38)
ข้อว่า "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา" นั่นหมายถึง
- ทรงมีพระธรรมชาติเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์ และทรงมีพระธรรมชาติดำรงอยู่ในสภาวะทั้ง 2 โดยบริบูรณ์
- พระธรรมชาติของพระองค์นี้ จัดเป็นธรรมล้ำลึกที่เรียกว่า "Hypostatic Union"(เทียบ สังคายนา เมืองเอเฟซัส) ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
ไม่รู้ทั้งหมด ค่ะ แค่นิดๆ หน่อยๆ เอง แต่อยาก ทราบมากว่านี้ รอดูอยู่Man of Macedonia เขียน:นั่นไง เรารอผู้รู้โดยตรงมาช่วยเสริมอยู่พอดีjacky เขียน:ที่จริง ศาสนจักร coptic orthodox ของท่านนักบุญ มาระโก ไม่ยอมรับเรื่ิอง นี้ โดยเชื่อว่า เป็นพระเจ้า แท้ 100 เปอร์เซ็นMan of Macedonia เขียน: ภาษาไทย ถ้าเป็นหนังสือขายตามท้องตลาดที่บอกรายละเอียดเยอะๆ ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีหรือไม่
แต่โดยสรุป สังคายนาที่ว่า เป็นการสังคายนาอันเนื่องมาจาก "ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับพระเทวภาพพระเยซูคริสตเจ้า"
เริ่มจากคำถามทางเทววิทยาที่ว่า"พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียวคือเป็นพระเจ้าแท้หรือสองสภาวะคือเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์?"
เช่น ในซีเรียเกิดกลุ่มเนสโตเรียน(Nestorian Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสองสภาวะแยกขาดจากกัน
หรือในอียิปต์เกิดกลุ่มโมโนฟีไซท์(Monophysite Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียว
(อย่างคาทอลิกเราเวลาทำมหากางเขน จะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่านั่นคือ การยอมรับเรื่องสองสภาวะของพระเจ้า)
อย่างการประกาศยืนยันความเชื่อของคาทอลิก(Credo) (พิจารณาพระวรสารนักบุญยอห์น ยอห์น 10:37-38)
ข้อว่า "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา" นั่นหมายถึง
- ทรงมีพระธรรมชาติเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์ และทรงมีพระธรรมชาติดำรงอยู่ในสภาวะทั้ง 2 โดยบริบูรณ์
- พระธรรมชาติของพระองค์นี้ จัดเป็นธรรมล้ำลึกที่เรียกว่า "Hypostatic Union"(เทียบ สังคายนา เมืองเอเฟซัส) ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
รอด้วยล่ะกัน,jacky เขียน:ไม่รู้ทั้งหมด ค่ะ แค่นิดๆ หน่อยๆ เอง แต่อยาก ทราบมากว่านี้ รอดูอยู่Man of Macedonia เขียน:นั่นไง เรารอผู้รู้โดยตรงมาช่วยเสริมอยู่พอดีjacky เขียน: ที่จริง ศาสนจักร coptic orthodox ของท่านนักบุญ มาระโก ไม่ยอมรับเรื่ิอง นี้ โดยเชื่อว่า เป็นพระเจ้า แท้ 100 เปอร์เซ็น
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ถ้าพี่หน่อยสนใจข้อมูลแบบเต็มๆ ตั้งแต่เริ่มต้นของคริสตจักรจนถึงปัจจุบันลองดูหนังสือประวัติศาสตร์คริสตจักรสากล
ของ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์ มีทั้งหมด 4 เล่ม แต่ละเล่มนี่หนาปึ๊ก อ่านกันตาแฉะเลยค่ะ
ของ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์ มีทั้งหมด 4 เล่ม แต่ละเล่มนี่หนาปึ๊ก อ่านกันตาแฉะเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ อืม น่าสนใจค่ะ แล้วหนังสือที่ว่า ไปหาที่ไหนได้ค่ะ คุณเกรซDeo Gratias เขียน: ถ้าพี่หน่อยสนใจข้อมูลแบบเต็มๆ ตั้งแต่เริ่มต้นของคริสตจักรจนถึงปัจจุบันลองดูหนังสือประวัติศาสตร์คริสตจักรสากล
ของ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์ มีทั้งหมด 4 เล่ม แต่ละเล่มนี่หนาปึ๊ก อ่านกันตาแฉะเลยค่ะ
บอกแล้วว่าอย่าเพิงเข้าใจพระศษสนจักรคอปติกผิด = =jacky เขียน:ที่จริง ศาสนจักร coptic orthodox ของท่านนักบุญ มาระโก ไม่ยอมรับเรื่ิอง นี้ โดยเชื่อว่า เป็นพระเจ้า แท้ 100 เปอร์เซ็นMan of Macedonia เขียน:ภาษาไทย ถ้าเป็นหนังสือขายตามท้องตลาดที่บอกรายละเอียดเยอะๆ ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีหรือไม่sinner เขียน: ขอบคุณค่ะคุณ Man of Macedonia
สงสัยต้องหาข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษแทนค่ะ ภาษาไทยคงจะไม่มีแปลแน่ๆ ค่ะ
แต่โดยสรุป สังคายนาที่ว่า เป็นการสังคายนาอันเนื่องมาจาก "ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับพระเทวภาพพระเยซูคริสตเจ้า"
เริ่มจากคำถามทางเทววิทยาที่ว่า"พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียวคือเป็นพระเจ้าแท้หรือสองสภาวะคือเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์?"
เช่น ในซีเรียเกิดกลุ่มเนสโตเรียน(Nestorian Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสองสภาวะแยกขาดจากกัน
หรือในอียิปต์เกิดกลุ่มโมโนฟีไซท์(Monophysite Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียว
(อย่างคาทอลิกเราเวลาทำมหากางเขน จะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่านั่นคือ การยอมรับเรื่องสองสภาวะของพระเจ้า)
อย่างการประกาศยืนยันความเชื่อของคาทอลิก(Credo) (พิจารณาพระวรสารนักบุญยอห์น ยอห์น 10:37-38)
ข้อว่า "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา" นั่นหมายถึง
- ทรงมีพระธรรมชาติเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์ และทรงมีพระธรรมชาติดำรงอยู่ในสภาวะทั้ง 2 โดยบริบูรณ์
- พระธรรมชาติของพระองค์นี้ จัดเป็นธรรมล้ำลึกที่เรียกว่า "Hypostatic Union"(เทียบ สังคายนา เมืองเอเฟซัส) ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
เคยอธิบายไปแล้วในกระทู้"ข้อแตกต่างระหว่างคาทอลิกและออร์โธด๊อกซ์" ขอมาอธิบายซ้ำ
มีสิ่งหนึ่งที่พระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์เคยสอนต่างจากพระศาสจักรอื่นๆ
(หรืออาจไม่เคยสอนต่างกันเลย แต่คำอธิบายไม่เคลียร์ในสมัยที่การติดต่อลำบากเท่านั้น)
เรื่องพระธรรมชาติพระเยซูคริสต์
พระศาสนจักรอื่นๆ>มี2พระธรรมชาติ ในธรรมชาติเดียว คือพระธรรมชาติพระเจ้า และพระธรรมชาติมนุษย์
พระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์>>มีเพียงพระธรรมชาติเดียว พระเจ้าและมนุษย์
คำอธิบายเปรียบเทียบ
พระศาสนจักรอื่นๆ>ประดุจก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
CO2 ประกอบด้วธาตุก๊าซคาร์บอน(ประดุจมนุษย์ที่มีการตาย) และธาตุอ๊อกซิเจน(ประดุจพระเจ้าทรงชีวิต)
เกิดจากการรวมกันของ2ธาตุ
พระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์>ประดุจถือว่าCO2 เป็นธาตุๆหนึ่งเลย ไม่ได้มาจากการรวมกันใดใด
---------
ข้อเน้นย้ำครับ แนวคิดของพระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์เรื่องธรรมชาติพระคริสต์คือ
มีธรรมชาติเดียว คือ พระเจ้าแท้มนุษย์แท้ เพราะสถานะพระเจ้าและมนุษย์แท้นี้จะไม่แยกจากกัน ไม่ว่าเวลาไหน
ศาสนศาสตร์คอปติกออร์โธด๊อกซ์ เรื่องพระธรรมชาตของพระคริสต์
1.พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษยแท้(100%)
2.ไม่มีเวลาไหนที่พระองค์เป็นเพียงพระเจ้า หรือมนุษย์
3.ดังนั้นสภาวะนั้นจึงเป็นสภาวะเดียว เหตุว่ามิได้มาจากการรวมกัน และแยกจากการมิได้
4.หากพระองค์ไม่มีความเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีการไถบาป ซึ่งเราไม่ยอมรับเหตุนั้น
5.ดังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่กล่าวว่าเราเชื่อว่า"มีพระธรรมชาติพระเจ้าอย่างเดียว"
6.เพราะเรายอมรับพระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีพระธรรมชาติมนุษย์ด้วยอย่างแท้จริง
7.แต่เราเพียงถือพระธรรมชาตินั้นว่า "เป็นพระเจ้าและมนุษย์ แท้จริง"
ดังนั้น กรุณาอ่านละเอียดๆด้วยครับ หากเป็นเรื่องศาสนศาสตร์
เพราะอ่านแค่หัวข้อไม่อ่านคำอธิบาย ก็เหมือนกับไม่ได้อ่านเลย
1.พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษยแท้(100%)
2.ไม่มีเวลาไหนที่พระองค์เป็นเพียงพระเจ้า หรือมนุษย์
3.ดังนั้นสภาวะนั้นจึงเป็นสภาวะเดียว เหตุว่ามิได้มาจากการรวมกัน และแยกจากการมิได้
4.หากพระองค์ไม่มีความเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีการไถบาป ซึ่งเราไม่ยอมรับเหตุนั้น
5.ดังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่กล่าวว่าเราเชื่อว่า"มีพระธรรมชาติพระเจ้าอย่างเดียว"
6.เพราะเรายอมรับพระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีพระธรรมชาติมนุษย์ด้วยอย่างแท้จริง
7.แต่เราเพียงถือพระธรรมชาตินั้นว่า "เป็นพระเจ้าและมนุษย์ แท้จริง"
ดังนั้น กรุณาอ่านละเอียดๆด้วยครับ หากเป็นเรื่องศาสนศาสตร์
เพราะอ่านแค่หัวข้อไม่อ่านคำอธิบาย ก็เหมือนกับไม่ได้อ่านเลย
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
Grey Cat =^. .^= เขียน:บอกแล้วว่าอย่าเพิงเข้าใจพระศษสนจักรคอปติกผิด = =jacky เขียน:ที่จริง ศาสนจักร coptic orthodox ของท่านนักบุญ มาระโก ไม่ยอมรับเรื่ิอง นี้ โดยเชื่อว่า เป็นพระเจ้า แท้ 100 เปอร์เซ็นMan of Macedonia เขียน: ภาษาไทย ถ้าเป็นหนังสือขายตามท้องตลาดที่บอกรายละเอียดเยอะๆ ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีหรือไม่
แต่โดยสรุป สังคายนาที่ว่า เป็นการสังคายนาอันเนื่องมาจาก "ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับพระเทวภาพพระเยซูคริสตเจ้า"
เริ่มจากคำถามทางเทววิทยาที่ว่า"พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียวคือเป็นพระเจ้าแท้หรือสองสภาวะคือเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์?"
เช่น ในซีเรียเกิดกลุ่มเนสโตเรียน(Nestorian Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสองสภาวะแยกขาดจากกัน
หรือในอียิปต์เกิดกลุ่มโมโนฟีไซท์(Monophysite Movement)ที่เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะเดียว
(อย่างคาทอลิกเราเวลาทำมหากางเขน จะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่านั่นคือ การยอมรับเรื่องสองสภาวะของพระเจ้า)
อย่างการประกาศยืนยันความเชื่อของคาทอลิก(Credo) (พิจารณาพระวรสารนักบุญยอห์น ยอห์น 10:37-38)
ข้อว่า "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา" นั่นหมายถึง
- ทรงมีพระธรรมชาติเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์ และทรงมีพระธรรมชาติดำรงอยู่ในสภาวะทั้ง 2 โดยบริบูรณ์
- พระธรรมชาติของพระองค์นี้ จัดเป็นธรรมล้ำลึกที่เรียกว่า "Hypostatic Union"(เทียบ สังคายนา เมืองเอเฟซัส) ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
เคยอธิบายไปแล้วในกระทู้"ข้อแตกต่างระหว่างคาทอลิกและออร์โธด๊อกซ์" ขอมาอธิบายซ้ำ
มีสิ่งหนึ่งที่พระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์เคยสอนต่างจากพระศาสจักรอื่นๆ
(หรืออาจไม่เคยสอนต่างกันเลย แต่คำอธิบายไม่เคลียร์ในสมัยที่การติดต่อลำบากเท่านั้น)
เรื่องพระธรรมชาติพระเยซูคริสต์
พระศาสนจักรอื่นๆ>มี2พระธรรมชาติ ในธรรมชาติเดียว คือพระธรรมชาติพระเจ้า และพระธรรมชาติมนุษย์
พระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์>>มีเพียงพระธรรมชาติเดียว พระเจ้าและมนุษย์
คำอธิบายเปรียบเทียบ
พระศาสนจักรอื่นๆ>ประดุจก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
CO2 ประกอบด้วธาตุก๊าซคาร์บอน(ประดุจมนุษย์ที่มีการตาย) และธาตุอ๊อกซิเจน(ประดุจพระเจ้าทรงชีวิต)
เกิดจากการรวมกันของ2ธาตุ
พระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์>ประดุจถือว่าCO2 เป็นธาตุๆหนึ่งเลย ไม่ได้มาจากการรวมกันใดใด
---------
ข้อเน้นย้ำครับ แนวคิดของพระศาสนจักรคอปติกออร์โธด๊อกซ์เรื่องธรรมชาติพระคริสต์คือ
มีธรรมชาติเดียว คือ พระเจ้าแท้มนุษย์แท้ เพราะสถานะพระเจ้าและมนุษย์แท้นี้จะไม่แยกจากกัน ไม่ว่าเวลาไหน
จะเล่นคำๆ ไหนGrey Cat =^. .^= เขียน: ศาสนศาสตร์คอปติกออร์โธด๊อกซ์ เรื่องพระธรรมชาตของพระคริสต์
1.พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษยแท้(100%)
2.ไม่มีเวลาไหนที่พระองค์เป็นเพียงพระเจ้า หรือมนุษย์
3.ดังนั้นสภาวะนั้นจึงเป็นสภาวะเดียว เหตุว่ามิได้มาจากการรวมกัน และแยกจากการมิได้
4.หากพระองค์ไม่มีความเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีการไถบาป ซึ่งเราไม่ยอมรับเหตุนั้น
5.ดังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่กล่าวว่าเราเชื่อว่า"มีพระธรรมชาติพระเจ้าอย่างเดียว"
6.เพราะเรายอมรับพระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีพระธรรมชาติมนุษย์ด้วยอย่างแท้จริง
7.แต่เราเพียงถือพระธรรมชาตินั้นว่า "เป็นพระเจ้าและมนุษย์ แท้จริง"
ดังนั้น กรุณาอ่านละเอียดๆด้วยครับ หากเป็นเรื่องศาสนศาสตร์
เพราะอ่านแค่หัวข้อไม่อ่านคำอธิบาย ก็เหมือนกับไม่ได้อ่านเลย
สุดท้ายแล้ว ทั้ง 2 แบบ ก็เชื่อว่าเป็น CO2 ไม่ใช่หรอ?
และสำคัญที่ประเด็นคือ พระศาสนจักรอื่นๆที่ไม่ใช่คอปติก ก็เชื่อว่า พระเยซู เป็นพระเจ้าหนิ
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงสำแดงพระองค์ถึงความคิดอย่างพระเจ้าและสอนให้คิดอย่างพระเจ้าอยู่แล้ว โดยพระเยซูก็เป็นพระเจ้าเองด้วย
1 คร 1:20 คนมีปัญญาอยู่ที่ไหน บัณฑิตอยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้ามิได้ทรงกระทำปัญญาของโลกนี้ให้โฉดเขลาไปแล้วหรือ
2 ทธ 2:23 จงหลีกเลี่ยงจากปัญหาอันโง่เขลาและไม่เป็นสาระ ด้วยรู้แล้วว่าปัญหาเหล่านั้นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
(แต่ผมไม่ได้ยกมาเพื่อบอกว่า ใครทะเลาะวิวาทกัน หากแต่ยกมาเตือนสติกันถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ; หรือท่านคิดว่าเป็น?)
ผมก็ว่ามันไม่เป็นเรื่องMinistry Of Men เขียน: จะเล่นคำๆ ไหน
สุดท้ายแล้ว ทั้ง 2 แบบ ก็เชื่อว่าเป็น CO2 ไม่ใช่หรอ?
และสำคัญที่ประเด็นคือ พระศาสนจักรอื่นๆที่ไม่ใช่คอปติก ก็เชื่อว่า พระเยซู เป็นพระเจ้าหนิ
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงสำแดงพระองค์ถึงความคิดอย่างพระเจ้าและสอนให้คิดอย่างพระเจ้าอยู่แล้ว โดยพระเยซูก็เป็นพระเจ้าเองด้วย
1 คร 1:20 คนมีปัญญาอยู่ที่ไหน บัณฑิตอยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้ามิได้ทรงกระทำปัญญาของโลกนี้ให้โฉดเขลาไปแล้วหรือ
2 ทธ 2:23 จงหลีกเลี่ยงจากปัญหาอันโง่เขลาและไม่เป็นสาระ ด้วยรู้แล้วว่าปัญหาเหล่านั้นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
(แต่ผมไม่ได้ยกมาเพื่อบอกว่า ใครทะเลาะวิวาทกัน หากแต่ยกมาเตือนสติกันถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ; หรือท่านคิดว่าเป็น?)
แต่ที่ผมบอกไป เพื่อไม่ให้เข้าใจพี่น้องคอปติกออร์โธด๊อกซ์ผิด
(แม้แต่ออร์โธด๊อกซ์ด้วยกันเอง อย่างจารีตรัสเซีย,กรีก,ฯลฯ ก็เข้าใจผิด)
^^!
พูดถึงตอนแยกของเครือออร์เรียนทัล ออร์โธด๊อกซ์ นอกจากการอธิบายไม่ชัดของพระศาสนจักรใหญ่
และตอนแยกออกในปี451 มาคิดตอนนี้ก็น่าขำเพราะตอนนั้นใช้คำเรียกพระเยซูว่า"Logos"(พระวจนะ)
ฝ่ายคอปติก งงใหญ่เลยว่าคำว่าLogosเป็นคำตรัส จะมีกายมนุษย์ได้อย่างไร
จึงเข้าใจผิดยกใหญ่ และทำให้พระศาสนจักรใหญ่เข้าใจว่าพระศาสนจักรคอปติกไม่ยอมรับสภาวะมนุษย์ของพระคริสต์
และพระศาสนจักรเครือโอเรียนทัล ออร์โธด๊อกซ์ จึงขอแยกตัว เพราะสมัยนั้นซีเรียสเรื่องเทวศาสตร์มากๆ
จนได้มาปรับคงวามเข้าใจในศตวรรษหลังว่า
คอปติกยอมรับสภาวะมนุษย์ของพระเยซูคริสต์เจ้าเสมอ พร้อมทั้งยอมรับสภาวะพระเจ้าของพระคริสต์ด้วย ในพระธรรมชาติหนึ่งเดียว(เช่นเดียวกับพระตรีเอกภาพ 3ใน1เดียว)
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ม.ค. 11, 2010 3:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
เป็นหนังสือแปลของพระคริสตธรรมกรุงเทพฯ ค่ะ ถ้าซื้อก็คงต้องไปซื้อที่นั่นเลยsinner เขียน:ขอบคุณค่ะ อืม น่าสนใจค่ะ แล้วหนังสือที่ว่า ไปหาที่ไหนได้ค่ะ คุณเกรซDeo Gratias เขียน: ถ้าพี่หน่อยสนใจข้อมูลแบบเต็มๆ ตั้งแต่เริ่มต้นของคริสตจักรจนถึงปัจจุบันลองดูหนังสือประวัติศาสตร์คริสตจักรสากล
ของ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์ มีทั้งหมด 4 เล่ม แต่ละเล่มนี่หนาปึ๊ก อ่านกันตาแฉะเลยค่ะ
แต่ถ้ายืมอ่านก็ห้องสมุดสถาบันพระคริสตธรรมทุกแห่งมี (คิดว่าที่แสงธรรมก็น่าจะมี) ค่ะ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
มาแบ่งปันเรื่อง 2 ทิโมธี 2:23 เพิ่มเติม
ผมคิดว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และการทะเลาะเบาะแว้งที่ตามมา มันเนื่องมาจากความบกพร่องระหว่างกลุ่มผู้ไตร่ตรองนั่นเอง ที่ไม่ได้กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
ในประวัติศาสตร์ สภาสังคายนาหลายครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นถึง"การไตร่ตรองและแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมชาติของพระเจ้า"
แต่มันเป็นการแสดงความเห็นโดยพวกเราเอง มนุษย์ที่ยังมีข้อบกพร่อง อย่างเดียวที่มีคือน้ำใจใฝ่รู้"พระธรรมชาติของพระเจ้าและเทววิทยา"
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาสังคายนาเมืองเตร็นท์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพระสงฆ์
จนในขณะนั้น ในฝ่ายวิชาการ เกิดแรงเสียดทานอยู่มากในการแสดงความเห็นของนักเทววิทยาแต่ละคน
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ แต่เป็นเราเอง ที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และเรื่อง"พระธรรมชาตินี้"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการแยกออกของนิกาย
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ของความรอด แต่เป็นหน้าที่คริสตชน ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศึกษา
จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนนั่นจะทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของเราเอง ตามอัตภาพของเราและความถ่อมตน
ขอบคุณข้อเตือนใจ และขอบคุณความรู้เรื่อง คอปติกออร์โธดอกซ์
"ทำสิ่งเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่"
บุญราศี เทเรซา แห่งกัลกัตตา
ผมคิดว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และการทะเลาะเบาะแว้งที่ตามมา มันเนื่องมาจากความบกพร่องระหว่างกลุ่มผู้ไตร่ตรองนั่นเอง ที่ไม่ได้กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
ในประวัติศาสตร์ สภาสังคายนาหลายครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นถึง"การไตร่ตรองและแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมชาติของพระเจ้า"
แต่มันเป็นการแสดงความเห็นโดยพวกเราเอง มนุษย์ที่ยังมีข้อบกพร่อง อย่างเดียวที่มีคือน้ำใจใฝ่รู้"พระธรรมชาติของพระเจ้าและเทววิทยา"
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาสังคายนาเมืองเตร็นท์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพระสงฆ์
จนในขณะนั้น ในฝ่ายวิชาการ เกิดแรงเสียดทานอยู่มากในการแสดงความเห็นของนักเทววิทยาแต่ละคน
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ แต่เป็นเราเอง ที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และเรื่อง"พระธรรมชาตินี้"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการแยกออกของนิกาย
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ของความรอด แต่เป็นหน้าที่คริสตชน ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศึกษา
จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนนั่นจะทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของเราเอง ตามอัตภาพของเราและความถ่อมตน
ขอบคุณข้อเตือนใจ และขอบคุณความรู้เรื่อง คอปติกออร์โธดอกซ์
"ทำสิ่งเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่"
บุญราศี เทเรซา แห่งกัลกัตตา
ขอบคุณค่ะ คุณเหมียวเกรซDeo Gratias เขียน:เป็นหนังสือแปลของพระคริสตธรรมกรุงเทพฯ ค่ะ ถ้าซื้อก็คงต้องไปซื้อที่นั่นเลยsinner เขียน:ขอบคุณค่ะ อืม น่าสนใจค่ะ แล้วหนังสือที่ว่า ไปหาที่ไหนได้ค่ะ คุณเกรซDeo Gratias เขียน: ถ้าพี่หน่อยสนใจข้อมูลแบบเต็มๆ ตั้งแต่เริ่มต้นของคริสตจักรจนถึงปัจจุบันลองดูหนังสือประวัติศาสตร์คริสตจักรสากล
ของ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์ มีทั้งหมด 4 เล่ม แต่ละเล่มนี่หนาปึ๊ก อ่านกันตาแฉะเลยค่ะ
แต่ถ้ายืมอ่านก็ห้องสมุดสถาบันพระคริสตธรรมทุกแห่งมี (คิดว่าที่แสงธรรมก็น่าจะมี) ค่ะ : emo027 :
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ใช่ครับ ผมเห็นด้วย (และที่ยกมาก็พยายามจะบอกสิ่งนี้แหละครับ)Man of Macedonia เขียน: มาแบ่งปันเรื่อง 2 ทิโมธี 2:23 เพิ่มเติม
ผมคิดว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และการทะเลาะเบาะแว้งที่ตามมา มันเนื่องมาจากความบกพร่องระหว่างกลุ่มผู้ไตร่ตรองนั่นเอง ที่ไม่ได้กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
ในประวัติศาสตร์ สภาสังคายนาหลายครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นถึง"การไตร่ตรองและแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมชาติของพระเจ้า"
แต่มันเป็นการแสดงความเห็นโดยพวกเราเอง มนุษย์ที่ยังมีข้อบกพร่อง อย่างเดียวที่มีคือน้ำใจใฝ่รู้"พระธรรมชาติของพระเจ้าและเทววิทยา"
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาสังคายนาเมืองเตร็นท์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพระสงฆ์
จนในขณะนั้น ในฝ่ายวิชาการ เกิดแรงเสียดทานอยู่มากในการแสดงความเห็นของนักเทววิทยาแต่ละคน
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ แต่เป็นเราเอง ที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และเรื่อง"พระธรรมชาตินี้"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการแยกออกของนิกาย
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ของความรอด แต่เป็นหน้าที่คริสตชน ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศึกษา
จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนนั่นจะทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของเราเอง ตามอัตภาพของเราและความถ่อมตน
ขอบคุณข้อเตือนใจ และขอบคุณความรู้เรื่อง คอปติกออร์โธดอกซ์
"ทำสิ่งเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่"
บุญราศี เทเรซา แห่งกัลกัตตา
พระเจ้าไม่ได้ทำให้มีปัญหา แต่เป็นพวกเราด้วยกันที่ทำให้เป็นปัญหา
ขอพระปัญญาของพระเจ้าสถิตกับลูกๆของพระองค์ครับ เพื่อจะเข้าถึงน้ำพระทัยแท้จริงให้ได้มากที่สุด
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
Ministry Of Men เขียน:ใช่ครับ ผมเห็นด้วย (และที่ยกมาก็พยายามจะบอกสิ่งนี้แหละครับ)Man of Macedonia เขียน: มาแบ่งปันเรื่อง 2 ทิโมธี 2:23 เพิ่มเติม
ผมคิดว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และการทะเลาะเบาะแว้งที่ตามมา มันเนื่องมาจากความบกพร่องระหว่างกลุ่มผู้ไตร่ตรองนั่นเอง ที่ไม่ได้กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
ในประวัติศาสตร์ สภาสังคายนาหลายครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นถึง"การไตร่ตรองและแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมชาติของพระเจ้า"
แต่มันเป็นการแสดงความเห็นโดยพวกเราเอง มนุษย์ที่ยังมีข้อบกพร่อง อย่างเดียวที่มีคือน้ำใจใฝ่รู้"พระธรรมชาติของพระเจ้าและเทววิทยา"
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาสังคายนาเมืองเตร็นท์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพระสงฆ์
จนในขณะนั้น ในฝ่ายวิชาการ เกิดแรงเสียดทานอยู่มากในการแสดงความเห็นของนักเทววิทยาแต่ละคน
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ แต่เป็นเราเอง ที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และเรื่อง"พระธรรมชาตินี้"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการแยกออกของนิกาย
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ของความรอด แต่เป็นหน้าที่คริสตชน ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศึกษา
จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนนั่นจะทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของเราเอง ตามอัตภาพของเราและความถ่อมตน
ขอบคุณข้อเตือนใจ และขอบคุณความรู้เรื่อง คอปติกออร์โธดอกซ์
"ทำสิ่งเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่"
บุญราศี เทเรซา แห่งกัลกัตตา
พระเจ้าไม่ได้ทำให้มีปัญหา แต่เป็นพวกเราด้วยกันที่ทำให้เป็นปัญหา
ขอพระปัญญาของพระเจ้าสถิตกับลูกๆของพระองค์ครับ เพื่อจะเข้าถึงน้ำพระทัยแท้จริงให้ได้มากที่สุด
^^!
การศึกษา ประวัติศาสตร์ สำคัญต่อความเชื่อ เราคิดว่า อย่างนั้นนะ จะได้ไม่มี ลัทธิอะไร มาล่ิอลวง เราเอาง่ายๆ ยกตัวอย่าง เช่น ลัทธิ ต่างๆในอเมริกัน เพราะพื้นฐาน คนอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ เรื่อง ศาสนศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เท่ายุโรปMan of Macedonia เขียน: มาแบ่งปันเรื่อง 2 ทิโมธี 2:23 เพิ่มเติม
ผมคิดว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และการทะเลาะเบาะแว้งที่ตามมา มันเนื่องมาจากความบกพร่องระหว่างกลุ่มผู้ไตร่ตรองนั่นเอง ที่ไม่ได้กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
ในประวัติศาสตร์ สภาสังคายนาหลายครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นถึง"การไตร่ตรองและแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมชาติของพระเจ้า"
แต่มันเป็นการแสดงความเห็นโดยพวกเราเอง มนุษย์ที่ยังมีข้อบกพร่อง อย่างเดียวที่มีคือน้ำใจใฝ่รู้"พระธรรมชาติของพระเจ้าและเทววิทยา"
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาสังคายนาเมืองเตร็นท์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพระสงฆ์
จนในขณะนั้น ในฝ่ายวิชาการ เกิดแรงเสียดทานอยู่มากในการแสดงความเห็นของนักเทววิทยาแต่ละคน
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ แต่เป็นเราเอง ที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และเรื่อง"พระธรรมชาตินี้"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการแยกออกของนิกาย
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ของความรอด แต่เป็นหน้าที่คริสตชน ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศึกษา
จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนนั่นจะทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของเราเอง ตามอัตภาพของเราและความถ่อมตน
ขอบคุณข้อเตือนใจ และขอบคุณความรู้เรื่อง คอปติกออร์โธดอกซ์
"ทำสิ่งเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่"
บุญราศี เทเรซา แห่งกัลกัตตา
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ,jacky เขียน:การศึกษา ประวัติศาสตร์ สำคัญต่อความเชื่อ เราคิดว่า อย่างนั้นนะ จะได้ไม่มี ลัทธิอะไร มาล่ิอลวง เราเอาง่ายๆ ยกตัวอย่าง เช่น ลัทธิ ต่างๆในอเมริกัน เพราะพื้นฐาน คนอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ เรื่อง ศาสนศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เท่ายุโรปMan of Macedonia เขียน: มาแบ่งปันเรื่อง 2 ทิโมธี 2:23 เพิ่มเติม
ผมคิดว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และการทะเลาะเบาะแว้งที่ตามมา มันเนื่องมาจากความบกพร่องระหว่างกลุ่มผู้ไตร่ตรองนั่นเอง ที่ไม่ได้กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
ในประวัติศาสตร์ สภาสังคายนาหลายครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นถึง"การไตร่ตรองและแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมชาติของพระเจ้า"
แต่มันเป็นการแสดงความเห็นโดยพวกเราเอง มนุษย์ที่ยังมีข้อบกพร่อง อย่างเดียวที่มีคือน้ำใจใฝ่รู้"พระธรรมชาติของพระเจ้าและเทววิทยา"
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาสังคายนาเมืองเตร็นท์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพระสงฆ์
จนในขณะนั้น ในฝ่ายวิชาการ เกิดแรงเสียดทานอยู่มากในการแสดงความเห็นของนักเทววิทยาแต่ละคน
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาและไร้สาระ แต่เป็นเราเอง ที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องโง่เขลาและไร้สาระ
และเรื่อง"พระธรรมชาตินี้"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการแยกออกของนิกาย
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ของความรอด แต่เป็นหน้าที่คริสตชน ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศึกษา
จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนนั่นจะทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของเราเอง ตามอัตภาพของเราและความถ่อมตน
ขอบคุณข้อเตือนใจ และขอบคุณความรู้เรื่อง คอปติกออร์โธดอกซ์
"ทำสิ่งเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่"
บุญราศี เทเรซา แห่งกัลกัตตา
การมองจากสายตานักประวัติศาสตร์แท้ๆ หาโอกาสไปฟังนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่พระสงฆ์บ้าง ทำให้เราเปิดหู เปิดตา เปิดใจขึ้นเยอะ
และการฟังนักประวัติศาสตร์ที่เป็นพระสงฆ์ เช่น พ่อเล็ก หรือพ่อ M.E.P พ่อ S.J. ทั้งหลาย หรือผู้รู้ของนิกายอื่น
มันก็ทำให้เราเห็นรอบด้านอย่างทั้งครบ และเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระจิตแห่งความจริง