หน้า 1 จากทั้งหมด 1

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันต

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 5:32 am
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
[size=12pt]องค์ความรู้ต่างๆที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้คัดตัดตอนมาจาก หนังสือ"พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง Deuterocanonical Book"
โดย คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกพระคัมภีร์
พิมพ์ครั้งที่ 1
ธันวาคม 2007[/size]
รูปภาพ
[hr]

"ความรู้เกี่ยวกับหนังสือ โทบิต ยูดิธ และเอสเธอร์"

1) ในพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาละติน ( Vulgata) หนังสือ 3 ฉบับ คือ โทบิต ยูดิธ และเอสเธอร์ จัดไว้หลังหนังสือชุด “ ประวัติศาสตร์” แต่สำเนาคัดลอกโบราณภาษากรีกที่สำคัญบางฉบับจัดไว้หลังจากหนังสือชุด “ ปรีชาญาณ” หนังสือทั้งสามฉบับนี้มีลักษณะเฉพาะของตน แตกต่างจากหนังสือชุดอื่นๆ

1.1 ตัวบทของหนังสือเหล่านี้คัดลอกตกทอดมาถึงเราเป็นหลายสำนวนแตกต่างกัน จนเป็นการยากที่จะกำหนดตัวบทต้นฉบับดั้งเดิมได้ ต้นฉบับดั้งเดิมของหนังสือโทบิตคงจะเป็นภาษาอาราเมอิก แต่ต้นฉบับดั้งเดิมนี้สูญหายไปแล้ว ไม่ตกทอดมาถึงเรา เรามีเพียงเศษของต้นฉบับภาษาฮีบรู และเศษของสำเนาสำนวนแปลภาษาอาราเมอิก 4 ฉบับในถ้ำที่กุมราน ( Qumran) ต้นฉบับคัดลอกโบราณภาษากรีก ซีเรียค และละตินที่ตกทอดมาถึงเรา เมื่อนำมาเทียบกันก็เห็นว่าถ่ายทอดต่อกันมาเป็น 4 แบบ (Recensions) สองแบบที่สำคัญที่สุดคือแบบที่หนึ่งซึ่งพบได้ในต้นฉบับคัดลอกของหอสมุดวาติกัน ( ซึ่งเราจะเรียกว่า “ ฉบับวาติกัน” หรือ “B”) และต้นฉบับคัดลอกจากเมืองอเล็กซานเดรีย ( ซึ่งเราจะเรียกว่า “ ฉบับอเล็กซานเดรีย” หรือ “A”) ส่วนแบบที่สองพบได้ในสำเนาคัดลอกโบราณที่เรียกว่า Codex Sinaiticus ซึ่งพบในอารามที่เชิงภูเขาซีนาย ( ซึ่งเราจะเรียกว่า “ ฉบับซีนาย” หรือ “S”) และในฉบับแปลโบราณภาษาละติน (Vetus Latina) ตัวบทแบบที่สองนี้คงจะเป็นแบบที่เก่าแก่ที่สุด เพราะสอดคล้องกับเศษของสำเนาโบราณภาษาอาราเมอิกที่พบที่กุมราน จึงเป็นตัวบทที่ใช้ในการแปลของเรา แต่ในเวลาเดียวกันก็มีการเปรียบเทียบกับตัวบทแบบอื่นๆด้วย

ต้นฉบับภาษาฮีบรูของหนังสือยูดิธก็สูญหายไปแล้วเช่นเดียวกัน ในสมัยกลางมีตัวบทภาษาฮีบรูของหนังสือนี้หลายสำนวนที่ใช้กัน แต่คงจะไม่ใช่ต้นฉบับดั้งเดิม ตัวบทสำนวนแปลภาษากรีกพบได้เป็น 3 แบบที่แตกต่างกันอย่างมาก ตัวบทภาษาละตินฉบับ Vulgata เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากต้นฉบับภาษากรีก และดูเหมือนว่านักบุญเยโรมเขียนตัวบทฉบับนี้โดยเพียงแต่ขัดเกลาสำนวนแปลภาษาละตินที่มีอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น โดยเทียบกับสำนวนแปลภาษาอาราเมอิก

ตัวบทของหนังสือเอสเธอร์มีสองแบบ คือแบบสั้นภาษาฮีบรู และแบบยาวภาษากรีก ต้นฉบับภาษากรีกก็ยังพบได้เป็น 2 สำนวน คือสำนวนภาษากรีกที่นิยมใช้กันทั่วไป กับสำนวนแก้ไขของลูเชียนชาวอันทิโอก (Lucian of Antioch) ตัวบทภาษากรีกมีข้อความเพิ่มเติมที่ไม่พบในสำนวนภาษาฮีบรูดังต่อไปนี้ (ก) ความฝันของโมรเดคัย 1:1 a-r (ข) คำอธิบายความฝันนี้ 10:3 a-k (ค) พระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับของกษัตริย์อาหสุเอรัส 3:13 a-g และ 8:12 a-v (ง) คำอธิฐานของโมรเดคัย 4:17 a-I (จ) คำอธิษฐานภาวนาของพระนางเอสเธอร์ 4:17 k-z (ฉ) เล่าอีกครั้งหนึ่งเรื่องพระนางเอสเธอร์เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส 5:1 a-f และ 5:2 a-b (ช) ภาคผนวกอธิบายที่มาของสำนวนแปลภาษากรีก 10:3 l นักบุญเยโรมจัดข้อความเพิ่มเติมเหล่านี้ไว้หลังตัวบทภาษาฮีบรู คือ 10:4 – 16:24 ตามต้นฉบับ Vulgata แต่ในการแปลฉบับนี้เราจัดข้อความที่เพิ่มเติมเหล่านี้ไว้ตรงตามที่ของมันในต้นฉบับภาษากรีก โดยใช้ตัวอักษรเอียง

1.2 พระศาสนจักรรับหนังสือ 3 ฉบับนี้เข้าในสารบบพระคัมภีร์ในระยะหลัง พระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรูไม่ยอมรับหนังสือโทบิตและยูดิธ ต่อมาชาวโปรแตสตันท์จึงจัดหนังสือเหล่านี้ไว้ในหมวด Apocrypha แต่พระศาสนจักรคาทอลิกจัดหนังสือทั้งสองนี้ไว้ในหมวด “ สารบบที่สอง” (Deutero-canonical) ซึ่งหมายความว่า “ ปิตาจารย์บางท่านมีความสงสัยอยู่บ้าง” แต่หนังสือเหล่านี้เป็นที่รู้จักและถูกอ้างถึงมาตั้งแต่สมัยแรกๆของพระศาสนจักร และอยู่ในสารบบพระคัมภีร์ของพระศาสนจักรตะวันตกมาตั้งแต่สมัยสมัชชาพระสังฆราชที่กรุงโรมในปี ค.ศ. 382 และในสารบบพระคัมภีร์ของพระศาสนจักรตะวันออกตั้งแต่ปี ค.ศ. 692 (สภาสังคายนา “in Trullo” ที่กรุงคอนสตันติโนเปิ้ล) ข้อความภาษากรีกของ อสธ นับอยู่ในสารบบที่สองด้วย และมีประวัติการเข้าในสารบบพระคัมภีร์เช่นเดียวกับ ทบต และ ยดธ ธรรมาจารย์ชาวยิวในคริสตศตวรรษที่หนึ่งยังถกเถียงกันว่า อสธ อยู่ในสารบบพระคัมภีร์หรือไม่ แต่ชาวยิวในภายหลังยอมรับหนังสือ อสธ ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่นิยมอ่านกันมาก

1.3 หนังสือทั้งสามฉบับนี้มีแบบวรรณกรรมเหมือนๆกัน คือเล่าเรื่องโดยใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อย่างอิสระ ซึ่งมักจะไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก เช่น ใน ทบต เล่าว่าโทบิตเป็นหนุ่มเมื่อกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์และอาณาจักรแบ่งเป็นสองส่วนในปี 931 ก.ค.ศ. (ทบต 1:4) เขาถูกจับเป็นเชลยไปสู่ถิ่นเนรเทศพร้อมกับชนเผ่านัฟทาลีในปี 734 ก.ค.ศ. (ทบต 1:5,10) โทบียาห์บุตรของเขาจะตายหลังจากกรุงนินะเวห์ถูกทำลายในปี 612 ก.ค.ศ. (ทบต 14:5) หนังสือโทบิตยังเล่าว่ากษัตริย์เซนนาเคริบสืบราชสมบัติสืบต่อจากกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์ (ทบต 1:15) แต่โดยแท้จริงแล้วกษัตริย์ซาร์กอนสืบราชสมบัติต่อจากกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์ ในทำนองเดียวกัน หนังสือนี้กล่าวว่าเมืองราเกสตั้งอยู่ในแถบภูเขาห่างจากเมืองเอกบาทานาซึ่งตั้งอยู่ในที่ราบเป็นระยะทางเดินเพียงสองวัน (ทบต 5:6) แต่โดยแท้จริงแล้ว เมืองเอกบาทานาตั้งอยู่ในแถบภูเขาสูงประมาณ 2000 เมตรจากระดับน้ำทะเล และอยู่ห่างจากเมืองราเกสราว 320 กม. หนังสือเอสเธอร์เล่าเรื่องใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์มากกว่า เช่นรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองสุสาและขนบธรรมเนียมของชาวเปอร์เซีย กษัตริย์อาหสุเอรัส (เป็นการเขียนพระนามของกษัตริย์เซอร์ซิสในภาษาฮีบรู) ก็เป็นที่รู้จักดีในประวัติศาสตร์และมีพระอุปนิสัยตรงกับที่เฮโรโดตัสนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกบันทึกไว้ แต่นับเป็นเรื่องแปลกที่กษัตริย์ในราชวงศ์ Achmenid ซึ่งรู้กันว่ายอมให้ชนชาติต่างๆ ในราชอาณาจักรปฏิบัติศาสนาและธรรมเนียมของตนได้อย่างอิสระ จะทรงยอมให้ออกคำสั่งทำลายล้างชนชาติยิว และที่แปลกกว่านั้น ทรงอนุญาตให้ชาวยิวฆ่าชาวเปอร์เซียถึง 75,000 คน โดยไม่ได้รับการต่อต้านเลย นอกจากนั้นในช่วงเวลาที่ อสธ กล่าวถึง พระราชินีแห่งเปอร์เซียและพระมเหสีของกษัตริย์เซอร์ซิสคือพระนางอาเมสตริส ไม่มีการกล่าวถึงพระราชินีที่ทรงพระนามว่าวัชทีหรือเอสเธอร์เลย และถ้าโมรเดคัยถูกจับเป็นเชลยในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ (อสธ 2:6) เขาจะต้องมีอายุ 150 ปีเมื่อกษัตริย์เซอร์ซิสทรงเริ่มครองราชย์

2) หนังสือยูดิธใช้รายละเอียดทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อย่างอิสระมากกว่าอีก โดยเล่าว่าเหตุการณ์ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นในสมัยที่ “ กษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์ทรงครองราชย์ปกครองชาวอัสซีเรียในนครนินะเวห์ที่ยิ่งใหญ่” (ยดธ 1:1) แต่อันที่จริงกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลน และนครนินะเวห์ถูกกษัตริย์เนโบโปลัสซาร์พระราชบิดาทำลายแล้วในปี 612 ก.ค.ศ. ยิ่งกว่านั้น ยดธ 4:3 และ 5:19 ยังกล่าวว่าชาวยิวกลับมาจากถิ่นเนรเทศในรัชสมัยของกษัตริย์ไซรัสแล้ว ชื่อ “ โฮโลเฟอร์เนส” และ “ บาโกอัส” เป็นชื่อเปอร์เซีย แต่เรื่องเล่าบรรยายถึงกิจกรรมที่สะท้อนขนบประเพณีของชาวกรีก (ยดธ 3:7-8; 15:13) นอกจากนั้น การเดินทัพของโฮโลเฟอร์เนสตามสถานที่ที่กล่าวถึงใน ยดธ 2:21-28 นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อโฮโลเฟอร์เนส มาถึงแคว้นสะมาเรียที่เรารู้จักดี ชื่อสถานที่ต่างๆในเรื่องล้วนแต่ไม่เป็นที่รู้จักเลย รวมทั้งเมืองเบธูเลียซึ่งเป็นฉากของเรื่องที่เล่าด้วย คำอธิบายดีที่สุดที่ว่าทำไมผู้เขียนไม่สนใจความถูกต้องทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ก็คือ เขาไม่มีเจตนาที่จะเขียนประวัติศาสตร์ ต้องการเพียงให้เป็นเรื่องสอนใจเท่านั้น เหตุการณ์ที่เล่าอาจมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์อยู่บ้าง แต่ผู้เขียนได้เสริมรายละเอียดตามใจจนไม่มีทางจะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรแน่

3) หนังสือโทบิตเล่าเรื่องของครอบครัวชาวบ้าน ชายคนหนึ่งจากเผ่านัฟทาลีชี่อโทบิต ถูกจับเป็นเชลยมาอาศัยอยู่ในนครนินะเวห์ เป็นคนเลื่อมใสศรัทธาต่อพระเจ้า ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด เป็นคนใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุกคน แต่บัดนี้ตาบอดไป ญาติคนหนึ่งของเขาชื่อรากูเอล อาศัยอยู่ที่เมืองเอกบาทานา มีบุตรสาวชื่อซาราห์ที่สูญเสียสามี 7 คนติดๆกัน เพราะถูกปีศาจอัสโมเดอัสฆ่าในคืนแต่งงาน ทั้งโทบิตและนางซาราห์วอนขอพระเจ้าให้ทรงอนุญาตให้ตนตาย แต่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานภาวนาของทั้งสองคนตามวิธีการของพระองค์ ทรงส่งทูตสวรรค์ราฟาเอลมาเป็นผู้นำทางโทบียาห์ บุตรของโทบิตไปพบรากูเอล จัดการให้เขาแต่งงานกับนางซาราห์ และช่วยรักษาตาบอดของโทบิต เป็นเรื่องสอนใจที่เน้นความสำคัญของการให้ทาน การช่วยฝังศพผู้ตาย รวมทั้งตัวอย่างและอุดมการณ์ของชีวิตครอบครัว ซึ่งเป็นการนำหน้าคำสอนเรื่องการแต่งงานแบบคริสตชน ทูตสวรรค์ราฟาเอลเป็นผู้แทนพระเจ้า ทั้งแสดงและซ่อนความมีพระทัยดีของพระเจ้า หนังสือนี้จึงสอนว่าพระเจ้าทรงเอื้ออาทรต่อเราเช่นนี้ทุกๆวัน

ผู้เขียนเล่าเรื่องของโทบียาห์ตามแบบเรื่องเล่าในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของบรรดาบรรพบุรุษในหนังสือปฐมกาล ในฐานะที่เป็นวรรณกรรมชิ้นหนึ่ง หนังสือนี้น่าจะเขียนขึ้นระหว่างช่วงเวลาของ โยบ และ อสธ หรือช่วงเวลาระหว่าง ศคย และ ดนล หนังสือนี้เล่าถึงบุคคลที่มีกล่าวถึงในหนังสือ “ ปรีชาญาณของอหิการ์” (ดู ทบต 1:22; 2:10; 11:18; 14:10) ซึ่งเป็นหนังสือนอกสารบบพระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นราวศตวรรษที่ 5 ก.ค.ศ. หนังสือโทบิตมีข้อความหลายตอนคล้ายกับใน บสร จึงน่าจะเขียนราวปี 200 ก.ค.ศ. ในแผ่นดินปาเลสไตน์ และอาจเขียนขึ้นในภาษาอาราเมอิก

4) หนังสือยูดิธเป็นเรื่องเล่าถึงหญิงชาวยิวคนหนึ่งช่วยให้ชาวอิสราเอล ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร มีชัยชนะต่อศัตรู ชาวยิวซึ่งเป็นชนชาติเล็กๆต้องเผชิญกับกองทัพใหญ่โตของโฮโลเฟอร์เนส ที่ต้องการให้ชนชาติต่างๆทั่วโลกยอมสยบต่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และต้องการทำลายศาสนาอื่นๆทั้งหมด นอกจากศาสนาที่ยอมนมัสการกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นพระเจ้า ชาวยิวในเมืองเบธูเลียถูกข้าศึกล้อม ต้องอดน้ำ คิดจะยอมจำนนอยู่แล้ว ในช่วงเวลานี้เองนางยูดิธก็เข้ามามีบทบาท นางเป็นม่าย ยังสาว หน้าตาสวยงาม เฉลียวฉลาด ยำเกรงพระเจ้า มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยบ้านเมือง ก่อนอื่นนางต้องขจัดความขลาดกลัวของเพื่อนร่วมชาติ และในที่สุดนางก็ชนะกองทัพอัสซีเรียได้ด้วย นางตำหนิผู้ปกครองเมืองที่ขาดความเชื่อต่อพระเจ้า แล้วนางก็อธิษฐานภาวนาและแต่งกายสวยงามออกไปจากเมืองเบธูเลีย เข้าไปในค่ายศัตรู มีทหารนำไปอยู่ต่อหน้าโฮโลเฟอร์เนสแม่ทัพ ซึ่งหลงใหลในความงามและปฏิภาณของนาง ในที่สุดเมื่อโฮโลเฟอร์เนสนอนเมามายอยู่ตามลำพังกับนาง นางก็ตัดศีรษะเขา เมื่อชาวอัสซีเรียรู้ว่าแม่ทัพของตนถูกฆ่า ก็ตกใจกลัวหนีเอาตัวรอด ชาวยิวเข้าจู่โจมค่ายศัตรู ชาวเมืองเบธูเลียสรรเสริญนางยูดิธและไปทำพิธีขอบพระคุณพระเจ้าอย่างสง่าที่กรุงเยรูซาเล็ม

ดูเหมือนว่าผู้แต่งเรื่องมีเจตนาจะให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผิดๆ ไม่ตรงความเป็นจริง เพื่อชวนให้ผู้อ่านไม่สนใจเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่ให้สนใจเรื่องความขัดแย้งและชัยชนะทางศาสนา เรื่องเล่าดำเนินไปอย่างน่าติดตามและมีลักษณะคล้ายวรรณกรรมประเภท “ วิวรณ์” (Apocalyptic) โฮโลเฟอร์เนส สมุนมือขวาของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นับได้ว่าเป็นตัวแทนของอำนาจความชั่วร้าย นางยูดิธ – ชื่อ “ ยูดิธ” แปลว่า “ หญิงชาวยิว” – เป็นผู้แทนชะตากรรมของชาวยิว ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ประชากรนี้กำลังอยู่ในอันตราย แต่พระเจ้าก็ทรงใช้มือที่อ่อนแอของหญิงคนหนึ่งนำชัยชนะมาให้ ประชากรของพระเจ้าจึงไปฉลองชัยที่กรุงเยรูซาเล็ม เห็นได้ชัดว่าหนังสือฉบับนี้ให้ข้อคิดคล้ายกับหนังสือดาเนียล เอเสเคียล และโยเอล เหตุการณ์ที่เล่าในหนังสือนี้เกิดขึ้นในที่ราบเอสเดรโลน ใกล้กับที่ราบ “ อาร์มาเกดโดน” ซึ่งเป็นสมรภูมิของสงครามยุคสุดท้ายของโลกตามที่มีเล่าในหนังสือวิวรณ์ (วว 16:16) ชัยชนะของนางยูดิธเป็นผลของคำอธิษฐานภาวนา และการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับเรื่องการละเว้นมลทินทางพิธีกรรมอีกด้วย ถึงกระนั้นหนังสือนี้มิได้มีวิสัยทัศน์จำกัดอยู่ในเรื่องชาตินิยมแคบๆเท่านั้น เมืองเบธูเลียในแคว้นสะมาเรีย ที่อยู่ของประชาชนซึ่งชาวยิวรังเกียจอย่างยิ่งเพราะถือศาสนายิวอย่างไม่ถูกต้อง กลับเป็นเมืองที่ประกันความปลอดภัยให้แก่กรุงเยรูซาเล็ม ยิ่งกว่านั้น อาคิออร์ชาวอัมโมน (ยดธ 5:5-12) ยังกล่าวถึงความหมายทางศาสนาของการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ต่อมาอาคิออร์นี้ก็ได้กลับใจเปลี่ยนมานับถือพระเจ้าเที่ยงแท้ (ยดธ 14:5-10) หนังสือยูดิธนี้เขียนขึ้นในปาเลสไตน์ราวกลางศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล ในบรรยากาศที่ชาวยิวมีความรู้สึกรักชาติและศาสนาอย่างแรงกล้าจากการก่อกบฏของพวกมัคคาบี

5) หนังสือเอสเธอร์ก็เล่าถึงการที่หญิงคนหนึ่งช่วยชนชาติยิว ให้รอดพ้นจากอันตรายของชาติเช่นเดียวกับหนังสือยูดิธ ชาวยิวในแคว้นเปอร์เซียถูกคุกคามจะทำลายล้างให้สิ้นชาติโดยฮามัน ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ที่ทรงอำนาจและเป็นศัตรูของชนชาติยิว แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระนางเอสเธอร์ หญิงสาวชาวยิวที่ได้ขึ้นเป็นพระราชินี และปฏิบัติตามคำแนะนำของโมรเดคัยผู้เป็นลุง เหตุการณ์กลับตาละปัดหน้ามือเป็นหลังมือ ฮามันถูกโทษแขวนคอ และโมรเดคัยได้รับตำแหน่งคืน ชาวยิวกลับทำลายล้างศัตรูของตน วันฉลอง “ ปูริม” ถูกตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงชัยชนะครั้งนี้ สั่งให้ชาวยิวทำการฉลองเป็นประจำทุกปี

เรื่องนี้แสดงให้เห็นความเกลียดชังที่ชาวยิวได้รับจากชนต่างชาติในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นผลมาจากวิถีชีวิตของเขาที่แตกต่างจากชนชาติอื่นๆ ทำให้เขามีความขัดแย้งกับผู้ปกครองที่ต้องการรวบอำนาจไว้ทั้งหมด เช่นเดียวกับที่กษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส เบียดเบียนชาวยิว ความรู้สึกชาตินิยมแบบสุดโต่งนี้เป็นแต่เพียงปฏิกิริยาเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น การเข่นฆ่าอย่างทารุณเพื่อล้างแค้นที่เล่าในหนังสือทำให้เราผู้อ่านรู้สึกว่าโหดเหี้ ยมมาก แต่เราอย่าลืมว่าหนังสือนี้เขียนขึ้นก่อนคำสอนของพระคริสตเจ้า เรายังต้องระลึกถึงวิธีเขียนเล่าเรื่องด้วย การแข่งขันชิงดีกันของพวกนางสนมใน “ ฮาเร็ม” และการฆ่าแบบล้างโคตรทำให้เจตนาของผู้เขียนชัดเจนขึ้น เจตนานี้เป็นเรื่องทางศาสนาโดยตรง การที่โมรเดคัยและพระนางเอสเธอร์ได้เลื่อนตำแหน่ง การที่ชาวยิวได้รับความช่วยเหลือให้รอดตาย ชวนให้ระลึกถึงเรื่องของดาเนียล และโดยเฉพาะเรื่องโยเซฟ ซึ่งแต่แรกถูกกลั่นแกล้งเบียดเบียน แต่แล้วในภายหลังก็ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติเพื่อช่วยประชากรของตนให้รอดพ้น ในเรื่องโยเซฟในหนังสือปฐมกาล พระเจ้ามิได้ทรงสำแดงพระอานุภาพให้ปรากฏภายนอก พระองค์เพียงแต่คอยทรงนำเหตุการณ์อยู่เบื้องหลัง ในหนังสือเอสเธอร์ฉบับภาษาฮีบรูก็เช่นกัน ไม่มีการออกพระนามของพระเจ้าโดยตรง แต่ก็แสดงให้เห็นว่า พระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าคอยควบคุมองค์ประกอบต่างๆของเหตุการณ์ที่เล่า ผู้อยู่ในเหตุการณ์รู้เรื่องพระญาณเอิ้ออาทรดี และมีความหวังลึกๆในพระเจ้าว่าจะทรงช่วยเหลือตามแผนที่ทรงวางไว้ แม้ว่ามนุษย์ที่ทรงเลือกไว้ให้เป็นเครื่องมืออาจมีความลังเล – ดู อสธ 4:13-17 ซึ่งเป็นกุญแจไขให้รู้เจตนาของหนังสือ ข้อความที่เพิ่มเติมเป็นภาษากรีกมีลักษณะทางศาสนาชัดเจนกว่า แต่ก็บอกตรงๆว่าผู้เขียนฉบับภาษาฮีบรูละไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจเอง - พระศาสนจักรใช้ข้อความเพิ่มเติมของหนังสือเอสเธอร์นี้หลายตอนในพิธีกรรม

คำแปลภาษากรีกเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 114 (หรือ 78) ก.ค.ศ. เมื่อหนังสือนี้ถูกส่งไปถึงชาวยิวในอียิปต์เพื่อรับรองงานฉลอง “ ปูริม” เป็นทางการ (ดู อสธ 10:3 l และเชิงอรรถ) ตัวบทภาษาฮีบรูเขียนขึ้นก่อนหน้านั้น คือราวปี 160 ก.ค.ศ. ตามข้อมูลจาก 2 มคบ 15:36 เมื่อชาวยิวในปาเลสไตน์ฉลอง “ วันโมรเดคัย” ซึ่งชวนให้คิดว่าเรื่องพระนางเอสเธอร์หรือหนังสือเอสเธอร์นี้เป็นที่รู้จักดีแล้วด้วย หนังสือนี้อาจเขียนขึ้นราวกลางศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าแต่เดิมอาจไม่เกี่ยวข้องกับการฉลอง “ ปูริม” เลยก็ได้ อสธ 9:20-32 มีลีลาการเขียนแตกต่างจากตอนอื่นและมีลักษณะคล้ายกับเป็นข้อความที่เพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง ประวัติความเป็นมาของวันฉลอง “ ปูริม” นี้ออกจะคลุมเครือ และเป็นไปได้ว่าหนังสือนี้ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับวันฉลองนี้ในภายหลัง เพื่อให้ฉลองนี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ น่าสังเกตว่า มคบ 15:36 ไม่เรียกวันฉลองนี้ว่า “ ปูริม” แต่เรียกว่า “ วันโมรเดคัย”

[hr]
ส่วนหนังสือมัคคาบี ปรีชาญาณ บุตรสิรา ประกาศกดาเนียล จำนำมาทะยอยลงให้ในภายหลัง..

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 5:54 am
โดย Holy
วิชาการยอดเยี่ยมครับ

อยากใส่สีให้จังจะได้อ่านง่ายขึ้น

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 6:05 am
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
Holy เขียน: วิชาการยอดเยี่ยมครับ

อยากใส่สีให้จังจะได้อ่านง่ายขึ้น
คือข้าพเจ้าเองก็มิได้เก่งในเรื่องเทคนคการนำเสนอสักเท่าไร่..
จะเป็นความกรุณาอย่างมากถ่าท่านพี่น้องจะช่วยทำให้มันดีขึ้น..

ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจของพี่น้องเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 7:00 am
โดย Ministry Of Men
ขอบคุณครับ อ่านจบแล้วแอบตาลาย  : emo073 :

รออ่านรุ่นต่อไป..  : emo102 :

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 9:29 am
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
"ความรู้เกี่ยวกับหนังสือมัคคาบี"

    1) หนังสือมัคคาบีทั้งสองฉบับไม่อยู่ในสารบบพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูของชาวยิว พระศาสนจักรคาทอลิกรับว่าหนังสือนี้ได้รับการดนใจ จึงจัดไว้ใน"สารบบที่สอง"("Deutero-canonical" Books) หนังสือทั้งสองฉบับนี้กล่าวถึงการที่ชาวยิวสู้รบกับกษัตรย์แห่งราชวงศ์เซเลฺวซิด เพื่อเสรีภาพทางศาสนาและการเมือง ชื่อ"มัคคาบี" ของหนังสือนี้ได้มาจากสมญา "มัคคาเบอุส"(Maccabaeus) ซึ่งยูดาสพระเอกของเรื่องนี้ได้รับ (1มคบ 2.4) และต่อมาก็ใช้กับบรรดาพี่น้องของเขาด้วย
    2) หนังสือมัคคาบีฉบับที่หนั่งเริ่มเล่าเรื่องราวของคู่อริสองฝ่าย ซึ่งไม่มีวันจะเข้าดีกันใด้ (บทนำ บทที่ 1-2) การแผ่อารยธรรมกรีกกำลังประสบชัยชนะ ชาวยิวบางคนนิยมชมชอบและสนับสนุนกระบวนการนี้ แต่ชาวยิวส่วนใหญ่ที่ยังรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระบัญญัติและพระวิหารต่อต้านไม่ยอมรับอารยธรรมนี้ ฝ่ายหนึ่งมีกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส เป็นผู้ลบหลู่พระวิหารและเบียดเบียนชาวยิว อีกฝ่ายหนึ่งมีมัทธาธีอัส เป็นผู้ริเริ่มการต่อสู่เพื่อเสรีภาพทางศาสนา เรื่องราวในหนังสือแบ่งใด้เป็น 3 ภาค แต่ละภาคเป็นเรื่องราวกิจกรรมของบุตร 3 คนของมัทธาธิอัส ซึ่งเป็นผู้นำขบวนการต่อต้านนี้สืบต่อกัน บุตรคนสำคัญ ยูดาส มัคคาบี (166-160 ก.ค.ศ) ใน 3.1- 9.22 มีชัยชนะแม่ทัพของกษัตริย์อันทิโอคัสหลายครั้ง ยึดพระวิหารคืนมาใด้ ทำพิธีถวายพระวิหาร และทำให้ชาวยิวมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ในรัชสมัยของกษัตริย์เดเมตริอัสที่ 1 เขาต้องผเชิญจากอุปสรรคภายในจากกลอุบายของอัลชีมัสมหาสมณะ แต่เขาก็ยังประสบความสำเร็จในสมรภูมิ นิคาโนร์ซึ่งยกทัพมาจะทำลายพระวิหารต้องประสบความพ่ายแพ้และถูกฆ่าตาย ยูดาสยังทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับชาวโรมัน แต่ในที่สุดเขาก็เสียชีวิตในการรบ หลังจากความตายของยูดาส โยนาธาน น้องชายเป็นผู้นำชาวยิวต่อมา (160-134 ก.ค.ศ.) 9.23 - 12.53 โยนาธานใช้การเมืองนำการทหาร โดยช่วยกำจัดคู่แข่งที่พยายามแย่งชิงราชบัลลังก์ของอาณาจักรซีเรีย กษัตริย์อเล็กซานเดอร์บาลัส ทรงตั้งเขาเป็นมหาสมณะ กษัตริย์เดเมตรีอัสที่ 2 ทรงรับรองการแต่งตั้งนี้ และกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 6 ก็ทรงรับรองอีกครั้งหนึ่งด้วย เขาทำสนธิสัญญากับชาวโรมันและชาวสปาร์ตา ได้ดินแดนเข้ามาปกครองเพิ่มเติม ชาวยิวรู้สึกว่ามีสันติภาพแนนนอนแล้ว แต่ในที่สุดโยนาธานก็เสียทีตกอยู่ในมือของตรีโฟ ซึ่งประหารชีวิตทั้งโยนาธานและยุวกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 6 หลังจากนั้นซีโมนพี่ชายของโยนาธาน (142-134 ก.ค.ศ.) 13.1- 16.24 ให้การสนับสนุนกษัตริย์เดมเตริอัสที่ 2 ซึ่งทรงชิมราชบัลลังก์คืนมาได้ และทรงรับรองซีโมนเป็นมหาสมณะ แม่ทัพและผู้ปกครอง (Ethnarch)ของชาวยิว กษัตริย็อันทิโอคัสที่ 7 ทรงครองราชสืบต่อมาและทรงทำเช่นเดียวกัน ชาวยิวจึงได้รับอิสรภาพทางการเมืองและประกาศรับรองตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าวของซีโมน เขาได้รื้อฟื้นสนธิสัญญากับชาวโรมันอีก ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพ แต่กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 7 กลับทรงเป็นอริกับชาวยิว และบุตรเขยของซีโมน โดยลอบฆ่าซีโมนพร้อมกับบุตรชายสองคน โดยหวังจะได้ความดีความชอบจากกษัตริย์
        เรื่องราวในหนังสือ 1มคบ ครอบคลุมช่วงเวลาราว 40 ปี นับตั้งแต่กษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนสทรงครองราชในปี 175 ก.ค.ศ. จนถึงความตายของซีโมน ในปี 134 ก.ค.ศ. เมื่อยอห์นฮีร์กัน บุตรของเขาขึ้นสืบตำแหน่งต่อมา หนังสือฉบับนี้เขียนเป็นภาษาฮีบรูแต่ตกทอดมาถึงเราในฉบับแปลภาษากรีกเท่านั้น ผู้เขียนเป็นชาวยิวในปาเลสไตน์ คงได้เขียนหนึงสือนี้หลังพี 134 ก.ค.ศ. แต่คงก่อนที่ปอมเปย์ จอมทัพชาวโรมันจะเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็มได้ในปี 63 ก.ค.ศ. บรรทัดสุดท้ายของหนังสือ (16.23-23) แสดงว่าหนังสือนี้เขียนขึ้นอย่างเร็วที่สุดราวปลายรัชกาลของยอห์นฮีร์กัน หรือน่าจะไม่นานหลังจากความตายของเขา คือราวปี 100 ก.ค.ศ. หนังสือฉบับนี้จึงมีคุณค่ามากที่ให้ข้อมูลทางประวัติศาตร์เกี่ยวกับระยะเวลาช่วงนั้น แต่เราก็ต้องไม่เคร่งครัดกับข้อมูลมากนัก เมื่อคำนึงถึงลักษณะวรรณกรรมของงานเขียนที่ได้รับอิธิพลจากการเขียนจดหมายเหตุของชาวอิสราเอลในสมัยโบราณที่หนังสือ 1มคบ นี้ใช้เป็นแบบอย่าง และยังต้องคำนึงถึงเจตนาของผู้เขียนด้วย
        แม้ผู้เขียนจะบรรยายอย่างยืดยาวถึงการสู้รบและการแข่งขันชิงดีกันทางการเมือง แต่เขาก็ยังมีเจตนาเขียน "ประวัติศาสตร์ทางศาสนา" ด้วย เขาคิดว่าความทุกข์ยากของชาติเป็นการที่พระเจ้าทรงลงโทษบาปของประชากร และความสำเร็จของบุคคลสำคัญในเรื่องเป็นผลจากความช่วยเหลือของพระเจ้า ผู้เขียนเป็นชาวยิว มีความห่วงใยต่อความเชื่อที่พวกเขารู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม เมือขนบประเพณีของคนต่างชาติพยายามแทรกซึมเข้ามาทำลายขนบประเพณีดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เขาจึงเป็นอริอย่างที่สุด ไม่ยอมรับอารยธรรมกรีก และมีความนิยมชมชอบต่อบรรดาวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อป้องกันธรรมบัญัติและพระวิหาร จนได้รับอิสรภาพในการปฏิบัติศาสนกิจมาก่อนแล้วยังได้รับอิสรภาพทางการเมืองตามมาด้วย เรื่องเล่าของเขาเล่าว่าลัทธิชาวยิวซึ่งเป็นผู้รักษาความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ได้ทำหน้าที่อย่างไรเพื่อรักษาความจริงนี้ไว้ให้แก่ชาวโลก
    3) หนังสือมัคคาบีฉบับที่สองไม่ใช่เรื่องราวต่อจากฉบับที่หนึ่ง  เรื่องราวใน 2มคบ ส่วนหนึ่งซ้ำกับเรื่องราวใน 1มคบ หนังสือ 2มคบ เริ่มเล่าเหตุการณ์ก่อนเหตุการณ์ใน 1มคบ เล็กน้อย คือเริ่มตั้งแต่ปลายรัชการของกษัตริย์เซเลฺวคัสที่ 4 พระราชบิดาของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส แต่จบลงที่เรื่องยูดาส มัคคาบี รบชนะนิคาโนร์ เพราะฉะนั้นเรื่องราวใน 2มคบ จึงครอบคลุมช่วงเวลาราว 15 ปี ตรงกับ 7 บทแรกในหนังสือ 1มคบ
        ลักษณะวรรณกรรมของ 2มคบ ยังต่างกับ 1มคบ อีกด้วย หนังสือนี้เขียนขึ้นเป็นภาษากรีกตั้งแต่แรก และอ้างว่าเป็นการย่องานเขียนของนักเขียนชื่อยาโสนแห่งไซรีน(2.19-32) นำด้วยจดหมาย 2 ฉบับซึ่งชาวยิวที่กรุงเยรูซาเล็มส่งไปถึงชาวยิวในอียิปต์(1.1-2.18) ลีลาการเขียนเป็นลีลาของนักเขียนชาวกรีก แต่ก็ไม่ใช่ลีลาแบบที่ดีที่สุด บางครั้งมีลีลาโอ่อ่า ยืดยาด มีลักษณะเป็นบทเทศมากกว่าประวัติศาสตร์ แต่ผู้เขียนก็แสดงว่าตนรู้จักสถาบันและบุคคลสำคัญร่วมสมัยดีกว่าผู้เขียน 1มคบ
        ผู้เขียน 2มคบ มีเจตนาให้ผู้อ่านได้รับความสนุกและเห็นแบบอย่างน่าประพฤติตาม(2.25,15.39) ได้แก่เรื่องการสู้รบของยูดาส มัคคาบี เพื่ออิสรภาพ มีเรื่องอภินิหารการประจักษ์จากสวรรค์มาเสริมและจบลงด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า(2.19-22) เขาเล่าว่าการที่ชาวยิวถูกเบียดเบียนเป็นการที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อเตือนให้ประชากรสำนึกถึงความผิดก่อนที่จะทำผิดมากจนถูกพระองค์ลงโทษ(6.12-17) ผู้เขียน 2มคบ เขียนถึงชาวยิวที่เมืองอเล็กซานเดรีย เพื่อปลุกความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องชาวยิวในแผ่นดินปาเลสไตน์โดยเฉพาะเขาต้องการปลุกใจชาวยิวที่เมืองอเล็กซานเดรียให้สนใจต่อสถานภาพของพระวิหาร ซึ่งเป็นศุนย์กลางชีวิตของชาวยิวซึ่งปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ และเป็นเป้าโจมตีจากชนต่างชาติ ความห่วงใยเช่นนี้ปรากฏชัดในการเรียบเรียงเรื่องราวในหนังสือ
        หลังจากเล่าเรื่องเฮลีโอโดรัสล้มเหลวในการปล้นพระวิหาร(3.1-40) เขาแสดงให้เห็นว่าพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์ที่ไม่มีใครล่วงละเมิดใด้ เรื่องราวในภาคแรก(4.1 - 10.8) จบลงด้วยเรื่องการสวรรคตของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส ผู้เบียดเบียนชาวยิวและทำให้พระวิหารมีมลทิน ตามด้วยเรื่องการตั้งวันฉลองถวายพระวิหาร ภาคสอง(10.9 - 15.36) ก็จบด้วยเรื่องความตายของนิคาโนร์ ผู้เบียดเบียนชาวยิวอีกคนหนึ่ง ซึ่งคุกคามจะทำลายพระวิหาร และการตั้งวันฉลองระลึกถึงเหตุการณ์นี้ จดหมายนำทั้งสองฉบับก็สืบเนื่องมาจากความคิดหลักเดียวกัน(1.1 - 2.18) คือการเชิญที่ชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มส่งไปถึงเพื่อนร่วมชาติร่วมศาสนาในอียิปต์ ให้ฉลองการชำระพระวิหารและฉลองการถวายพระวิหาร
        ความตายของนิคาโนร์เป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่เล่าในหนังสือ จึงชวนให้คิดว่างานเขียนของยาโสนแห่งไซรีนนี้คงเสร็จไม่นานหลังจากปี 160 ก.ค.ศ. ถ้าผู้ที่สรุปย่อผลงานชิ้นนี้เป็นเจ้าของจดหมายนำสองฉบับในบทที่ 1-2 ด้วย(แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงไม่ยุติ) น่าจะสรุปได้จากข้อสังเกตใน 1.9 ว่าหนังสือ 2มคบ นี้มีคุนค่าทางประวัติศาสตร์อยู่ไม่น้อยด้วย แม่ว่าผู้สรุปงานของยาโสนแห่งไซรีน(หรืออาจจะเรียกว่า"ผู้เรียกเรียง") รับเอาเรื่องเล่าลือไม่จริงที่อยู่ในจดหมายฉบับที่สอง(1.10ข - 2.18) เล่าเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเฮลีโอโดรัสในบทที่ 3 เรื่องการยองตายเป็นมรณสักขีของเอลีอาซาร์ใน 6.18-31 และเรื่องการเป็นมรณสักขีของพี่น้องเจ็ดคนในบทที่ 7 ซึ่งเขาพบในผลงานของยาโสนและใช้เป็นตัวอย่างสนับสนุนความคิดทางศาสนาของเขาได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเรื่องราวส่วนใหญ่ที่ซึ่งตรงกับที่เล่าใน 1มคบ เป็นประกันว่าเรื่องราวที่ได้มาจากแหล่งข้อมูล 2 แหล่งที่ไม่เกี่ยวกันนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แหล่งข้อมูลทั้งสองแหล่งขัดแย้งกัน และ 2มคบ ดูเหมือนจะถูกต้องกว่า คือ 1มคบ 6.1-13 เล่าว่าพิธีชำระพระวิหารเกิดขึ้นก่อนที่กษัตริย์เอทิโอคัส เอปีฟาเนส จะสวรรคต แต่ 2มคบ 9.1-29 เล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลัง จดหมายเตุลำดับเหตุการณ์แห่งบาบิโลน ที่เพิ่งพิมพ์เผยแพร่พิสูจว่าข้อมูลของ 2มคบ ถูกต้อง กษัตริย์อันทิโอคัสสวรรคตในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปี 164 ก.ค.ศ. ก่อนพิธีถวายพระวิหารซึ่งมีขึ้นในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เกี่ยวกับข้อความที่พบใด้เฉพาะใน 2มคบ เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยว่าข้อมูลในบทที่ 4 เกี่ยวกับช่วงเวลาก่อนหน้าที่กษัตริย์อันทิโอคัสจะละเมิดพระวิหารนั้นจะไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีข้อผิดพลาดประการหนึ่งซึ่งต้องกล่าวว่ามาจากความผิดของผู้สรุปย่อ ไม่ใช่ความผิดของยาโสน คือเขาใด้เพิ่มจดหมายอื่นหลายฉบับและเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนปลายรัชกาลของกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 ซึ่งน่าจะแทรกอยู่ระหว่างบทที่ 8 กับบทที่ 9 มารวมไว้กับพระราชสานของกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 5 (2มคบ 11.22-26)
        หนังสือ 2มคบ มีความสำคัญเพราะยืนยันชัดเจนถึงความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีบของผู้ตาย(ดู 7.9ค, 14.46) เรื่องบำเหน็จรางวัลและการลงโทษในชีวิตหน้า(6.26) เรื่องการภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ(ข้อ 12.38 เชิงอรรถ j,ข้อ 41-46 ฯลฯ) เรื่องผลทางจิตของการเป็นมรณสักขี(6.18 - 7.41) เรื่องที่บรรดานักบุญอาจวอนขอพระเจ้าแทนเราได้(15.12-16,ข้อ14 และ14 เชิงอรรถ e) ข้อเขียนตอนอื่นๆ ในพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงคำสอนต่างๆเหล่านี้อย่างคลุมเครือ การกล่าวยืนยันถึงคำสอนเหล่านี้ทำให้เห็นชัดว่า พระศาสนจักรให้ความสำคัญแก่หนังสือ 2มคบ นี้เป็นการถูกต้องแล้ว
        ในปัจจุบันเราเข้าใจใด้ดียิ่งขึ้นถึงระบบนับลำดับเวลาที่หนังสือแต่ละฉบับใช้ จากการค้นพบเอกสารแผ่นดินเผ่าที่เขียนด้วยอักษรรูปลิ่ม(cuneiform) ซึ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลำดับพระนามของกษัตริย์ราชวงศ์เซเลฺวซิด และลำดับพระนามนี้ได้ทำให้เรากำหนดเวลาสวรรคตของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส ได้ถูกต้อง หนังสือ 1มคบ นับลำดับเวลาโดยใช้ปฏิทินของชาวมาซิโดเนียที่เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 312 ก.ค.ศ. ขณะที่ 2มคบ ใช้ปฏิทินของชาวยิวซึ่งนับลำดับเวลาตามอย่างชาวบาบิโลน ที่เริ่มตั้งแต่เดือนนิสาน(3 เมษายน) ปี 311 ก.ค.ศ. แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอีกสองเรื่อง นั่นคือหนังสือ 1มคบ ใช้ปฏิทินของชาวยิว-บาบิโลนกำหนดเวลาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระวิหารและประวัติศาสตร์ของชาวยิว(1.54, 2.70, 4.52, 9.3,54, 10.21, 13.41,51 14.27, 16.14) แต่จดหมายที่อยู่ใน 2มคบ 11 ใช้ปฏิทินของชาวมาซิโดเนียเป็นตัวกำหนดเวลาดังที่()น่าจะเป็น
        ตัวบทของหนังสือมัคคาบีตกทอดมาถึงเรา ในต้นฉบับอักษรตัวใหญ่(uncial manuscripts) 3 ฉบับ คือ ฉบับภูเขาซีนาย(Codex Sinaiticus) ฉบับจากเมืองอเล็กซานเดรีย(Codex Alexandrinus) และฉบับจากเมืองเวนิส(Codex Venetus) และในต้นฉบับอักษรตัวเล็ก(Minuscules) ราว 30 ฉบับ แต่น่าเสียดายที่ในต้นฉบับภูเขาซีนาย(S) ซึ่งเป็นตัวบทที่รักษาไว้ดีที่สุด ขาดข้อความที่ตรงกับ 2มคบ ต้นฉบับอักษรตัวเล็ก ซึ่งมีรูปแบบตามพระสงฆ์ที่ชื่อ "ลูเซียน"(Lucian) ปรับปรุงแก้ไขราวปี ค.ศ.300 บางครั้งรักษาตัวบทที่เก่าแก่กว่าตัวบทในต้นฉบับโบราณภาษากรีกฉบับอื่นหลายฉบับ และเก่าแก่กว่าตัวบทฉบับที่ Flavius Josephus นักประวัติศาสตร์ชาวยิวใช้อ้างถึงหนังสือ"ประวัติศาสตร์โบราณของชาวยิว"(Antiquities of the Jews) ตามปรกติ Josephus มักเล่าเรื่องตาม 1มคบ โดยไม่ใช้ 2มคบ เลย สำนวนแปลภาษาละตินโบราณ (Vetus Latina) ยังแปลจากตัวบทภาษากรีกซึ่งบ่อยๆ ดีกว่าตัวบทของต้นฉบับที่เรารู้จักด้วย..

ส่วนหนังสือปรีชาญาณ บุตรสิรา ประกาศกดาเนียล จำนำมาทะยอยลงให้ในภายหลัง..

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:18 am
โดย taiyo
ฉบับรวมเล่มออกยังเนี่ย หรือมีแต่แบบแยกสารบบออกไปต่างหาก

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:50 am
โดย Zion
taiyo เขียน: ฉบับรวมเล่มออกยังเนี่ย หรือมีแต่แบบแยกสารบบออกไปต่างหาก
ยังครับ
หนังสือหมวดประกาศกใหญ่และประกาศกน้อย ยังแปลไม่เสร็จ

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 11:46 am
โดย sinner
อืม ข้อมูลตรงตามหนังสือเป๊ะเลย พิมพ์เก่งจัง สามารถๆ นับถือๆ : xemo026 : : emo038 : : emo010 :

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 12:30 pm
โดย เจนจิรา
เล่มนี้ มีใช้ ที่วัด Orthodox ด้วย อย่าง ที่คุณ ยศ บอก อ่ะค่ะ หมวด ประกาศก ย่อย ยังแปลกันไม่เสร็จ เลย คุณพ่อต้อง เอา พระคำภีร์จาก ต่างประเทศมาเปิด สอนกัน เพราะของไทย มีแต่ ของ โปร

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 12:31 pm
โดย Ministry Of Men
ขอบคุณครับ อ่านจบแล้วแอบตาลาย  : emo073 :

รออ่านรุ่นต่อไป..  : emo102 :

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 12:44 pm
โดย sinner
BoYz - The Series เขียน: ขอบคุณครับ อ่านจบแล้วแอบตาลาย  : emo073 :

รออ่านรุ่นต่อไป..  : emo102 :

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..
ป๋าบอยไปล้อเค้าอ่ะ  เค้าน่ารักนะ เราชอบอ่ะ เป็นตัวเองดีออก น่ารัก น่ารักค่ะ : xemo026 : : emo038 : : emo010 :

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 12:46 pm
โดย Ministry Of Men
sinner เขียน: ป๋าบอยไปล้อเค้าอ่ะ  เค้าน่ารักนะ เราชอบอ่ะ เป็นตัวเองดีออก น่ารัก น่ารักค่ะ : xemo026 : : emo038 : : emo010 :
แซวเล่น ฮ่าๆๆ อ่านละอารมณ์ดี  : emo038 :

รูปภาพ

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 3:58 pm
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
กราบสวัสดี..พี่น้องทั้งหลาย..

ตอนนี้ข้าพเจ้าได้แก้ไขรูปภาพให้ชัดขึ้นแล้วนะพี่น้องทุกท่าน..
ใช้ขนาด 1:1 เท่าเล่มจริง

ตอนนี้ทางคณะกรรมการฯ ใด้จัดพิมพ์แบบรวมเล่มแบบ"รวมเป็นหมวดๆ"
ส่วนเรื่องการรวมเล่มทั้งหมดนั้นคาดว่า น่าจะออกก่อนสึ้นปี 2010
เพราะกำหนดเวลาของ "ปีพระวาจา" คือระหว่าง 2007-2010

พระคัมภีร์ที่ออกมาในปีพระวาจา ที่ถือว่าเป็นการชำระพระคัมภีร์ครั้งล่าสุด
ได้แก่..
ภาคพันธสัญญาเดิม-
    หมวดปัญจบรรพ(ปัน-จะ-บับ) 5 เล่มแรก
    หมวดประวัติศาสตร์ 16 เล่ม ถัดมา
    หมวดปรีชาญาณ 7 เล่ม (ซึ่งใด้ออกมาเป็นบางส่วนแล้ว อันได้แก่ หนังสือเพลงสดุดี (ฉบับล่าสุด) และ สารบบที่สอง)
   หมวดประกาศก 18 เล่ม (น่าจะกำลังชำระอยู่)
ภาคพันธสัญญาใหม่-27 เล่ม
   พิมพ์รวมเล่มแล้ว-สำหรับพี่น้องคาทอลิกน่าจะได้แล้วครอบครัวละ 1 เล่ม

ถ้าพี่น้องท่านใดไม่ว่าจะเป็นคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม มีใจที่จะ ศึกษา..เทียบเคียง..หาความรู้ ประดับจิต ประดับใจตน..ก็ขอเชิญสอบถามได้ที่ร้านศาสนพันธ์ทุกแห่ง..

สุดท้ายนี้..จะเป็นเมตตาอย่างมากถ้าท่าน โฮลี จะมาช่วยใส่สี(แต่ไม่ต้องตีไข่ ^^")ให้แก่ องค์ความรู้เหล่านี้เพราะข้าพเจ้าไม่สันทัดเรื่องนี้จริงๆ..


กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 4:29 pm
โดย Ministry Of Men
กราบสวัสดี...
Christophorus Uriel เขียน: สุดท้ายนี้..จะเป็นเมตตาอย่างมากถ้าท่าน โฮลี จะมาช่วยใส่สี(แต่ไม่ต้องตีไข่ ^^")ให้แก่ องค์ความรู้เหล่านี้เพราะข้าพเจ้าไม่สันทัดเรื่องนี้จริงๆ..
แค่เนื้อหาก็ดีมากๆแล้ว ขอบคุณนะครับ



กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 8:34 am
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
"ความรู้เกี่ยวกับหนังสือปรีชาญาณ"

    (1) หนังสือ"ปรีชาญาณ" ซึ่งเขียนเป็นภาษากรีกเป็นหนังสือใน"สารบบที่สอง" บรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรรู้จักและใช้หนังสือฉบับนี้ตลอดมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 2 และแม้ว่าจะมีปิตาจารย์บางท่านยังลังเลใจหรือไม่ยอมรับ โดยเฉพาะ นักบุญเยโรม พระศาสนจักรก็รับรองว่าหนังสือฉบับนี้ได้รับการดลใจหมือนกับหนังสือฉบับอื่นๆ ในสารบบของชาวยิว
          หนังสือฉบับนี้มีชื่อในพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับ Vulgata ว่า "Liber Sapientiae" (หนังสือปรีชาญาณ) ภาคแรก(บทที่ 1-5) อธิบายถึงบทบาทที่ปรีชาญาณมีต่อชะตากรรมของมนุษย์ และยังเปรียบเทียบของชะตะกรรมของคนชอบธรรมและคนอธรรม ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหลังความตาย - ภาคสอง(บทที่ 6-9) กล่าวถึงบ่อเกิดและธรรมชาติของปรีชาญาณ ทั้งยังบอกวิธีที่จะใด้ปรีชาญาณมาครอบครองด้วย - ภาคสุดท้าย(บทที่ 10-19) กล่าวยกย่างบทบาทของปรีชาญาณและของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ของประชากรอิสราเอลที่ทรงเลือกสรร และเน้นเป็นพิเศษ นอกเหนือจากอารัมภบทสั้นๆ ถึงเหตุการณ์วิกฤติในประวัติศาสตร์เพียงประการเดียว คือการที่พระเจ้าทรงช่วยประชากรอิสราเอลให้รอดพ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ ภาคที่สามนี้ยังมีข้อความยืดยาวกล่าวถึงเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพแทรกเข้ามาด้วย ในบทที่ 13-15
          ผู้เขียนสมมุติว่าตนคือกษัตริย์ซาโลมอน แม้เขาจะไม่ออกนามนี้ ดังจะเห็นได้ชัดจากข้อความใน 9:7-8,12 และชื่อของหนังสือในภาษากรีกคือ "พระปรีชาญาณของกษัตริย์ซาโลมอน" ผู้เขียนแสดงตนในข้อความที่เขียนประหนึ่งว่าเป็นกษัตริย์(7:5; 8:9-15) และกำลังให้คำแนะนำแก่เพื่อนกษัตริย์ด้วยกัน(1:1; 6:1-11,21) แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการกล่าวอ้างเช่นนี้เป็นเพียงวิธีการทางวรรณกรรมเท่านั้น เช่นเดียวกับผู้เขียนหนังสือปัญญาจารย์และเพลงซาโลมอน เขาอ้างว่าตนคือกษัตริย์ซาโลมอน ผู้ทรงปรีชายิ่งใหญ่ที่สุดของอิสราเอล หนังสือปรีชาญาณนี้ทั้งเล่มเขียนเป็นภาษากรีก รวมทั้งภาคแรก(บทที่ 1-5) ซึ้งมีบางคนเข้าใจผิดคิดว่าแต่แรกเขียนเป็นภาษาฮีบรู เรื่องราวซึ่งต่อเนื่องกันอย่างดีในหนังสือแสดงให้เห็นได้ชัดว่าหนังสือฉบับนี้เป็นผลงานของผู้เขียนคนเดียวเท่านั้น หนังสือฉบับนี้ยังมีลีลาการเขียนที่คงที่ตลอดเล่ม เป็นลีลาวรรณกรรมที่ไหลลื่นน่าฟัง และบางครั้งเมื่อจำเป็น ยังเป็นลีลาที่เร้าใจแบบนักพูดปราศรัยต่าสาธารณชนผู้ฟังด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เขียนเป็นชาวยิว - เขามีความเลื่อมใสศรัจธาต่อ"พระเจ้าของบรรพบุรุษ"(9:1) และภูมิใจที่เป้นสมาชิกของ "ประชากรศักดิ์สิทธิ์ พงพงศ์พันธุ์ไร้มลทิน"(10:15) แต่เขาก็เป็นชาวยิวที่รับอิทธิพลของอารยธรรมกรีก การที่เขากล่าวยืดยาวถึงการอพยพโดยเปรียบเทียบชาวอียิปต์กับชาวอิสราเอล กล่าวประณามการนับถือกราบไหว้สัตว์เป็นเทพเจ้า แสดงว่าเขาพำนักอยู่ที่กรุงอเล็กซานเดรีย ราชธานีของโลกเฮเลนีสต์ในสมัยราชวงศ์โทเลมี ที่ซึ่งมีชาวยิวโพ้นทะเลพำนักอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้เขียนอ้างข้อความจากพระคัมภีร์ (พันธสัญญาเดิม) จากตัวบทฉบับ LXX ซึ่งเป็นคำแปลพระคัมภีร์ภาษากรีกที่มีกำเนิดขึ้นในสังคมที่นั่น ผู้เขียนจึงน่าจะมีชีวิตอยู่หลังจากที่คำแปลพระคัมภีร์ฉบับนี้เสร็จบริบูรณ์แล้ว แต่ก็ก่อนสมัยของฟีโล (Philo 20 ก.ค.ศ.-ค.ศ. 54) เพราะเขาไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงนัหปรัชญาผู้นี้เลย และฟีโลเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้กล่าวอ้างอิงถึงข้อความในหนังสือปรีชาญาณนี้ด้วยเช่นกัน ถึงกระนั้นเราก็พบความคิดคล้ายๆ กันหลายประการในข้อเขียนของคนทั้งสองนี้ ซึ้งมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันและมีช่วงเวลาใกล้เคียงกันด้วย นักวิชาการยังพิสูจน์โดยปราศจากข้อโต้แย้งไม่ได้ว่าผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ใช้ข้อความจากหนังสือปรีชาญาณ แต่ดูเหมือนว่าเปาโลได้รับอิทธิพลจากลีลาการเขียนของหนังสือฉบับนี้ และยอห์นก็ดูเหมือนว่าจะได้ยืมความคิดบางประการจากหนังสือปรีชาญาณมาใช้อธิบายเทววิทยาเรื่องพระวจนาตถ์ด้วย หนังสือฉบับนี้น่าจะเขียนขึ้นตอนปลายศตวรรษแรกก่อนคริสตกาลนับได้ว่าเป็นหนังสือฉบับสุดท้ายของพันธสัญญาเดิม

    (2) เจตนาแรกของผู้เขียนฉบับนี้คือ เขียนสำหรับเพื่อนร่วมชาติชาวยิว ซึ่งมีความเชื่อคลอนแคลน เพราะได้รับอิทธิพลที่ดึงดูดความสนใจจากความก้าวหน้าด้านวิชาการที่กรุงอเล็กซานเดรีย จากระบบความคิดทางปรัชญาทันสมัยที่ทรงอิทธิพล จากความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาเรื่องธรรมชาติ จากความน่าสนใจของพิธีกรรมทางศาสนาลึกลับ จากโหราศาสตร์ จากรหัสยลัทธิหลายแบบ จากศาสนพิธีน่าเลื่อมใสซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยังคิดถึงคนต่างศาสนาที่ไม่ใช่ชาวยิวด้วย โโยหวังจะชักนำคนเหล่านี้ให้เข้ามาหาพระเจ้าผู้ทรงรักมนุษย์ทุกคน เจตนาดังกล่าวอาจสังเกตเห็นได้หลายครั้งจากวิธีพูดและวลีที่ใช้ ถึงกระนั้นเจตนานี้ยังคงเป็นเจตนารอง หนังสือปรีชาญาณสนใจที่จะปกป้องความเชื่อของชาวยิวมากกว่าที่จะดึงดูดคนต่างศาสนาเข้ามาเป็นพวกเดียวกับตน
          เมื่อพิจารณาดูสภาพแวดล้อม ความรู้ การศึกษา และเจตนาของผู้เขียนแล้ว เราไม่แปลกใจเลยที่ผลงานของเขามีความสัมพันธ์หลายด้านกับความคิดแบบกรีก ถึงกระนั้นเราก็ไม่ควรย้ำเรื่องนี้มากเกินไป การศึกษาอบรมตามแบบอารยธรรมกรีกทำให้ผู้เขียนรู้จักถ้อยคำที่เป็นนามธรรมหลากหลายขึ้น และรู้จักใช้กระบวนการแสดงความคิดตามเหตุผลใด้มากกว่าที่คำศัพท์และโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาฮีบรูเอื้ออำนวยให้แสดงออกได้ การอบรมศึกษาเช่นนี้ทำให้ผู้เขียนรู้จักศัพท์เฉพาะทางปรัชญาหลายคำ รู้จักหมวดหมู่สิ่งของและประเด็นเรื่องราวต่างๆ ที่เขากล่าวถึงได้อย่างเป็นระเบียบ แต่อิทธิพลที่ผู้เขียนมีอย่างจำกัดและไม่ลึกซึ้งมากนักจากอารยธรรมนี้ก็มิได้หมายความว่าเขานิยมคงามคิดแบบกรีกอย่างเต้มที่ เขาเพียงแต่ยืมถ้อยคำมาเพื่อแสดงความคิดที่เขาได้รับมาจากพันธสัญญาเดิมเท่านั้น ความรู้ของเขาเกี่ยวกับปรัชญาสำนักต่างๆ และเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์คงจะมีไม่มากไปกว่าผู้มีการศึกษาโดยทั่วไปร่วมสังคมร่วมสมัยเท่านั้น

    (3) ผู้เขียนไม่ใช่นักปรัชญาหรือนักเทววิทยา เขาเป็นเพียง"ผู้มีปรีชา" ตามแบบของอิสราเอลเท่านั้น เช่นเดียวกับนักเขียนวรรณกรรมประเภทปรีชาญาณซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนหน้านั้น เขายกย่องส่งเสริมปรีชาญาณซึ่งมีกำเนิดจากพระเจ้า ว่าเป็นบ่อเกิดของความชอบธรรมและคุณความดีทุกประการ มนุษย์เราจะต้องอธิษฐานวอนขอปรีชาญาณนี้จากพระเจ้า แต่ผู้เขียนหนังสือปรีชาญาณมาความก้าวหน้ากว่าผู้ที่มาก่อนเขา โดยเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ ที่มนุษย์เพิ่งค้นพบจาก"ปรีชาญาณ"ที่มีอยู่แล้วนี้(ปชญ 7:17-21; 8:8) ปัญหาเรื่องการให้รางวัลความดีซึ่งบรรดาผู้มีปรีชาในอตีดเคยศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานานแต่ไม่พบคำตอบที่น่าพอใจ (ดูความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมปรีชาญาณ ข้อ 3) ในที่สุดก็พบคำตอบในหนังสือปรีชาญาณนี้ ผู้เขียนใช้ความรู้จากปรัชญาของพลาโตที่แยกวิญญาณกับร่างการของมนุษย์(ดู ปชญ 9:15) และคำสอนเรื่องอมตภาพของวิญญาณ เพื่อประกาศสอนว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติให้มีชีวิตอมตะ(ปชญ 2:23) และความไม่รู้เสื่อมสลายเป็นรางวัลจากปรีชาญาณและเป็นหนทางนำมนุษย์ไปพบพระเจ้า(ปชญ 6:18-19) ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงการเตรียมตัวไปรับชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง ที่ผู้ชอบธรรมมีอยู่กับพระเจ้า ส่วนคนอธรรมจะต้องใด้รับโทษ(ปชญ 3:9-10) ผู้เขียนไม่กล่าวพาดพิงถึงการกลับคืนชีพของร่างกาย แต่ก็ดูเหมือนว่าเขายอมรับว่าร่างการอาจกลับคืนชีพมารับสภาพความเป็นอยู่แบบเดียวกับจิตได้ ซึ่งเป็นความพยายามที่ยะประนีประนอมแนวความคิดแบบกรีกเรื่องอมตภาพของชีวิตเข้ากับคำสอนของพระคัมพีร์ ซึ่งมีแนวโน้มกล่าวถึงเรื่องการกลับคืนชีพของร่างกาย (เทียบ ดนล)
          คำสอนของหนังสือประชาญาณที่ว่า"พระปรีชาญาณ" คือคุณลักษณะของพระเจ้านั้นเป็นคำสอนที่มีอยู่แล้วในพระคัมภีร์ พระปรีชาญาณมีส่วนร่วมงานของพระเจ้าในการเนรมิตสร้าง และนำประวัติศาสตร์ไปสู่จุดหมายปลายทาง คุณสมบัติของพระปรีชาญาณที่หนังสือฉบับนี้กล่าวถึงตั้งแต่บทที่ 11 เป็นต้นไปนั้นก็คือคุณลักษณะของพระเจ้าด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระปรีชาญาณคือคุณลักษณะเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงใช้ในการปรกครองดูแลโลกจักรวาล เพียงแต่ว่า "พระปรีชาญาณเป็นสิ่งที่ไหลล้นจากพระสิริรุ่งโรจน์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ... เป็นแสงสะท้อนความสว่างนิรันดร ... เป็นภาพลักษณ์แห่งความดีล้ำเลิศของพระองค์" (ปชญ 7:25-26) เพราะฉะนั้น"(พระ)ปรีชาญาณ" จึงแตกต่างจากพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแสงสะท้อนออกมาจากพระธรรมชาติของพระองค์ ในเรื่องนี้ดูเหมือนว่าผู้เขียนหนังสือปรีชาญาณไม่ได้ก้าวไกลไปกว่านักเขียนวรรณกรรมปรีชาญาณคนอื่นๆ (ดู"ความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมปรีชาญาณ"ข้อ 2) ไม่ปรากฎว่าผู้เขียนให้พระปรีชาญาณมีความเป็นอยู่เป็นเอกเทศแยกจากพระเจ้า แต่ทว่าข้อความทั้งตอนเกี่ยวกับธรรมชาติของพระปรีชาญาณใน ปชญ7:22 - 8:8 พัฒนาวิธีแสดงความคิดดั้งเดิมต่อไปอีกก้าวหนึ่ง และมีความเข้าใจถึงลักษณะต่างๆ ของปรีชาญาณลึกซึ้งยิ่งขึ้น
          ผู้เขียนหนังสือปรีชาญาณไม่ใช่คนแรก ที่ที่บรรยายถึงประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอลก่อนหน้านั้น"บุตรสิรา" ก็เคยทำมาแล้ว (บสร บทที่ 44-50; ดู สดด บทที่ 78, 105, 106, 135, 136 ด้วย) แต่ผู้เขียนหนังสือปรีชาญาณมีเอกลักษณ์เฉพาะของตนในสองเรื่อง เรื่องแรกคือเขาพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขั้นและให้ข้อสรุป "ปรัชญาประวัติศาสตร์ทางศาสนา" ซึ่งมีการอธิบายแบบใหม่ถึงเหตุการณ์ที่มีเล่าในพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น เขาพยายามมองหาให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใช่"ความพอดี" ในการที่ทรงลงโทษชาวอียิปต์และชาวคานาอันใน ปชญ 11:15 - 12:27 ส่วนเรื่องที่สองที่มีความหมายมากกว่านี้คือ เขานำเรื่องราวที่มีเล่าอยู่แล้วในพระคัมภีร์มาเล่าใหม่ให้เข้ากับความคิดและคำสอนที่เขาต้องการแสดง ในบทที่ 16-19 เขาจะเปรียบเทียบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่มีผลต่อชะตากรรมต่างกันของชาวอียิปต์และของชาวอิสราเอล ผู้เขียนคิดค้นรายระเอียดมาเพิ่มเติมในการเล่าเหตุการณ์ต่างๆ บางทีก็นำเรื่องที่เกิดขึ้นต่างวาระกันมารวมเข้าไว้ด้วยกัน บางทีก็ขยายรายละเอียดของเหตุการณ์ให้ใหญ่โตยิ่งขึ้นกว่าที่เป้นจริง วิธีการทั้งหมดนี้เป้นตัวอย่างดีเลิศของวิธีการที่บรรดาธรรมาจารย์ชาวยิวในสมัยต่อมาจะใช้อธิบายพระคัมภีร์ คือวิธีการที่นักวิชาการในปัจจุบันเรียกว่า"Midrash"
          รสนิยมของผู้อ่านได้เปลี่ยนไปพร้อมกับกาลเวลา และหนังสือปรีชาญาณก็ได้สูญเสียความนิยมที่เคยมีมาแต่ก่อน ถึงกระนั้น เรื่องราวในสองภาคแรก (บทที่ 1-9) ก็ยังมีข้อคิดหลายประการสำหรับคริสตชน พระศาสนจักรจึงยังใช้ข้อความหลายตอนจากหนังสือปรีชาญาณในพีธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
          ตัวบทของหนังสือปรีชาญาณมีเก็บรักษาตกทอดมาถึงปัจจุบัน ในเอกสารคัดลอกด้วยมือที่สำคัญ 4 ฉบับ ได้แก่สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B อายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 4) สำเนาโบราณฉบับภูเขาซีนาย (S อายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 4 เช่นกัน) สำเนาโบราณฉบับอเล็กซานเดรีย (A อายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 5) และสำเนาโบราณฉบับ C (Ephaemi rescriptus อายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 5) และยังพบได้อีกในสำเนาโบราณจำนวนหนึ่งซึ่งมีความสำคัญในอันดับรอง สำเนาโบราณดีที่สุดคือสำเนาโบราณฉบับวาติกัน(B) ซึ่งใช้เป็นต้นฉบับในการแปลสำนวนนี้ ตัวบทนี้มีชื่อเรียกจากนักวิชาการโดยทั่วไปว่า "Textus receptus" (หมายความว่า "ตัวบทที่ทุกคนยองรับ") ส่วนสำเนาแปลโบราณภาษาละตินที่ปรากฏในพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับ Vulgata เป็นสำนวนแปลเก่าที่เรียกว่า "Itala" (ใช้อักษรย่อว่า Lat.) และนักบุญเยโรมไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขเสำนวนแปลฉบับนี้ ทั้งนี้เพราะท่านนักบุญองค์นี้ไม่ยอมรับหนังสือในสารบบที่สองนั่นเอง



ส่วนหนังสือบุตรสิรา ประกาศกดาเนียล จำนำมาทะยอยลงให้ในภายหลัง..

กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงอยู่ในใจท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 11:34 am
โดย วอ
ฝรั่งเศสมีแล้ว จีนมีแล้ว ไทยยังไม่สมบูรณ์

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะวันตก/โรมัน คาทอลิก)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 1:04 pm
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
วอ เขียน: ฝรั่งเศสมีแล้ว จีนมีแล้ว ไทยยังไม่สมบูรณ์
กราบสวัสดี..พี่น้องทุกท่าน..

ในทัศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า..ไม่ควรจะเอาเราไปเปรียบเทียบกับที่อื่น..
ต้องทำความเข้าใจกับจำนวนประชากร, บุคลากร..และอีกหลายๆอย่าง..
ต้องดูสิ่งต่างๆเหล่านี้ประกอบทั้งสิ้น..
ถ้าท่านพี่น้องท่านอื่นท่านใด้ที่การส่องสว่างของพระภายในจิตใจเขามีน้อย..ได้เขามาอ่านพบเข้า..
จะพาลคิดว่า..บุคลากรของเราด้อยประสิทธิภาพเอาเสียได้..

แกะมันรอนายชุมพาบาลของมัน ให้พากลับบ้านกลับคอกฉันได..
เราก็จงเป็นเหมือนแกะที่รอเวลานั้นเถิด..ฉันนั้น
ฉะนั้นจงอธิษฐานภาวนา..ขอให้พระผู้เป็นเจ้า..ได้โปรดประทานพระหรรษทานต่างๆ ที่เอื้อต่อการชำระพระคัมภีร์ครั้งนี้ให้เสร็จโดยเร็ววันเถิด..


กราบลา..
ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนวยพร..
ขอสันติสุขจงสถิตกับท่านพี่น้องทั้งหลายเถิด..

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 24, 2010 2:28 pm
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหนังสือบุตรสิรา
(หรือ Ecclesiasticus)


(1) หนังสือฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีก แต่ไม่อยู่ในสารบบพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู จึงเป็นหนังสือพระคัมภีร์ใน “สารบบที่สอง” ซึ่งพระศาสนจักรรับรอง หนังสือนี้เคยเรียกกันว่า “Ecclesiasticus” (ละคำว่า “Liber” จึงแปลได้ว่า “หนังสือของพระศาสนจักร”) แต่เราเรียกหนังสือในฉบับแปลนี้ว่า “บุตรสิรา” (เพราะเหตุผลที่จะกล่าวในภายหลัง) หนังสือฉบับนี้แต่เดิมเขียนเป็นภาษาฮีบรู นักบุญเยโรมและธรรมาจารย์ชาวยิวหลายคน (ซึ่งอ้างถึงหนังสือฉบับนี้) รู้จักตัวบทเดิมภาษาฮีบรูของหนังสือ เมื่อปี ค.ศ. 1896 มีผู้ค้นพบราว 2 ใน 3 ของตัวบทภาษาฮีบรูนี้ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของสำเนาฉบับคัดลอกในสมัยกลาง ในห้องเก็บหนังสือพระคัมภีร์ที่ใช้ไม่ได้แล้ว (Geniza) ของศาลาธรรมแห่งหนึ่งที่กรุงไคโร หลังจากนั้นยังมีผู้ค้นพบชิ้นส่วนเล็กๆจำนวนหนึ่งของหนังสือนี้ในถ้ำที่กุมราน (Qumran) และในปี ค.ศ. 1964 ยังมีผู้ค้นพบตัวบทยาวพอใช้ (บสร 39:27 – 44:17) ที่ Massada ตัวบทเหล่านี้เขียนมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริสตกาล การที่พบว่ามีสำนวนแปลต่างๆไม่เหมือนกันของหนังสือนี้ และสำนวนแปลเหล่านี้ยังแตกต่างไปบ้างจากสำนวนแปลภาษากรีกและซีเรียคอีกด้วยเช่นนี้ แสดงว่าหนังสือฉบับนี้ได้รับการขัดเกลาสำนวนและใช้กันอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยแรกๆแล้ว

ตัวบทภาษากรีกเป็นตัวบทเดียวที่พระศาสนจักรรับรองว่าได้รับการดลใจ เราใช้ตัวบทนี้ในการแปล อันที่จริงตัวบทนี้ได้รับการคัดลอกไว้ในสำเนาโบราณสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ฉบับภูเขาซีนาย (Codex Sinaiticus) ฉบับอเล็กซานเดรีย (Codex Alexandrinus) และฉบับวาติกัน (Codex Vaticanus) ตัวบทเหล่านี้โดยรวมแล้วก็เป็นตัวบทที่ใช้กันทั่วไป เรียกว่า “Textus receptus” (หรือ “ตัวบทที่ทุกคนยอมรับ”) ตัวบทนี้แตกต่างกันหลายแห่งกับตัวบทภาษาฮีบรู ซึ่งเราจะแจ้งไว้ในเชิงอรรถ

ส่วนชื่อในภาษาละตินว่า “Ecclesiasticus (liber)” เป็นชื่อที่เกิดขึ้นในภายหลัง คือสมัยนักบุญซีเปรียน (กลางคริสตศตวรรษที่ 3) ชื่อนี้อาจมาจากการที่พระศาสนจักรยอมรับหนังสือฉบับนี้เป็นทางการ ในขณะที่ชาวยิวไม่ยอมรับ หนังสือนี้ในภาษากรีกได้ชื่อว่า “ปรีชาญาณของเยซูบุตรของสิรัค” (ดูข้อความใน บสร 51:30) และผู้เขียนยังออกนามตนเองใน 50:27 อีกด้วย ในปัจจุบันนี้เราเรียกหนังสือนี้ว่า “บุตรสิรา” (“Ben Sira” -- หรือ “Siracides” ซึ่งในภาษากรีกแปลว่า “บุตรของสิรัค”) ใน “คำนำ” (ข้อ 1-35) หลานปู่ของผู้เขียนเล่าว่าตนได้แปลหนังสือฉบับนี้เมื่อเขาเดินทางไปพำนักอยู่ที่ประเทศอียิปต์ในปีที่ 38 รัชกาลกษัตริย์ Euergetes (ข้อ 27) กษัตริย์พระองค์นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากกษัตริย์โทเลมีที่ 7 Euergetes (แปลว่า “ผู้กระทำความดี”) ซึ่งครองราชย์ในช่วงเวลาปี 170-117 ก.ค.ศ. ดังนั้นปีที่เขากล่าวถึงจึงตรงกับปี 132 ก.ค.ศ. บุตรสิราผู้เขียน (ซึ่งเป็นปู่ของผู้แปล) จึงน่าจะมีชีวิตอยู่และเขียนหนังสือนี้ราว 60 ปีก่อนหน้านั้น คือราวปี 190-180 ก.ค.ศ. ข้อความตอนหนึ่งในหนังสือก็สนับสนุนความเห็นนี้ด้วย ใน บสร 50:1-21 บุตรสิรากล่าวสรรเสริญสิโมนมหาสมณะ คำชมนี้คงต้องมาจากความทรงจำของผู้เขียน มหาสมณะผู้นี้คือมหาสมณะสิโมนที่ 2 ซึ่งถึงแก่มรณภาพภายหลังปี 200 ก.ค.ศ.ไม่นาน

ในช่วงเวลาที่กล่าวถึงนี้ ดินแดนปาเลสไตน์เพิ่งเข้ามาอยู่ใต้ปกครองของราชวงศ์เซเลวซิด (คือตั้งแต่ปี 198 ก.ค.ศ.) บรรดาผู้นำชาวยิวหลายคนในสมัยนั้นสนับสนุนการรับอารยธรรมกรีกในรูปแบบต่างๆเข้ามาในสังคม และหลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส (175-164 ก.ค.ศ.) ก็ใช้กำลังบังคับให้ชาวยิวยอมรับอารยธรรมกรีก บุตรสิราเป็นคนหนึ่งที่พยายามใช้พลังทุกอย่างของธรรมประเพณีประจำชาติ ในการต่อต้านกระแสความนิยมใหม่ๆน่าอันตรายนี้ เขาเป็นธรรมาจารย์ที่แสวงหาปรีชาญาณ อีกทั้งยังมีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เขามีความเลื่อมใสต่อพระวิหารและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และเคารพนับถือตำแหน่งสมณะอย่างมาก หนังสือต่างๆในพระคัมภีร์ยังเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจของเขาด้วย เขาจึงศึกษาคำสอนของบรรดาประกาศก และยิ่งกว่านั้นยังศึกษาข้อเขียนของบรรดาผู้มีปรีชาของอิสราเอลด้วย เพราะฉะนั้น เขาจึงพยายามสั่งสอนปรีชาญาณนี้ต่อไปแก่ทุกคนที่กระหายอยากศึกษาหาความรู้ดังกล่าวด้วย (ดู 33:18; 50:27 เทียบ ข้อ 7-14 ของ “คำนำ”)

หนังสือ “บุตรสิรา” นี้มีรูปแบบเหมือนกับหนังสือประเภทปรีชาญาณที่ผู้มีปรีชาคนอื่นเคยเขียนไว้ก่อนหน้านั้น ยกเว้นข้อความถวายเกียรติสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าที่แสดงออกในธรรมชาติ (42:15 – 43:33) และในประวัติศาสตร์ (44:1 – 50:29) หนังสือนี้มีเนื้อหาคล้ายกับในหนังสือสุภาษิตและหนังสือปัญญาจารย์ ซึ่งก็ไม่สู้จะมีระเบียบความคิดต่อเนื่องเป็นหมวดหมู่แต่ประการใด หนังสือนี้กล่าวถึงเรื่องต่างๆโดยไม่มีระเบียบความคิดต่อเนื่องกันนัก และมีการกล่าวซ้ำเรื่องเดียวกันอยู่บ่อยๆด้วย เรื่องราวแต่ละเรื่องถูกจัดไว้ในรูป “คำคม” “คำพังเพย” หรือ “สุภาษิต” เป็นกลุ่มๆที่ไม่มีความคิดต่อเนื่องกันเท่าใดนัก ตอนท้ายของหนังสือมีภาคผนวกอยู่ 2 ตอน คือ “บทเพลงขอบพระคุณพระเจ้า” ใน 51:1-12 และบทประพันธ์เรื่องการแสวงหาปรีชาญาณ ใน 51:13-30 มีผู้ค้นพบตัวบทภาษาฮีบรูของภาคสุดท้ายนี้ที่ถ้ำกุมราน (Qumran) แทรกอยู่ในเอกสารคัดลอกของหนังสือเพลงสดุดี จึงสรุปได้ว่าบทประพันธ์บทนี้แต่เดิมแยกอยู่ต่างหากก่อนที่บุตรสิราจะนำมาผนวกไว้ในหนังสือของตน

คำสอนของหนังสือบุตรสิราเป็นคำสอนตามธรรมประเพณี เช่นเดียวกับรูปแบบของหนังสือปรีชาญาณ บุตรสิรายกย่องส่งเสริมว่าปรีชาญาณนี้มาจากพระเจ้า มีความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นราก ปรีชาญาณนี้เสริมสร้างบุคลิกของเยาวชนและนำความสุขมาให้ บุตรสิรามีความเห็นยังไม่ชัดเจนเช่นเดียวกับโยบในเรื่องชะตากรรมของมนุษย์ รวมทั้งปัญหาเรื่องบำเหน็จรางวัลความดีความชั่วด้วย เขาเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เขาเข้าใจดีว่าเวลาที่คนเราต้องตายนั้นมีความสำคัญมาก แต่เขาก็ยังไม่เห็นว่าพระเจ้าจะประทานรางวัลให้แต่ละคนได้อย่างไรตามที่การกระทำของเขาควรจะได้รับ (ดู “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรมประเภทปรีชาญาณ” ข้อ 3) ใน บสร 24:1-22 เมื่อกล่าวถึงธรรมชาติของพระปรีชาญาณของพระเจ้า บุตรสิรานำข้อความเกี่ยวกับปรีชาญาณในหนังสือสุภาษิตและหนังสือโยบมาพัฒนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

แต่ความคิดใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของบุตรสิราโดยเฉพาะ และไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อนก็คือ ความคิดที่ว่าพระปรีชาญาณก็คือธรรมบัญญัติของโมเสส (บสร 24:23-24; บารุคก็จะทำเช่นเดียวกันในบทประพันธ์ยกย่องปรีชาญาณใน บรค 3:9 – 4:4) ความคิดที่บุตรสิรามีไม่เหมือนกับนักเขียนอื่นๆก่อนหน้านั้นก็คือ เขาให้ความสำคัญแก่ปรีชาญาณเหมือนกับให้ความเคารพนับถือต่อธรรมบัญญัติ ยิ่งกว่านั้น เขาสอนว่าการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติคือการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาอย่างละเอียดถี่ถ้วน (บสร 35:1-10) เขาจึงเป็นผู้สนับสนุนอย่างมั่นคงให้ทุกคนประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ด้วยความศรัทธา

(2) ตรงข้ามกับบรรดาผู้มีปรีชาก่อนหน้านั้น บุตรสิราพิจารณาถึงประวัติศาตร์แห่งความรอดพ้นใน บสร 44:1 – 49:16 เขาพิจารณาถึงบุคคลสำคัญๆในพันธสัญญาเดิม ตั้งแต่เฮโนคมาจนถึงเนหะมีย์ คำตัดสินของเขาต่อบุคคลสามคนเป็นคำตัดสินที่รุนแรงไม่แพ้คำตัดสินของผู้เขียนประวัติศาสตร์ตามแนวหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ (Deuteronomic historians) ได้แก่คำตัดสินกษัตริย์ซาโลมอน (แม้จะทรงได้รับพระนามว่าเป็นแบบฉบับของผู้มีปรีชาทั้งหลาย) กษัตริย์เรโหโบอัมและเยโรโบอัม เขายังประณามบรรดากษัตริย์ทุกองค์เหมือนกันหมด นอกจากกษัตริย์ดาวิด เฮเซคียาห์และโยสิยาห์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังภูมิใจในอดีตของประชากรของตน และกล่าวยืดยาวเป็นพิเศษถึงบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาเดิม และยังกล่าวถึงการอัศจรรย์ต่างๆที่พระเจ้าทรงใช้ผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือ เขาเล่าถึงการที่พระเจ้าทรงกระทำพันธสัญญากับโนอาห์ กับอับราฮัม กับยาโคบ กับโมเสส อาโรน ฟีเนหัส และกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเป็นเสมือนผู้แทนของประชากรทั้งชาติ แต่พระองค์ยังประทานสิทธิพิเศษกับครอบครัวบางครอบครัว โดยเฉพาะกับครอบครัวบรรดาสมณะ ทั้งนี้ก็เพราะบุตรสิราให้ความเคารพนับถืออย่างมากแก่บรรดาสมณะ เขากล่าวถึงอาโรนและฟีเนหัสในตำแหน่งต้นๆของบัญชีรายชื่อบรรพบุรุษ นอกจากนั้น คำยกย่องบรรพบุรุษของเขาจบลงด้วยคำสรรเสริญยืดยาวต่อสิโมน มหาสมณะซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น บุตรสิรามองย้อนอดีตที่รุ่งเรืองด้วยความเศร้าอยู่บ้าง เมื่อเขาคิดถึงสภาพปัจจุบัน เขาอธิษฐานอ้อนวอนเมื่อคิดถึงบรรดาผู้วินิจฉัยและประกาศก ขอให้ “กระดูกของท่านเหล่านี้ผลิดอกขึ้นมาอีกจากหลุมศพ” (46:12; 49:10) ขอให้ท่านเหล่านี้มีผู้สืบตำแหน่งต่อไป เขาเขียนหนังสือฉบับนี้ไม่นานนักก่อนที่พวกมัคคาบีจะเป็นกบฏต่อต้านราชวงศ์เซเลวซิด เขาอาจมีชีวิตอยู่จนได้เห็นจุดจบของการกบฎนี้และคิดว่าพระเจ้าได้ทรงฟังคำอธิษฐานของตนแล้ว

(3) แม้ว่าบุตรสิราให้ความสำคัญแก่คำสอนเรื่องพันธสัญญาในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นที่เขาเขียน แต่น่าจะเป็นความคิดถูกต้องด้วยว่าเขาไม่ได้มองไปข้างหน้าถึงการกอบกู้ที่พระเมสสิยาห์จะนำมาให้ จริงอยู่ที่คำอธิษฐานของเขาใน บสร 36:1-17 ทูลอ้อนวอนพระเจ้าให้ทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่เคยทรงให้ไว้ ขอให้พระองค์ทรงสงสารกรุงเยรูซาเล็มและรวบรวมตระกูลต่างๆของยาโคบไว้ด้วยกัน ถึงกระนั้น การกล่าวทำนายถึงอนาคตแบบชาตินิยมเช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดาสำหรับบุตรสิรา ดูเหมือนว่าเขาจะมีลักษณะของผู้มีปรีชาแท้จริงที่ยอมรับสภาพการณ์ปัจจุบันของเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งแม้จะเป็นสภาพการณ์ความตกต่ำแต่ก็ยังมีสันติภาพ เขามั่นใจว่าการกอบกู้จะมาถึง แต่การกอบกู้นี้จะเป็นรางวัลตอบสนองความซื่อสัตย์ต่อธรรมบัญญัติ ไม่ใช่เป็นผลงานของพระเมสสิยาห์ผู้กอบกู้

บุตรสิราเป็นผู้แทนคนสุดท้ายของผู้มีปรีชาชาวยิวในปาเลสไตน์ ซึ่งได้รับการดลใจจากพระเจ้า เขาเป็นตัวอย่างเด่นชัดของพวก “ฮาสิดิม” (หรือ “ผู้เลื่อมใส”) ของศาสนายูดาย (ดู 1 มคบ 2:42 เชิงอรรถ i) ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นจะเป็นผู้ปกป้องความเชื่อของชาวยิวต่อต้านการเบียดเบียนของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส และจะรักษาผู้มีความเชื่อกลุ่มเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ในอิสราเอล ในกลุ่มผู้มีความเชื่อเช่นนี้คำสอนของพระคริสตเจ้าจะหยั่งรากลงได้ในเวลาต่อมา แม้ว่าหนังสือบุตรสิรา (หรือ Ecclesiasticus) จะไม่ได้รับการยอมรับในสารบบพระคัมภีร์ของชาวยิว บรรดาธรรมาจารย์หลายคนก็อ้างถึงหนังสือนี้บ่อยๆในข้อเขียนของตน ในพันธสัญญาใหม่ จดหมายของยากอบยืมข้อความหลายตอนมาจากหนังสือฉบับนี้ พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิวกล่าวพาดพิงถึงหนังสือฉบับนี้หลายครั้ง และจนกระทั่งในปัจจุบัน พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสะท้อนธรรมประเพณีปรีชาญาณโบราณฉบับนี้อยู่

Re: พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง (ของพระศาสนจักรตะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 27, 2010 8:49 am
โดย Jeab Agape
พี่โฮลี่น่าจะแปะไว้ที่บอร์ดบทความนะฮะ : xemo033 : แต่ขออนุญาต เจ้าของเขาเสียก่อน : xemo026 :

Re:พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สารบบที่สอง(ของพระศาสนจักรตะวั

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 28, 2010 10:43 pm
โดย †ผู้แบกพระคริสต์
ความรู้เกี่ยวกับหนังสือบารุค

หนังสือบารุคอยู่ในกลุ่มหนังสือ “สารบบที่สอง” ไม่พบในพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรู พระคัมภีร์ฉบับภาษากรีกจัดหนังสือฉบับนี้ ไว้ระหว่างหนังสือประกาศกเยเรมีย์ และเพลงคร่ำครวญ ส่วนพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับ Vulgata จัดหนังสือฉบับนี้ไว้ทันทีหลัง “เพลงคร่ำครวญ” เรารู้จากอารัมภบท (1:1-14) ของหนังสือนี้ว่าบารุค ซึ่งเป็นเลขานุการของประกาศกเยเรมีย์ เขียนหนังสือฉบับนี้ที่กรุงบาบิโลนหลังจากที่ชาวยิวถูกจับเป็นเชลยไปที่นั่น และส่งหนังสือนี้มาถึงชาวยิวที่กรุงเยรูซาเล็มสำหรับอ่านในการประชุมประกอบพิธีกรรม หนังสือนี้มีเนื้อหาดังนี้ [1] บทอธิษฐานภาวนาสารภาพความผิดที่ได้ทำ แต่ก็แสดงความหวัง (1:15 – 3:8); [2] บทประพันธ์เกี่ยวกับ “ปรีชาญาณ” (3:9 – 4:4) กล่าวว่า “ธรรมบัญญัติ” (Torah) คือปรีชาญาณ; [3] คำพยากรณ์ (4:5 – 5:9) ซึ่งกรุงเยรูซาเล็มกล่าวกับชาวยิวในถิ่นเนรเทศ และประกาศกปลอบโยนเขาทั้งหลายให้มีความหวังในพระเมสสิยาห์

อารัมภบทเขียนเป็นภาษากรีก ส่วนบทอธิษฐานภาวนาใน 1:15 – 3;8 นั้นเห็นได้ชัดว่ามีต้นฉบับเป็นภาษาฮีบรูเช่นเดียวกับข้อความในภาคที่ [2] และ [3] ผลงานชิ้นนี้น่าจะเขียนขึ้นราวกลางศตวรรษแรกก่อนคริสตกาลแน่ๆ

ในพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีก หนังสือเพลงคร่ำครวญแยก “จดหมายของประกาศกเยเรมีย์” ออกจากหนังสือบารุค แต่พระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับ Vulgata รวมจดหมายนี้ (โดยมีชื่อต่างหาก) ไว้กับหนังสือบารุค นับเป็นบทที่ 6 -- “จดหมาย” นี้เป็นข้อความต่อต้านการนับถือรูปเคารพ โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องไร้เหตุผล ลีลาการเขียนไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ เป็นการขยายความคิดที่มีอยู่แล้วใน อสย 44:9-20; ยรม 10:1-16 การนับถือรูปเคารพที่ถูกต่อต้านเป็นการปฏิบัติของชาวบาบิโลนในสมัยหลัง จดหมายฉบับนี้น่าจะเขียนเป็นภาษาฮีบรูตั้งแต่แรก แต่ก็เป็นผลงานในสมัยชาวกรีกปกครอง แม้จะเจาะจงให้ชัดลงไปไม่ได้ว่าเขียนขึ้นเมื่อไร ก็ดูเหมือนว่า 2 มคบ 2:1-3 กล่าวพาดพิงถึง “จดหมาย” ฉบับนี้

นักวิชาการใช้หลักฐานทางโบราณคดีบอกได้ว่า ชิ้นส่วนเล็กๆ ชิ้นหนึ่งของตัวบทภาษากรีกซึ่งพบได้ที่ถ้ำกุมรานมีอายุตั้งแต่ราวปี 100 ก.ค.ศ.

ข้อเขียนทั้งหมดนี้ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในชื่อของ “บารุค” ให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับชุมชนชาวยิวซึ่งอยู่นอกแผ่นดินปาเลสไตน์ (Diaspora) ว่าเขามีวิธีการอย่างไรเพื่อรักษาความเชื่อทางศาสนาของตนไว้ ได้แก่การมีความสัมพันธ์กับกรุงเยรูซาเล็ม การอธิษฐานภาวนา ความเลื่อมใสต่อธรรมบัญญัติ ความกระหายอยากได้รับรางวัลตอบแทนจากพระเจ้า ความหวังในพระเมสสิยาห์ หนังสือบารุค เช่นเดียวกับหนังสือเพลงคร่ำครวญ เป็นพยานแสดงให้เห็นว่าชาวยิวยังมีความเคารพนับถืออย่างมั่นคงต่อประกาศกเยเรมีย์ หนังสือสั้นๆ ทั้งสองฉบับนี้อ้างว่าเป็นผลงานของท่านประกาศกและของศิษย์ของท่าน ชาวยิวยังให้ความเคารพต่อบารุคยิ่งขึ้นต่อๆ มา ตั้งแต่ศตวรรษที่สอง ก.ค.ศ. มีหนังสือประเภท “วิวรณ์” นอกสารบบ พระคัมภีร์ 2 ฉบับมีชื่อของเขา ฉบับหนึ่งพบได้ในภาษากรีก อีกฉบับหนึ่งพบได้ในภาษาซีเรียค (เรายังมีชิ้นส่วนคำแปลภาษากรีกของฉบับนี้อยู่บ้างอีกด้วย)