ตอบไม่ตรงคำถาม
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 5:06 pm
เริ่มต้นตรงนี้ในปีพระวาจา-ปีพระสงฆ์ ตอนที่ 64 โดย คุณพ่อ พงศ์เทพ ประมวลพร้อม
อุดมสาร ฉบับที่ 1-2 ประจำวันที่ 1-16 มกราคม 2010
บทความ : ตอบไม่ตรงคำถาม หน้า 5
นักบุญยอห์นเล่าในพระวรสารของท่านว่า
ท่านกับเพื่อนเป็นลูกศิษย์ของยอห์น บัปติส มาก่อน
แต่พออาจารย์เห็นพระเยซูเจ้า จึงชี้แก่พวกเขาว่า"นี่คือลูกแกะของพระเจ้า"
ทั้งสองก็ละนักบุญยอห์น ผู้เป็นอาจารย์ และตามพระเยซูเจ้าไป
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเมตตาต่อทั้งสองก่อนโดยตรัสถามว่า
"ท่านต้องการสิ่งใด?"
ทั้งยอห์นกับเพื่อนก็ตอบกลับไม่ตรงคำถามว่า
"พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน?"
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"มาดูซิ"
"เขาจึงไปดูเห็นที่ประทับของพระองค์และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง"(ยอห์น 1:35-39)
อาการตอบไม่ตรงคำถามของยอห์นและเพื่อน
เป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์เราทุกคน
เราไม่รู้หรอกว่า"ที่เรากำลังแสวงหาอยู่นั้นเป็นอะไรจริงๆ"
เราพอจะรู้เพียงเลาๆว่า อยากอยู่ใกล้พระอาจารย์
ทั้งสองได้รับความรู้มาจากอาจารย์คนเก่า(น.ยอห์น บัปติส)ว่า
ท่านผู้นี้เป็น"พระชุมพาน้อย"
แต่ที่ทั้งสองกำลังแสวงหาอยากได้จากพระองค์จริงๆก็ไม่ชัดเจนอะไร
สามเณรชั้น ม.1 ตอยคำถามผู้ไปถามว่า ทำไมจึงอยากเป็นคุณพ่อและเข้าบ้านเณร
เขาตอบว่า"ตอนผมอยู่ที่วัด ผมเห็นคนยกสำรับกบัข้าวให้คุณพ่อบนบ้าน
ในถาดอาหารมีกล้วยหอมลูกใหญ่น่ากินมากเลยครับ
ผมคิดว่าถ้าผมได้บวชเป็นคุณพ่อ ผมก็จะมีโอกาสได้กินกล้วยหอมลูกใหญ่ๆแบบนี้บ้าง"
พอเขาอยู่ชั้น ม.6 คนถามก็ไปถามคำถามเดิมอีก
คราวนี้เขาตอบว่า"เพราะผมอยากช่วยวิญญาณให้รอด"
คนถามเดินจากไปและคิดในใจว่า
"เณรคนนี้ จำคำของคนอื่นมาพูด เขาไม่รู้และไม่เข้าใจถ่องแท้หรอกหรือว่า ช่วยวิญญาณให้รอดแปลว่าอะไร?"
บางทีอาจเป็นไปได้ว่า เขาร่วมมิสซาทุกๆเช้า สวดทุกวัน อ่านประวัตินักบุญและหนังสือศรัทธาเวลาเฝ้าศีลตามพระวินัยกำหนด
ได้ฟังคำเทศน์หลายปีเข้า คำตอบไพเราะ เช่นวันนี้ เลยซึมซับเข้าไปในหัว "เพื่อช่วยวิญญาณให้รอด"
คราวนี้ พอเขาเข้าบ้านเณรใหญ่ถึงชั้นปีที่ 4 และหยุดพักไปฝึกงานอภิบาล 1 ปี ได้อยู่กับคุณพ่อประจำที่วัดจริงๆ
ได้ทานข้าวกับคุณพ่อและแน่นอน เขาได้กินกล้วยหอมลูกใหญ่ๆเกือบทุกวันจนออกจะเบื่อ
ได้เห็นคุณพ่อเตรียมเทศน์สอนคำสอน ถวายมิสซา ได้ยินสัตบุรุษบางคนนินทาด่าว่าคุณพ่อ
ได้เห็นภาพที่เมื่อทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว คุณพ่อก็กลับเข้าไปในห้องทำงานเงียบๆคนเดียวทุกวันและตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อสวดทำวัตร
ถวายมิสซาทุกเช้าไม่มีวันหยุด
พอจบปีเขากลับเข้าบ้านเณรและบอกกับคุณพ่ออธิการว่า
"ผมคิดว่าจะขอลาออกจากการเป็นเณร ไม่กลับเข้าเรียนในชั้นปีที่ 5 ในปีใหม่นี้ ผมได้เห็นชีวิตจริงๆของคุณพ่อแล้วเป็นชีวิตที่ดี
แต่คงไม่เหมาะกับผม ผมคิดว่าผมคงเทศน์สอนไม่ไหว เพราะผมไม่ชอบพูดและต้องเตรียมอย่างหนัก
อะไรๆที่ผมเห็นในวันที่ผมอยู่เป็นชีวิตที่ผมไม่อยากจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ อีกอย่างผมคิดว่าผมได้เจอคนที่ผมชอบ
และอาจมีความสุขกว่า ถ้าในอนาคตผมจะมีครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่นเหมือนพ่อ-แม่ของผม และหลายๆครอบครัวที่ผมเห็นที่วัดนี้
พระเยซูเจ้าตรัสถามว่าเราว่า "ท่านต้องการสิ่งใด?"
เราทำได้เพียงแต่เข้าไปใกล้ๆพระองค์พักอยู่กับพระองค์
และค่อยๆเรียนรู้พระประสงค์ของพระองค์
ค่อยๆสัมผัสคุณค่าแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์
คำตอบของเราครั้งแรกก็เลยไม่ตรงคำถามแบบนักบุญยอห์นกับเพื่อนในบ่ายวันนั้น
เพราะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าท่านจะตอบตัวเองได้ว่า"ต้องการสิ่งใด"ได้สำเร็จ
โดยค่อยๆเรียนรู้ว่าในองค์พระเยซูเจ้ามีคุณค่าเพียงใด ที่เราตักตวงไปครอบครองดื่มกินได้
ไม่สงสัยเลยที่ทุกวนนี้ เราร่วมมิสซาสม่ำเสมอ แต่เราก็ยังไม่ค่อยรู้เลยว่า
"พระประสงค์ของพระองค์คืออะไร?"
"ท่านต้องการสิ่งใด?"เป็นคำถามของพระองค์ที่ทรงถามเพื่อให้เราพิจารณาว่า
สิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระองค์จะทรงประทานให้แก่เราจริงๆหรือ?
เราจึงน่าจะทูลถามพระองค์ทุกวันด้วยคำถามเดียวกันว่า"พระองค์ต้องการสิ่งใด?"
ไม่ใช่"เราต้องการอะไร?"
หลังจากที่ยอห์นและเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งพระวรสารเล่าต่อมาว่าชื่อ อันดรูว์ ได้พักกับพระองค์ในวันนั้นแล้ว
อันดรูว์ก็กลับบ้านไปบอกพี่ชาย คือ เปโตร ว่า"เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว"และก็พาพี่ชายมาพบพระเยซูเจ้า
พระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อเขาจาก ซีโมน เปน เคฟาส แปลว่า เปโตร หรือ ศิลา(ยอห์น 1:41-42)
พวกเขาพักอยู่กับพระเยซูเพียงวันเดียว ก็กลับไปบอกพี่ชายว่าได้พบ"พระเมสสิยาห์"หรือ"พระผู้ไถ่"แล้ว
พระเยซูเจ้าคงมีพระบุคคลิกที่พิเศษน่าประทับใจมาก การได้มาพักอยู่กับพระองค์เป็นหนทางเดียวที่จะได้สัมผัส
ชื่นชมพระบุคลิกอันน่าประทับใจนี้ เพื่อจะได้ตอบพระองค์ได้ตรงคำถามว่า
"ลูกต้องการอยู่ในที่ที่พระองค์ประสงค์ให้ลูกอยู่
ลูกต้องการเป็นในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้ลูกเป็น...พระเจ้าข้า"
พระเจ้าอวยพร,
อุดมสาร ฉบับที่ 1-2 ประจำวันที่ 1-16 มกราคม 2010
บทความ : ตอบไม่ตรงคำถาม หน้า 5
นักบุญยอห์นเล่าในพระวรสารของท่านว่า
ท่านกับเพื่อนเป็นลูกศิษย์ของยอห์น บัปติส มาก่อน
แต่พออาจารย์เห็นพระเยซูเจ้า จึงชี้แก่พวกเขาว่า"นี่คือลูกแกะของพระเจ้า"
ทั้งสองก็ละนักบุญยอห์น ผู้เป็นอาจารย์ และตามพระเยซูเจ้าไป
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเมตตาต่อทั้งสองก่อนโดยตรัสถามว่า
"ท่านต้องการสิ่งใด?"
ทั้งยอห์นกับเพื่อนก็ตอบกลับไม่ตรงคำถามว่า
"พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน?"
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"มาดูซิ"
"เขาจึงไปดูเห็นที่ประทับของพระองค์และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง"(ยอห์น 1:35-39)
อาการตอบไม่ตรงคำถามของยอห์นและเพื่อน
เป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์เราทุกคน
เราไม่รู้หรอกว่า"ที่เรากำลังแสวงหาอยู่นั้นเป็นอะไรจริงๆ"
เราพอจะรู้เพียงเลาๆว่า อยากอยู่ใกล้พระอาจารย์
ทั้งสองได้รับความรู้มาจากอาจารย์คนเก่า(น.ยอห์น บัปติส)ว่า
ท่านผู้นี้เป็น"พระชุมพาน้อย"
แต่ที่ทั้งสองกำลังแสวงหาอยากได้จากพระองค์จริงๆก็ไม่ชัดเจนอะไร
สามเณรชั้น ม.1 ตอยคำถามผู้ไปถามว่า ทำไมจึงอยากเป็นคุณพ่อและเข้าบ้านเณร
เขาตอบว่า"ตอนผมอยู่ที่วัด ผมเห็นคนยกสำรับกบัข้าวให้คุณพ่อบนบ้าน
ในถาดอาหารมีกล้วยหอมลูกใหญ่น่ากินมากเลยครับ
ผมคิดว่าถ้าผมได้บวชเป็นคุณพ่อ ผมก็จะมีโอกาสได้กินกล้วยหอมลูกใหญ่ๆแบบนี้บ้าง"
พอเขาอยู่ชั้น ม.6 คนถามก็ไปถามคำถามเดิมอีก
คราวนี้เขาตอบว่า"เพราะผมอยากช่วยวิญญาณให้รอด"
คนถามเดินจากไปและคิดในใจว่า
"เณรคนนี้ จำคำของคนอื่นมาพูด เขาไม่รู้และไม่เข้าใจถ่องแท้หรอกหรือว่า ช่วยวิญญาณให้รอดแปลว่าอะไร?"
บางทีอาจเป็นไปได้ว่า เขาร่วมมิสซาทุกๆเช้า สวดทุกวัน อ่านประวัตินักบุญและหนังสือศรัทธาเวลาเฝ้าศีลตามพระวินัยกำหนด
ได้ฟังคำเทศน์หลายปีเข้า คำตอบไพเราะ เช่นวันนี้ เลยซึมซับเข้าไปในหัว "เพื่อช่วยวิญญาณให้รอด"
คราวนี้ พอเขาเข้าบ้านเณรใหญ่ถึงชั้นปีที่ 4 และหยุดพักไปฝึกงานอภิบาล 1 ปี ได้อยู่กับคุณพ่อประจำที่วัดจริงๆ
ได้ทานข้าวกับคุณพ่อและแน่นอน เขาได้กินกล้วยหอมลูกใหญ่ๆเกือบทุกวันจนออกจะเบื่อ
ได้เห็นคุณพ่อเตรียมเทศน์สอนคำสอน ถวายมิสซา ได้ยินสัตบุรุษบางคนนินทาด่าว่าคุณพ่อ
ได้เห็นภาพที่เมื่อทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว คุณพ่อก็กลับเข้าไปในห้องทำงานเงียบๆคนเดียวทุกวันและตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อสวดทำวัตร
ถวายมิสซาทุกเช้าไม่มีวันหยุด
พอจบปีเขากลับเข้าบ้านเณรและบอกกับคุณพ่ออธิการว่า
"ผมคิดว่าจะขอลาออกจากการเป็นเณร ไม่กลับเข้าเรียนในชั้นปีที่ 5 ในปีใหม่นี้ ผมได้เห็นชีวิตจริงๆของคุณพ่อแล้วเป็นชีวิตที่ดี
แต่คงไม่เหมาะกับผม ผมคิดว่าผมคงเทศน์สอนไม่ไหว เพราะผมไม่ชอบพูดและต้องเตรียมอย่างหนัก
อะไรๆที่ผมเห็นในวันที่ผมอยู่เป็นชีวิตที่ผมไม่อยากจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ อีกอย่างผมคิดว่าผมได้เจอคนที่ผมชอบ
และอาจมีความสุขกว่า ถ้าในอนาคตผมจะมีครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่นเหมือนพ่อ-แม่ของผม และหลายๆครอบครัวที่ผมเห็นที่วัดนี้
พระเยซูเจ้าตรัสถามว่าเราว่า "ท่านต้องการสิ่งใด?"
เราทำได้เพียงแต่เข้าไปใกล้ๆพระองค์พักอยู่กับพระองค์
และค่อยๆเรียนรู้พระประสงค์ของพระองค์
ค่อยๆสัมผัสคุณค่าแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์
คำตอบของเราครั้งแรกก็เลยไม่ตรงคำถามแบบนักบุญยอห์นกับเพื่อนในบ่ายวันนั้น
เพราะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าท่านจะตอบตัวเองได้ว่า"ต้องการสิ่งใด"ได้สำเร็จ
โดยค่อยๆเรียนรู้ว่าในองค์พระเยซูเจ้ามีคุณค่าเพียงใด ที่เราตักตวงไปครอบครองดื่มกินได้
ไม่สงสัยเลยที่ทุกวนนี้ เราร่วมมิสซาสม่ำเสมอ แต่เราก็ยังไม่ค่อยรู้เลยว่า
"พระประสงค์ของพระองค์คืออะไร?"
"ท่านต้องการสิ่งใด?"เป็นคำถามของพระองค์ที่ทรงถามเพื่อให้เราพิจารณาว่า
สิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระองค์จะทรงประทานให้แก่เราจริงๆหรือ?
เราจึงน่าจะทูลถามพระองค์ทุกวันด้วยคำถามเดียวกันว่า"พระองค์ต้องการสิ่งใด?"
ไม่ใช่"เราต้องการอะไร?"
หลังจากที่ยอห์นและเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งพระวรสารเล่าต่อมาว่าชื่อ อันดรูว์ ได้พักกับพระองค์ในวันนั้นแล้ว
อันดรูว์ก็กลับบ้านไปบอกพี่ชาย คือ เปโตร ว่า"เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว"และก็พาพี่ชายมาพบพระเยซูเจ้า
พระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อเขาจาก ซีโมน เปน เคฟาส แปลว่า เปโตร หรือ ศิลา(ยอห์น 1:41-42)
พวกเขาพักอยู่กับพระเยซูเพียงวันเดียว ก็กลับไปบอกพี่ชายว่าได้พบ"พระเมสสิยาห์"หรือ"พระผู้ไถ่"แล้ว
พระเยซูเจ้าคงมีพระบุคคลิกที่พิเศษน่าประทับใจมาก การได้มาพักอยู่กับพระองค์เป็นหนทางเดียวที่จะได้สัมผัส
ชื่นชมพระบุคลิกอันน่าประทับใจนี้ เพื่อจะได้ตอบพระองค์ได้ตรงคำถามว่า
"ลูกต้องการอยู่ในที่ที่พระองค์ประสงค์ให้ลูกอยู่
ลูกต้องการเป็นในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้ลูกเป็น...พระเจ้าข้า"
พระเจ้าอวยพร,