หน้า 1 จากทั้งหมด 2
บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 04, 2010 11:49 pm
โดย Deo Gratias
เมื่อกี้ฟังข่าวเรื่องหวยเลยได้ไอเดีย...
มีคนบอกประมาณว่า >>> ทุกคนรู้ว่าการพนันไม่ดี แต่ห้ามยังไงก็ไม่ได้ ถึงบนดินไม่มีให้เล่น คนก็ไปแอบเล่นใต้ดินอยู่ดี เลยเอาขึ้นมาข้างบนซะ
นายกฯ เลยบอกประมาณว่า >>> ถ้าบอกว่าห้ามไม่ได้แล้ว เลยต้องทำให้ถูก อย่างงี้ถ้าปราบยาเสพติดไม่ได้ จะต้องทำให้ถูกกฎหมายด้วยรึเปล่า
ที่ชวยคุยเรื่องนี้ไม่ใช่จะลากการเมืองมาคุยในบอร์ดศาสนา แต่จะเปรียบเทียบให้เห็น
เอาหละ...ไม่พูดเรื่องการเมืองละ มาดูประเด็นศาสนศาสตร์ดีกว่า
บางคนอาจจะบอกว่า >>> ทุกคนรู้ว่าอะไรคือบาป อะไรไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า อะไรคือซูแปติซัง แต่มันทำยาก ห้ามยังไงก็ไม่ได้ ใครๆ ก็ทำกัน หยวนๆ ไปเถอะ ประนีประนอมบ้าง
ก็อาจจะมีบางคนบอกว่า >>> ถ้าบอกว่าทำยาก ห้ามไม่ได้แล้ว ก็ยอมๆ หยวนๆ ทำไปเถอะ แล้วอย่างงี้ถ้าไม่พอใจพระคัมภีร์ข้อไหน จะต้องแก้ด้วยรึเปล่า

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 04, 2010 11:56 pm
โดย Mobster
ลึกซึ้งมากครับ
(เดี๋ยวไปตามพี่ท็อปมาอ่าน)
-------------------------
บางอย่างมันเป็นบาปที่ชัดมากๆ
แต่ด้วยสังคมมุชริก แม้คริสตชนไม่ทำตามธรรมเนียมสังคมก็ตาม
แต่กลับยอมรับ,ผ่อนปรน จนรู้สึกว่าไม่เป็นบาป
ผมเคยเจอผู้ใหญ่คนหนึ่งเค้าก็เป็นคริสตชน
เค้าว่า
"กราบ,นมัสการ,บูชา เทพเจ้า พระพรหม พระพิฆคเณศ จตุคาม และเทพเจ้าอื่นๆได้
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสัญลักษณ์เข้าสู่ถึงพระเจ้าของเรา แต่อยู่ในมุมมองของศาสนาเค้าเท่านั้น....."
ที่ผมกลัวคือ จะมีคริสตชนคนอื่น เข้าใจแบบนี้นะสิ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:12 am
โดย Ministry Of Men
Deo Gratias เขียน:
บางคนอาจจะบอกว่า >>> ทุกคนรู้ว่าอะไรคือบาป อะไรไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า อะไรคือซูแปติซัง แต่มันทำยาก ห้ามยังไงก็ไม่ได้ ใครๆ ก็ทำกัน หยวนๆ ไปเถอะ ประนีประนอมบ้าง
ก็อาจจะมีบางคนบอกว่า >>> ถ้าบอกว่าทำยาก ห้ามไม่ได้แล้ว ก็ยอมๆ หยวนๆ ทำไปเถอะ แล้วอย่างงี้ถ้าไม่พอใจพระคัมภีร์ข้อไหน จะต้องแก้ด้วยรึเปล่า
ประมาณนั้น ไม่พอใจเล่มไหน ตัดมันออกทั้งเล่มเลย ฮ่าๆๆ (ล้อเล่นนะจ๊ะ อย่าเครียด)
พวกยึดเอาแต่ความพอใจ ความคิดของตัวเอง มีมากในสังคม ไม่ค่อยปฏิบัติตามกฏระเบียบของสังคม หรือศาสนาโดยรวม
มันเลยวุ่นวายเหมือนทุกวันนี้ แตกเป็นก๊ก เป็นลัทธิยิบย่อยก็ด้วย หึหึหึ อธิษฐานกันต่อไป
Grey Cat-ขอต่อต้านการบูชาเจว็ด เขียน:
ผมเคยเจอผู้ใหญ่คนหนึ่งเค้าก็เป็นคริสตชน
เค้าว่า
"กราบ,นมัสการ,บูชา เทพเจ้า พระพรหม พระพิฆคเณศ จตุคาม และเทพเจ้าอื่นๆได้
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสัญลักษณ์เข้าสู่ถึงพระเจ้าของเรา แต่อยู่ในมุมมองของศาสนาเค้าเท่านั้น....."
ร้ายแรงมากเลยครับ ผู้ใหญ่คนนี้ สอนเท็จเลยนะเนี่ย
(อย่าบอกนะ คนที่เล่นการเมืองอะ)

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:38 am
โดย Valkyrie Zero Number
Grey Cat-ขอต่อต้านการบูชาเจว็ด เขียน:
ผมเคยเจอผู้ใหญ่คนหนึ่งเค้าก็เป็นคริสตชน
เค้าว่า
"กราบ,นมัสการ,บูชา เทพเจ้า พระพรหม พระพิฆคเณศ จตุคาม และเทพเจ้าอื่นๆได้
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสัญลักษณ์เข้าสู่ถึงพระเจ้าของเรา แต่อยู่ในมุมมองของศาสนาเค้าเท่านั้น....."
ร้ายแรงมากเลยครับ ผู้ใหญ่คนนี้ สอนเท็จเลยนะเนี่ย
(อย่าบอกนะ คนที่เล่นการเมืองอะ)

[/quote]
แล้วเขาคิดจะบอกว่า พวกพระเทียมเท็จที่มีบันทึกไว้ในพระธรรมเก่า ก็เป็นการเข้าสู่พระเจ้าเที่ยงแท้ในอีกมุมมองด้วยรึเปล่า?
ในเมื่อพระอื่นเหล่านั้น คุณลักษณะแตกต่างจากพระเจ้าของเราชนิดหน้าเป็นหลังหลังเป็นหน้าเลยนะ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:45 am
โดย Man of Macedonia
ผมแบ่งปันแบบนี้ครับ
เราต้องทำความรู้จักศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ 2 คำ
1. ท่าทีการแสดงออก
2. สิ่งที่เป็นแรงผลักดันท่าทีการแสดงออกนั้น
ง่ายที่สุด"อาศัยความรัก" สิ่งที่ตามมาทันทีทันใดคือ"ความเชื่อและความหวังวางใจ"
ข้อความ : ให้ประนีประนอมกับบาป
แบ่งปัน : เราไม่อาจประนีประนอมกับบาปได้ครับแน่นอนที่สุด แต่เราประนีประนอมกับคนบาปได้ การประนีประนอมนี้ ต้องไม่ใช่ การหยวนให้เขาทำแบบต่อไป แต่เป็นการเรียกร้องให้เขาทำบาปที่ว่านั้นน้อยลง อาศัย ความรักและวางใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นโดยผ่านทางเรา บ่อยครั้ง ในชีวิตจริง เรามีท่าทีไม่ประนีประนอมกับทั้งบาปและคนบาป และนั่นทำให้ คนบาปกลับใจได้ยากเต็มทีเพราะไม่มีโอกาส เพราะทำสิ่งนี้ก็ถูกตัดสินว่าผิด ทำสิ่งนั้นก็ถูกตัดสินว่าผิด "ผมไม่คิดว่าพระเยซูเจ้าจะถามนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาในครั้งแรกหรอกครับว่า นอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว และเป็นกามโรคหรือเปล่า แต่ที่พระองค์ทรงทำคือประทับอยู่ด้วย และมอบความรักอย่างจริงใจให้ และก็เป็นท่านนักบุญเองที่ได้กลับใจอาศัยพระจิตเจ้า"
*ข้อนี้ น่าจะเตือนใจพวกเราเวลาพวกเราเองแก้บาปกับพระสงฆ์นะครับ
ข้อความ : ถ้ายาก ทำไม่ได้ ก็หยวนเถอะ
แบ่งปัน : ไม่มีสิ่งใดยากหรอกครับ มันทำได้ทั้งนั้นล่ะ สำหรับผู้ที่คิดว่ายาก นั่นเพราะเขายังไม่ได้สัมผัสความจริงและความรักมากพอ ผ่านทางเราถ้าเราให้โอกาสเขาได้สัมผัสความจริงและความรักไป เดี๋ยวก็ได้เองล่ะครับ ต้องปล่อยให้เป็นตามน้ำพระทัย เราเป็นเพียงเครื่องมือ สำหรับเรื่องความพอใจและไม่พอใจ มันสะท้อนให้เห็นถึงความมีตัวตนของเรา ต้องพิจารณาดีดีว่า ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการที่ไม่ถูกใจเราเอง หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมได้จริงๆ ไม่อาจยอมได้จนข้อบกพร่องที่ยังมีอยู่ของเรา เรียกร้องให้เราต้อง มีท่าทีไม่พอใจและเคลื่อนไหวในแบบต่างๆ
คิดว่า ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ "ทุกคนทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่"(ไม่ได้แปลว่า การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยไม่สำคัญ)
แต่ที่เราต้องมองเป็นอันดับแรกคือ หากเราคิดว่าสิ่งที่ใครสักคนหนึ่งทำนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย
เราจะไปปรากฎตัวท่ามกลางพวกเขาอย่างไร(ไม่ให้พวกเขาหนี) และเปลี่ยนแปลงพวกเขาอาศัยสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา
ให้เขาทุกคน รู้ได้ด้วยตัวเองว่า"การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย"เป็นอย่างไร ด้วยอิสระเสรีที่เขาได้รับจากพระองค์มาเท่าๆกับเรา
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:48 am
โดย เจนจิรา
บางอย่าง ถ้าห้ามไม่ได้ก็ปล่อย เขาไปค่ะ

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:51 am
โดย Ministry Of Men
Man of Macedonia เขียน:
ผมแบ่งปันแบบนี้ครับ
เราต้องทำความรู้จักศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ 2 คำ
1. ท่าทีการแสดงออก
2. สิ่งที่เป็นแรงผลักดันท่าทีการแสดงออกนั้น
ง่ายที่สุด"อาศัยความรัก" สิ่งที่ตามมาทันทีทันใดคือ"ความเชื่อและความหวังวางใจ"
ข้อความ : ให้ประนีประนอมกับบาป
แบ่งปัน : เราไม่อาจประนีประนอมกับบาปได้ครับแน่นอนที่สุด แต่เราประนีประนอมกับคนบาปได้ การประนีประนอมนี้ ต้องไม่ใช่ การหยวนให้เขาทำแบบต่อไป แต่เป็นการเรียกร้องให้เขาทำบาปที่ว่านั้นน้อยลง อาศัย ความรักและวางใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นโดยผ่านทางเรา บ่อยครั้ง ในชีวิตจริง เรามีท่าทีไม่ประนีประนอมกับทั้งบาปและคนบาป และนั่นทำให้ คนบาปกลับใจได้ยากเต็มทีเพราะไม่มีโอกาส เพราะทำสิ่งนี้ก็ถูกตัดสินว่าผิด ทำสิ่งนั้นก็ถูกตัดสินว่าผิด "ผมไม่คิดว่าพระเยซูเจ้าจะถามนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาในครั้งแรกหรอกครับว่า นอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว และเป็นกามโรคหรือเปล่า แต่ที่พระองค์ทรงทำคือประทับอยู่ด้วย และมอบความรักอย่างจริงใจให้ และก็เป็นท่านนักบุญเองที่ได้กลับใจอาศัยพระจิตเจ้า"
*ข้อนี้ น่าจะเตือนใจพวกเราเวลาพวกเราเองแก้บาปกับพระสงฆ์นะครับ
ข้อความ : ถ้ายาก ทำไม่ได้ ก็หยวนเถอะ
แบ่งปัน : ไม่มีสิ่งใดยากหรอกครับ มันทำได้ทั้งนั้นล่ะ สำหรับผู้ที่คิดว่ายาก นั่นเพราะเขายังไม่ได้สัมผัสความจริงและความรักมากพอ ผ่านทางเราถ้าเราให้โอกาสเขาได้สัมผัสความจริงและความรักไป เดี๋ยวก็ได้เองล่ะครับ ต้องปล่อยให้เป็นตามน้ำพระทัย เราเป็นเพียงเครื่องมือ สำหรับเรื่องความพอใจและไม่พอใจ มันสะท้อนให้เห็นถึงความมีตัวตนของเรา ต้องพิจารณาดีดีว่า ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการที่ไม่ถูกใจเราเอง หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมได้จริงๆ ไม่อาจยอมได้จนข้อบกพร่องที่ยังมีอยู่ของเรา เรียกร้องให้เราต้อง มีท่าทีไม่พอใจและเคลื่อนไหวในแบบต่างๆ
คิดว่า ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ "ทุกคนทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่"(ไม่ได้แปลว่า การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยไม่สำคัญ)
แต่ที่เราต้องมองเป็นอันดับแรกคือ หากเราคิดว่าสิ่งที่ใครสักคนหนึ่งทำนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย
เราจะไปปรากฎตัวท่ามกลางพวกเขาอย่างไร(ไม่ให้พวกเขาหนี) และเปลี่ยนแปลงพวกเขาอาศัยสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา
ให้เขาทุกคน รู้ได้ด้วยตัวเองว่า"การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย"เป็นอย่างไร ด้วยอิสระเสรีที่เขาได้รับจากพระองค์มาเท่าๆกับเรา
ตามนี้ครับ ผมเห็นด้วย
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:53 am
โดย Holy
จริงๆ แง่มุมเรื่องหวยกับการพนันเป็นจุดที่กำ่กึ่งมากนะครับ
อย่างสอยดาว หรือ จับฉลากการกุศลเนี่ย มันไม่ได้ต่างอะไรจากล๊๊๊อตเตอรี่เลย คือ จ่ายน้อย แล้วหวังถูกรางวัลใหญ่กว่า คนไหนชนะรางวัลก็ได้รางวัลใหญ่ คนไหนไม่ถูกหรือไม่ชนะรางวัลก็เสียเงินไปเปล่า
ยิ่งการส่งฝา หรือห่อ สินค้า ชิงโชค มันก็ไม่ต่างจากล๊อตเตอรรี่ คือคนชนะรางวัลได้ของที่มีค่าเกินกว่าที่ลงทุนไป
ดังนั้นคำพูดนายกนี้ ผมขอผ่าน ออกแนวอุดมคติดูดีมากกว่าจะแก้ปัญหาออกมาในทางปฏิบัติจริงๆ
จบประเด็นการเมือง
กรณีการหยวนในเรื่องที่ห้าม มีปรากฎในพระคัมภีร์
มธ 19:1-9 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
19 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (2)ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น (3)ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม”
(4)พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง (5)และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
(6)ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
(7)ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้างแล้วหย่าร้างได้เล่า” (8)พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่านโมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
(9)“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:55 am
โดย เจนจิรา
Holy เขียน:
จริงๆ แง่มุมเรื่องหวยกับการพนันเป็นจุดที่กำ่กึ่งมากนะครับ
อย่างสอยดาว หรือ จับฉลากการกุศลเนี่ย มันไม่ได้ต่างอะไรจากล๊๊๊อตเตอรี่เลย คือ จ่ายน้อย แล้วหวังถูกรางวัลใหญ่กว่า คนไหนชนะรางวัลก็ได้รางวัลใหญ่ คนไหนไม่ถูกหรือไม่ชนะรางวัลก็เสียเงินไปเปล่า
ยิ่งการส่งฝา หรือห่อ สินค้า ชิงโชค มันก็ไม่ต่างจากล๊อตเตอรรี่ คือคนชนะรางวัลได้ของที่มีค่าเกินกว่าที่ลงทุนไป
ดังนั้นคำพูดนายกนี้ ผมขอผ่าน ออกแนวอุดมคติดูดีมากกว่าจะแก้ปัญหาออกมาในทางปฏิบัติจริงๆ
จบประเด็นการเมือง
กรณีการหยวนในเรื่องที่ห้าม มีปรากฎในพระคัมภีร์
มธ 19:1-9 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
19 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (2)ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น (3)ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม”
(4)พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง (5)และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
(6)ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
(7)ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้างแล้วหย่าร้างได้เล่า” (8)พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่านโมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
(9)“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
เห็นด้วยค่ะิ 100%
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 12:59 am
โดย Man of Macedonia
รบกวนอีกสักนิด เห็นนำเอา มธ 19:1-9 มา
เลยนึกขึ้นได้ถึงกระทู้ "ชายหนุ่มที่กำลังปลุกระดมประชาชนไปทั่วประเทศ" ได้ขยายความ มธ 19:1-9
ลองไล่ไปดู Reply สุดท้ายของผู้เขียนครับ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=13026.0
นักกฎหมายได้ถามว่า : "เป็นการถูกต้องหรือไม่?"
แต่พระเยซูเจ้าทรงไม่ยอมตอบคำถามประเภทว่า"อนุญาต"หรือ"ไม่อนุญาต"
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 2:46 am
โดย godlike
ผมไม่เคยเล่นหวยหรอกนะ รู้ว่ามันมีแต่เสีย
หวยคือสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นช่องทางการหาเงินเข้ารัฐ และถือว่าแทบจะเป็นรายได้หลักเลยด้วยซ้ำ รองจากภาษี สังเกตุ รายได้จากการเก็บภาษีส่วนใหญ่จะมาจากคนรวย ยิ่งรายได้มากก็จะต้องจ่ายมาก แต่รายได้จากหวยส่วนใหญ่นั้นจะมาจากคนจน แต่ถ้าจะมองในอีกแง่มุมคือรัฐสามารถเอาเงินไปหมุนเวียนได้
แ่สำหรับคำว่าบนดินหรือใต้ดินนั้นเป็นอะไรที่ดูได้ง่าย ถ้าอะไรที่รัฐทำนั่นคือถูกครับ กลายเป็นบนดิน เพราะเงินเข้ารัฐ แต่อะไรที่รัฐไม่มีเอี่ยวด้วยนั้นคือใต้ดินครับ(ไม่รวมรถไฟฟ้า) รัฐต้องการผลักดันทุกๆอย่างให้มาอยู่บนดิน เพราะ เงินมันเข้ารัฐไง ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ความถูกผิดแต่แรกแล้วครับ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 11:01 am
โดย Mobster
ขอแบ่งปันนะ
ผมไม่เคยเล่นหวย แต่เคยซื้อล้อตเตอรี่นะ
วันนึงมีคุณยายท่านหนึ่งมา
"หนุ่มๆ ช่วยซื้อให้ยายทีนะ นี่ใบสุดท้ายแล้ว"
ตอนแรกผมให้เงินคุณยาย แต่ไม่เอาล็อตเตอรี่
แต่คุณยายคนนั้นก็เอาล็อตเตอรี่ยัดใส่มือผมแล้วจับมือกำไว้
"ขอให้โชคดีนะ หลานนะ"
ผมลองดูเลข เลขท้าย----------->00
อีก5วันต่อมา เลขท้าย2ตัวงวดนั้นดันออก-------->00
(ผมลองดูพยัญชนะกำกับเลข ตามที่คนเคยสอนวิธีดูของแท้แบบพื้นฐานให้
ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ของปลอม ถึงเป็นของปลอมก็แปลกที่จะปลอมเลข00 ก่อนวันหวยออก5วัน)
สำหรับผม ผมไม่สบายใจเลยที่ถูก
เพราะผมคิดว่า หากเจอกรณีแบบนี้(ที่ยังไงก็ได้ล็อตเตอรี่มา แม้ว่าต้องการช่วยจริงๆ)
การที่ไม่ถูกรางวัลก็คือพระเจ้าทรงอวยพร
แต่ถ้าถูกรางวัล นั่นคือการทดสอบจากพระเจ้า
หลังจากปรึกษาหลายคน
ผมตัดสินใจเผาทิ้งดีกว่า
เพราะผมเคยวินิจฉัยให้ตนเองคือ
"การถูกหวยคือการขโมยของที่ถูกกฏหมาย"
(ย้ำว่าวินิจฉัยให้ตัวเองนะ ไม่ใช่จากศาสนวินัยออร์โธด๊อกซ์)[/size]
แม้ไปขึ้นเงิน แล้วเอาเงินทั้งหมดมาบริจาค
กลัวจะเป็นมลทิน(เพราะเหตุที่ได้มา สำหรับผมเองนะ มันไม่ชอบธรรม)
ผมจึงเผาทิ้งดีกว่า
ขอขอบคุณพระเจ้าสำหรับบททดสอบที่ยาก(มากๆ)ครั้งนี้ อามีน
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 11:54 am
โดย A Sheep
โอ้วว
สุดยอดดดด
พรุ่งนี้ต้องไปพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองพอดีค่ะ
ว่าจะเอาเรื่องหวยออนไลน์ไปพูด
ยังไงก็ขออนุญาตอ้างอิงถึงความเห็นของทุกท่านนะค่ะ

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 6:29 pm
โดย Deo Gratias
Ministry Of Men เขียน:
Man of Macedonia เขียน:
ผมแบ่งปันแบบนี้ครับ
เราต้องทำความรู้จักศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ 2 คำ
1. ท่าทีการแสดงออก
2. สิ่งที่เป็นแรงผลักดันท่าทีการแสดงออกนั้น
ง่ายที่สุด"อาศัยความรัก" สิ่งที่ตามมาทันทีทันใดคือ"ความเชื่อและความหวังวางใจ"
ข้อความ : ให้ประนีประนอมกับบาป
แบ่งปัน : เราไม่อาจประนีประนอมกับบาปได้ครับแน่นอนที่สุด แต่เราประนีประนอมกับคนบาปได้ การประนีประนอมนี้ ต้องไม่ใช่ การหยวนให้เขาทำแบบต่อไป แต่เป็นการเรียกร้องให้เขาทำบาปที่ว่านั้นน้อยลง อาศัย ความรักและวางใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นโดยผ่านทางเรา บ่อยครั้ง ในชีวิตจริง เรามีท่าทีไม่ประนีประนอมกับทั้งบาปและคนบาป และนั่นทำให้ คนบาปกลับใจได้ยากเต็มทีเพราะไม่มีโอกาส เพราะทำสิ่งนี้ก็ถูกตัดสินว่าผิด ทำสิ่งนั้นก็ถูกตัดสินว่าผิด "ผมไม่คิดว่าพระเยซูเจ้าจะถามนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาในครั้งแรกหรอกครับว่า นอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว และเป็นกามโรคหรือเปล่า แต่ที่พระองค์ทรงทำคือประทับอยู่ด้วย และมอบความรักอย่างจริงใจให้ และก็เป็นท่านนักบุญเองที่ได้กลับใจอาศัยพระจิตเจ้า"
*ข้อนี้ น่าจะเตือนใจพวกเราเวลาพวกเราเองแก้บาปกับพระสงฆ์นะครับ
ข้อความ : ถ้ายาก ทำไม่ได้ ก็หยวนเถอะ
แบ่งปัน : ไม่มีสิ่งใดยากหรอกครับ มันทำได้ทั้งนั้นล่ะ สำหรับผู้ที่คิดว่ายาก นั่นเพราะเขายังไม่ได้สัมผัสความจริงและความรักมากพอ ผ่านทางเราถ้าเราให้โอกาสเขาได้สัมผัสความจริงและความรักไป เดี๋ยวก็ได้เองล่ะครับ ต้องปล่อยให้เป็นตามน้ำพระทัย เราเป็นเพียงเครื่องมือ สำหรับเรื่องความพอใจและไม่พอใจ มันสะท้อนให้เห็นถึงความมีตัวตนของเรา ต้องพิจารณาดีดีว่า ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการที่ไม่ถูกใจเราเอง หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมได้จริงๆ ไม่อาจยอมได้จนข้อบกพร่องที่ยังมีอยู่ของเรา เรียกร้องให้เราต้อง มีท่าทีไม่พอใจและเคลื่อนไหวในแบบต่างๆ
คิดว่า ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ "ทุกคนทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่"(ไม่ได้แปลว่า การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยไม่สำคัญ)
แต่ที่เราต้องมองเป็นอันดับแรกคือ หากเราคิดว่าสิ่งที่ใครสักคนหนึ่งทำนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย
เราจะไปปรากฎตัวท่ามกลางพวกเขาอย่างไร(ไม่ให้พวกเขาหนี) และเปลี่ยนแปลงพวกเขาอาศัยสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา
ให้เขาทุกคน รู้ได้ด้วยตัวเองว่า"การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย"เป็นอย่างไร ด้วยอิสระเสรีที่เขาได้รับจากพระองค์มาเท่าๆกับเรา
ตามนี้ครับ ผมเห็นด้วย
แบ่งปันได้ดีมากค่ะ เห็นด้วย
พระเจ้าทรงรักคนบาป แต่ทรงเกลียดชังความบาปค่ะ
Holy เขียน:
กรณีการหยวนในเรื่องที่ห้าม มีปรากฎในพระคัมภีร์
มธ 19:1-9 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
19 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (2)ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น (3)ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 6:32 pm
โดย เจนจิรา
Deo Gratias เขียน:
Ministry Of Men เขียน:
Man of Macedonia เขียน:
ผมแบ่งปันแบบนี้ครับ
เราต้องทำความรู้จักศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ 2 คำ
1. ท่าทีการแสดงออก
2. สิ่งที่เป็นแรงผลักดันท่าทีการแสดงออกนั้น
ง่ายที่สุด"อาศัยความรัก" สิ่งที่ตามมาทันทีทันใดคือ"ความเชื่อและความหวังวางใจ"
ข้อความ : ให้ประนีประนอมกับบาป
แบ่งปัน : เราไม่อาจประนีประนอมกับบาปได้ครับแน่นอนที่สุด แต่เราประนีประนอมกับคนบาปได้ การประนีประนอมนี้ ต้องไม่ใช่ การหยวนให้เขาทำแบบต่อไป แต่เป็นการเรียกร้องให้เขาทำบาปที่ว่านั้นน้อยลง อาศัย ความรักและวางใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นโดยผ่านทางเรา บ่อยครั้ง ในชีวิตจริง เรามีท่าทีไม่ประนีประนอมกับทั้งบาปและคนบาป และนั่นทำให้ คนบาปกลับใจได้ยากเต็มทีเพราะไม่มีโอกาส เพราะทำสิ่งนี้ก็ถูกตัดสินว่าผิด ทำสิ่งนั้นก็ถูกตัดสินว่าผิด "ผมไม่คิดว่าพระเยซูเจ้าจะถามนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาในครั้งแรกหรอกครับว่า นอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว และเป็นกามโรคหรือเปล่า แต่ที่พระองค์ทรงทำคือประทับอยู่ด้วย และมอบความรักอย่างจริงใจให้ และก็เป็นท่านนักบุญเองที่ได้กลับใจอาศัยพระจิตเจ้า"
*ข้อนี้ น่าจะเตือนใจพวกเราเวลาพวกเราเองแก้บาปกับพระสงฆ์นะครับ
ข้อความ : ถ้ายาก ทำไม่ได้ ก็หยวนเถอะ
แบ่งปัน : ไม่มีสิ่งใดยากหรอกครับ มันทำได้ทั้งนั้นล่ะ สำหรับผู้ที่คิดว่ายาก นั่นเพราะเขายังไม่ได้สัมผัสความจริงและความรักมากพอ ผ่านทางเราถ้าเราให้โอกาสเขาได้สัมผัสความจริงและความรักไป เดี๋ยวก็ได้เองล่ะครับ ต้องปล่อยให้เป็นตามน้ำพระทัย เราเป็นเพียงเครื่องมือ สำหรับเรื่องความพอใจและไม่พอใจ มันสะท้อนให้เห็นถึงความมีตัวตนของเรา ต้องพิจารณาดีดีว่า ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการที่ไม่ถูกใจเราเอง หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมได้จริงๆ ไม่อาจยอมได้จนข้อบกพร่องที่ยังมีอยู่ของเรา เรียกร้องให้เราต้อง มีท่าทีไม่พอใจและเคลื่อนไหวในแบบต่างๆ
คิดว่า ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ "ทุกคนทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่"(ไม่ได้แปลว่า การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยไม่สำคัญ)
แต่ที่เราต้องมองเป็นอันดับแรกคือ หากเราคิดว่าสิ่งที่ใครสักคนหนึ่งทำนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย
เราจะไปปรากฎตัวท่ามกลางพวกเขาอย่างไร(ไม่ให้พวกเขาหนี) และเปลี่ยนแปลงพวกเขาอาศัยสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา
ให้เขาทุกคน รู้ได้ด้วยตัวเองว่า"การทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย"เป็นอย่างไร ด้วยอิสระเสรีที่เขาได้รับจากพระองค์มาเท่าๆกับเรา
ตามนี้ครับ ผมเห็นด้วย
แบ่งปันได้ดีมากค่ะ เห็นด้วย
พระเจ้าทรงรักคนบาป แต่ทรงเกลียดชังความบาปค่ะ
Holy เขียน:
กรณีการหยวนในเรื่องที่ห้าม มีปรากฎในพระคัมภีร์
มธ 19:1-9 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
19 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (2)ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น (3)ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม”
(4)พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง (5)และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
(6)ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
(7)ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้างแล้วหย่าร้างได้เล่า” (8)พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่านโมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
(9)“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
มีตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบันและเชื่อว่าในอนาคตจะมีมากขึ้น
ตอนนี้บางประเทศอนุญาตให้เกย์+เลส เป็นบรรชิต(โปรฯ)ได้แล้ว

อธิษฐานต่อไป
คุณพ่อ Orthodox บอกว่า คนที่เป็น เกย์ ควรจะบวชซะ ไม่มีการห้าม บวช เพราะถือว่าใหนๆ จะไม่มีครอบครัวแล้ว ก็รับใช้พระเจ้า ซะเลย ท่านบอกว่า ดีเสียอีกที่ พวกนี้มาบวช เป็นพระ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 6:55 pm
โดย Deo Gratias
jacky เขียน:
Deo Gratias เขียน:
Ministry Of Men เขียน:
ตามนี้ครับ ผมเห็นด้วย
แบ่งปันได้ดีมากค่ะ เห็นด้วย
พระเจ้าทรงรักคนบาป แต่ทรงเกลียดชังความบาปค่ะ
Holy เขียน:
กรณีการหยวนในเรื่องที่ห้าม มีปรากฎในพระคัมภีร์
มธ 19:1-9 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
19 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (2)ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น (3)ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 7:38 pm
โดย godlike
Deo Gratias เขียน:
jacky เขียน:
Deo Gratias เขียน:
แบ่งปันได้ดีมากค่ะ เห็นด้วย
พระเจ้าทรงรักคนบาป แต่ทรงเกลียดชังความบาปค่ะ
มีตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบันและเชื่อว่าในอนาคตจะมีมากขึ้น
ตอนนี้บางประเทศอนุญาตให้เกย์+เลส เป็นบรรชิต(โปรฯ)ได้แล้ว

อธิษฐานต่อไป
คุณพ่อ Orthodox บอกว่า คนที่เป็น เกย์ ควรจะบวชซะ ไม่มีการห้าม บวช เพราะถือว่าใหนๆ จะไม่มีครอบครัวแล้ว ก็รับใช้พระเจ้า ซะเลย ท่านบอกว่า ดีเสียอีกที่ พวกนี้มาบวช เป็นพระ
ถ้าตั้งใจว่าจะ
ไม่มีครอบครัวตลอดไปและอยู่ในการรับใช้ก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้จิตใจแบบนั้นหายไปเองในที่สุด
แต่ปัญหาของโปรฯ ที่ต่างประเทศคือ เค้า
แต่งงานกับเพศเดียวกันในขณะที่อยู่ในการรับใช้นี่สิคะ
รู้สึกว่าแองกลิกันจะทำได้นะ เค้าให้เกย์บวชได้ และนักบวชก็มีครอบครัวได้
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 7:56 pm
โดย ~ฮีUโปฟัuxaoxน้ๅโJ™~
godlike เขียน:
Deo Gratias เขียน:
jacky เขียน:
คุณพ่อ Orthodox บอกว่า คนที่เป็น เกย์ ควรจะบวชซะ ไม่มีการห้าม บวช เพราะถือว่าใหนๆ จะไม่มีครอบครัวแล้ว ก็รับใช้พระเจ้า ซะเลย ท่านบอกว่า ดีเสียอีกที่ พวกนี้มาบวช เป็นพระ
ถ้าตั้งใจว่าจะ
ไม่มีครอบครัวตลอดไปและอยู่ในการรับใช้ก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้จิตใจแบบนั้นหายไปเองในที่สุด
แต่ปัญหาของโปรฯ ที่ต่างประเทศคือ เค้า
แต่งงานกับเพศเดียวกันในขณะที่อยู่ในการรับใช้นี่สิคะ
รู้สึกว่าแองกลิกันจะทำได้นะ เค้าให้เกย์บวชได้ และนักบวชก็มีครอบครัวได้
ช่าย จึงทำให้ชาวแองลิกันบางกลุ่มไม่พอใจ จะแยกตัวออกมาบ้าง บ้างก็กะจะกลับมารวมกับคาทอลิกบ้าง-*-
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 8:08 pm
โดย Deo Gratias
godlike เขียน:
Deo Gratias เขียน:
jacky เขียน:
แบ่งปันได้ดีมากค่ะ เห็นด้วย
พระเจ้าทรงรักคนบาป แต่ทรงเกลียดชังความบาปค่ะ
Holy เขียน:
กรณีการหยวนในเรื่องที่ห้าม มีปรากฎในพระคัมภีร์
มธ 19:1-9 คำถามเรื่องการหย่าร้าง
19 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (2)ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น (3)ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 05, 2010 8:11 pm
โดย Ministry Of Men
Deo Gratias เขียน:
บางประเทศได้ ถึงว่าเน่าไปกันใหญ่แล้วไง ไม่ใช่แค่แองกลิกัน มีอีกหลายคณะ
บางประเทศก็คณะนั้น บางประเทศก็คณะนี้ ล่าสุดได้ยินว่าลูเธอร์แรนก็ด้วย
ขอบคุณพระเจ้าที่ประเทศไทยยังไม่อนุญาต เนื่องจากคริสตจักรกลุ่มเพียวริตันในประเทศไทยมีอิทธิผลต่อคริสเตียนไทยมาก
บวกกับวัฒธนธรรมไทยโบราณสอนไว้ดี เลยสามารถยับยั้งเรื่องนี้ไว้ได้
เดี๋ยวนี้ความบาปแปลกๆ เข้ามาในคริสตจักรมากขึ้นทุกวันๆ
บางทีก็ลุกลามเข้ามาถึงวงการผู้รับใช้ ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
อ.เปาโล กล่าวกับ อ.ทิโมธี (รวมถึงผู้รับใช้ในยุคต่อๆ มาด้วย) ว่า
"แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ
และในความบริสุทธิ์....จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน" (1ทธ.4:12-16)
ยังไงก็คงต้องอธิษฐานต่อไป ก่อนที่ความบาปทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นที่ยอมรับ และทำแล้วไม่รู้สึกว่าบาปมากไปกว่านี้ : xemo017 :

เหอๆ อื่ม ร่วมด้วยช่วยกัน อย่างน้อยก็คำอธิษฐานเผื่อกันและกัน ^ ^
จริงที่ว่า เดี๋ยวนี้ เรื่องบาปบางเรื่อง กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่บาปไปซะแล้วสำหรับคนทั่วไป

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 1:04 am
โดย Jesus loves You
Grey Cat =^. .^= เขียน:
ขอแบ่งปันนะ
ผมไม่เคยเล่นหวย แต่เคยซื้อล้อตเตอรี่นะ
วันนึงมีคุณยายท่านหนึ่งมา
"หนุ่มๆ ช่วยซื้อให้ยายทีนะ นี่ใบสุดท้ายแล้ว"
ตอนแรกผมให้เงินคุณยาย แต่ไม่เอาล็อตเตอรี่
แต่คุณยายคนนั้นก็เอาล็อตเตอรี่ยัดใส่มือผมแล้วจับมือกำไว้
"ขอให้โชคดีนะ หลานนะ"
ผมลองดูเลข เลขท้าย----------->00
อีก5วันต่อมา เลขท้าย2ตัวงวดนั้นดันออก-------->00
(ผมลองดูพยัญชนะกำกับเลข ตามที่คนเคยสอนวิธีดูของแท้แบบพื้นฐานให้
ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ของปลอม ถึงเป็นของปลอมก็แปลกที่จะปลอมเลข00 ก่อนวันหวยออก5วัน)
สำหรับผม ผมไม่สบายใจเลยที่ถูก
เพราะผมคิดว่า หากเจอกรณีแบบนี้(ที่ยังไงก็ได้ล็อตเตอรี่มา แม้ว่าต้องการช่วยจริงๆ)
การที่ไม่ถูกรางวัลก็คือพระเจ้าทรงอวยพร
แต่ถ้าถูกรางวัล นั่นคือการทดสอบจากพระเจ้า
หลังจากปรึกษาหลายคน
ผมตัดสินใจเผาทิ้งดีกว่า
เพราะผมเคยวินิจฉัยให้ตนเองคือ
"การถูกหวยคือการขโมยของที่ถูกกฏหมาย"
(ย้ำว่าวินิจฉัยให้ตัวเองนะ ไม่ใช่จากศาสนวินัยออร์โธด๊อกซ์)[/size]
แม้ไปขึ้นเงิน แล้วเอาเงินทั้งหมดมาบริจาค
กลัวจะเป็นมลทิน(เพราะเหตุที่ได้มา สำหรับผมเองนะ มันไม่ชอบธรรม)
ผมจึงเผาทิ้งดีกว่า
ขอขอบคุณพระเจ้าสำหรับบททดสอบที่ยาก(มากๆ)ครั้งนี้ อามีน
โอว้ดีมากๆเรยครับ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 8:51 am
โดย sinner
ไม่เคยซื้อ และไม่คิดจะซื้อค่ะ
เพราะเห็นตัวอย่างญาติผู้ใหญ่บางท่านซื้อหวยทีเป็นเล่มๆ
แต่ไม่เคยเจือจุนใครเลยนอกจากหวย
เป็นความมัวเมาที่เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 6:56 pm
โดย Deo Gratias
จะว่าไปพูดถึงประเด็นหวย ปกติโปรฯ เราจะสอนสมาชิกว่า
หวยคือการพนันเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ดังนั้นการซื้อหวยจึงถือว่าผิดอยู่แล้ว
แต่ก็มีปัญหาที่เกิดขึ้นในการอภิบาลคือมีหลายคนถามว่า "ฉลากออมสิน" ที่
มีการถูกรางวัล แต่ไม่กินเงินต้น คริสตชนจะซื้อได้ไหม?
เมื่อเราให้เหตุผลว่า
ซื้อหวยผิดเพราะว่าหวยคือการพนันเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง แต่มาถึงตรงนี้ แต่เรากลับบอกเขาว่าซื้อออมสิน "ไม่ได้"
มันก็ไม่สมเหตุ เพราะฉลากออมสินไม่กินเงินต้น จึงไม่ใช่การพนันที่ไม่ได้ก็เสีย คริสตชนบางคนอาจจะบอกว่าเขาฝากเงินไว้เฉยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าได้รางวัล แต่ถ้าอยู่ๆ เขาได้ก็คือพระเจ้ารู้ว่าเขาขาดเลยให้เขา แต่ถ้าไม่ได้เขาก็ไม่ได้เสียอะไร ก็ถูกของเขา จึงทำให้บางครั้งหนักใจในการให้คำตอบ
คราวนี้มาถึงเรื่องสอยดาวที่พี่ปอพูดถึงไว้บ้างแล้ว คริสตจักรเกือบทุกคณะนิกายมักจะจัดกิจกรรมประเภทนี้เมื่อมีเทศกาลเช่นคริสตมาส โดยไม่ถือว่าเป็นการพนัน แต่ถือว่าเป็นกิจกรรมของคริสตจักรที่นานๆ มีทีไม่ได้มีบ่อย แล้วเงินที่ได้ก็นำไปช่วยพันธกิจของคริสตจักร ซึ่งตรงนี้เป็นจุดอ่อนที่ทำให้พวกอยากเล่นหวยอ้างได้ว่า รายได้หวยก็เอาไปช่วยพัฒนาสังคม และอีกอย่างก็คือบางคนไม่ใช่เล่นแค่พอหอมปากหอมคอ แต่เล่นแล้วเล่นอีก ไม่ได้ก็เล่นจนกว่าจะได้ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพนันเหมือนกัน ถ้าเราแก้ไขตรงนี้ไม่ได้เราก็สอนเรื่องการซื้อหวยคือการพนันไม่ได้
ทุกเรื่องเกี่ยวโยงกันหมด สอนยากจริงๆ
ส่วนตัวคิดว่า ....
อย่างไรก็ตามการพนันก็คือบาป
คริสตจักรต้องไม่แก้ปัญหาด้วยการอนุโลมว่าหวยช่วยชาติ อนุญาตให้ซื้อได้ถ้าไม่เดือดร้อน เพราะหวยก็เหมือนเหล้าถ้ามี 1 ก็มี 2 ถ้าอนุญาตไม่เพียงคนมีเงินเหลือซื้อ คนไม่มีเงินก็จะซื้อด้วยและเป็นปัญหาในที่สุด ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนข้างนอก คริสตจักรไม่ได้เป็นแบบอย่างเลย ถ้าจะช่วยชาติก็ช่วยวิธีอื่นได้ แต่จะต้องแก้ไขปัญหาตรงวิธีการทำกิจกรรมของคริสตจักรเอง ที่ทำยังไงไม่ให้กิจกรรมหรือการระดมทุนของคริสตจักรกลายเป็นการฝึกอนุชนให้เป็นนักพนัน
ส่วนเรื่องฉลากออมสิน ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
พี่น้องที่นี่มีความเห็นยังไงบ้างคะ อยากได้มุมมองที่แตกต่าง

Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 8:27 pm
โดย Mobster
เชื่อไหม ผมก็เป็นหนึ่งที่ไปร่วม ไม่ยอมรับหวยออนไลน์
แต่สำหรับผม เจตนาผมคือ ยกเลิกล็อตเตอร์รี่ไปเลย
มีอยู่ครั้ง ผมพูดเรื่อนี้ขึ้นมา มีลุงแก่ๆ(ใส่หมวกกอปิเยาะสีขาว หมวกมุสลิมอะนะ)มาทัก
"หนุ่ม เป็นมุสลิมเหมือนกันหรอ"
ผมช็อกมากครับ!
ว่าทำไมเอกลักษณ์เรื่องการตัดขากจากอบายมุขทั้งปวงถึงเห็นได้ชัดแค่ในอิสลาม
ทั้งที่คริสตศาสนาสอนชัดกว่ามากด้วย
วันไหนที่มีการประกาศ "ยกเลิกล็อตเตอร์รี่ทั้งหมด"
แน่นอน ผมและพี่น้องหลายคน อาจจะตั้งวันนั้นเป็น "วันเอกราชจากอบายมุขหลักแห่งชาติ"
เพราะหวยเป็นอบายมุขที่ถูกต้องตามกฏหมายที่หนักและใหญ่ที่สุดและกินวงกว้างที่สุด
ผมจะมีโอกาศเห็นวันนั้นไหมน้า เพราะผู้ที่หลงก็ยังมีอีกเยอะ
(เทียบบัว4เหล่า ขอไม่ขยายความนะ)
หากเกิดหลังจากมีวันนั้นแล้วกลับมีผู้นำกลับมาอีก
คงจะมีการตั้งวันนั้นว่า "วันอัปยศเข้าสู่ยุคอบายมุขแห่งชาติ"
T_T
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 8:28 pm
โดย Ministry Of Men
ไม่มีความรู้เรื่องหวยพวกนี้มากนัก เล่นไม่เป็น - -"
หวย ลอตเตอรี่ ถือเป็นการพนัน เป็นการใช้ชีวิตแบบเสี่ยงโชค ไม่ใช่การช่วยทำบุญเลย อีกอย่างถ้ารู้เบื้องหลังที่มันนอกเหนือยิ่งกว่าเรื่องที่ฉาวออกทีวี จะรู้ว่า เงินรายได้ของรัฐบาลจากการขายหวยและลอตเตอรี่(อันเดียวกันป่าว?) มันไม่ได้เอาไปทำอะไรเพื่อสังคมสักเท่าไหร่.. มีแต่เอาไปกิน ไปเขย่าพุง ไปโปะงบดุลโน่นนี่...
ส่วนสลากออมสิน มันไม่เหมือนการพนันนะ มันเปรียบเสมือนการออมทรัพย์ และธนาคารให้ผลตอบแทนในรูปแบบสุ่มได้ (อันนี้แล้วแต่มองจริงๆ)
แต่โดยส่วนตัวคิดว่า อยู่ที่มโนธรรมและเจตนาของผู้นั้นอ่ะครับ ว่าเค้าจะเล่นพนัน หรือ ลงทุน หรือ ออมทรัพย์ มันอยู่ที่ความคิดและเจตนามากกว่า
แต่สำหรับ หวยและลอตเตอรี่นั้น ไม่ใช่การออมทรัพย์ ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการเสี่ยงโชคเผื่อจะฟลุค นั่นคือการพนัน 100%
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 8:55 pm
โดย Deo Gratias
Grey Cat =^. .^= เขียน:
เชื่อไหม ผมก็เป็นหนึ่งที่ไปร่วม ไม่ยอมรับหวยออนไลน์
แต่สำหรับผม เจตนาผมคือ ยกเลิกล็อตเตอร์ลี่ไปเลย
มีอยู่ครั้ง ผมพูดเรื่อนี้ขึ้นมา มีลุงแก่ๆ(ใส่หมวกกอปิเยาะสีขาว หมวกมุสลิมอะนะ)มาทัก
"หนุ่ม เป็นมุสลิมเหมือนกันหรอ"
ผมช็อกมากครับ! ว่าทำไมเอกลักษณ์เรื่องการตัดขากจากอบายมุขทั้งปวงถึงเห็นได้ชัดแค่ในอิสลาม
ทั้งที่คริสตศาสนาสวดชัดกว่ามากด้วย
วันไหนที่มีการประกาศ "ยกเลิกล็อตเตอร์รี่ทั้งหมด"
แน่นอน ผมและพี่น้องหลายคน อาจจะตั้งวันนั้นเป็น "วันเอกราชจากอบายมุขหลักแห่งชาติ"
เพราะหวยเป็นอบายมุขที่ถูกต้องตามกฏหมายที่หนักและใหญ่ที่สุด
ผมจะมีโอกาศเห็นวันนั้นไหมน้า เพราะผู้ที่หลงก็ยังมีอีกเยอะ
(เทียบบัว4เหล่า ไม่ขยายความนะ)
หากเกิดหลังจากมีวันนั้นแล้วกลับมีผู้นำกลับมาอีก
คงจะมีการตั้งวันนั้นว่า "วันอัปยศเข้าสู่ยุคอบายมุขแห่งชาติ"
T_T
เห็นด้วยล้านเปอร์เซนต์ ไม่ใช่แค่หวย แต่ทุกอย่างที่เป็นอบายมุข น่าละล้างบางให้หมดเลย
แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ายังมีข้ออ้างว่ายังไงก็ห้ามไม่ได้ ชาวบ้านก็แอบกินแอบเล่นอยู่ดี
สู้ใช้ตรงนี้หาเงินเข้าประเทศดีกว่า ช่วยให้คนมีงานทำด้วย สังคมมันก็จะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นไม่ได้เลย
สำหรับคริสตชน...
"อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม" (รม.12:2)
ตอนเป็นอนุชนเคยใช้พระคัมภีร์ตอนนี้ปฏิเสธเพื่อนต่างศาสนาว่าเราทำอย่างที่เค้าทำไม่ได้ เพื่อนบอกว่า "เชย"
เลยบอกกลับไปว่า "ฉันยอมเชยฝ่ายโลก แต่ฉันจะไม่ยอมเชยฝ่ายวิญญาณ" (เชยฝ่ายวิญญาณ หมายถึง ไม่รู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า)
Ministry Of Men เขียน:
หวย ลอตเตอรี่ ถือเป็นการพนัน เป็นการใช้ชีวิตแบบเสี่ยงโชค ไม่ใช่การช่วยทำบุญเลย อีกอย่างถ้ารู้เบื้องหลังที่มันนอกเหนือยิ่งกว่าเรื่องที่ฉาวออกทีวี จะรู้ว่า เงินรายได้ของรัฐบาลจากการขายหวยและลอตเตอรี่(อันเดียวกันป่าว?) มันไม่ได้เอาไปทำอะไรเพื่อสังคมสักเท่าไหร่.. มีแต่เอาไปกิน ไปเขย่าพุง ไปโปะงบดุลโน่นนี่...
ไม่รู้เคยได้ยินกันรึเปล่า มีเพลงอยู่เพลงนึงที่มีเนื้อร้องต่อต้านการขายฉลาก โดยใส่ลงไปในทำนองเพลง "รู้ไหมการขายฉลาก เมื่อได้เงินมามาทำอะไร" แต่มีเนื้อหาตรงข้ามกัน ฟังแล้วขำมากเลย หัวเราะกับเพื่อนจนน้ำตาเล็ดเลยแหละ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 9:18 pm
โดย Deo Gratias
ปีที่แล้วตอนไปฝึกงานก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมจะต้องให้ผู้ที่จะเป็นพยานในที่ประชุมจะต้องแจ้งคณะธรรมกิจคริสตจักรถึงเรื่องที่จะพูดก่อน
เลยไปถามคณะธรรมกิจท่านหนึ่งอธิบายให้ฟังว่าเพราะเคยมีคนถูกหวยแล้วขึ้นมาเป็นพยานว่าพระเจ้าให้เขาถูกหวย
ซึ่งผิดต่อหลักคำสอน คริสตจักรจึงจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเขาจะพูดอะไร เพื่อเป็นการคัดกรองผู้ที่จะเป็นพยานในที่ประชุมไม่ให้พูดสิ่งที่ผิดคำสอน : xemo029 :
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 5:34 pm
โดย ชิปโป
ปรกติทางโปร. จะใช้พระคัมภีร์ในการกำหนดข้อห้ามต่างๆ อยากทราบว่า พี่ Deo Gratias ใช้พระคัมภีร์ข้อไหนในการบอกว่าเล่นหวยบาปงับ
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 5:50 pm
โดย Deo Gratias
ชิปโป เขียน:
ปรกติทางโปร. จะใช้พระคัมภีร์ในการกำหนดข้อห้ามต่างๆ อยากทราบว่า พี่ Deo Gratias ใช้พระคัมภีร์ข้อไหนในการบอกว่าเล่นหวยบาปงับ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าพี่ไม่ได้เป็นคนกำหนดค่ะ แต่เป็นคำสอนในพระคัมภีร์ และโปรฯ ทุกคนรับทราบตรงกัน (แต่จะปฏิบัติตามหรือไม่นั้นไม่ทราบ)
อย่างที่คุณชิปโปบอก โปรฯ (สายหลัก) จะสอนอะไร จะมีพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานเสมอ แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นข้อๆ ตามตัวอักษรเป๊ะๆ เสมอไป
คำสอนหลายตอนเราดูจากบริบททั้งจากพระธรรมตอนอื่นๆ จากประวัติศาสตร์ จากวัฒนธรรม จากภาษา ฯลฯ ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าจะสอนอะไร
แล้วนำมาประยุกต์ใช้
บางสิ่งบางอย่างไม่มีในยุคพระคัมภีร์ แต่มีในยุคของเรา ไม่มีในอิสราเอล แต่มีในไทย ฯลฯ เช่น หวย หรืออบายมุขอื่นๆ บางคนก็จะบอกว่าไม่มีพระคัมภีร์ตอนไหนบอกว่าไม่ให้เล่นหวย แต่โปรฯ ตีความลึกกว่านั้นว่า แม้พระคัมภีร์จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่เรารู้จักพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ (ศัพท์ศาสนศาสตร์เรียกว่าใช้พระคัมภีร์ตีความพระคัมภีร์)ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าคือไม่ต้องการให้คริสตชนหมกมุ่นกับอบายมุขซึ่งถือว่าเป็นรูปเคารพอย่างหนึ่ง แต่ทรงต้องการให้เรามีชีวิตที่เป็นแบบอย่างแห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์ จึงสรุปได้เป็นคำสอนที่ว่าคริสตชนจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกชนิดไม่ใช่เพื่อสะสมบุญเอาความรอด เพราะเรารอดด้วยพระคุณแล้ว แต่เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าค่ะ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งนะคะ : emo038 :
Re: บทเรียนทางศาสนศาสตร์กับปัญหาสังคม
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 7:40 pm
โดย Holy
ถ้าแบบนี้เกิดเขาไม่หมกมุ่นก็ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ