รูปแม่พระนิจจานุเคราะห์เป็นรูปสุดยอดของไอคอน เป็นสิ่งอัศจรรย์ที่บันทึกถึงความเชื่อความศรัทธาของคริสตชนที่มีต่อพระเยซูเจ้าและแม่พระมาตลอดสองพันปี และความศรัทธานี้จะทวียิ่งขึ้นในพันปีที่สาม แต่จะมีมิติใหม่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการรำพึงภาวนาจากรูปนี้
แม่พระนิจจานุเคราะห์เป็นรูปที่รวมเอาแนวเรื่องหลายอย่างมาไว้ในรูปเดียว เราพึงทำความเข้าใจเครื่องหมายต่างๆที่มีอยู่ในรูป เพื่อที่จะเห็นภาพรวมและข่าวดีที่รูปนี้ประกาศ
1. มารีย์ มารดาพรหมจารีย์แห่งพระผู้ไถ่
ในรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์ มีรูป "แม่พระกับพระกุมาร" เป็นรูปพื้นฐาน เป็นการยืนยันว่าพระกุมารนี้เป็นมนุษย์แท้ และเป็นพระเป็นเจ้าแท้เช่นกัน พระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปมนุษย์ตามที่ได้สัญญาไว้ เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเป็นอมตะ ทรงสร้างมนุษย์มาตามพระฉายาของพระธรรมชาติพระองค์ เพราะความอิจฉาของปีศาจ (ล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป) ความตายจึงเข้ามาในโลก ผู้ที่อยู่ข้างปีศาจก็จะประสบความตาย (ปชญ.2.23)
ข้อความต่างๆในพระวรสารที่ยืนยันถึง "มารีย์ เป็นมารดาของพระผู้ไถ่ที่พระเจ้าสัญญาไว้" มีอยู่หลายตอน เช่น เทวทูตแจ้งสารแก่มารีย์ว่าจะเป็นมารดาพระเจ้า (ลก.1.26-38) นางเอลิซาเบธและยอห์น บัปติสต์ได้ยืนยันว่าเป็นมารดาพระเจ้า (ลก.1.39-56) ฯลฯ
2. เทวทูตมีหน้าที่แจ้งสาร
เทวทูตในศิลปะไอคอนมีหน้าที่เป็นผู้ถือสารจากพระเจ้า เทวทูตคาเบรียลและมีคาแอลที่ปรากฏในรูปนั้น เพื่อมาแจ้งให้พระเยซูทราบว่าจะต้องตายอย่างไร "หากพระองค์จะไถ่บาปมนุษยชาติจะต้องผ่านการทรมานและตายอย่างนี้ (แสดงในรูปเทวดาแบกเครื่องมือทรมาน) จะรับได้ไหม?" และพระเยซูรู้สึกตกใจกลัว
3. รองเท้าหลุด
ภาพรองเท้าหลุดนี้ มองได้สองประเด็นคือ ประเด็นแรกพระเยซูตกใจ ตอนหดเท้าทำให้รองเท้าหลุดได้ หรืออาจจะวิ่งเข้าหาแม่เมื่อเห็นเทวทูตสองท่านนำเครื่องทรมานมา ทำให้สายรองเท้าขาด หรืออีกประเด็นหนึ่งคือพระเยซูได้สลัดรองเท้าออกข้างหนึ่ง เป็นการตอบรับแผนไถ่กู้ของพระเจ้าที่เทวทูตได้เสนอมา ความคิดนี้ได้มาจากแนวคิดที่มีอยู่ในหนังสือพระธรรมเก่าเรื่องรูธ ได้กล่าวถึง "การวางรองเท้าลงบนสิ่งใดก็เป็นการประกาศว่าตนเป็นเจ้าของสิ่งนั้น" คงจะเหมือนกับการทำสัญญาและมีการลงนามในข้อตกลงซื้อขายในสมัยเรา ในกรณีนี้ การที่รองเท้าหลุดก็บ่งบอกว่าพระเยซูได้ตกลงน้อมรับแผนการของพระเจ้าตามที่เทวทูตของพระเจ้าเสนอมา บัดนี้แผนการของพระเจ้าก็กลายเป็นแผนการของพระเยซูไปแล้ว"
4. ใบหน้าที่โศกเศร้า
ใบหน้าอันเศร้าโศกของมารีย์ บ่งบอกถึงความทุกข์ระทมที่อยู่ภายในหัวใจของแม่ เมื่อเทวทูตมาแจ้งให้พระเยซูทราบว่าพระเยซูจะต้องตายอย่างไร และมารีย์ก็รับรู้แผนการของพระเจ้านี้ด้วย จึงเก็บความรู้สึกอันเจ็บปวดนี้ไว้ในใจแต่ผู้เดียว ความรู้สึกนี้ได้สะท้อนออกมาจากการทำนายของสิเมโอนว่า "หัวใจของนางจะโศกเศร้าทุกข์ระทมเหมือนกับมีดาบมาทิ่มแทงดวงใจของนาง"
ความเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อคำทำนายนั้นกลายเป็นความจริง...พระเยซูถูกจับ ถูกโบยตีและถูกทารุณกรรม เยาะเย้ย และที่สุดต้องแบกกางเขนสู่แดนประหาร และตายบนไม้กางเขนอย่างช้าๆต่อหน้าต่อตา...หัวใจแทบจสลายตายตาม เมื่อมือทั้งสองที่เคยอุ้มลูกที่น่ารักนั้นต้องมาอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของลูก
ตอนนี้เองที่ทำให้เข้าใจถึงสัจธรรมของความชั่วร้ายและความทุกข์ทรมานที่เกิดแก่มนุษยชาติ
5. การกลับคืนชีพ
ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าหน้าของพระกุมารนั้นค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่และหน้าตาไม่เศร้าโศก เป็นการแสดงว่าพระเยซูผู้สิ้นพระชนม์นั้น บัดนี้กลับเป็นขึ้นมา มีชีวิตแบบใหม่ และเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าพระทรมานผ่านไปแล้วคือเทวทูตทั้งสองที่ถือเครื่องพันธนาการนั้นอยู่หลังฉาก กลายเป็นอดีตไปแล้ว และพระเยซูก็ไม่ได้มองเครื่องทรมานด้วย แต่กำลังสนใจมองอะไรที่อยู่ข้างหน้านอกรูปกางเขน ในศิลปะไอคอน เรามองได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับแนวคิดของความเชื่อถือและความตั้งใจของผู้วาด
แบบแรกนั้น เป็นกางเขนที่เทวทูตกาเบรียลถืออยู่นั้น หมายถึงกางเขนแห่งพระทรมานและความตาย
แบบที่สอง ในขณะที่คริสตชนออโธดอกซ์รัสเซีย มองดูกางเขนอันเดียวกันนี้เป็นกางเขนชัย พระเยซูมีชัยชนะต่อความตายแล้ว และท่าทีของเทวดาทั้งสองที่อยู่ในรูปก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ากำลังนำข่าว "พระทรมานละความตาย" มาให้พระเยซู ดังนั้น กางเขนในรูปนี้จึงมีความหมายว่าพระเยซูได้กลับคืนชีพแล้ว
6. เสื้อสีแดง (จักรพรรดิณี)
จุดที่แสดงว่ามารีย์เป็นจักรพรรดิณีก็คือ เสื้อสีแดงเป็นสีของกษัตริย์หรือราชวงศ์ มีบางท่านก็ให้ความคิดเห็นว่าสีแดงหมายถึงพรหมจารีย์ ดังนั้น เราจึงเรียกรูปนี้ว่า "มารีย์ พรหมจารีย์เป็นจักรพรรดิณี" ชื่อก็ได้บ่งบอกถึงสถานภาพของมารีย์ ถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นมารดาพรหมจารีย์
หากพญาสามองค์เดินทางแสวงหากษัตริย์ของชาวยิว และพบพระองค์อยู่ในอ้อมแขนของมารีย์มารดาของพระองค์ ก็มีเหตุผลให้ผู้วาดรูปนี้คิดว่ามารีย์เป็นพระมารดาของกษัตริย์ของชาวยิวหรือจักรพรรดิณีหรือราชินีแห่งสากลโลก
7. มือที่รองรับองค์พระเยซู
ส่วนมือซ้ายของมารีย์ที่อุ้มชูพระกุมาร ซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ทั้งสวรรค์และแผ่นดินไม่สามารถจะรองรับพระองค์ได้ แต่มือของพระนางมารีย์เป็นเหมือนบัลลังก์ที่รองรับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สามารถช่วยทุกคนที่วอนขอให้ได้รับความรอดด้วย
มือที่อุ้มและรองรับมือของพระกุมาร แสดงว่ามารีย์ให้การสนับสนุนและร่วมมือกับพระเยซูในการไถ่บาปมนุษย์อย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นของลูกก็เป็นของแม่ด้วย ลูกต้องไถ่กู้มนุษยชาติด้วยชีวิต และแม่ก็มอบชีวิตให้อยู่เคียงข้างลูก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มารีย์อยู่ที่นั้นแล้ว ตั้งแต่พระเยซูเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์...หนีไปอียิปต์...ตามหาพระเยซูและพบในพระวิหาร...มีคนว่า "พระเยซูเสียสติแล้ว"...พระเยซูถูกจับ...ตายบนกางเขน...หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ ยังอยู่เคียงข้างกับบรรดาสาวก...ล้วนแต่แสดงถึงการรับใช้อย่างใกล้ชิดของมารีย์
สังคายนาวาติกันที่ 2 บรรยายถึงแม่พระว่า "มารีย์ได้อุทิศตนเองรับใช้พระเจ้าและงานของพระบุตรเยี่ยงทาสของพระองค์..ภายใต้การนำของพระบุตรอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้าผู้สูงสุด" (LG.56)
8. มือที่ชี้ไปทางพระเยซู
มือของมารีย์เป็นมือที่ "ชี้ทางชีวิต" ที่ชี้ไปหาพระเยซู เพระพระเยซูเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต
ที่งานเลี้ยงสมรสที่เมืองคานา มารีย์เรียกคนใช้ของเจ้าภาพมา แล้วชี้ไปทางพระเยซู สั่งว่า "จงทำตามที่เขาสั่ง" (ยน.2.5) จากพระวรสารของนักบุญยอห์น จะเห็นว่างานเลี้ยงที่คานาเกิดขึ้นหลังจากพระเยซูได้เรียกฟิลลิปและนาธานาแอล ตามด้วยแอนดรู ซีมอน เจมส์และยอห์นให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์...และต่อหน้าพวกเขา มารีย์แสดงให้พวกเขารู้ว่า "จงทำตามที่เขา (พระเยซู)สั่ง"
มือที่ชี้ไปทางพระเยซูนั้น ยังบอกกับคนที่อยู่ข้างหน้ารูปนี้ว่า "จงทำตามที่เขาสั่ง" จงเชื่อมั่นในองค์พระเยซู
9. ภาวนา
ตาของมารีย์มองไปยังคนที่มาภาวนาต่อหน้าพระรูปนี้ในเวลาเดียวกัน มือขวาก็ชี้ไปทางพระเยซู ก็หมายความว่าแม่พระได้เห็นความต้องการของผู้ที่มาภาวนาต่อหน้ารูปนี้ แล้วนำเสนอลูกที่อยู่ในอ้อมแขน สายตาที่มองมายังผู้วิงวอนเท่ากับชี้ (ด้วยสายตา) ให้พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นด้วย การยกมือขึ้นหรือชี้ไปหาพระเยซู เป็นเครื่องหมายของการภาวนา
10. รูปดาวที่หน้าผาก
รูปดาวแปดแฉกอยู่บนหน้าผากของพระนางมารีย์ มีความหมายว่า "ลำแสงเปรียบเหมือนมือของพระเจ้า ที่อวยพรจากเบื้องบนลงมายังมนุษย์ทุกคน รูปดาวนี้เป็นเครื่องหมายแห่งพระหรรษทานที่พระโปรยปรายลงมายังมารีย์มารดาพระเจ้า
ดาวยังมีความสัมพันธ์กับการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ ซึ่งบรรดาประกาศกได้ประกาศไว้ ดาวได้นำทางพญาสามองค์และคนเลี้ยงแกะมายังถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เบธเลแฮม แต่บัดนี้ เป็นพระนางมารีย์ที่เป็นดาวที่นำทางบรรดาสัตบุรุษให้มาพบพระกุมาร
11. สีต่างๆ
สีเขียวหมายถึงสิ่งมีชีวิต ก็หมายถึงพระเจ้าทรงชีวิต สีน้ำตาล เป็นสีดิน หมายถึงมนุษย์ คือมนุษย์มาจากดิน ตายแล้วจะกลับกลายเป็นดิน สีแดง เป็นสีที่หมายถึงกษัตริย์หรือราชวงศ์ สีน้ำเงิน เป็นสีท้องฟ้า หมายถึงความเป็นเทพ(นักบุญ) คล้ายๆพระเจ้า แต่ไม่ใช่พระเจ้า
จิตรกรจะใช้สีต่างๆเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมาย ในรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์ พระเยซูมีสีเขียวหมายถึงพระองค์เป็นพระเจ้าแท้ มีสีน้ำตาลหมายถึงพระองค์เป็นมนุษย์แท้และสีแดง พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งสากลโลก ส่วนแม่พระนั้น มีเสื้อคลุมเป็นสีน้ำเงินหมายถึงมีความเป็นเทพหรือนักบุญ มีสีเขียวก็หมายถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า(มารดาพระเจ้า) และสีแดงหมายความว่าแม่พระเป็นจักรพรรดิณี
สีทองที่เป็นพื้นภาพและที่ฉายแสงไปบนตัวของเทวทูต ของมารีย์และองค์พระกุมาร รวมทั้งรัศมีรอบๆศีรษะของพระกุมาร เป็นสีแห่งความรอด ได้รับการไถ่บาปแล้ว พระเยซูกลับคืนชีพ...แม้ว่าจะอยู่ในความทุกข์ ก็มีความสุขได้ เพราะ "เมื่อท่านถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่"
ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์ ลูกกราบอยู่ต่อหน้า พระแม่ด้วยความไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง วอนขอความช่วยเหลือจากพระแม่ ในปัญหาชีวิตประจำวัน ความทุกข์ทรมาน มักจะทำให้ลูกท้อถอย การ ตกทุกข์ได้ยากและความขาดแคลนที่แสนจะเจ็บปวด นำความทุกข์มาสู่ชีวิตของลูก ลูกประสบกางเขนแห่งความทรมาน ไม่ว่าจะหันไปทางไหน
ข้าแต่ พระมารดาผู้เห็นใจ โปรดสงสารลูกด้วย โปรดจัดหาสิ่งที่ลูกขาดแคลน โปรดให้ลูกพ้นความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่จะให้ลูกต้องทรมานต่อไปแล้ว ก็โปรดให้ลูกสามารถ ทนรับทุกอย่าง ด้วยความรักและความอดทน นี่คือ พระหรรษทานที่ลูกวอนขอ ลูกมิได้ไว้ใจในบุญกุศล ของตนเองเลย หากแต่ไว้ใจในความรัก และฤทธิ์อำนาจของพระแม่ ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์
[email]
http://www.issara.com/article/maryicon.html[/email] : xemo026 :
