หน้า 1 จากทั้งหมด 2

การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 23, 2009 9:37 pm
โดย เลย์
คาทอลิกเราสามารถบนบานได้หรอครับ คือ เวลาเลย์ไปวัดมักจะได้ยินคริสตชนคุยกันบ่อยๆว่า เวลาอยากขอ

อะไรให้ไปบนแม่พระบ้าง นักบุญอันตนบ้าง นักบุญยอแซฟบ้าง นักบุญยูดาบ้าง ฯลฯ มันทำให้เลย์คิดว่า

การที่เราบนบานแบบนี้มันจะไม่ผิดต่อพระบัญญัติข้อที่ 1 หรอครับ หรือมันจะไม่เป็นซูแปร์ติซังหรอครับ ..

เลย์คิดว่าถ้าบนแล้วได้ตามที่ปรารถนามันก็ดีไป แต่ถ้าบนแล้วไม่ได้ดั่งปรารถนาอาจทำคนนั้นต่อว่าพระ ทำไม

พระองค์ไม่ช่วยอย่างนี้อย่างนั้น มันจะกลายเป็นบาป เลย์ว่าอย่าไปบนดีกว่า ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำ

พระทัยจะดีกว่าครับ..  : xemo016 :

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 23, 2009 9:40 pm
โดย Ministry Of Men
ผู้บนคงไม่ได้สนใจในคำสอนหรือพระวาจาพวกหลักธรรมอะไรพวกนี้

แต่คงเป็นแบบคนทั่วๆไป ที่เชื่อและศรัทธาแบบไม่มีความรู้ (แต่ก็น่าจะผ่านการเรียนคำสอนมา)

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 23, 2009 10:24 pm
โดย Mobster
สมัยเรียนคำสอนอยู่นะ

คริสตชนสามารถบนบานได้ แต่ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ตามที่ขอ ต้องทำตามที่บนด้วย


สำหรับผม เวลาขอ ต้องขอด้วยความเชื่อและความหวัง

ขอยกนิทาน

มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้งมาก จึงรวมตัวกันไปที่โบสถ์เพื่อขอให้พระเจ้าประทานฝน
มีเพียงคนเดียวที่เอาร่มไปด้วยเพราะเชื่อว่าพระเจ้าจะให้ตามที่ขอ
ด้วยความเชื่อขอคนท่านนั้น พระเจ้าจึงประทานฝนมาให้

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2009 12:54 am
โดย Holy
กจ 18:18-23  เปาโลกลับมาที่เมืองอันทิโอกและออกเดินทางธรรมทูตครั้งที่สาม
เปาโลพักอยู่ในเมืองโครินธ์อีกหลายวัน แล้วลาบรรดาพี่น้องแล่นเรือไปยังแคว้นซีเรียพร้อมกับปริสซิลลาและอาควิลา ก่อนออกเรือที่เมืองเคนเครียเปาโลโกนศีรษะ เพราะได้บนขอไว้ ทั้งสามคนมาถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลแยกจากปริสซิลลาและอาควิลาที่นั่น แล้วเข้าไปในศาลาธรรม ถกเถียงกับชาวยิว  ชาวยิวเหล่านี้ขอให้เปาโลพักอยู่กับเขานานกว่านั้น แต่เปาโลปฏิเสธ  ขณะที่อำลากันนั้น เปาโลพูดว่า “ข้าพเจ้าจะกลับมาพบท่านอีก ถ้าพระเจ้าทรงพระประสงค์ แล้วจึงแล่นเรือออกไปจากเมืองเอเฟซัส  เมื่อมาถึงเมืองซีซารียา เปาโลขึ้นไปคำนับทักทายกลุ่มคริสตชนแล้วเดินทางต่อไปยังเมืองอันทิโอก  หลังจากอยู่ในเมืองอันทิโอกระยะหนึ่ง เปาโลออกจากที่นั่น เดินทางไปทั่วแคว้นกาลาเทียและฟรีเจีย เพื่อทำให้บรรดาศิษย์มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น

กจ 21:15-26  เปาโลเดินทางถึงกรุงเยรูซาเล็ม
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เราก็เตรียมตัวและขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ศิษย์บางคนจากเมืองซีซารียาร่วมเดินทางไปกับเรา และพาเราไปพักที่บ้านของชาวเกาะไซปรัสคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ชื่อมนาสัน  เมื่อเรามาถึงกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาพี่น้องต้อนรับเราด้วยความยินดี  วันรุ่งขึ้น เปาโลและเราไปพบยากอบ บรรดาผู้อาวุโสทุกคนอยู่ที่นั่นด้วย  เปาโลทักทายเขาเหล่านั้นและเล่าทุกสิ่งอย่างละเอียดที่พระเจ้าทรงกระทำกับคนต่างศาสนาโดยงานธรรมทูตของตน  ทุกคนได้ฟัง ก็ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แล้วพูดกับเปาโลว่า “น้องเอ๋ย ท่านเห็นแล้วว่า ชาวยิวนับพันนับหมื่นคนมีความเชื่อและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด”  เขาได้ยินคนกล่าวว่า ท่านสอนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในหมู่คนต่างศาสนาให้ละทิ้งธรรมบัญญัติของโมเสส โดยสอนว่าไม่ต้องให้ลูกเข้าสุหนัตและไม่ต้องปฏิบัติตามธรรมประเพณี  เราควรจะทำอย่างไรดี ชาวยิวจะต้องรู้แน่ว่าท่านมาที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้น จงทำตามที่เราบอกเถิด ที่นี่เรามีชายสี่คนที่จะต้องแก้บน จงพาคนเหล่านี้ไปร่วมพิธีชำระตนพร้อมกัน จงออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เขาเพื่อทำพิธีโกนผมแล้วทุกคนจะรู้ว่า ข่าวลือที่เขาได้ยินเกี่ยวกับท่านนั้นไม่เป็นความจริง แต่ท่านยังดำเนินชีวิตปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ  ส่วนคนต่างศาสนาที่มีความเชื่อ เราได้ส่งจดหมายแจ้งคำตัดสินของเราให้เขารู้ว่า เขาต้องงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายแด่รูปเคารพแล้ว ต้องงดเว้นการกินเลือด งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอ และงดเว้นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย”  วันรุ่งขึ้น เปาโลพาชายเหล่านั้นไปทำพิธีชำระตนพร้อมกัน แล้วเข้าไปในพระวิหารเพื่อแจ้งว่าวันชำระตนจะครบกำหนดเมื่อใด เพราะในวันนั้นแต่ละคนจะต้องถวายเครื่องบูชา

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2009 2:20 am
โดย Like a Heaven
ไม่ต้องบนก้อได้มั้งครับ

พระเรามีพร้อมอยู่แล้ว ท่านคงไม่อยากได้อะไรจากเราอีก

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2009 9:20 am
โดย Ma~Ri~A
สำหรับเรา เราเรียกว่าคำสัญญามากกว่า
เวลาจะขออะไร เราจะทำในสิ่งที่เราสัญญากับพระไว้ก่อน
เช่น สวดประคำ เป็นเวลา 1 เดือน วันละกี่สาย อะไรแบบเนี้ย
แล้วเราก็มักจะได้รับสิ่งที่เราอยากได้ หลังจากที่เราทำภารกิจตามคำสัญญาเสร็จสิ้นไปแล้ว

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2009 9:25 am
โดย Jeab Agape
เจี๊ยบว่า "บนบาน" ที่เราพูดๆกัน น่าจะเป็นคำมั่นสัญญาที่เหนียวแน่น ว่าถ้าเราได้รับอย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ให้พระองค์

เช่นเจี๊ยบเคยฟังคำพยาน ของศิษยาภิบาลของโปรฯว่า "ถ้าพระเจ้ารักษาเขาหายโรค... เขาจะถวายตัวรับใช้พระเจ้าตลอดชีวิต"

หรือบางคนอยู่ในวิกฤติ มากๆ อธิษฐานว่า "ถ้าลูกรอดตาย จะใช้ชีวิตที่เหลือรับใช้พระองค์" เป็นต้น

ซึ่งต่างกับ การบนบาน ของคนไม่เชื่อพระเจ้า ที่คาทอลิกเรียก "ซูแปติซัง" ฮะ

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 25, 2009 12:13 am
โดย Deo Gratias
กรณีที่ 1 ติดสินบนพระเจ้าเป็นชีวิตประจำวัน (ไม่สนับสนุน)
คนในสังคมไทยมีนิสัยชอบติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "ถ้าพระ....ให้สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันจะ...." พอได้ก็หัวหมู รำไท แล้วจบกัน
แต่ชีวิตคริสตชนเราขอพระเจ้าก็ให้อยู่แล้ว ถ้าเป็นน้ำพระทัย ไม่ต้องติดสินบนหรอก เราเป็นลูกไม่ใช่หรอ
พระเจ้าเป็นพ่อย่อมให้สิ่งที่ลูกขอ ตามที่ทรงเห็นสมควร โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อหรือแลกเปลี่ยน เหมือนพระอื่น
ส่วนเราจะทำดีสิ่งใดถวายพระเจ้าก็ขอให้ทำด้วยใจ ไม่ควรเอามาเป็นข้อต่อรองว่าพระเจ้าต้องให้เราก่อนเราถึงทำ

กรณีที่ 2 สัตย์ปฏิญาณกับพระเจ้าในช่วงสำคัญของชีวิต (สนับสนุน)
เป็นกรณีอย่างที่ศิษย์พี่เจี๊ยบบอกคือการที่เราถวายสัตย์ปฏิญาณกับพระเจ้า (พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องแต่เราสมัครใจถวายปฏิญาณเอง)
หลังจากนั้นก็เป็นความรับผิดชอบของเราว่าจะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้ารึเปล่า ถ้าเราลืมหรือแกล้งลืมพระเจ้าก็มีวิธีกระตุ้นเราเองแหละ
กรณีแบบนี้ต่างจากกรณีแรก เพราะสิ่งปฏิญาณคือสิ่งที่จะทำไปตลอดชีวิต ไม่ใช่วิ่งรอบโบสถ์ หรือกวาดวัดแล้วจบ(ยกตัวอย่าง)
ดังนั้นจึงไม่ใช่จะปฏิญาณพร่ำเพรื่อได้บ่อยๆ กรณีนี้ส่วนใหญ่จะพบในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือช่วงสำคัญองชีวิต

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 25, 2009 3:14 am
โดย Mobster
Deo Gratias เขียน: รูปภาพ
แมวน่ารักจัง

ขอแถมนิดนึง เผื่อจะมีพี่น้องที่มีคำพูดติดปากแบบผม

เพราะผมเองเวลาคุย โดยเฉพาะกับทางบ้าน(โดยเฉพาะเวลาชี้แจงเหตุผล หรือ เถียง)
จะมีคำพูดติดปาก"ยา อัลลอฮฺ"(โอ้พระเจ้า แต่ผมใช้ความหมายของ สาบานในนามพระเจ้า)
หรือ "ยา อัรร็อบบี"(โอ้พระผู้อภิบาล แต่ผมใช้ความหมายของ สาบานในนามพระผู้อภิบาล)

เพิ่งปรึกษาทั้งครูคำสอนและคุณพ่อพบว่า
"อาจจะผิดในการเอ่ยพระนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ"
เลยแบบว่าเตือนเผื่อพี่น้องมีคำพูดติดปากแบบผม

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 25, 2009 12:27 pm
โดย sinner
มีเรื่องเล่าของเพื่อนค่ะ เค้าไม่ได้เป็นคาทอลิก แต่แต่งงานกัแฟนที่เป็นคาทอลิก

แต่งงานกันนาน 5 ปีแล้ว ก็ไม่มีวี่แววที่จะมีลูก จนวันนึงเค้าท้าทายพระเจ้าว่า

เค้าไม่เชื่อในพระเจ้าหรอก ถ้าพระเจ้ามีจริงทำให้เค้ามีลูกแล้วจะเชื่อ  ::024::

อิอิ...ต่อมาไม่นานก็ท้องค่ะ...ตอนนี้ลูกสองแล้ว...และล้างบาปเป็นครสต์ชนเรียบร้อยละค่ะ ::026::

บางทีก็มีเรื่องอัศจรรย์แบบนี้ค่ะ  ไม่มีอะไรที่พระเจ้าจะทรงทำไม่ได้ค่ะ ::022::

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 2:38 pm
โดย st.dominic savio
จงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า ส่วนที่เหลือพระองค์จะทรงเติมเต็มให้เราเอง  : xemo016 :

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 2:45 pm
โดย Ministry Of Men
Deo Gratias เขียน: กรณีที่ 1 ติดสินบนพระเจ้าเป็นชีวิตประจำวัน (ไม่สนับสนุน)
คนในสังคมไทยมีนิสัยชอบติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "ถ้าพระ....ให้สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันจะ...." พอได้ก็หัวหมู รำไท แล้วจบกัน
แต่ชีวิตคริสตชนเราขอพระเจ้าก็ให้อยู่แล้ว ถ้าเป็นน้ำพระทัย ไม่ต้องติดสินบนหรอก เราเป็นลูกไม่ใช่หรอ
พระเจ้าเป็นพ่อย่อมให้สิ่งที่ลูกขอ ตามที่ทรงเห็นสมควร โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อหรือแลกเปลี่ยน เหมือนพระอื่น
ส่วนเราจะทำดีสิ่งใดถวายพระเจ้าก็ขอให้ทำด้วยใจ ไม่ควรเอามาเป็นข้อต่อรองว่าพระเจ้าต้องให้เราก่อนเราถึงทำ

กรณีที่ 2 สัตย์ปฏิญาณกับพระเจ้าในช่วงสำคัญของชีวิต (สนับสนุน)
เป็นกรณีอย่างที่ศิษย์พี่เจี๊ยบบอกคือการที่เราถวายสัตย์ปฏิญาณกับพระเจ้า (พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องแต่เราสมัครใจถวายปฏิญาณเอง)
หลังจากนั้นก็เป็นความรับผิดชอบของเราว่าจะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้ารึเปล่า ถ้าเราลืมหรือแกล้งลืมพระเจ้าก็มีวิธีกระตุ้นเราเองแหละ
กรณีแบบนี้ต่างจากกรณีแรก เพราะสิ่งปฏิญาณคือสิ่งที่จะทำไปตลอดชีวิต ไม่ใช่วิ่งรอบโบสถ์ หรือกวาดวัดแล้วจบ(ยกตัวอย่าง)
ดังนั้นจึงไม่ใช่จะปฏิญาณพร่ำเพรื่อได้บ่อยๆ กรณีนี้ส่วนใหญ่จะพบในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือช่วงสำคัญองชีวิต
st.dominic savio เขียน: จงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า ส่วนที่เหลือพระองค์จะทรงเติมเต็มให้เราเอง  : xemo016 :
เห็นด้วยครับผม

เสกวัดมารีย์สมภพกบินทร์บุรี

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 5:25 pm
โดย เลย์
วันที่ 19 ธ.ค.2009 ณ วัดพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล เตยใหญ่ ได้มีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ โอกาส ฉลองชุมชนแห่งความเชื่อ โดยคุณพ่อสมภพ แซ่โก เป็นประธานในพิธี ร่วมกับ คณะสงฆ์ นักบวช ชาย หญิง และสัตบุรุษ เข้าร่วมจำนวนมาก  : emo045 :

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

[imghttp://www.chandiocese.org/images/news-p/12-19 ... C_0185.jpg]http://[/img]

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ



วันที่ 26 ธ.ค. 2009 ณ วัดนักบุญยอห์น อัครธรรมฑูต มะขาม ได้มีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ โอกาสฉลองชุมชนแห่งความเชื่อ โดยพระคุณเจ้า ซิลวีโอ สิริพงษ์ จรัสศรี และพระคุณเจ้า ลอเรนซ์ เทียนชัย สมานจิต เป็นประธานในพิธี ร่วมกับ คณะสงฆ์ นักบวช ชาย หญิง และสัตบุรุษ เข้าร่วมจำนวนมาก  : xemo033 :

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

Re: ฉลองวัดพระนางมารีอา เตยใหญ่ - วัดนักบุญยอห์น มะขาม

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 6:49 pm
โดย sinner
ขอบคุณค่ะเลย์ จังหวัดอะไรอ่าคะ : emo045 : : xemo026 :

Re: ฉลองวัดพระนางมารีอา เตยใหญ่ - วัดนักบุญยอห์น มะขาม

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 7:26 pm
โดย A Sheep
ขอบคุณค่ะพี่เลย์  : emo045 :

Re: ฉลองวัดพระนางมารีอา เตยใหญ่ - วัดนักบุญยอห์น มะขาม

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 10:14 pm
โดย เลย์
sinner เขียน: ขอบคุณค่ะเลย์ จังหวัดอะไรอ่าคะ : emo045 : : xemo026 :
วัดเตยใหญ่ อยู่นครนายก

วัดมะขาม อยู่จันทบุรี ครับ  : emo045 :

Re: ฉลองวัดพระนางมารีอา เตยใหญ่ - วัดนักบุญยอห์น มะขาม -วัดพระคริสตประจักษ์ บ้านเล่า

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 04, 2010 10:00 pm
โดย เลย์
วันที่ 2 ม.ค. 10 ณ วัดพระคริสตประจักษ์ บ้านเล่า นครนายก ได้มีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ โอกาส ฉลองชุมชนแห่งความเชื่อ โดยพระคุณเจ้า ซิลวีโอ สิริพงษ์ จรัสศรี เป็นประธานในพิธี ร่วมกับ คณะสงฆ์ นักบวช ชาย หญิง และสัตบุรุษ เข้าร่วมจำนวนมาก  : xemo016 :

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ    : emo045 : : emo056 : : xemo029 : : xemo016 :

Re: ฉลองวัดพระนางมารีอา เตยใหญ่ - วัดนักบุญยอห์น มะขาม -วัดพระคริสตประจักษ์ บ้านเล่า

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 12:05 am
โดย mew
สุดยอดเลยครับ  : emo045 :

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 08, 2010 5:33 pm
โดย เลย์
st.dominic savio เขียน: จงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า ส่วนที่เหลือพระองค์จะทรงเติมเต็มให้เราเอง  : xemo016 :
ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ  ::031::

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 08, 2010 5:37 pm
โดย ~ฮีUโปฟัuxaoxน้ๅโJ™~
จงแสวงหาน้ำพระทัย พระเป็นเจ้า และความเที่ยงตรงของพระองค์ แล้วทุกๆสิ่งจะบังเกิดแก่ตัวของท่าน-0-

Re: การบนบานในหมู่คริสตชน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 08, 2010 6:02 pm
โดย sinner
~ฮีUโปฟัuxaoxน้ๅโJ™~ เขียน: จงแสวงหาน้ำพระทัย พระเป็นเจ้า และความเที่ยงตรงของพระองค์ แล้วทุกๆสิ่งจะบังเกิดแก่ตัวของท่าน-0-
อัลเลลู อัลเลลูยา..... : emo045 : : xemo026 :

ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 10:35 pm
โดย เลย์
รูปภาพ

รูปแม่พระนิจจานุเคราะห์เป็นรูปสุดยอดของไอคอน เป็นสิ่งอัศจรรย์ที่บันทึกถึงความเชื่อความศรัทธาของคริสตชนที่มีต่อพระเยซูเจ้าและแม่พระมาตลอดสองพันปี และความศรัทธานี้จะทวียิ่งขึ้นในพันปีที่สาม แต่จะมีมิติใหม่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการรำพึงภาวนาจากรูปนี้
แม่พระนิจจานุเคราะห์เป็นรูปที่รวมเอาแนวเรื่องหลายอย่างมาไว้ในรูปเดียว เราพึงทำความเข้าใจเครื่องหมายต่างๆที่มีอยู่ในรูป เพื่อที่จะเห็นภาพรวมและข่าวดีที่รูปนี้ประกาศ

1. มารีย์ มารดาพรหมจารีย์แห่งพระผู้ไถ่

ในรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์ มีรูป "แม่พระกับพระกุมาร" เป็นรูปพื้นฐาน เป็นการยืนยันว่าพระกุมารนี้เป็นมนุษย์แท้ และเป็นพระเป็นเจ้าแท้เช่นกัน พระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปมนุษย์ตามที่ได้สัญญาไว้ เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเป็นอมตะ ทรงสร้างมนุษย์มาตามพระฉายาของพระธรรมชาติพระองค์ เพราะความอิจฉาของปีศาจ (ล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป) ความตายจึงเข้ามาในโลก ผู้ที่อยู่ข้างปีศาจก็จะประสบความตาย (ปชญ.2.23)

ข้อความต่างๆในพระวรสารที่ยืนยันถึง "มารีย์ เป็นมารดาของพระผู้ไถ่ที่พระเจ้าสัญญาไว้" มีอยู่หลายตอน เช่น เทวทูตแจ้งสารแก่มารีย์ว่าจะเป็นมารดาพระเจ้า (ลก.1.26-38) นางเอลิซาเบธและยอห์น บัปติสต์ได้ยืนยันว่าเป็นมารดาพระเจ้า (ลก.1.39-56) ฯลฯ

2. เทวทูตมีหน้าที่แจ้งสาร

เทวทูตในศิลปะไอคอนมีหน้าที่เป็นผู้ถือสารจากพระเจ้า เทวทูตคาเบรียลและมีคาแอลที่ปรากฏในรูปนั้น เพื่อมาแจ้งให้พระเยซูทราบว่าจะต้องตายอย่างไร "หากพระองค์จะไถ่บาปมนุษยชาติจะต้องผ่านการทรมานและตายอย่างนี้ (แสดงในรูปเทวดาแบกเครื่องมือทรมาน) จะรับได้ไหม?" และพระเยซูรู้สึกตกใจกลัว

3. รองเท้าหลุด

ภาพรองเท้าหลุดนี้ มองได้สองประเด็นคือ ประเด็นแรกพระเยซูตกใจ ตอนหดเท้าทำให้รองเท้าหลุดได้ หรืออาจจะวิ่งเข้าหาแม่เมื่อเห็นเทวทูตสองท่านนำเครื่องทรมานมา ทำให้สายรองเท้าขาด หรืออีกประเด็นหนึ่งคือพระเยซูได้สลัดรองเท้าออกข้างหนึ่ง เป็นการตอบรับแผนไถ่กู้ของพระเจ้าที่เทวทูตได้เสนอมา ความคิดนี้ได้มาจากแนวคิดที่มีอยู่ในหนังสือพระธรรมเก่าเรื่องรูธ ได้กล่าวถึง "การวางรองเท้าลงบนสิ่งใดก็เป็นการประกาศว่าตนเป็นเจ้าของสิ่งนั้น" คงจะเหมือนกับการทำสัญญาและมีการลงนามในข้อตกลงซื้อขายในสมัยเรา ในกรณีนี้ การที่รองเท้าหลุดก็บ่งบอกว่าพระเยซูได้ตกลงน้อมรับแผนการของพระเจ้าตามที่เทวทูตของพระเจ้าเสนอมา บัดนี้แผนการของพระเจ้าก็กลายเป็นแผนการของพระเยซูไปแล้ว"

รูปภาพ

4. ใบหน้าที่โศกเศร้า

ใบหน้าอันเศร้าโศกของมารีย์ บ่งบอกถึงความทุกข์ระทมที่อยู่ภายในหัวใจของแม่ เมื่อเทวทูตมาแจ้งให้พระเยซูทราบว่าพระเยซูจะต้องตายอย่างไร และมารีย์ก็รับรู้แผนการของพระเจ้านี้ด้วย จึงเก็บความรู้สึกอันเจ็บปวดนี้ไว้ในใจแต่ผู้เดียว ความรู้สึกนี้ได้สะท้อนออกมาจากการทำนายของสิเมโอนว่า "หัวใจของนางจะโศกเศร้าทุกข์ระทมเหมือนกับมีดาบมาทิ่มแทงดวงใจของนาง"

ความเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อคำทำนายนั้นกลายเป็นความจริง...พระเยซูถูกจับ ถูกโบยตีและถูกทารุณกรรม เยาะเย้ย และที่สุดต้องแบกกางเขนสู่แดนประหาร และตายบนไม้กางเขนอย่างช้าๆต่อหน้าต่อตา...หัวใจแทบจสลายตายตาม เมื่อมือทั้งสองที่เคยอุ้มลูกที่น่ารักนั้นต้องมาอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของลูก

ตอนนี้เองที่ทำให้เข้าใจถึงสัจธรรมของความชั่วร้ายและความทุกข์ทรมานที่เกิดแก่มนุษยชาติ

5. การกลับคืนชีพ

ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าหน้าของพระกุมารนั้นค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่และหน้าตาไม่เศร้าโศก เป็นการแสดงว่าพระเยซูผู้สิ้นพระชนม์นั้น บัดนี้กลับเป็นขึ้นมา มีชีวิตแบบใหม่ และเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าพระทรมานผ่านไปแล้วคือเทวทูตทั้งสองที่ถือเครื่องพันธนาการนั้นอยู่หลังฉาก กลายเป็นอดีตไปแล้ว และพระเยซูก็ไม่ได้มองเครื่องทรมานด้วย แต่กำลังสนใจมองอะไรที่อยู่ข้างหน้านอกรูปกางเขน ในศิลปะไอคอน เรามองได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับแนวคิดของความเชื่อถือและความตั้งใจของผู้วาด

แบบแรกนั้น เป็นกางเขนที่เทวทูตกาเบรียลถืออยู่นั้น หมายถึงกางเขนแห่งพระทรมานและความตาย

แบบที่สอง ในขณะที่คริสตชนออโธดอกซ์รัสเซีย มองดูกางเขนอันเดียวกันนี้เป็นกางเขนชัย พระเยซูมีชัยชนะต่อความตายแล้ว และท่าทีของเทวดาทั้งสองที่อยู่ในรูปก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ากำลังนำข่าว "พระทรมานละความตาย" มาให้พระเยซู ดังนั้น กางเขนในรูปนี้จึงมีความหมายว่าพระเยซูได้กลับคืนชีพแล้ว

6. เสื้อสีแดง (จักรพรรดิณี)

จุดที่แสดงว่ามารีย์เป็นจักรพรรดิณีก็คือ เสื้อสีแดงเป็นสีของกษัตริย์หรือราชวงศ์ มีบางท่านก็ให้ความคิดเห็นว่าสีแดงหมายถึงพรหมจารีย์ ดังนั้น เราจึงเรียกรูปนี้ว่า "มารีย์ พรหมจารีย์เป็นจักรพรรดิณี" ชื่อก็ได้บ่งบอกถึงสถานภาพของมารีย์ ถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นมารดาพรหมจารีย์

หากพญาสามองค์เดินทางแสวงหากษัตริย์ของชาวยิว และพบพระองค์อยู่ในอ้อมแขนของมารีย์มารดาของพระองค์ ก็มีเหตุผลให้ผู้วาดรูปนี้คิดว่ามารีย์เป็นพระมารดาของกษัตริย์ของชาวยิวหรือจักรพรรดิณีหรือราชินีแห่งสากลโลก

รูปภาพ

7. มือที่รองรับองค์พระเยซู

ส่วนมือซ้ายของมารีย์ที่อุ้มชูพระกุมาร ซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ทั้งสวรรค์และแผ่นดินไม่สามารถจะรองรับพระองค์ได้ แต่มือของพระนางมารีย์เป็นเหมือนบัลลังก์ที่รองรับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สามารถช่วยทุกคนที่วอนขอให้ได้รับความรอดด้วย

มือที่อุ้มและรองรับมือของพระกุมาร แสดงว่ามารีย์ให้การสนับสนุนและร่วมมือกับพระเยซูในการไถ่บาปมนุษย์อย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นของลูกก็เป็นของแม่ด้วย ลูกต้องไถ่กู้มนุษยชาติด้วยชีวิต และแม่ก็มอบชีวิตให้อยู่เคียงข้างลูก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มารีย์อยู่ที่นั้นแล้ว ตั้งแต่พระเยซูเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์...หนีไปอียิปต์...ตามหาพระเยซูและพบในพระวิหาร...มีคนว่า "พระเยซูเสียสติแล้ว"...พระเยซูถูกจับ...ตายบนกางเขน...หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ ยังอยู่เคียงข้างกับบรรดาสาวก...ล้วนแต่แสดงถึงการรับใช้อย่างใกล้ชิดของมารีย์

สังคายนาวาติกันที่ 2 บรรยายถึงแม่พระว่า "มารีย์ได้อุทิศตนเองรับใช้พระเจ้าและงานของพระบุตรเยี่ยงทาสของพระองค์..ภายใต้การนำของพระบุตรอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้าผู้สูงสุด" (LG.56)

8. มือที่ชี้ไปทางพระเยซู

มือของมารีย์เป็นมือที่ "ชี้ทางชีวิต" ที่ชี้ไปหาพระเยซู เพระพระเยซูเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต

ที่งานเลี้ยงสมรสที่เมืองคานา มารีย์เรียกคนใช้ของเจ้าภาพมา แล้วชี้ไปทางพระเยซู สั่งว่า "จงทำตามที่เขาสั่ง" (ยน.2.5) จากพระวรสารของนักบุญยอห์น จะเห็นว่างานเลี้ยงที่คานาเกิดขึ้นหลังจากพระเยซูได้เรียกฟิลลิปและนาธานาแอล ตามด้วยแอนดรู ซีมอน เจมส์และยอห์นให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์...และต่อหน้าพวกเขา มารีย์แสดงให้พวกเขารู้ว่า "จงทำตามที่เขา (พระเยซู)สั่ง"

มือที่ชี้ไปทางพระเยซูนั้น ยังบอกกับคนที่อยู่ข้างหน้ารูปนี้ว่า "จงทำตามที่เขาสั่ง" จงเชื่อมั่นในองค์พระเยซู

9. ภาวนา

ตาของมารีย์มองไปยังคนที่มาภาวนาต่อหน้าพระรูปนี้ในเวลาเดียวกัน มือขวาก็ชี้ไปทางพระเยซู ก็หมายความว่าแม่พระได้เห็นความต้องการของผู้ที่มาภาวนาต่อหน้ารูปนี้ แล้วนำเสนอลูกที่อยู่ในอ้อมแขน สายตาที่มองมายังผู้วิงวอนเท่ากับชี้ (ด้วยสายตา) ให้พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นด้วย การยกมือขึ้นหรือชี้ไปหาพระเยซู เป็นเครื่องหมายของการภาวนา

รูปภาพ

10. รูปดาวที่หน้าผาก

รูปดาวแปดแฉกอยู่บนหน้าผากของพระนางมารีย์ มีความหมายว่า "ลำแสงเปรียบเหมือนมือของพระเจ้า ที่อวยพรจากเบื้องบนลงมายังมนุษย์ทุกคน รูปดาวนี้เป็นเครื่องหมายแห่งพระหรรษทานที่พระโปรยปรายลงมายังมารีย์มารดาพระเจ้า

ดาวยังมีความสัมพันธ์กับการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ ซึ่งบรรดาประกาศกได้ประกาศไว้ ดาวได้นำทางพญาสามองค์และคนเลี้ยงแกะมายังถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เบธเลแฮม แต่บัดนี้ เป็นพระนางมารีย์ที่เป็นดาวที่นำทางบรรดาสัตบุรุษให้มาพบพระกุมาร

11. สีต่างๆ

สีเขียวหมายถึงสิ่งมีชีวิต ก็หมายถึงพระเจ้าทรงชีวิต สีน้ำตาล เป็นสีดิน หมายถึงมนุษย์ คือมนุษย์มาจากดิน ตายแล้วจะกลับกลายเป็นดิน สีแดง เป็นสีที่หมายถึงกษัตริย์หรือราชวงศ์ สีน้ำเงิน เป็นสีท้องฟ้า หมายถึงความเป็นเทพ(นักบุญ) คล้ายๆพระเจ้า แต่ไม่ใช่พระเจ้า

จิตรกรจะใช้สีต่างๆเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมาย ในรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์ พระเยซูมีสีเขียวหมายถึงพระองค์เป็นพระเจ้าแท้ มีสีน้ำตาลหมายถึงพระองค์เป็นมนุษย์แท้และสีแดง พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งสากลโลก ส่วนแม่พระนั้น มีเสื้อคลุมเป็นสีน้ำเงินหมายถึงมีความเป็นเทพหรือนักบุญ มีสีเขียวก็หมายถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า(มารดาพระเจ้า) และสีแดงหมายความว่าแม่พระเป็นจักรพรรดิณี

สีทองที่เป็นพื้นภาพและที่ฉายแสงไปบนตัวของเทวทูต ของมารีย์และองค์พระกุมาร รวมทั้งรัศมีรอบๆศีรษะของพระกุมาร เป็นสีแห่งความรอด ได้รับการไถ่บาปแล้ว พระเยซูกลับคืนชีพ...แม้ว่าจะอยู่ในความทุกข์ ก็มีความสุขได้ เพราะ "เมื่อท่านถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่"

รูปภาพ
 
 ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์  ลูกกราบอยู่ต่อหน้า พระแม่ด้วยความไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง วอนขอความช่วยเหลือจากพระแม่ ในปัญหาชีวิตประจำวัน ความทุกข์ทรมาน  มักจะทำให้ลูกท้อถอย  การ ตกทุกข์ได้ยากและความขาดแคลนที่แสนจะเจ็บปวด นำความทุกข์มาสู่ชีวิตของลูก ลูกประสบกางเขนแห่งความทรมาน ไม่ว่าจะหันไปทางไหน

  ข้าแต่ พระมารดาผู้เห็นใจ โปรดสงสารลูกด้วย โปรดจัดหาสิ่งที่ลูกขาดแคลน  โปรดให้ลูกพ้นความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่จะให้ลูกต้องทรมานต่อไปแล้ว ก็โปรดให้ลูกสามารถ ทนรับทุกอย่าง ด้วยความรักและความอดทน  นี่คือ พระหรรษทานที่ลูกวอนขอ  ลูกมิได้ไว้ใจในบุญกุศล ของตนเองเลย หากแต่ไว้ใจในความรัก และฤทธิ์อำนาจของพระแม่ ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์

[email]http://www.issara.com/article/maryicon.html[/email]    : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 :

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 1:37 am
โดย st.dominic savio
ผมเคยรอดตายจากรถคว่ำ เพราะความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้า และพระมารดานิจจานุเคราะห์

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 3:39 pm
โดย synner
เคยสวดวิงวอนแม่พระ จนเพื่อยรอดจาก สึยฃนามิ มาได้

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 4:03 pm
โดย Mobster
จั่ง สอง โหล่ว เต๊ก เซี้ย บ่อ ม๊า หลี่ อา

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 5:40 pm
โดย Holy Bible
ขอบคุณมากครับที่มาแบ่งปัน

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 5:44 pm
โดย เจนจิรา
เลย์ เขียน: รูปภาพ

รูปแม่พระนิจจานุเคราะห์เป็นรูปสุดยอดของไอคอน เป็นสิ่งอัศจรรย์ที่บันทึกถึงความเชื่อความศรัทธาของคริสตชนที่มีต่อพระเยซูเจ้าและแม่พระมาตลอดสองพันปี และความศรัทธานี้จะทวียิ่งขึ้นในพันปีที่สาม แต่จะมีมิติใหม่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการรำพึงภาวนาจากรูปนี้
แม่พระนิจจานุเคราะห์เป็นรูปที่รวมเอาแนวเรื่องหลายอย่างมาไว้ในรูปเดียว เราพึงทำความเข้าใจเครื่องหมายต่างๆที่มีอยู่ในรูป เพื่อที่จะเห็นภาพรวมและข่าวดีที่รูปนี้ประกาศ

1. มารีย์ มารดาพรหมจารีย์แห่งพระผู้ไถ่

ในรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์ มีรูป "แม่พระกับพระกุมาร" เป็นรูปพื้นฐาน เป็นการยืนยันว่าพระกุมารนี้เป็นมนุษย์แท้ และเป็นพระเป็นเจ้าแท้เช่นกัน พระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปมนุษย์ตามที่ได้สัญญาไว้ เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเป็นอมตะ ทรงสร้างมนุษย์มาตามพระฉายาของพระธรรมชาติพระองค์ เพราะความอิจฉาของปีศาจ (ล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป) ความตายจึงเข้ามาในโลก ผู้ที่อยู่ข้างปีศาจก็จะประสบความตาย (ปชญ.2.23)

ข้อความต่างๆในพระวรสารที่ยืนยันถึง "มารีย์ เป็นมารดาของพระผู้ไถ่ที่พระเจ้าสัญญาไว้" มีอยู่หลายตอน เช่น เทวทูตแจ้งสารแก่มารีย์ว่าจะเป็นมารดาพระเจ้า (ลก.1.26-38) นางเอลิซาเบธและยอห์น บัปติสต์ได้ยืนยันว่าเป็นมารดาพระเจ้า (ลก.1.39-56) ฯลฯ

2. เทวทูตมีหน้าที่แจ้งสาร

เทวทูตในศิลปะไอคอนมีหน้าที่เป็นผู้ถือสารจากพระเจ้า เทวทูตคาเบรียลและมีคาแอลที่ปรากฏในรูปนั้น เพื่อมาแจ้งให้พระเยซูทราบว่าจะต้องตายอย่างไร "หากพระองค์จะไถ่บาปมนุษยชาติจะต้องผ่านการทรมานและตายอย่างนี้ (แสดงในรูปเทวดาแบกเครื่องมือทรมาน) จะรับได้ไหม?" และพระเยซูรู้สึกตกใจกลัว

3. รองเท้าหลุด

ภาพรองเท้าหลุดนี้ มองได้สองประเด็นคือ ประเด็นแรกพระเยซูตกใจ ตอนหดเท้าทำให้รองเท้าหลุดได้ หรืออาจจะวิ่งเข้าหาแม่เมื่อเห็นเทวทูตสองท่านนำเครื่องทรมานมา ทำให้สายรองเท้าขาด หรืออีกประเด็นหนึ่งคือพระเยซูได้สลัดรองเท้าออกข้างหนึ่ง เป็นการตอบรับแผนไถ่กู้ของพระเจ้าที่เทวทูตได้เสนอมา ความคิดนี้ได้มาจากแนวคิดที่มีอยู่ในหนังสือพระธรรมเก่าเรื่องรูธ ได้กล่าวถึง "การวางรองเท้าลงบนสิ่งใดก็เป็นการประกาศว่าตนเป็นเจ้าของสิ่งนั้น" คงจะเหมือนกับการทำสัญญาและมีการลงนามในข้อตกลงซื้อขายในสมัยเรา ในกรณีนี้ การที่รองเท้าหลุดก็บ่งบอกว่าพระเยซูได้ตกลงน้อมรับแผนการของพระเจ้าตามที่เทวทูตของพระเจ้าเสนอมา บัดนี้แผนการของพระเจ้าก็กลายเป็นแผนการของพระเยซูไปแล้ว"

รูปภาพ

4. ใบหน้าที่โศกเศร้า

ใบหน้าอันเศร้าโศกของมารีย์ บ่งบอกถึงความทุกข์ระทมที่อยู่ภายในหัวใจของแม่ เมื่อเทวทูตมาแจ้งให้พระเยซูทราบว่าพระเยซูจะต้องตายอย่างไร และมารีย์ก็รับรู้แผนการของพระเจ้านี้ด้วย จึงเก็บความรู้สึกอันเจ็บปวดนี้ไว้ในใจแต่ผู้เดียว ความรู้สึกนี้ได้สะท้อนออกมาจากการทำนายของสิเมโอนว่า "หัวใจของนางจะโศกเศร้าทุกข์ระทมเหมือนกับมีดาบมาทิ่มแทงดวงใจของนาง"

ความเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อคำทำนายนั้นกลายเป็นความจริง...พระเยซูถูกจับ ถูกโบยตีและถูกทารุณกรรม เยาะเย้ย และที่สุดต้องแบกกางเขนสู่แดนประหาร และตายบนไม้กางเขนอย่างช้าๆต่อหน้าต่อตา...หัวใจแทบจสลายตายตาม เมื่อมือทั้งสองที่เคยอุ้มลูกที่น่ารักนั้นต้องมาอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของลูก

ตอนนี้เองที่ทำให้เข้าใจถึงสัจธรรมของความชั่วร้ายและความทุกข์ทรมานที่เกิดแก่มนุษยชาติ

5. การกลับคืนชีพ

ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าหน้าของพระกุมารนั้นค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่และหน้าตาไม่เศร้าโศก เป็นการแสดงว่าพระเยซูผู้สิ้นพระชนม์นั้น บัดนี้กลับเป็นขึ้นมา มีชีวิตแบบใหม่ และเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าพระทรมานผ่านไปแล้วคือเทวทูตทั้งสองที่ถือเครื่องพันธนาการนั้นอยู่หลังฉาก กลายเป็นอดีตไปแล้ว และพระเยซูก็ไม่ได้มองเครื่องทรมานด้วย แต่กำลังสนใจมองอะไรที่อยู่ข้างหน้านอกรูปกางเขน ในศิลปะไอคอน เรามองได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับแนวคิดของความเชื่อถือและความตั้งใจของผู้วาด

แบบแรกนั้น เป็นกางเขนที่เทวทูตกาเบรียลถืออยู่นั้น หมายถึงกางเขนแห่งพระทรมานและความตาย

แบบที่สอง ในขณะที่คริสตชนออโธดอกซ์รัสเซีย มองดูกางเขนอันเดียวกันนี้เป็นกางเขนชัย พระเยซูมีชัยชนะต่อความตายแล้ว และท่าทีของเทวดาทั้งสองที่อยู่ในรูปก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ากำลังนำข่าว "พระทรมานละความตาย" มาให้พระเยซู ดังนั้น กางเขนในรูปนี้จึงมีความหมายว่าพระเยซูได้กลับคืนชีพแล้ว

6. เสื้อสีแดง (จักรพรรดิณี)

จุดที่แสดงว่ามารีย์เป็นจักรพรรดิณีก็คือ เสื้อสีแดงเป็นสีของกษัตริย์หรือราชวงศ์ มีบางท่านก็ให้ความคิดเห็นว่าสีแดงหมายถึงพรหมจารีย์ ดังนั้น เราจึงเรียกรูปนี้ว่า "มารีย์ พรหมจารีย์เป็นจักรพรรดิณี" ชื่อก็ได้บ่งบอกถึงสถานภาพของมารีย์ ถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นมารดาพรหมจารีย์

หากพญาสามองค์เดินทางแสวงหากษัตริย์ของชาวยิว และพบพระองค์อยู่ในอ้อมแขนของมารีย์มารดาของพระองค์ ก็มีเหตุผลให้ผู้วาดรูปนี้คิดว่ามารีย์เป็นพระมารดาของกษัตริย์ของชาวยิวหรือจักรพรรดิณีหรือราชินีแห่งสากลโลก

รูปภาพ

7. มือที่รองรับองค์พระเยซู

ส่วนมือซ้ายของมารีย์ที่อุ้มชูพระกุมาร ซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ทั้งสวรรค์และแผ่นดินไม่สามารถจะรองรับพระองค์ได้ แต่มือของพระนางมารีย์เป็นเหมือนบัลลังก์ที่รองรับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สามารถช่วยทุกคนที่วอนขอให้ได้รับความรอดด้วย

มือที่อุ้มและรองรับมือของพระกุมาร แสดงว่ามารีย์ให้การสนับสนุนและร่วมมือกับพระเยซูในการไถ่บาปมนุษย์อย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นของลูกก็เป็นของแม่ด้วย ลูกต้องไถ่กู้มนุษยชาติด้วยชีวิต และแม่ก็มอบชีวิตให้อยู่เคียงข้างลูก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มารีย์อยู่ที่นั้นแล้ว ตั้งแต่พระเยซูเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์...หนีไปอียิปต์...ตามหาพระเยซูและพบในพระวิหาร...มีคนว่า "พระเยซูเสียสติแล้ว"...พระเยซูถูกจับ...ตายบนกางเขน...หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ ยังอยู่เคียงข้างกับบรรดาสาวก...ล้วนแต่แสดงถึงการรับใช้อย่างใกล้ชิดของมารีย์

สังคายนาวาติกันที่ 2 บรรยายถึงแม่พระว่า "มารีย์ได้อุทิศตนเองรับใช้พระเจ้าและงานของพระบุตรเยี่ยงทาสของพระองค์..ภายใต้การนำของพระบุตรอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้าผู้สูงสุด" (LG.56)

8. มือที่ชี้ไปทางพระเยซู

มือของมารีย์เป็นมือที่ "ชี้ทางชีวิต" ที่ชี้ไปหาพระเยซู เพระพระเยซูเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต

ที่งานเลี้ยงสมรสที่เมืองคานา มารีย์เรียกคนใช้ของเจ้าภาพมา แล้วชี้ไปทางพระเยซู สั่งว่า "จงทำตามที่เขาสั่ง" (ยน.2.5) จากพระวรสารของนักบุญยอห์น จะเห็นว่างานเลี้ยงที่คานาเกิดขึ้นหลังจากพระเยซูได้เรียกฟิลลิปและนาธานาแอล ตามด้วยแอนดรู ซีมอน เจมส์และยอห์นให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์...และต่อหน้าพวกเขา มารีย์แสดงให้พวกเขารู้ว่า "จงทำตามที่เขา (พระเยซู)สั่ง"

มือที่ชี้ไปทางพระเยซูนั้น ยังบอกกับคนที่อยู่ข้างหน้ารูปนี้ว่า "จงทำตามที่เขาสั่ง" จงเชื่อมั่นในองค์พระเยซู

9. ภาวนา

ตาของมารีย์มองไปยังคนที่มาภาวนาต่อหน้าพระรูปนี้ในเวลาเดียวกัน มือขวาก็ชี้ไปทางพระเยซู ก็หมายความว่าแม่พระได้เห็นความต้องการของผู้ที่มาภาวนาต่อหน้ารูปนี้ แล้วนำเสนอลูกที่อยู่ในอ้อมแขน สายตาที่มองมายังผู้วิงวอนเท่ากับชี้ (ด้วยสายตา) ให้พระเยซูช่วยคนเหล่านั้นด้วย การยกมือขึ้นหรือชี้ไปหาพระเยซู เป็นเครื่องหมายของการภาวนา

รูปภาพ

10. รูปดาวที่หน้าผาก

รูปดาวแปดแฉกอยู่บนหน้าผากของพระนางมารีย์ มีความหมายว่า "ลำแสงเปรียบเหมือนมือของพระเจ้า ที่อวยพรจากเบื้องบนลงมายังมนุษย์ทุกคน รูปดาวนี้เป็นเครื่องหมายแห่งพระหรรษทานที่พระโปรยปรายลงมายังมารีย์มารดาพระเจ้า

ดาวยังมีความสัมพันธ์กับการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ ซึ่งบรรดาประกาศกได้ประกาศไว้ ดาวได้นำทางพญาสามองค์และคนเลี้ยงแกะมายังถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เบธเลแฮม แต่บัดนี้ เป็นพระนางมารีย์ที่เป็นดาวที่นำทางบรรดาสัตบุรุษให้มาพบพระกุมาร

11. สีต่างๆ

สีเขียวหมายถึงสิ่งมีชีวิต ก็หมายถึงพระเจ้าทรงชีวิต สีน้ำตาล เป็นสีดิน หมายถึงมนุษย์ คือมนุษย์มาจากดิน ตายแล้วจะกลับกลายเป็นดิน สีแดง เป็นสีที่หมายถึงกษัตริย์หรือราชวงศ์ สีน้ำเงิน เป็นสีท้องฟ้า หมายถึงความเป็นเทพ(นักบุญ) คล้ายๆพระเจ้า แต่ไม่ใช่พระเจ้า

จิตรกรจะใช้สีต่างๆเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมาย ในรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์ พระเยซูมีสีเขียวหมายถึงพระองค์เป็นพระเจ้าแท้ มีสีน้ำตาลหมายถึงพระองค์เป็นมนุษย์แท้และสีแดง พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งสากลโลก ส่วนแม่พระนั้น มีเสื้อคลุมเป็นสีน้ำเงินหมายถึงมีความเป็นเทพหรือนักบุญ มีสีเขียวก็หมายถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า(มารดาพระเจ้า) และสีแดงหมายความว่าแม่พระเป็นจักรพรรดิณี

สีทองที่เป็นพื้นภาพและที่ฉายแสงไปบนตัวของเทวทูต ของมารีย์และองค์พระกุมาร รวมทั้งรัศมีรอบๆศีรษะของพระกุมาร เป็นสีแห่งความรอด ได้รับการไถ่บาปแล้ว พระเยซูกลับคืนชีพ...แม้ว่าจะอยู่ในความทุกข์ ก็มีความสุขได้ เพราะ "เมื่อท่านถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่"

รูปภาพ
 
 ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์  ลูกกราบอยู่ต่อหน้า พระแม่ด้วยความไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง วอนขอความช่วยเหลือจากพระแม่ ในปัญหาชีวิตประจำวัน ความทุกข์ทรมาน  มักจะทำให้ลูกท้อถอย  การ ตกทุกข์ได้ยากและความขาดแคลนที่แสนจะเจ็บปวด นำความทุกข์มาสู่ชีวิตของลูก ลูกประสบกางเขนแห่งความทรมาน ไม่ว่าจะหันไปทางไหน

  ข้าแต่ พระมารดาผู้เห็นใจ โปรดสงสารลูกด้วย โปรดจัดหาสิ่งที่ลูกขาดแคลน  โปรดให้ลูกพ้นความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่จะให้ลูกต้องทรมานต่อไปแล้ว ก็โปรดให้ลูกสามารถ ทนรับทุกอย่าง ด้วยความรักและความอดทน  นี่คือ พระหรรษทานที่ลูกวอนขอ  ลูกมิได้ไว้ใจในบุญกุศล ของตนเองเลย หากแต่ไว้ใจในความรัก และฤทธิ์อำนาจของพระแม่ ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์

[email]http://www.issara.com/article/maryicon.html[/email]    : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 : : xemo026 :

อันนั้น กางเขนแบบ Orthodox นี่ค่ะ ที่ทูตสววรค์ ถือมา นะ

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 8:27 pm
โดย กรอกสมบูรณ์
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ วาดบนไม้กระดานยาวประมาณ 21 นิ้ว กว้างประมาณ 17 นิ้ว รูปเดิมของพระมารดานิจจานุเคราะห์ เป็นรูปจำลองรูปหนึ่งในบรรดารูป "โอเดเยตรีอา" (HODEGETRIA) ของนักบุญลูกา รูปที่กล่าวถึงนี้เป็นรูปของแม่พระซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่า นักบุญลูกาเป็นผู้วาดอยู่ในเมืองคอนสตันตีโนเปิด เป็นที่เคารพนับถือของชาวคาทอลิกเป็นเวลานาน ว่าเป็นรูปอัศจรรย์ซึ่งถูกพวกเตอร์กีทำลายในปี  ค.ศ. 1453 แต่เป็น "รูปเดียว" ที่แม่พระเองเป็นผู้เลือกไว้ เพื่อประทานพระพรพิเศษให้แก่เรามนุษย์ ถ้าท่านไปกรุงโรม ท่านจะเห็นรูปนี้แขวนเหนือพระแท่นใหญ่ในวัดของคณะพระมหาไถ่ที่กรุงโรม ชื่อวัด นักบุญอัลฟอลโซ

ทำไมรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์จึงไปแขวนไว้ที่วัดนั้น พอสรุปได้ว่าตอนปลายศตวรรษที่ 15 พ่อค้าคนหนึ่งขโมยรูปแม่พระแห่งหนึ่งในเกาะครี๊ท (CrETE) เดินทางผ่านพายุมาอย่างมหัศจรรย์ และในที่สุดก็มาถึงกรุงโรม ก่อนที่พ่อค้าคนนี้จะสิ้นใจ เขาได้มอบรูปแม่พระนี้ให้แก่เพื่อนชาวโรมันคนหนึ่ง และขอร้องให้เพื่อนชาวโรมันคนนี้เอารูปแม่พระไปตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม แต่เพื่อนไม่ทำตาม แม่พระก็ได้ประจักษ์มาเร่งให้ชาวโรมผู้นั้นทำตามคำขอร้องของพ่อค้า และถึงกับขู่ว่าถ้าไม่ทำตาม จะประสบความตายเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่สนใจการประจักษ์ของแม่พระ กลับทำตามคำแนะนำของภรรยา ต่อจากนั้นไม่นาน ชาวโรมันผู้นั้นก็ถึงแก่กรรม

ต่อมา แม่พระประจักษ์มาแก่ลูกสาวของชาวโรมันผู้นั่น พระนางสั่งหนูน้อยว่า จงไปบอกแม่และนายของหนูว่า สันตะมารีอา นิจจานุเคราะห์ เตือนให้เอารูปของพระนางออกไปจากบ้าน มิฉะนั้นทุกคนจะต้องตาย หนูน้อยก็นำเรื่องไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของเด็กตกใจกลัวตัวสั่น และสัญญาว่าจะทำตาม

หลังจากนั้น แม่พระก็บอกกับหนูน้อยว่า พระนางต้องการให้เอารูปของพระนางไปไว้ในวัดที่ตั้งอยู่ ระหว่างวิหารซางตา มารีอา มอยอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเตลัน ในวันที่ 27 มิถุนายน 1499 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ก็ถูกอัญเชิญ เข้าขบวนแห่งอย่างสง่าไปวัดนั้น คือ วัดนักบุญมัทธิวอัครสาวก ในวันเดียวกันก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งแขนหักจนรักษาไม่ได้แล้ว กลับหายเป็นปกติ เพราะความช่วยเหลือจากพระมารดานิจจานุเคราะห์

รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ แขวนที่วัดนักบุญมัทธิวนี้เป็นเวลา 300 ปี เป็นที่รู้จักและรักของคนทั่วไป มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของอัศจรรย์ต่าง ๆ

แต่แล้วเดือนมิถุนายน 1798 นโปเลียนนำทัพมาที่กรุงโรม วัดนักบุญมัทธิวถูกทำลาย และรูปแม่พระก็สูญหายไป

เป็นระยะเวลา 64 ปี ทุกคนเกือบลืมรูปนั้นไปหมดแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่ในอารามนักบวชคณะพระมหาไถ่ที่กรุงโรม ระหว่างที่สมาชิกในอารามกำลังหย่อนใจอยู่นั้น คุณพ่อองค์หนึ่งได้กล่าวขึ้นว่าท่านที่วัดนักบุญอัลฟอนโซตั้งอยู่นี้ เมื่อก่อนเป็นวัดนักบุญมัทธิวที่สลักหักพังไปแล้ว และในวันนี้เคยมีรูป "พระมารดานิจจานุเคราะห์" ประดิษฐานอยู่ ชื่อนี้เองทำให้คุณพ่อมีคาแอล มาร์ชี (Michael Marchi) ตื่นเต้นท่านจำได้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กนั้นท่านได้เคยช่วยมิสซา ที่ในวัดเล็กของคณะนักบวชคณะเอากุสติน ชื่อวัดซางตามารีอา อินโปสเตรูลา ท่านได้เห็นรูปแม่พระที่นั่น ภารดาแก่ ๆ องค์หนึ่งได้ชี้ให้ท่านดูบ่อย ๆ

ต่อมาอีกไม่นาน คุณพ่อฟรังซิสโก โบลชี แห่งคณะเยซูอิต ได้เทศน์ที่ในวัด "เยซู" ถึงรูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ ที่หายไป ท่านกล่าวว่า เป็นความปรารถนาของแม่พระที่จะให้รูปนี้ตั้งอยู่ที่วัดระหว่างพระวิหารซางตามารีอา มายอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเตลัน ข่าวนี้ก็ถึงหูพวกนักบวชคณะพระมหาไถ่และพากันเอาข้อความนี้ ไปเสนอคุณพ่อมหาอธิการของคณะ แต่ท่านรอต่อไปอีก 3 ปี เพื่อให้แน่ใจเสียก่อน

ที่สุดในวันที่ 11 ธันวาคม 1865 ท่านก็นำเรื่องนี้ไปทูลแก่พระสันตะปาปา ปีโอที่ 9 ในวันที่ 19 มกราคม 1866 รูปอัศจรรย์ของพระมารดานิจจานุเคราะห์ ก็ถูกนำมายังที่ที่เคยได้รับสิริมงคลมาแล้วครั้งหนึ่ง คือ วัดนักบุญอัลฟอนโซ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระวิหารทั้งสอง อีก 3 เดือนต่อมารูปนี้ก็ถุกตั้งไว้อย่างสง่า ในวันที่ 23 มิถุนายน 1867 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ได้รับมงกุฎเพราะ อัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เดือนร้อน และมาวิงวอนขอพระแม่


ขออนุญาติเอามาแบ่งปันบ้าง นะคะ ... นะคะ ... นะคะ  ::022::  ก้อลูกแม่มารีเหมือนกัน นะคะ ... นะคะ ... นะคะ

http://www.nitcha.net/our%20mother/index.htm

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 8:36 pm
โดย เจนจิรา
และถึงกับขู่ว่าถ้าไม่ ทำตาม จะประสบความตายเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่สนใจการประจักษ์ของแม่พระ กลับทำตามคำแนะนำของภรรยา ต่อจากนั้นไม่นาน ชาวโรมันผู้นั้นก็ถึงแก่กรรม

ดูขัดกับนิสัย ของ แม่พระผู้ใจดี จัง

Re: ความหมายของภาพพระมารดานิจจานุเคราะห์

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 10:47 pm
โดย เลย์
สวดบทวันทามารีอาก่อนนอน 1 บทถวายเกียรติแด่พระเป็นเจ้า และพระแม่มารดานิจจานุเคราะห์ครับ  : xemo026 :