Belong to the Truth Jesus Christ

กระทู้นี้ตั้งไปแล้วที่ห้องรับแขก แต่คิดว่าตัวเองตั้งห้องผิด ยังไงขอโทษด้วยนะครับ

ผมกำลังจะเขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องสั้นเรื่อง the way up to heaven ของ roald dhal โดยหัวข้อคือ Christianity in the way up to heaven โดยอยากได้ข้อมูลดังนี้ครับ

ศาสนาคริสต์สอนอะไรเกี่ยวกับคนประเภทที่ยังหลงไหลอยู่ในอำนาจที่ตนเคยมีอยู่ โดยผ่านการกระทำการทรมานผู้อื่นทางจิตใจ (ตัวร้ายในเรื่องชอบทรมานทางจิตใจเมีย คือ มีเมียเป็นโรคทางจิตประเภทกลัวสาย ไปขึ้นรถไฟ ไปขึ้นเครื่อง เข้าโรงละครไม่ทัน แล้วตัวสามีนี่จะชอบทรมานเมียโดยการทำตัวเองให้ช้า)

ศาสนาคริสต์สอนอะไรเกี่ยวกับผู้คนที่ถูกทรมานทางจิตใจในโลกนี้ (คือตัวเมียเองที่ถูกสามีทรมาน โดยในเรื่องการที่เธอเป็นโรคจิตกลัวการไปสายเปรียบเสมือนที่เธอพยายามจะหนีจากสามี)

ศาสนาคริสต์สอนอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาที่เหมือนไม่ได้รักกัแล้ว แต่อยู่ด้วยกันเพราะ 1. ภรรยาต้องการรักษาสภาพภรรยาที่ดี ซือสัตย์ต่อสามี 2. สามีเหมือนพวกหลงในอำนาจของตน มีภรรยาไว้เหมือนเป็นของเล่นไว้ทรมาน

สุดท้าย ในเรื่องภรรยาทิ้งให้สามีตายในลิฟต์ (ประมาณว่าจะวิ่งไปตามสามี พอถึงประตู ได้ยินเสียงคล้ายๆ คนร้องให้ช่วยในลิฟต์ แต่เธอไม่ช่วย หนีไปเลย) ศาสนาคริสต์สอนอะไรเรื่องนี้ การที่เธอไม่ช่วยนั้นผิดหรือไม่เพราะในเรื่องเหมือนกับว่าเป็การปล่อยตัวเธอเองจากความทรมานนี้ และปล่อยสามีให้หลุดจากชีวิตบาป (น่าสนใจตรงนี้ คือ 1. สามีตายในลิฟต์อย่างทรมาน นึกถึงลิฟต์ว่าเป็นเครื่องที่นำคนไปสู่ข้างบน เหมือนพาไปสวรรค์ การที่เขาตายอย่างโดดเดี่ยวทรมานนั้นเหมือนอยู่ในไฟชำระ ส่วน 2. ภรรยาหลังจากปล่อยสามีให้ตายเธอก็ไปขึ้นเครื่องบินไปฝรั่งเศส ซึงลูกสาวอาศัยอยู่ที่นั่นและเป็นเหมือนสวรรค์สำหรับเธอ)


รบกวนทุกท่านหน่อยนะครับ อยากได้ข้อมูลไปใชอ้างอิงในการเขียน (ถ้าได้เป็นภาษาอังกฤษจะดีมาก)

ขอบคุณทุกท่านครับ

เยอะมาก...เกรงว่าต้องอ่านหนังสือคำสอนทั้งเล่ม  : emo073 :

ศาสนาคริสต์สอนอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาที่เหมือนไม่ได้รักกัแล้ว แต่อยู่ด้วยกันเพราะ 1. ภรรยาต้องการรักษาสภาพภรรยาที่ดี ซือสัตย์ต่อสามี 2. สามีเหมือนพวกหลงในอำนาจของตน มีภรรยาไว้เหมือนเป็นของเล่นไว้ทรมาน

Marriage under the regime of sin

1606 Every man experiences evil around him and within himself. This experience makes itself felt in the relationships between man and woman. Their union has always been threatened by discord, a spirit of domination, infidelity, jealousy, and conflicts that can escalate into hatred and separation. This disorder can manifest itself more or less acutely, and can be more or less overcome according to the circumstances of cultures, eras, and individuals, but it does seem to have a universal character.

1607 According to faith the disorder we notice so painfully does not stem from the nature of man and woman, nor from the nature of their relations, but from sin. As a break with God, the first sin had for its first consequence the rupture of the original communion between man and woman. Their relations were distorted by mutual recriminations;96 their mutual attraction, the Creator's own gift, changed into a relationship of domination and lust;97 and the beautiful vocation of man and woman to be fruitful, multiply, and subdue the earth was burdened by the pain of childbirth and the toil of work.98

1608 Nevertheless, the order of creation persists, though seriously disturbed. To heal the wounds of sin, man and woman need the help of the grace that God in his infinite mercy never refuses them.99 Without his help man and woman cannot achieve the union of their lives for which God created them "in the beginning."

Marriage under the pedagogy of the Law

1609 In his mercy God has not forsaken sinful man. the punishments consequent upon sin, "pain in childbearing" and toil "in the sweat of your brow,"100 also embody remedies that limit the damaging effects of sin. After the fall, marriage helps to overcome self-absorption, egoism, pursuit of one's own pleasure, and to open oneself to the other, to mutual aid and to self-giving.

1610 Moral conscience concerning the unity and indissolubility of marriage developed under the pedagogy of the old law. In the Old Testament the polygamy of patriarchs and kings is not yet explicitly rejected. Nevertheless, the law given to Moses aims at protecting the wife from arbitrary domination by the husband, even though according to the Lord's words it still carries traces of man's "hardness of heart" which was the reason Moses permitted men to divorce their wives.101

1611 Seeing God's covenant with Israel in the image of exclusive and faithful married love, the prophets prepared the Chosen People's conscience for a deepened understanding of the unity and indissolubility of marriage.102 The books of Ruth and Tobit bear moving witness to an elevated sense of marriage and to the fidelity and tenderness of spouses. Tradition has always seen in the Song of Solomon a unique expression of human love, a pure reflection of God's love - a love "strong as death" that "many waters cannot quench."103


Catechism of the Catholic Church, http://www.vatican.va/archive/ENG0015/_INDEX.HTM

ขอบคุณมากๆ ครับ

โอว พี่หนูเจน ก็เก่ง ช่วยหาให้ได้ พี่ดานุ้ง ทำรายงานวิชาอะไรครับ

Jeab Agape เขียน:
โอว พี่หนูเจน ก็เก่ง ช่วยหาให้ได้ พี่ดานุ้ง ทำรายงานวิชาอะไรครับ

Contemporary English Literature เรียน ป โท อ่ะครับ

ดานุ้งพุงระเบิด เขียน:

Jeab Agape เขียน:
โอว พี่หนูเจน ก็เก่ง ช่วยหาให้ได้ พี่ดานุ้ง ทำรายงานวิชาอะไรครับ

Contemporary English Literature เรียน ป โท อ่ะครับ

เรียนหลักสูตรอะไรฮะพี่ จบสาขานี้แล้ว ทำมาหากินอะไรได้บ้าง

แปลว่า "วรรณกรรมอังกฤษร่วมสมัย" หรือเปล่า ฮะ

ยินดีเจ้าค่ะ  ขอพระเจ้าอวยพร ให้งานของพี่สำเร็จไปได้ด้วยดีนะคะ

Jeab Agape เขียน:

ดานุ้งพุงระเบิด เขียน:

Jeab Agape เขียน:
โอว พี่หนูเจน ก็เก่ง ช่วยหาให้ได้ พี่ดานุ้ง ทำรายงานวิชาอะไรครับ

Contemporary English Literature เรียน ป โท อ่ะครับ

เรียนหลักสูตรอะไรฮะพี่ จบสาขานี้แล้ว ทำมาหากินอะไรได้บ้าง

แปลว่า "วรรณกรรมอังกฤษร่วมสมัย" หรือเปล่า ฮะ

ผมเรียนภาษาอังกฤษและการสื่อสารครับ (English and Communications) วิชานี้เป็นหนึ่งในหลักสูตรเฉยๆ

ขอบคุณคุณ Ecclesia มากนะครับสำหรับข้อมูล