หน้า 1 จากทั้งหมด 1

--- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 4:12 am
โดย Holy
นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง

โดย  เร็นโซ  อัลเลกรี
ก.ครุวรรณ  แปล

รูปภาพ

นรกเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวของผู้ต้องโทษ  ที่กำลังถูกไฟเผาตลอดนิรันดรใต้พิภพ  แนวคิดที่แท้จริงของคาทอลิกในปัจจุบันเป็นอย่างไรในเรื่องสำคัญยิ่งนี้

สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่  16  ตรัสถึงเรื่องนี้แก่สัตบุรุษที่มาชุมนุมกัน  ณ  ชานเมืองกรุงโรม  เมื่อเดือนมีนาคม  2008  ว่า “นรกมีจริงและมีอยู่ตลอดนิรันดร์  แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีผู้คนพูดถึงกันมากนักก็ตาม” พระองค์ยังตรัสต่อไปอีกว่า “ในโลกปัจจุบัน  คนจำนวนมาก  รวมทั้งผู้ที่มีความเชื่อบางคนด้วย ลืมไปแล้วว่า  หากพวกเขาไม่ยอมรับผิดและไม่สัญญาว่าจะไม่ทำบาปอีก  พวกเขาก็เสี่ยงกับ  “การตกนรกตลอดนิรันดร์” ท้ายที่สุดพระองค์ทรงอธิบายถึงข้อคำสอนเรื่องนรกว่า  เป็น  “สถานการณ์ถูกตัดขาดจากพระเจ้าตลอดนิรันดร์”  เป็น  “สัญลักษณ์” มากกว่าการถูกลงโทษทางกาย

“นรก”  มิใช่เรื่องที่พูดถึงกันเพื่อความสนุกสนาน  และคนที่ไม่เชื่อส่วนมากก็ตัดเรื่องนี้ออกไปจากสมองหรือไม่ก็ใช้พูดเป็นคำสบถเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม  แม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อบางคนก็ยังเชื่อว่าน่าจะมีนรก  หรือมีอะไรในทำนองนี้สักอย่าง  เพราะมิฉะนั้นก็คงจะไม่ยุติธรรมเลย  หากคนอย่างสตาลินหรือฮิตเลอร์ที่ก่ออาชญากรรมอย่างมหันต์ต่อมวลมนุษย์  และเมื่อตายไปก็ไม่ต้องชดใช้ความผิดที่ตนก่อเลย  และทำไมสมเด็จพระสันตะปาปาผู้ศักดิ์สิทธิ์  จะทรงเห็นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเตือนเราถึงโอกาสที่เราอาจตกอยู่ในสภาพที่น่าสะพรึงกลัวนี้

ความคิดเรื่องนรกมีอยู่ในพระคัมภีร์จริง ๆ  หรือไม่  หรือนรกเป็นเรื่องของความเห็นที่ไม่ถูกต้องในเรื่องชีวิตหลังความตาย  ที่สอดแทรกเข้ามาปนอยู่ในข้อความเชื่อคาทอลิก  ถ้านรกมีจริงสภาพของนรกเป็นอย่างไร  เป็นภาพของสถานที่ที่มีวิญญาณถูกเผาไฟตลอดนิรันดรหรือ

เนื่องจากมีความไม่กระจ่างชัดอยู่มาก  ในเรื่องที่ยังถกเถียงกันอยู่นี้  แม้แต่ในหมู่ของผู้มีความเชื่อ  ดังนั้นผู้อำนวยการของนิตยสาร  Messenger  จึงได้ขอให้ผู้เขียนไปสัมภาษณ์นักเทววิทยา  ซึ่งเป็นพระสงฆ์นักพรตคณะฟรังซิสกัน  ชาวโปแลนด์  ชื่อคุณพ่อซิสลอว์  คีจัส  (Zdzislaw  Kijas)

รูปภาพ


ท่านดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเทวศาสตร์แห่งวิทยาลัยนักบุญโบนาเว็นเจอร์ – เซราฟีกุม  (Bonaventure-Seraphicum)  ที่กรุงโรม  คุณพ่อคีจัสยินดีให้สัมภาษณ์  และให้ความกระจ่างในเรื่องนี้  เพราะท่านคิดว่าเรื่องนี้ซ่อนอยู่ในใจกันมานานเกินไปแล้ว  แม้ในแวดวงพระศาสนจักร

มีนรกอย่างแน่นอน  หนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก  (Catechism  of  the  Catholic  Church)  ย่อหน้าที่  1033  สอนเราว่า  “การตายในบาปหนักโดยมิได้สำนึกผิด  และยอมรับความรักความเมตตาของพระเจ้า  หมายถึงการตัดขาดจากพระองค์ตลอดไป  โดยการเลือกอย่างเสรีของผู้นั้นเอง  สถานภาพการตัดขาดจากสัมพันธภาพกับพระและบรรดานักบุญนี้เรียกว่า  “นรก”  คำสอนของพระศาสนจักรยืนยันถึงการมีอยู่จริงและนิรันดรภาพของนรก  ทันทีที่ตายวิญญาณของผู้ที่ตายในบาปหนักจะตกนรก  และจะได้รับความทุกข์ทรมานในนั้นด้วย  “ไฟนิรันดร์”  โทษที่หนักที่สุดของการตกนรกคือ  การถูกตัดขาดตลอดนิรันดรจากพระเจ้า  ทั้ง ๆ  ที่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมา  เพื่อจะได้มีชีวิตที่มีความสุข”

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 4:14 am
โดย Holy
เราคงไม่แปลกใจกับคำสอนที่กล่าวมานี้  พระศาสนจักรยืนยันถึงสิ่งเดียวกันกับที่ศาสนาใหญ่ ๆ  ทุกศาสนายืนยันเช่นกัน  ทุกศาสนาที่สำคัญล้วนมีธรรมประเพณีสอนให้เชื่อถึงสภาวะความเป็นจริงในแง่ลบของชีวิตหลังความตาย  สำหรับผู้ที่ประพฤติชั่วในชีวิตนี้  อย่างไรก็ตาม ความเชื่อนี้มิได้ก่อให้เกิดความเศร้าหมองหรือความทุกข์ทรมานต่อผู้คนในอดีตแต่กลับเป็นสิ่งจรรโลงใจพวกเขา  และช่วยพวกเขาให้มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต

ผู้คนรู้สึกบรรเทาใจและชื่นชมยินดีได้อย่างไร  ทั้ง ๆ  ที่ทราบว่ามีสถานที่น่ากลัวเช่นนั้น


ก็เพราะพวกเขาเห็นว่าความเชื่อถึงสถานที่ที่มีไว้สำหรับลงโทษผู้ทำชั่วนั้น  เป็น สิ่งที่พิสูจน์ความยุติธรรมอย่างแท้จริงของชีวิต  พวกเขามองสถานที่ลงโทษคนชั่วว่าเป็นการรับประกันว่า  คนชั่วแม้จะสามารถหลบหนีความยุติธรรมในโลกนี้ไปได้  แต่ก็จะไม่สามารถหนีพระยุติธรรมของพระไปได้ในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม  ชาวยุโรปเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่  เริ่มไม่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ตามสายตาของพระ  แต่มนุษย์ตามวิทยาการความก้าวหน้าทางวัตถุ  โลกมีความสับสนอลหม่านไร้ศีลธรรม  และชีวิตไร้ความหมายพวกเขามองหาความจริงถาวรในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ  แต่ในเรื่องความเชื่อและศีลธรรมชาติ  แต่ในเรื่องความเชื่อและศีลธรรมนั้น  พวกเขากลับยึดถือลัทธิที่เชื่อว่า  ความถูกต้องอาจเปลี่ยนไปได้ตามสภาพแวดล้อม  (relativism)  และลัทธิความเชื่อที่ไม่มีแก่นสารและไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง  (nihilism)  โดยใช้ความรุนแรงเป็นมาตรการเพียงอย่างเดียว  ในการกำหนดความชอบธรรมทางศีลธรรม

รูปภาพ

เมื่อเป็นเช่นนี้นรกก็  “ผุดขึ้นมา”  บนโลกมนุษย์  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าขันเพราะขณะที่มนุษย์กำลังไม่เชื่อว่ามีนรก  แต่สภาพความเป็นจริงของนรกกลับโผล่ออกมาให้เห็นกันในโลกแห่งวัตถุ  ในรูปของความสยดสยองของสงครามโลก  ภัยคุกคามจากการทำลายล้างด้วยอาวุธนิวเคลียร์  การทำลายล้างเชื้อชาติ  ค่ายแรงงานของรัสเซียและค่ายกักกันของนาซี  เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม  นรกที่หมายถึงสถานที่นั้น  เป็นวิธีการอธิบายในลักษณะการอุปมา  ซึ่งที่จริงคงจะเป็นการดีกว่าที่จะอธิบายถึงสภาพทางด้านจิตใจของผู้ตาย  ในขณะที่มีบาปหนักและต้องอยู่กับความน่ากลัวที่เกิดจากการกระทำของตน  และผู้นั้นปวดร้าวใจที่ทราบถึงสิ่งที่ตนสูญเสียไปตลอดนิรันดร  ซึ่งได้แก่ความสนิทสัมพันธ์กับพระ  ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของความสุขที่แท้จริง  เรื่องเล่าต่าง ๆ  เกี่ยวกับนรกและความทุกข์ทรมานของผู้ที่อยู่ในนรกเป็นการวาดภาพเพื่อกระตุ้นมนุษย์ให้หนีห่างจากบาปและความชั่วร้าย  เพื่อจะได้ทำความดีและมีชีวิตอยู่ในศีลธรรมนักเทศน์ในสมัยกลางที่กล่าวถึงนรกได้สร้างภาพที่น่ากลัว  เพื่อสอนให้ผู้คนหลีกหนีความชั่ว  และส่งเสริมคุณธรรม

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 4:18 am
โดย Holy
เป็นไปได้ไหมที่จะพิสูจน์ด้วยเหตุผลของมนุษย์ว่านรกมีจริง

ที่จริงพระศาสนจักรก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว  เพราะนรกเป็นผลพวงของสิ่งที่เรียกว่า  “กฎแห่งศีลธรรมตามธรรมชาติ”  ดังที่หนังสือคำสอนย่อหน้าที่  1954  กล่าวว่า  “มนุษย์มีส่วนร่วมในพระปรีชาญาณและความดีของพระผู้สร้างผู้ทรงให้มนุษย์เป็นนายเหนือการกระทำของตน  และมีความสามารถในการปกครองกันเองตามแนวทางของสัจธรรมและความดี  กฎธรรมชาติแสดงถึงความสำนึกทางศีลธรรมดั้งเดิมที่ช่วยให้มนุษย์รู้จักใช้เหตุผลแยกแยะความดีและความเลว  ความจริงและเรื่องหลอกลวง  ทั้งนี้เพราะกฎธรรมชาติถูกลิขิตขึ้นมา  และสลักไว้ในวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนทุกคนอยู่แล้ว  ความมีเหตุผลของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่กำหนดให้มนุษย์ทำดีและห้ามมนุษย์ทำบาป  แต่กฎการใช้เหตุผลของมนุษย์นี้คงไม่มีผลใช้บังคับการกระทำหากกฎนั้นไม่เป็นเสียงเตือน  และเป็นผู้ตีความด้วยเหตุผลที่สูงส่งกว่าที่อยู่เหนือจิตวิญญาณและอิสรภาพของเรา”

รูปภาพ

หนังสือคำสอนกล่าวอย่างชัดเจนว่า  “เหตุผลที่สูงส่งกว่านี้”  แทรกซึมอยู่ในมนุษย์ทุกคนจากเบื้องบนหรือจากพระเจ้านั่นเอง  ดังนั้นความคิดเรื่องนรกหาใช่เป็นการเชื่อนักเทววิทยาคนใดคนหนึ่งไม่  แต่เป็นการเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงลิขิตความเป็นจริงของนรกไว้ในจิตใจและความนึกคิดของมนุษย์อยู่แล้ว  สติปัญญาของเราสามารถเข้าใจได้อย่างแน่ชัด  ฉะนั้น  ตราบใดที่มนุษย์มีอิสรภาพ  ตราบนั้นนรกก็ต้องมีอยู่จริงด้วยทั้งนี้เพราะอิสรภาพนำไปสู่ความสามารถในการเลือกระหว่างความดีและความเลว  ความหมายของชีวิตมนุษย์จึงเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเองที่จะพัฒนาความสามารถของตน  ในการแยกแยะความดีและความเลว  และการเพิ่มความสามารถยิ่งขึ้นในการทำความดี  ดังนั้นโอกาสที่เราจะตกนรกจึงเกิดขึ้นทันทีที่พระเจ้าประทานของกำนัลแห่งอิสรภาพให้เรา

อย่างไรก็ตาม  เมื่ออธิบายถึงตอนนี้แล้ว  ขอให้เข้าใจสิ่งที่สำคัญมากด้วยว่า  แม้โอกาสตกนรกมีอยู่จริงตั้งแต่เมื่อพระเจ้าประทานของกำนัลแห่งอิสรภาพให้เรา  แต่พระเจ้าไม่เคย  “สร้าง”  นรกขึ้นมาเลย  เพราะนรกเป็นสิ่งที่เรามนุษย์สร้างขึ้นเอง  ไม่ว่าจะเป็นนรกในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า  นรกเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองเสมอ  เพราะนรกคือ  “การแยกตัวเองออกจากพระเจ้า”  มิใช่พระเจ้าทรงแยกพระองค์ออกไปจากเรา  แต่เป็นตัวเราเองที่เลือกอย่างเสรีที่จะออกจากพระองค์

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์  และดังนั้นจึงทรงสร้างมนุษย์ตามความสามารถแห่งอิสรภาพของพระองค์เอง  พระเจ้าไม่เคยบังคับให้ผู้ใดทำดีหรือทำชั่วเพราะพระเจ้าทรงเป็นองค์ความรักและความรักก็คือการเลือกได้  มิฉะนั้นก็ไม่มีความรัก  นรกเป็นผลที่เกิดขึ้น  เมื่อมีการใช้อิสรภาพนอกขอบข่ายความรัก  ซึ่งก็คือพระเจ้า

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 4:23 am
โดย Holy
ทำไมสมเด็จพระสันตะปาปาจึงมีพระดำรัสในเรื่องนี้ถึง  3  ครั้ง  เมื่อปีที่แล้ว

เพราะในระยะหลังนี้ มีการเพิกเฉยเรื่องนี้กันมากทีเดียว  แม้แต่ในแวดวงของสงฆ์ จนเป็นอันตรายต่อสัตบุรุษที่ไม่รู้จักคำสอนเกี่ยวกับศีลธรรมและพระศาสนาดีพอ

สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์  ตรัสถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนที่สุดในพระสมณสาสน์เรื่อง  spe  salvi  รอดพ้นด้วยความหวัง  ที่พระองค์ทรงพระอักษรว่า  คริสตังจะสูญเสียความหวังไม่ได้  เพราะความหวังของเราตั้งอยู่ในคำสัญญาของพระบุคคลที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย  นอกจากความดีของตัวเราเอง

ในย่อหน้าที่  45  ของพระสมณสาสน์ฉบับนี้  พระองค์ทรงระบุว่า “มีผู้ที่ทำลายความปรารถนาโดยสิ้นเชิงในเรื่องสัจธรรมและความพร้อมในการแสดงความรัก  พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชังและละทิ้งความรักที่มีอยู่ในตัวทั้งหมด  นี่เป็นความคิดที่น่ากลัว  และลักษณะที่น่ากลัวนี้พบได้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา  บุคคลเหล่านี้ตกอยู่ในสถาพที่เลวร้ายเกินกว่าจะเยียวยาได้  การทำลายความดีในอดีตของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขคืนสูสภาพเดิมได้  และนี่แหละคือความหมายของนรก”

อย่างไรก็ตาม  ยังมีสภาพความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกับสภาพความเป็นจริงที่กล่าวมาแล้ว  คือมีผู้ที่มีใจบริสุทธิ์  มีความสนิทสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระเจ้า  พวกเขามีสภาวะทางจิตที่สอดคล้องกับสภาวะของสวรรค์  พวกเขาซึมซับพระเจ้าไว้อย่างเต็มเปี่ยมในการแสดงออกต่อผู้อื่น  พวกเขาสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า  และแสวงหาพระเจ้าเพื่อเข้าสู่ความครบครันที่พวกเขาเป็นอยู่แล้ว”

การเลือกระหว่างมิติทั้งสองนี้คือการเลือกระหว่างสวรรค์และนรกเป็นการเลือกด้วยตัวเราเอง  กระนั้นก็ดีพระเจ้าทรงอยู่กับเราอย่างต่อเนื่อง  ทรงช่วยเหลือเรา  เพื่อให้เราเลือกสวรรค์


รูปภาพ


ในความเห็นของคุณพ่อนรกนั้นเต็มหรือว่างเปล่า


นายอูรส์  ฮันส์  ฟอนบัลธาซาร์  (Urs Hans von Balthasar)  นักเทววิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของศตวรรษที่แล้ว  ได้เขียนไว้ว่า “นรกมีอยู่จริง  แต่อาจจะเป็นนรกที่ว่างเปล่าก็ได้  เพราะพระเมตตาของพระเจ้านั้นอภัยให้อย่างไม่มีขอบเขต” อย่างไรก็ตาม  นี่เป็นเพียงการคาดคะเน  ตัวพ่อเองไม่ทราบคำตอบในเรื่องนี้  พ่อบอกได้แต่เพียงว่าพระเยซูเจ้าตรัสถึงนรกว่า  เป็นสถานที่ที่ชีวิตของบุคคลหนึ่งสูญเสียไป  เป็นความรู้สึกที่เป็นสุขทั้งหลายโดยสิ้นเชิง  เราแต่ละคนเป็นผู้จัดเตรียมนรกสำหรับตัวเอง  ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลก  ด้วยการเลือกเอาความชั่วแทนที่จะเลือกความดี

ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่าพระบิดาผู้ทรงเป็นองค์ความรักแต่เพียงอย่างเดียว  นั้นทรงลงโทษบุตรคนใดคนหนึ่งของพระองค์  สู่จุดหมายปลายทางที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร

ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคุณยังมีความเข้าใจผิดอยู่  2  เรื่องประการแรก  พระเจ้าไม่เคยลงโทษหรือตัดสินลงโทษผู้ใดเลย  เมื่อเราปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพระองค์ในวันพิพากษา  พระเจ้ามิได้ทรงตัดสินเราแต่เป็นตัวเราที่ตัดสินชะตากรรมของตัวเอง  เพราะในวันนั้นเราจะแลเห็นตัวเราจริง ๆ  ในกระจกเงาของพระเจ้าและในกระจงเงาที่สัตย์ซื่อนั้น  เราจะหยั่งรู้ความเที่ยงธรรม  ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้ในการตัดสินตัวเอง

ในเรื่องนี้  ความจริงแล้ว  เรารู้จักสภาพของสวรรค์และนรกล่วงหน้าตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว  จาก  “เสียงมโนธรรม”  เราพอจะทราบอยู่แล้วว่าสภาพในวันพิพากษาจะเป็นเช่นไร  เพราะมโนธรรมติเตียนเรา  ตั้งแต่ในโลกนี้เมื่อเราทำผิดหรือทำชั่ว

ปัญหาการเข้าใจผิดประการที่สอง  เป็นสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วว่า  นรกเป็น  “การแยกตัวเองออกจากพระเจ้า” เราสร้างนรกของเราเองหาได้มีผู้ใดส่งเราไปลงนรกไม่นอกจากตัวเราเอง

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 4:27 am
โดย Holy
พระเยซูเจ้าตรัสถึงไฟนรกและผู้ที่มีญาณเหนือธรรมชาติก็พูดถึงไฟนรกด้วย  ทำไมนรกจึงเกี่ยวพันกับไฟ?

ไฟเป็นสัญลักษณ์ของนิรันดรภาพ  คือสภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในการเผยแสดงของพระเจ้าในพระธรรมเก่านั้นไฟหมายถึงพระธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์  ซึ่งเราพบในหนังสืออพยพบทที่  19  ข้อ  18  ว่า  “ภูเขาซีนายมีควันปกคลุมอยู่ทั่วไป  เพราะพระเจ้าเสด็จลงมาบนภูเขานั้นโดยอาศัยเพลิงควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาใหญ่  ภูเขาก็สะท้านหวั่นไหวไปหมด”  และในบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวฮีบรูก็มีเขียนไว้ว่า  พระเจ้าของเราทรงเป็นประดุจเพลิงที่เผาผลาญและตัดสินทุกสิ่ง

สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสแก่พระสงฆ์เจ้าวัดและคณะสงฆ์ที่กรุงโรมว่า  “วันนี้  ผู้คนเคยชินกับคำถามที่ว่าบาปคืออะไร  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่  ทรงรู้จักเรามนุษย์  และไม่ทรงรู้จักบาปดังนั้น  ในท้ายที่สุดแล้วพระองค์จะทรงมีพระเมตตาต่อเราทุกคน  นี่เป็นความหวังที่สวยหรูทีเดียว  แต่เราต้องไม่ลืมว่าทั้งพระยุติธรรมและความผิดที่เราทำต่างก็เป็นสิ่งที่มีจริงเช่นกัน  และเมื่อถึงวันนั้น  คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ได้ทำลายล้างมนุษย์และโลก  จะไปปรากฏตัวร่วมโต๊ะเดียวกับพระเจ้าพร้อมกับเหยื่อที่พวกเขาฆ่า  เพราะพระเจ้าทรงสร้างพระยุติธรรมด้วย”

การเลือกทำความดีหรือความเลวของเราย่อมมีผลที่แตกต่างกันแม้ว่าพระเจ้าจะทรงใช้ความดีงามที่ไม่มีวันหมดช่วยเหลือเรา  และน้ำพระทัยในการให้อภัยของพระองค์ไม่มีขอบเขตก็ตาม


รูปภาพ

ดังนั้นพระเจ้ายังคงเป็นพระบิดาที่ทรงรักเราทุกคนแม้จะมีนรกที่เป็นสภาพความเป็นจริงที่ร้ายกาจก็ตาม

แน่นอนที่สุดพระเยซูเจ้าตรัสว่า  พระเจ้าคือพระบิดาของเรา  และเรื่องนี้มีอยู่ในเรื่องแกะที่หายไปตัวหนึ่งและพระองค์ทรงละทิ้งแกะ  99  ตัว  เพื่อออกตามหาแกะตัวที่หายไป  และจะไม่หยุดหาจนกว่าจะพบมัน  พระเจ้าทรงเอาใจใส่ดูแลเราแต่ละคน  พระองค์ทรงเอาใจใส่ต่อความสุขและชีวิตจิตของเราทุกคน  และแน่นอนว่าไม่มีการแสดงออกที่เป็นประจักษ์พยานชัดแจ้งถึงความรักอย่างลึกซึ้งของพระองค์ต่อเรามนุษย์มากไปกว่าการที่พระเจ้าทรงมอบพระบุตรแต่องค์เดียวพลีพระชนม์ชีพบนกางเขนเพื่อชดใช้บาปของเรา

สิ่งที่ถูกสร้างไม่มีวันอยู่เหนือผู้สร้างได้เลย  และเมื่อพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างขณะที่เราเป็นสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์  ผลที่เกิดตามมาอย่างหนึ่งก็คือ  เราไม่มีวันพบกับความครบครันได้  หรือพบกับความสุขที่เต็มเปี่ยมได้ในสิ่งสร้างอื่นใดเลย  เพราะสิ่งสร้างอื่นอยู่ในระดับเดียวกับเราหรือไม่ก็อยู่ต่ำกว่าเรา  ความสุขที่แท้จริงจะพบได้ก็แต่ในสิ่งที่อยู่เหนือเรา  และสิ่งเดียวที่อยู่เหนือเราในขณะนี้ก็คือพระเจ้า  ดังนั้นจึงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เราจะพบความครบครันได้ แต่พวกเราทั้งหลายก็พร้อมเสมอที่จะละเลยความจริงพื้นฐานของชีวิตจิตในเรื่องนี้  และไปแสวงหาความสุขในสิ่งที่เราไม่มีทางหาพบได้  นอกจากจะนำเราไปสู่กิจการที่ไม่ดี  และเมื่อเราดื้อรั้นที่จะก้าวเดินไปตามเส้นทางนี้ต่อไป  ประตูนรกก็จะเปิดออกสำหรับเรา

พระเจ้าทรงเป็นทุกข์เมื่อทรงทราบถึงการดื้อรั้นเช่นนี้ของเรา  แต่พระองค์ก็มิได้ทรงเป็นทุกข์ทรมานเพราะธรรมชาติของพระองค์  เนื่องจากพระองค์ก็มิได้ขาดสิ่งใดเลย  แต่พระองค์ทรงเป็นทุกข์ภายในตัวเราเอง  อันเป็นผลจากการที่เรากำลังจะสูญเสียพระองค์  ผู้ทรงเป็นความชื่นชมยินดีแต่เพียงอย่างเดียวของเรา

ถ้าเช่นนั้น  ผู้ที่รักพระและเคารพพระบัญญัติของพระองค์ก็ปลอดภัยจากนรกใช่ไหม?

ถูกแล้วผู้ที่รักพระก็แน่ใจได้ว่าจะได้รับความรอด  ทั้งนี้เพราะพระบัญญัติ  10  ประการเป็นเครื่องชี้บอกแนวทางที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง  เพื่อนำเราไปสู่ความสนิทสัมพันธ์ที่สมบูรณ์กับพระเจ้า  และนี่ก็คือความหมายของสวรรค์นั่นเอง



เร็นโซ  อัลเลกรี.  นิตยสารแม่พระยุคใหม่  นิตยสารราย 2 เดือน ฉบับที่ 168  ปีที่ 29  พฤศจิกายน – ธันวาคม  2552  หน้าที่  6 – 9.  กรุงเทพฯ:  คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร,  2552.

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 7:43 am
โดย Holy Bible
ขอบคุณครับ

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 7:57 am
โดย sinner
ขอบคุณค่ะ : emo045 :

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 7:43 am
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
องค์ความรู้ต่อไปนี้ได้ คัดตัดตอน มาจาก..
"นรก"(เทียบบทความใน Encyclopedia of Theology, pp.602-604 โดย Karl Rahner)



    ในพันธสัญญาเดิมชาวยิวเชื่อกันว่า คนตายทุกคนไม่ว่าดีชั่วต้องไปอยู่ใน Sheol(เชห์โอล์) ซึ่งเป็นที่มืด เงียบ เปล่าเปลี่ยว น่าเวทนา ความเชื่อดังกล่าว ค่อยๆเปลี่ยนไปตามสมัย
จนมาถึงปลายสมัยพันธสัญญาเดิม ชาวยิวเชื่อกันว่าที่มืดใต้บาดาลนั้นต้องมี สองส่วน แยกกัน สำหรับคนดีส่วนหนึ่ง และคนชั่วอีกส่วนหนึ่ง มีเหวใหญ่ขวางกั้น
ที่ที่คนชั่วอยู่นั้นเรียกว่า gehenna (เกเฮนนา) หมายถึงนรก ซึ่งเป็นคุกนิรันดรสำหรับซาตาน และสมุนของมัน(มธ 25.41)
และสำหรับผู่ที่ปฏิเสธแผนความรอดของพระเจ้า ไม่เชื่อ ไม่ยองกลับใจ (มธ 5.20,13.42,50,22.13)
พระองค์ตรัดถึงนรกว่า เป็นสถานที่ที่มีไฟไม่รู้ดับ (มธ 5.22,13.42,50,18.9) เป็นที่มืดมิด ระงมด้วยเสียงโอดครวญ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน (มธ 9.12,22.13,25.30)
พึงสังเกตว่า พระองค์ตรัดสอนตามความเชื่อ และตามโวหารของชาวยิวในสมัยนั้น
พระศาสนจักรสอนว่า นรกมีอยู่จริง (D 16,40,429,464,693,717,853,830) คงอยู่นิรันดรซึ่งโอรีเจ็นและนักเทววิทยาสมัยโบราณบางท่านสอนตรงข้าม (D 211)
ผู้ตายในบาปหนักถูกโทษนรกทันที (D 464,531) การทรมานในนรกมี 2 ชนิดต่างกันคือ การไม่ได้เห็นพระ(poena damni) และความเจ็บปวด (poena sentus)(D 410)
พระศาสนจักรไม่ได้ประกาศสอนอะไรเป็นทางการมากกว่านี้เกี่ยวกับนรกและการทนทุกข์ทรมานในนั้น...

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 10:30 am
โดย Ministry Of Men
ขอบคุณนะครับ


กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 10:41 am
โดย Andreas
สมัยก่อนสังคายนาวาติกันที่สอง เวลาพระสงฆ์เทศน์ ก็มักนำนรกมาขู่ให้สัตบุรุษกลัว ทำผิดอะไรนิดหน่อย พระเจ้าจะลงโทษให้ต้องตกนรกโดนไฟเผาผลาญตลอดนิรันดร์ ทำให้พระเจ้าทรงถูกเข้าใจว่าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระพิโรธอยู่เป็นนิจ ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เคร่งครัด อีกทั้งการประจักษ์ของแม่พระบางครั้ง ก็มีนิตแสดงให้ผู้รับการประจักษ์เป็นภาพคนตกนรกดุจดังสายฝนกระหน่ำ อันหมายความว่า คนตกนรกเยอะมาก ๆ ไม่เว้นแม้แต่พระสันตะปาปา พระสังฆราช พระสงฆ์และนักบวช

แต่พอหลังการสังคายนา พระศาสนจักรเน้นการสอนเรื่องพระเมตตาของพระเจ้า ทำให้เราเป็นพระเจ้าทรงเป็นบิดาผู้ใจดี จนกระทั่งมีความคิดว่า นรกอาจจะเป็นนรกที่ว่างเปล่า เพราะพระเจ้าทรงพระทัยดีเกินกว่าที่จะลงโทษผู้ใดให้ลงนรกได้ และคนที่จะลงนรกได้ ต้องเป็นผู้ที่เลือกเองว่าต้องการไปนรก และปฏิเสธความรักและพระเมตตาของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ส่วนคนบาปที่ตกในบาปแม้บาปใหญ่ๆ ด้วยความอ่อนแอ ย่อมได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า เมื่อเขาเป็นทุกข์เสียใจและเข้ามาพึ่งพระเมตตาของพระองค์

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 10:53 am
โดย sinner
BoYz - The Series เขียน: ขอบคุณนะครับ


กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด

55555555555+

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 11:30 am
โดย Ministry Of Men
แซวเล่นิดนหน่อยนะครับบบบบบ อิอิอิ

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด


(อ่านแล้วอารมณ์ดีครับ ความเห็นท่านเนี่ย หึหึหึ)

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 3:13 pm
โดย sansrepos
ช่วง 2 เดือนก่อน ผมกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯก็ได้เสวนากับพ่อของผมซึ่งเป็นผู้ที่แปลบทความนี้ลงในนิตยสารแม่พระยุคใหม่ คุณพ่ออธิบายเสริมความเข้าใจของผมในเรื่องนี้และบอกว่ารายละเอียดไปอ่านในแม่พระยุคใหม่เอาก็ได้

ท่านยังเสริมอีกว่าถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีความสุข เพราะมันไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ ถ้าคิดจะทำชั่วไม่เป็นก็อาจจะไม่เห็นค่าของการทำดี ประมาณว่าถ้าการไปสวรรค์ไม่ต้องออกแรงมนุษย์อาจจะไม่ได้พบความสุขแท้จริงก็ได้ คือไม่เห็นค่า

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 3:45 pm
โดย Jesus loves You
ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 3:58 pm
โดย กรอกสมบูรณ์
เคยได้ยินคนรู้จักที่สนิทสนมกัน เขาแหย่เพื่อน ที่กำลังจะแต่งงานว่า "แล้วจะรู้ว่า นรก มีจริง"  ::039:: 555+

ไม่รู้ว่า ป่านชะนี้ ได้อยู่ นรก หรือ สวรรค์ ไปแล้วเนี่ย !!!

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 6:07 pm
โดย เจนจิรา
ขอแถม รูป นรกภูมิ ของ พี่น้อง orthodox

รูปภาพ



รูปนี้ บงบอกถึง พระคุณของพระเยซูเจ้า ที่ช่วยเราให้พ้นนรก เป็นสิ่งที่ยืนยัน ว่า พระองค์จะช่วยเรา


รูปภาพ

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 11:44 am
โดย วอ
ถ้าตกแล้วของคริสต์เห็นว่าไม่มีโอกาส กลับมาเกิดได้อีก ถ้าของพุทธตกแล้ว ต้องอีกนานกว่าจะกลับชาติมาเกิดได้

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 12:45 pm
โดย Ministry Of Men
สวรรค์ไปง่ายเหมือนนรก?

นรกไปง่ายเหมือนสวรรค์?

สวรรค์ไปยากเหมือนนรก?

นรกไปยากเหมือนสวรรค์?

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 3:49 pm
โดย sasuke
วอ เขียน: ถ้าตกแล้วของคริสต์เห็นว่าไม่มีโอกาส กลับมาเกิดได้อีก ถ้าของพุทธตกแล้ว ต้องอีกนานกว่าจะกลับชาติมาเกิดได้
เว้ากันซื่อๆ ถ้ามีนรก นรกก็คงมีนรกเดียว จะตกนรกไหนก็ควรจะเป็นนรกเดียวกัน

และเราคริสตชนไม่เชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ ตายแล้วก็กลับไปอยู่กับพระเจ้า

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 6:07 pm
โดย Ministry Of Men
sasuke เขียน:
วอ เขียน: ถ้าตกแล้วของคริสต์เห็นว่าไม่มีโอกาส กลับมาเกิดได้อีก ถ้าของพุทธตกแล้ว ต้องอีกนานกว่าจะกลับชาติมาเกิดได้
เว้ากันซื่อๆ ถ้ามีนรก นรกก็คงมีนรกเดียว จะตกนรกไหนก็ควรจะเป็นนรกเดียวกัน

และเราคริสตชนไม่เชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ ตายแล้วก็กลับไปอยู่กับพระเจ้า
อื่ม เห็นด้วยครับ  : emo045 :

มันน่าจะเป็น นรก และ สวรรค์ เดียวกัน

ความจริงน่าจะเป็นเพียงอย่างเดียว และก็เชื่อว่าคงจะมีส่วนจริงๆเหมือนๆกันแหละครับ  : emo045 :

Re: --- นรกเป็นตำนานหรือเรื่องจริง ---

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 9:48 pm
โดย Valkyrie Zero Number
ตายไปก็มีสวรรค์กับนรกนั่นแหละที่รออยู่

ไม่มีการกลับมาเกิดใหม่หรอก เพราะถ้ามี ไม่สบายไปหน่อยรึ