มิสซาศักดิ์สิทธิ์ The Holy Mass

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
bomzaiya
โพสต์: 663
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 02, 2005 10:41 pm
ที่อยู่: Sriracha Chonburi
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:44 am

รูปภาพ

มิสซา
แปลจาก The Holy Mass
แคทาลีน่า รีวาซ บันทึกคําอธิบายจากพระเยซูเจ้าและแม่พระ  
เกี่ยวกับธรรมล้ําลึกของพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ

ดูและดาวน์โหลดเป็น PDF ที่
http://docs.google.com/fileview?id=0B01PZUKudcx5MjdlNzJiOGQtYjRkNi00MmY5LThiYjctZjg3MzJiNzJkZWI3&hl=th

วันนั้น...เป็นวันเตรียมฉลองสมโภชเทวทูตแจ้งสาร ฉันไปถึงวัดสายไปนิด
ตอนที่พระอัครสังฆราชผู้เป็นประธานในพิธีและบรรดาพระสงฆ์ตั้งขบวนออกมา
จากห้องสักการภัณฑ์แล้ว แม่พระกล่าวด้วยน้ําเสียงนุ่มนวลไพเราะจับจิตดังนี้
“วันนี้เป็นวันที่ลูกจะได้รับความรู้และแม่อยากให้ลูกเอาใจใส่ให้ดีกับสิ่งที่ลูกจะได้รู้
เห็นเป็นพยาน ลูกควรเล่าทุกอย่างที่ลูกจะรู้ผ่านประสบการณ์ในวันนี้ให้ทุกคนฟัง”
เสียงแรกที่ได้ยินเป็นแว่วเสียงประสานที่ไพเราะยิ่งราวกับขับขานอยู่ไกลลิบ เสียง
เพลงเริ่มดังใกล้เข้ามา  แล้วก็เลือนหายไปราวสายลม

พระอัครสังฆราชเริ่มพิธีมิสซาแล้ว พอถึงช่วงการสารภาพความผิด แม่พระ
กล่าวว่า “ลูกจงขอการอภัยจากองค์พระผู้เป็นเจ้าจากส่วนลึกของหัวใจในความผิด
บกพร่องทั้งหลายที่ลูกได้กระทําล่วงเกินพระองค์ เพื่อลูกจะได้ร่วมมิสซาอันทรง
เกียรตินี้อย่างคู่ควร” ฉันคิดอยู่แว่บหนึ่ง ‘ฉันอยู่ในสถานะพระหรรษทานแน่ ก็ฉันเพิ่ง
ไปแก้บาปมาเมื่อคืน’ แม่พระตอบ “ลูกคิดหรือว่าลูกไม่ได้ล่วงเกินองค์พระผู้เป็นเจ้า
อีกหลังจากแก้บาปมาเมื่อคืน ให้แม่ทบทวนความจําให้ลูกสักนิดเถิด ตอนลูกเร่ง
ออกจากบ้านจะมาวัด เด็กรับใช้้เข้ามาขออะไรบางอย่างจากลูก พอดีลูกกําลังรีบ
จึงตอบเธอไปด้วยน้ําเสียงไม่สู้ดีนัก ลูกขาดความเมตตา แล้วลูกกลับบอกว่าลูก
มิได้ล่วงเกินพระเป็นเจ้ากระนั้นหรือ... แล้วระหว่างทางมาวัด ลูกโดนรถเมล์ขับ
ปาดหน้าเกือบชนลูก ลูกได้แสดงกิริยาที่ไม่สมควรต่อชายคนนั้น แทนที่จะสวด
ภาวนาและเตรียมตัวเข้ามิสซา ลูกไม่อยู่ในศีลในพร จิตใจขาดความสงบ ไม่รู้จัก
หักห้ามใจ แล้วลูกกลับมาบอกว่าลูกมิได้ทําร้ายองค์พระผู้เป็นเจ้ากระนั้นหรือ...
ลูกมาถึงเอาตอนที่พระสงฆ์ตั้งขบวนเข้าพิธีแล้ว... ลูกกําลังไปร่วมมิสซาโดยไม่มี
การเตรียมตัวล่วงหน้าเลย...”

“ทําไมนะลูกๆถึงได้มากันตอนนาทีสุดท้าย ลูกควรมาถึงวัดให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้
ภาวนาวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ส่งพระจิตของพระองค์ลงมาประทานความ
สํารวมใจให้ลูกและชําระลูกให้ปลอดจากจิตของโลก  จากความวิตกกังวล  จาก
ปัญหาและความวักแวก เพื่อลูกจะได้อยู่กับห้วงเวลาที่แสนศักดิ์สิทธิ์นี้สักชั่วขณะ
แต่ลูกมาถึงเอาตอนที่พระสงฆ์จวนเริ่มพิธีแล้ว แล้วลูกร่วมมิสซาอย่างกับเป็น
เหตุการณ์ปกติโดยไม่มีการเตรียมจิตใจ เพราะเหตุใดกัน นี่เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่
ที่สุด ลูกกําลังอยู่ในช่วงที่พระเจ้าสูงสุดประทานพระพรอันใหญ่ยิ่งของพระองค์แก่
แก้ไขล่าสุดโดย bomzaiya เมื่อ อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:50 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
bomzaiya
โพสต์: 663
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 02, 2005 10:41 pm
ที่อยู่: Sriracha Chonburi
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:44 am

ลูก แต่ลูกกลับไม่รู้จักเห็นคุณค่าของมิสซา” ฉันรู้สึกแย่เอามากๆ เพียงไม่กี่เรื่อง
นี่ก็สมควรขอการอภัยจากพระเป็นเจ้าอย่างยิ่งแล้ว มิใช่เฉพาะความผิดบกพร่อง
ของวันนั้น แต่สําหรับทุกครั้งที่ฉันรอเข้าวัดเอาตอนพระสงฆ์เทศน์จบเหมือนกับคน
อื่นๆ ฉันขอโทษพระองค์ที่บางครั้งฉันไม่ยอมรับรู้ว่าฉันมาร่วมมิสซาทําไม เป็นไปได้
ว่าฉันกล้าไปร่วมมิสซาทั้งๆที่วิญญาณอาจเต็มไปด้วยบาปหนัก 
วันนั้นเป็นวันสมโภช  พอถึงตอนสวดบทพระสิริรุ่งโรจน์  แม่พระตรัสดังนี้
“จงสรรเสริญพระตรีเอกภาพและถวายพระพรแด่พระองค์ด้วยความรักทั้งหมดที่
ลูกมีเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในฐานะที่ลูกเป็นสิ่งสร้างของพระองค์คน
หนึ่ง” บทพระสิริรุ่งโรจน์คราวนั้นช่างต่างจากเดิมเสียนี่กระไร! ทันใดนั้นฉันเห็น
ตัวฉันเองในสถานที่สว่างไสวไกลโพ้นเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า ฉันโมทนา
พระคุณพระองค์ด้วยความรักเต็มเปี่ยม “ขอสรรเสริญพระองค์ ขอถวายพระพรแด่
พระองค์ ขอกราบนมัสการพระองค์ ขอถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ขอขอบพระคุณ
พระองค์เพราะพระองค์ทรงพระเกียรติเลอเลิศ พระเจ้าข้า พระองค์คือพระราชาสวรรค์
พระเป็นเจ้า พระบิดา ทรงสรรพานุภาพ” แล้วฉันก็รําลึกถึงพระพักตร์ที่เต็มเปี่ยมไป
ด้วยความอ่อนโยนของพระบิดา “ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรแต่องค์เดียว
พระเจ้าข้า พระองค์คือพระบุตรพระบิดา ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า ผู้พลีพระชนม์เพื่อ
ยกบาปของโลก...” และพระเยซูเจ้าประทับเบื้องหน้าฉัน พระพักตร์พระองค์เปี่ยม
ด้วยความเมตตากรุณา... “ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ผู้เดียวศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้
เดียวทรงเป็นเจ้า พระองค์ผู้เดียวสูงสุด ร่วมกับพระจิต...” พระเจ้าแห่งความรักล้ําเลิศ
พระองค์ผู้ซึ่งในขณะนั้นทําให้ฉันสะท้านไปทั่วสรรพางค์...  แล้วฉันก็วอนขอ
“พระเจ้าข้า โปรดช่วยให้ลูกพ้นจากพยศชั่วทั้งหลาย หัวใจของลูกเป็นของพระองค์ โปรด
ประทานสันติสุขของพระองค์แก่ลูกเถิด ลูกจะได้สามารถรับประโยชน์อันล้ําเลิศจากศีล
มหาสนิท และชีวิตของลูกจะได้บังเกิดผลสูงสุด พระจิตแห่งพระเจ้า โปรดเปลี่ยนสภาพ
ของลูก โปรดทรงงานในตัวลูก โปรดนําทางลูก ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานพระพรแก่ลูก
เพื่อลูกจะได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ได้ดียิ่งขึ้น!”
พอถึง ภาควจนพิธีกรรม แม่พระให้ฉันกล่าวตามดังนี้ “พระเจ้าข้า วันนี้ลูก
ปรารถนาจะฟังพระวาจาของพระองค์แล้วนําไปใช้ให้เกิดประโยชนมากที่สุด โปรด
ให้พระจิตของพระองค์ชําระจิตใจของลูก เพื่อให้พระวาจาของพระองค์จําเริญ

งอกงามขึ้นภายในและบันดาลให้จิตใจของลูกมีแต่เจตนาอันดีงาม”
แม่พระตรัส “แม่อยากให้ลูกตั้งใจฟังบทอ่านและบทเทศน์ของพระสงฆ์ให้ดี 
ระลึกไว้เถิดว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระวาจาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะไม่กลับ
มาไร้ผล (เทียบ อสย.55:11) ถ้าลูกเอาใจใส่ บางสิ่งที่ลูกได้ยินมาจะดํารงอยู่กับลูก
ลูกควรพยายามรําลึกถึงพระวาจาที่ทําให้ลูกประทับใจเหล่านั้นไปตลอดวัน บาง
ครั้งมีสองข้อ ครั้งอื่นอาจเป็นบทอ่านพระวรสารทั้งหมด หรืออาจเป็นแค่คําเพียง
คําเดียว จงชื่นชมกับข้อคิดที่ได้ไปตลอดวันแล้วถ้อยคํานั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของลูก
เพราะนั่นเป็นลู่ทางที่เปลี่ยนชีวิตคนเรา โดยการยินยอมให้พระวาจาของพระเป็น
เจ้าเปลี่ยนลูก ... ถึงตอนนี้ จงบอกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าลูกพร้อมจะฟังแล้ว บอก
พระองค์ว่าลูกอยากให้พระองค์ตรัสในจิตใจของลูกวันนี้”
ฉันขอบคุณพระเป็นเจ้าอีกครั้งที่ให้ฉันมีโอกาสได้ฟังพระวาจาของพระองค์
และฉันวอนขอให้พระองค์ยกโทษให้ฉันด้วยที่ฉันทําใจแข็งมานานหลายปี ทั้งยัง
สอนลูกๆอีกว่าพวกเขาต้องไปวัดวันอาทิตย์นะเพราะเป็นข้อกําหนดของพระ
ศาสนจักร และไม่ได้บอกลูกๆว่าให้ไปวัดเพราะรักพระและต้องการให้พระเติมเต็ม
ชีวิตเขา ฉันไปร่วมพิธีมิสซาบ่อยมาก ส่วนใหญ่ไปเพราะปฏิเสธไม่ได้ และเพราะ
เหตุนี้เองฉันจึงเชื่อว่าฉันรอดแน่ แต่จิตใจไม่ได้เข้าถึงพิธีกรรมแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง
บทอ่านหรือบทเทศน์ของพระสงฆ์เลย! เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดนักเมื่อความไม่รู้
ทําให้ฉันต้องเสียเวลาไปนานหลายปีโดยใช่เหตุ! เราไปร่วมมิสซาอย่างฉาบฉวย
เวลาที่เราไปเพราะมีพิธีแต่งงาน มีมิสซาปลงศพ หรือไปเพียงเพื่อออกงานสังคม!
เราไม่ได้รู้เรื่องของพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์เลย! เรามัวแต่งมสอนตัวเองให้
รู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกวัตถุที่ล่วงสูญไปได้ในพริบตา แล้วก็มิได้ต่อชีวิตคนเรา
ให้ยืนยาวออกไปได้สักนาทีี! แต่เราผู้เรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ผู้เจริญแล้วกลับไม่รู้
ในเรื่องที่ทําให้เราได้ลิ้มรสสวรรค์บนแผ่นดินอันเป็นชีวิตนิรันดรต่อภายหลัง!
ครู่ต่อมาถึงภาคถวาย แม่พระให้ฉันสวดตามดังนี้ “พระเจ้าข้า ลูกขอถวาย
ทุกสิ่งที่ลูกเป็น ทุกสิ่งที่ลูกมี ทุกสิ่งที่ลูกสามารถถวายได้ ลูกขอมอบทั้งหมดไว้ใน
พระหัตถ์ของพระองค์ โปรดรวบรวมสิ่งเหล่านี้พร้อมกับความต่ําต้อยของลูกเถิด
พระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ โปรดเปลี่ยนลูกด้วยเดชะพระบารมีของพระบุตร
ของพระองค์ ลูกอ้อนวอนพระองค์เพื่อครอบครัวของลูก เพื่อผู้มีพระคุณต่อลูก

เพื่อผู้แพร่ธรรมของเราแต่ละคน เพื่อทุกคนที่ต่อต้านเรา เพื่อบรรดาผู้ที่มอบตัว
เขาไว้ในคําภาวนาที่ด้อยคุณภาพของลูก โปรดสอนให้ลูกมีความไว้วางใจอย่างสิ้น
สุดจิตใจก่อนเถิด เพื่อว่าการดําเนินชีวิตของท่านเหล่านั้นจะได้รับความบรรเทา นี่
คือวิธีที่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ภาวนา นี่คือวิธีที่แม่อยากให้ลูกทุกคนทํา”
ทันใดนั้นมีลักษณะบางอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเริ่มลุกขึ้นยืน ราวกับมีอีก
คนแยกออกมาจากด้านข้างของแต่ละคนที่อยู่ในอาสนวิหาร แล้วไม่ทันไรที่นั่นก็
เต็มไปด้วยผู้คนอ่อนวัยและงดงาม พวกเขาสวมชุดขาวยาวแล้วเริ่มเคลื่อนไปยัง
ช่องทางเดินตรงไปยังพระแท่น แม่พระตรัส “ดูให้ดีเถิด พวกเขาคืออารักขเทวดา
ของแต่ละคนที่อยู่ ณ ที่นี้ นี่เป็นช่วงที่อารักขเทวดาของลูกๆนําของถวายและคํา
วิงวอนของลูกไปยังแท่นบูชาของพระเจ้า” ฉันถึงกับตะลึง เทวดาเหล่านี้มีใบหน้า
ที่งดงามเพริศแพร้วยิ่งค่อนไปทางใบหน้าผู้หญิง แต่ทว่าเค้าโครงรูปร่าง มือและ
ส่วนสูงมีลักษณะเป็นชาย เท้าเปล่า ไม่แตะพื้น แต่ราวกับร่อนไปมากกว่า ขบวน
ที่เคลื่อนไปนั้นงดงามมาก บางองค์ถือบางอย่างเหมือนขันทองที่มีอะไรบางอย่าง
เปล่งแสงสีทองเรื่อๆ แม่พระตรัส “พวกเขาคืออารักขเทวดาของคนที่ถวายมิสซา
นี้เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เป็นของคนซึ่งตระหนักรู้ถึงความหมายของมิสซานี้ เขา
เหล่านั้นมีของมาถวายพระเจ้า... จงถวายตัวลูกในช่วงนี้ ถวายความทุกข์ ความ
เจ็บปวด ความหวัง ความเศร้า ความเบิกบานยินดี คําอ้อนวอนต่างๆ จงระลึกไว้
เถิดว่ามิสซามีคุณค่ามหาศาล ลูกจึงควรมีีน้ําใจดีที่จะถวายและวอนขอ”
เทวดาที่อยู่ถัดจากองค์แรกๆมามือเปล่า แม่พระตรัส “เทวดาเหล่านั้นเป็นอา
รักขเทวดาของคนที่มาที่นี่แต่ไม่เคยถวายอะไร เขาเหล่านั้นไม่ได้ร่วมส่วนในช่วง
พิธีกรรม แล้วก็ไม่มีของบรรณาการที่จะนํามาถวายหน้าแท่นบูชาของพระเจ้า” 
ท้ายขบวนนั้นมีบรรดาเทวดาที่ออกจะหน้าเศร้ากว่าเพื่อน พนมมือภาวนาแต่
หลุบสายตาลงต่ํา “เทวดาเหล่านี้เป็นอารักขเทวดาของคนที่ฝืนใจมาร่วมมิสซา
นั่นก็คือคนที่ถูกบังคับให้มา คนที่มาเพราะเป็นวันฉลองบังคับแต่ไม่ได้อยากมา
เทวดาเหล่านั้นเดินไปยังพระแท่นอย่างเศร้าสร้อยเพราะไม่มีอะไรที่จะนําไปถวาย
นอกจากคําภาวนาของพวกเขาเองเท่านั้น... อย่าทําให้อารักขเทวดาของลูกเศร้า
เสียใจเลยนะ จงวอนขอให้มาก วอนขอเพื่อให้คนบาปกลับใจ เพื่อสันติภาพของ
โลก เพื่อครอบครัวของลูก เพื่อเพื่อนบ้านของลูก เพื่อผู้ที่ขอคําภาวนาจากลูก จง

ขอ...ขอให้มาก...แต่มิใช่เพื่อตัวลูกเองเท่านั้น แต่เพื่อผู้อื่นด้วย ...จงระลึกไว้เถิด
ว่าของถวายที่พระเจ้าโปรดปรานที่สุดคือการที่ลูกถวายตัวของลูกเองเป็นเครื่อง
บูชา เพื่อว่าเมื่อพระเยซูเจ้าทรงถ่อมองค์ลงมา พระองค์จะได้เปลี่ยนสภาพลูกด้วย
เดชะพระบารมีของพระองค์ ตัวลูกเองนั้นมีสิ่งใดจะถวายแด่พระบิดาเจ้าหรือ ไม่มี
อะไรเลยนอกจากบาป แต่การถวายตัวลูกร่วมกับบุญกุศลของพระเยซูเจ้าต่างหาก
ที่ทําให้ของถวายนั้นเป็นที่สบพระทัยพระบิดา” ภาพขบวนเทวดาที่แลเห็นนั้น
งดงามเหลือจะเปรียบปาน ชาวสวรรค์เหล่านั้นคํานับลงหน้าพระแท่น บางองค์
วางของถวายไว้ที่พื้น บางองค์ก้มกราบจนศีรษะเกือบจรดพื้น แล้วทันทีที่พวกเขา
เดินไปถึงพระแท่น พวกเขาก็หายวับไปกับตา 
พอถึงช่วงท้ายของบทขอบพระคุณเมื่อผู้มาร่วมชุมนุมกล่าว “ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์
สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์” ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลังพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีก็อันตรธานหายไป
ในบัดดล นิกรเทวดาจํานวนหลายพันปรากฏองค์เป็นแนวทแยงด้านหลังทางซ้าย
มือของพระอัครสังฆราช ทุกองค์สวมชุดยาว คุกเข่าลงพนมมือในท่าภาวนาและ
ก้มศีรษะแสดงความเคารพ ฉันได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะเสนาะโสตราวกับมีนิกร
เทวดาหลายหมู่เหล่ามาร่วมขับเพลงประสานเป็นเสียงเดียวกับมนุษย์ว่า ศักดิ์สิทธิ์
ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์...
ภาคบทขอบพระคุณเป็นช่วงมหัศจรรย์ยิ่ง เบื้องหลังทางขวามือของพระอัคร
สังฆราชนั้นมีฝูงชนกลุ่มใหญ่ปรากฏกายขึ้นเป็นแนวทแยง พวกเขาสวมชุดยาวสี
เฉดอ่อนหลากสี ใบหน้ามีสง่าราศีดูราวกับพวกเขาอยู่ในวัยเดียวกัน พวกเขา
คุกเข่าลงด้วยตอนขับร้องศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าจอมจักรวาล...” 
แม่พระตรัสดังนี้ “พวกเขาคือบรรดานักบุญและผู้ศักดิ์สิทธิ์ชาวสวรรค์และใน
ท่ามกลางเขาเหล่านั้นคือญาติพี่น้องของลูกที่ได้ชื่นชมพระบารมีพระเป็นเจ้าแล้ว”
แล้วฉันก็เห็นแม่พระทางด้านขวาของพระอัครสังฆราชห่างจากท่านก้าวหนึ่ง พระ
แม่ลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย คุกเข่าอยู่บนพัสตราภรณ์บางใสช่วงโชติเหมือนผืน
น้ําที่ใสเหมือนผลึก แม่พระพนมมือ มองมายังพระอัครสังฆราชอย่างสํารวมและ
อย่างยกย่องให้เกียรติ แม่พระตรัสกับฉันทางจิตจากตรงนั้นโดยมิได้มองมาทางฉัน
“ลูกแปลกใจใช่ไหมที่เห็นแม่อยู่เบื้องหลังพระคุณเจ้า (พระอัครสังฆราช) นี่คือสิ่ง
ที่ควรเป็น... พระบุตรทุ่มเทความรักให้แม่ก็จริง แต่พระองค์มิได้ประทานศักดิ์ศรี

ให้สองมือแม่สําแดงอัศจรรย์ทุกวันเหมือนอย่างพระสงฆ์ แม่จึงยกย่องพระสงฆ์
อย่างยิ่งและให้เกียรติแก่อัศจรรย์ที่พระเป็นเจ้าทรงดําเนินการผ่านพระสงฆ์ซึ่ง
ทําให้แม่จําเป็นต้องคุกเข่าอยู่ตรงนี้เบื้องหลังท่าน” เราบางคนไม่ได้สํานึกด้วยซ้ําไป
ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานศักดิ์ศรีและพระหรรษทานแก่พระสงฆ์มากมายขนาด
ไหนในเรื่องนี้
หน้าพระแท่นปรากฏเงาทึมๆของผู้คนที่ชูมือขึ้น แม่พระตรัสดังนี้ “บุคคล
เหล่านี้คือวิญญาณในไฟชําระผู้รอรับคําภาวนาจากลูกเพื่อชุบชูวิญญาณ อย่าหยุด
สวดให้เขาเหล่านั้น พวกเขาสวดให้ลูกแต่ไม่สามารถสวดให้ตัวเองได้ ลูกนั่นแหละ
ที่ควรสวดให้พวกเขาเพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากไฟชําระเร็วขึ้น เพื่อจะได้ไปอยู่กับ
พระเป็นเจ้าและชื่นชมพระองค์ไปตลอดนิรันดร”
“ทีนี้ลูกก็เห็นแล้วสินะว่าแม่อยู่ที่นี่ตลอดเวลา ผู้คนพากันไปจาริกแสวงบุญ
เพื่อแสวงหาแม่ในสถานที่ที่แม่เคยประจักษ์ ก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะเขาได้รับพระ
หรรษทานนานัปการที่นั่น แต่ระหว่างที่แม่มิได้ประจักษ์นั้น ไม่มีที่ไหนที่แม่อยู่มาก
ไปกว่าระหว่างพิธีมิสซา ลูกจะพบแม่ได้เสมอที่เชิงพระแท่นที่กําลังมีพิธีมิสซา ที่
ฐานของตู้ศีล แม่อยู่ตรงนั้นพร้อมกับเทวดาเพราะแม่อยู่กับพระองค์เสมอ”
การได้ชื่นชมพระพักตร์พระแม่ในช่วงที่กล่าวคําว่า “ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์
ศักดิ์สิทธิ์...” อีกทั้งได้เห็นดวงหน้าอื่นๆที่บ่งบอกถึงความสุข พนมมือรอคอย
อัศจรรย์ที่เกิดซ้ําแล้วซ้ําเล่าอย่างต่อเนื่องนั้นเหมือนได้อยู่ในสวรรค์ไม่มีผิด แล้ว
ฉันก็นึกถึงคนที่วักแวกพูดคุยกันในช่วงเวลานั้น ฉันเสียใจที่ต้องบอกท่านว่าผู้ชาย
ส่วนใหญ่ชอบยืนกอดอกราวกับเขาแสดงความเคารพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในระดับ
เดียวกับที่เขาแสดงความเคารพต่อมนุษย์คนอื่นๆ  แม่พระตรัสดังนี้ “จงบอกทุก
คนด้วยว่า มนุษย์ดูยิ่งใหญ่ขึ้นเมื่อเขาคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า” 
พอถึงบทขอบพระคุณ พระอัครสังฆราชกล่าวบทเสกศีล ท่านเป็นคนร่างสูง
ปานกลาง แต่ท่านเริ่มสูงขึ้นในบัดดล ท่านเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง มีแสงเหนือ
ธรรมชาติสีทองเรื่อๆโอบคลุมท่านและส่งประกายเจิดจ้าบริเวณใบหน้า ฉันจึงมอง
ไม่เห็นเด่นชัด ฉันเห็นมือท่านตอนที่ท่านยกแผ่นศีล และที่หลังมือของท่าน
ปรากฏรอยตําหนิที่ส่งแสงเจิดจ้าออกมา เป็นพระเยซูเจ้านั่นเอง! เป็นพระองค์เอง
ที่สวมร่างของพระอัครสังฆราชราวกับพระองค์โอบมือท่านไว้ด้วยความรัก ในชั่ว

ขณะนั้นเอง แผ่นศีลเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเป็นแผ่นศีลขนาดมหึมา และในแผ่นศีลนั้น
ปรากฏพระพักตร์พระเยซูเจ้ากําลังมองมายังประชากรของพระองค์ 
ฉันก้มศีรษะลงโดยสัญชาตญาณ แล้วแม่พระตรัสดังนี้ “อย่ามองลง จงเงย
หน้าขึ้นมองพระองค์ พิจารณาพระองค์  สบตาพระองค์ แล้วสวดบทภาวนาของ
ฟาติมาตามแม่ดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกนมัสการพระองค์ ลูก
วางใจในพระองค์ และลูกรักพระองค์ ลูกกราบขอสมาโทษแทนคนที่ไม่เชื่อใน
พระองค์ ไม่นมัสการพระองค์ ไม่วางใจในพระองค์และไม่รักพระองค์ ...แล้วบอก
พระองค์ตอนนี้ว่าลูกรักพระองค์มากแค่ไหน แล้วขอให้ลูกถวายบังคมต่อจอม
กษัตริย์” ฉันบอกพระองค์ตามนี้และราวกับพระองค์ทรงมองจากแผ่นศีลขนาด
ใหญ่มาที่ฉันคนเดียว แต่ฉันทราบมาว่าพระองค์ทรงมองแต่ละคนในลักษณะเดียว 
กันนี้ด้วยความรักเต็มเปี่ยม ฉันซบหน้าลงจรดพื้นเหมือนกับที่เทวดาและผู้ศักดิ์
สิทธิ์ทุกองค์ทํา พอท่านอัญเชิญแผ่นศีลลง แผ่นศีลก็กลับเป็นขนาดเท่าเดิม ฉัน
น้ําตาไหลอาบแก้ม ไม่อาจกลั้นความอัศจรรย์ใจไว้ได้ 
พระอัครสังฆราชกล่าวเสกเหล้าองุ่นต่อทันที ช่วงที่กล่าวอยู่นั้นปรากฏสาย
ฟ้าแลบจากเบื้องบนและพื้นหลัง กําแพงกับเพดานโบสถ์หายลับไป ทุกอย่างมืด
สนิท เหลือแต่แสงโชติช่วงจากพระแท่น 
ทันใดนั้นฉันเห็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขนลอยอยู่กลางอากาศ ฉันเห็น
พระองค์แค่ครึ่งองค์ถึงบริเวณใต้ทรวงอก มีมือขนาดใหญ่และทรงพลังประคอง
ลําแสงที่ไขว้กันนั้นอยู่ จากด้านในของลําแสงที่โชติช่วงนั้นมีแสงเล็กๆเหมือนกับ
นกพิราบที่ส่งประกายเจิดจรัสกระพือปีกบินไปรอบโบสถ์ แล้วมาเกาะอยู่ที่บ่าซ้าย
ของพระอัครสังฆราชที่ยังเห็นเป็นพระเยซูเจ้าอยู่ ที่ฉันแยกแยะออกก็เพราะพระ
เกศายาวสลวยของพระองค์ รอยแผลที่เปล่งแสงที่เห็นได้ชัดของพระองค์และ
พระวรกายของพระองค์ แต่ฉันมองไม่เห็นพระพักตร์พระองค์ เหนือขึ้นไปคือพระ
เยซูถูกตรึงกางเขน พระเศียรเอนลงไปทางไหล่ขวา ฉันสามารถพิจารณาพระ
พักตร์ ส่วนแขนที่ถูกโบยและเนื้อหนังที่เหวอะหวะ ทรวงอกด้านขวามีรอยแผล
พระองค์บาดเจ็บ มีเลือดทะลักออกมาทางซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนกับสายธาร
ระยิบระยับ ดูเหมือนลําแสงพุ่งออกมาเป็นสายไปทางสัตบุรุษแล้วเคลื่อนไปทาง
ขวาแล้วก็ทางซ้าย ฉันทึ่งกับปริมาณเลือดที่ไหลชโลมจอกกาลิกษ์ ฉันนึกว่าเลือด

จะไหลล้นออกมาอาบพระแท่น แต่กลับไม่มีสักหยดที่กระเซ็นออกมา ในช่วงนั้น
เอง แม่พระตรัส “นี่คืออัศจรรย์เหนืออัศจรรย์ทั้งหลาย แม่เคยบอกลูกแล้วว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ถูกจํากัดด้วยเวลาและสถานที่ พอถึงช่วงบทขอบพระคุณ
นั้นผู้มาร่วมพิธีได้ถูกนําไปยังเชิงเขากัลวารีโอในเวลาที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน” 
ใครเล่าจะคาดคิดได้ เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เราทุกคนไปอยู่ที่นั่นจริง
ในห้วงเวลาที่พวกเขาตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า แล้วพระองค์กําลังวอนขอให้พระ
บิดาประทานอภัยให้เราแต่ละคนที่ได้ทําบาปด้วย มิใช่เฉพาะคนที่ประหารพระองค์
เท่านั้น “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากําลังทํา
อะไร” นับจากวันนั้นมา ฉันได้แต่ขอให้ทุกคนคุกเข่าและพยายามทุ่มเทจิตใจให้
กับสิทธิพิเศษที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เรานี้
พอถึงตอนที่เราเริ่มจะสวดบทข้าแต่พระบิดา องค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตรัสเป็น
ครั้งแรก “ช้าก่อน เราต้องการให้ลูกสํารวมจิตใจสวดอย่างจริงจัง ในช่วงเวลานี้จง
ระลึกถึงคนที่เคยมุ่งร้ายต่อลูกในช่วงชีวิตของลูก เพื่อว่าลูกจะได้กอดเขาไว้แนบ
อกและบอกเขาอย่างจริงใจว่า “เดชะพระบารมีของพระเยซูเจ้า ฉันยกโทษให้คุณ
และขอให้คุณประสบสันติสุข เดชะพระบารมีของพระเยซูเจ้า ฉันขอให้คุณยก
โทษให้ฉันและขอให้คุณอวยพรให้ฉันประสบสันติสุข” ถ้าคนคนนั้นคู่ควรจะได้รับ
ความสงบสุขนั้น เขาก็จะได้รับและรู้สึกดีขึ้น ถ้าหากว่าคนคนนั้นไม่สามารถเปิดใจ
รับสันติสุขได้ สันติสุขนั้นก็จะกลับมาอยู่ในจิตใจของลูก แต่เราไม่ต้องการให้ลูก
รับหรือมอบสันติสุขให้ใครถ้าลูกให้อภัยไม่ได้และไม่ได้ซาบซึ้งถึงสันติสุขในจิตใจแต่
แรก” พระองค์ตรัสต่อ “จงรอบคอบในสิ่งที่ลูกทํา ถ้าลูกกล่าวตามบทข้าแต่
พระบิดาว่า ‘โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น’
ถ้าลูกสามารถให้อภัยแต่ยังฝังใจอยู่ ก็เหมือนกับที่บางคนกล่าวไว้ ลูกกําลัง
วางเงื่อนไขกับการให้อภัยของพระเป็นเจ้า ลูกกําลังบอกว่า พระองค์ยกโทษให้
ลูกเท่าที่ลูกสามารถยกโทษให้คนอื่นก็พอ” 
ฉันไม่รู้จะแจกแจงความเจ็บปวดของฉันได้อย่างไรเมื่อสํานึกได้ว่าเราทําร้ายองค์
พระผู้เป็นเจ้าและทําร้ายตัวเราเองได้มากมายขนาดไหนจากการผูกใจเจ็บ เก็บความ
รู้สึกที่ไม่ดีไว้ อคติมองเห็นแต่ข้อบกพร่องของคนอื่นแล้วก็ขุ่นเคืองง่ายเกินเหตุ
ฉันให้อภัยแล้ว ฉันให้อภัยแล้วจากใจจริง และขอให้ทุกคนที่ฉันเคยทําให้เสียใจ
10
โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเพื่อฉันจะได้ซาบซื้งถึงสันติสุขขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ประธานในพิธีกล่าว “...โปรดให้พระศาสนจักรสงบราบรื่น มีสามัคคีธรรม...”
แล้วจากนั้น “ขอให้สันติสุขของพระคริสตเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเสมอ”
ทันใดนั้น ฉันเห็นว่าในบรรดาคนที่กอดกันอยู่นั้น (ไม่ทุกคน) มีแสงแรงกล้า
มาแทรกตรงกลางระหว่างเขา ฉันรู้ว่านั่นคือพระเยซูเจ้า ฉันโผเข้ากอดคนที่อยู่ถัด
จากฉันได้อย่างสะดวกใจ ฉันสามารถสัมผัสอ้อมกอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้
จริงๆ เป็นพระองค์นั่นเองที่กอดฉันเพื่อมอบสันติสุขของพระองค์ให้แก่ฉัน เพราะ
ในขณะนั้นฉันสามารถให้อภัยและขจัดความขุ่นใจต่อคนอื่นสําเร็จ นั่นคือสิ่งที่พระ
เยซูเจ้าปรารถนาเพื่อแบ่งปันห้วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีร่วมกัน พระองค์กอด
เราและมอบสันติสุขของพระองค์ให้แก่เรา
พอถึงช่วงที่พระสงฆ์รับศีลมหาสนิท ฉันถึงได้เห็นพระสงฆ์ทุกองค์ที่อยู่ถัด
จากพระอัครสังฆราช พอพวกท่านรับศีลมหาสนิท แม่พระตรัสดังนี้ “นี่เป็นช่วง
เวลาที่จะภาวนาให้แก่ประธานในพิธีและพระสงฆ์ที่ร่วมพิธี จงสวดภาวนาพร้อมกับ
แม่ดังนี้ ‘พระเจ้าข้า โปรดอวยพรพวกท่าน โปรดบันดาลให้พวกท่านศักดิ์สิทธิ์
โปรดช่วยเหลือพวกท่าน โปรดรักพวกท่าน โปรดดูแลพวกท่านและค้ําจุนพวกท่าน
ด้วยความรักของพระองค์ โปรดทรงระลึกถึงพระสงฆ์ทุกองค์ทั่วโลกโปรดภาวนาให้
แก่วิญญาณผู้ถวายตัวทั้งหลาย’ ...” 
พี่น้องที่รัก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราควรภาวนาให้พระสงฆ์เพราะพวกท่าน
คือพระศาสนจักรเช่นเดียวกับเราผู้เป็นฆราวาส บ่อยครั้งที่ฆราวาสอย่างเราๆเรียก
ร้องจากพระสงฆ์มากเหลือเกิน แต่เรากลับสวดให้พวกท่านไม่ได้  เราควรเข้าใจ
ว่าพระสงฆ์ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนกับเราและพวกท่านต้องการให้เราเข้าใจพวก
ท่าน พวกท่านต้องการความรักความเมตตาและความเอาใจใส่จากเรา เพราะพวก
ท่านได้อุทิศชีวิตของท่านให้เราแต่ละคนเหมือนกับที่ท่านได้ถวายตัวแด่พระเยซูเจ้า
แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ประชากรที่ทรงมอบหมายไว้กับพระสงฆ์สวด
ภาวนาให้พระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ สักวันหนึ่งเมื่อเราอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว เราจะเข้าใจสิ่ง
น่าพิศวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้กระทํามาด้วยการมอบพระสงฆ์ให้มาช่วยเหลือ
วิญญาณของเราให้รอด 
11
ผู้คนเริ่มลุกจากที่นั่งไปรับศีล ถึงช่วงเวลายิ่งใหญ่แห่งการพบกันแล้ว องค์
พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับฉันว่า “รอสักนิด เราอยากให้ลูกดูบางอย่าง...” ฉันเงยหน้า
ขึ้นมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มของเราที่ไปแก้บาปก่อนเข้ามิสซา กําลังรับศีล
ด้วยปาก พอพระสงฆ์วางแผ่นศีลลงบนลิ้นของเธอนั้น มีแสงสีขาวออกทองแผ่
กําจายเข้าสู่ตัวเธอ โอบด้านหลังแล้วแผ่มาที่ไหล่แล้วก็ที่ศีรษะของเธอ องค์พระผู้
เป็นเจ้าตรัสว่า “วิธีนี้แหละที่ทําให้เราปลื้มใจที่ได้โอบกอดวิญญาณหนึ่งผู้มารับเรา
ด้วยหัวใจที่ใสสะอาด” พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนคนที่กําลังเบิกบานใจ ฉัน
ตะลึงเมื่อเห็นเพื่อนคนนี้เดินกลับที่โดยมีแสงรอบตัวเธอและองค์พระผู้เป็นเจ้า
โอบกอดเธออยู่ ฉันฉุกนึกถึงความมหัศจรรย์ที่เราพลาดไปหลายต่อหลายครั้ง
เพราะเราเดินไปรับพระเยซูเจ้าทั้งๆที่เรายังมีบาปเบาหรือบาปหนัก เรามักแก้ตัวว่า
ไม่มีพระสงฆ์ฟังสารภาพบาปในช่วงที่กําหนดไว้  ปัญหากลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น หาก
อยู่ที่เราปล่อยใจให้ตกอยู่ในความชั่วเหมือนเดิม ผู้หญิงมักเข้าร้านเสริมสวยส่วน
ผู้ชายก็ไปตัดผมเสียก่อนไปงานรื่นเริงฉันใด เราก็ควรพยายามมองหาพระสงฆ์
เพื่อขจัดความสกปรกออกจากวิญญาณเราก่อนไปรับศีลฉันนั้น เราไม่ควรบุ่มบ่าม
ไปรับพระเยซูเจ้าเมื่อจิตใจของเราเต็มไปด้วยความอัปลักษณ์ 
พอฉันเดินไปรับศีลมหาสนิท พระเยซูเจ้าบอกฉันว่า “อาหารค่ํามื้อสุดท้ายคือ
ช่วงเวลาที่เราได้ใกล้ชิดลูกของเรามากที่สุด ระหว่างช่วงเวลาแห่งความรักนั้น เรา
ได้ตั้งสิ่งซึ่งมนุษย์มองว่าเป็นการกระทําที่พิเรนทร์ที่สุดและทําให้เราเป็นผู้ถูกจองจํา
เพราะความรัก เราได้ตั้งศีลมหาสนิท เราอยากอยู่กับลูกต่อไปจวบจนสิ้นยุคเพราะ
เรารักลูกเกินกว่าจะทนให้ลูกๆที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตนั้นต้องอยู่อย่างไร้ที่พึ่ง”
แผ่นศีลที่ฉันรับคราวนั้นมีรสชาติต่างไปจากเดิมเหมือนกับเลือดผสมกํายานที่
ซาบซึมไปทั่วสรรพางค์ ฉันสัมผัสรู้ถึงความรักที่เปี่ยมล้นจนกลั้นน้ําตาไว้ไม่อยู่
ฉันเดินกลับที่ไปคุกเข่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “ฟังสิ...” ต่อมาสักพักฉันเริ่ม
ได้ยินคําภาวนาในใจของผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวหน้าที่เพิ่งไปรับศีลมา สิ่งที่เธอภาวนาใน
ใจอยู่ประมาณว่า ‘พระเจ้าข้า นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว ลูกยังไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่า
บ้าน ค่าส่งรถกับค่าเล่าเรียนของลูกๆเลย พระองค์ต้องหาทางช่วยลูกนะ... ได้
โปรดเถิด อย่าให้สามีของลูกเมาหัวราน้ําแบบนี้ ลูกชักจะทนไม่ไหวแล้ว ลูกคน
สุดท้องก็ต้องเรียนซ้ําชั้นแน่ถ้าพระองค์ไม่ช่วย เขาต้องสอบอาทิตย์นี้แล้ว ...แล้ว
bomzaiya
โพสต์: 663
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 02, 2005 10:41 pm
ที่อยู่: Sriracha Chonburi
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:45 am

ก็โปรดอย่าลืมเพื่อนบ้านของเราที่ต้องย้ายออกไปรายนั้นด้วย โปรดให้เธอย้าย
ออกทันที ลูกทนเธอไม่ได้อีกแล้ว...”
พระอัครสังฆราชกล่าว “ให้เราภาวนา” แล้วบรรดาพระสงฆ์ก็ยืนขึ้นสวดบท
ภาวนาปิดพิธี พระเยซูเจ้าตรัสอย่างเศร้าสร้อย “ลูกสังเกตคําภาวนาของเธอไหม
ไม่มีช่วงไหนเลยที่เธอบอกว่าเธอรักเรา เธอไม่ขอบคุณเราสักนิดที่เรามอบพระพร
ให้เธอด้วยการลดความเป็นพระเจ้าของเราลงมาสู่ความเป็นมนุษย์ที่น่าสงสารของ
เธอเพื่อยกย่องเธอขึ้นมาหาเรา ไม่มีคําพูดแม้สักคําว่า ‘ขอบพระคุณพระองค์
พระเจ้าข้า’ นี่เป็นบทร่ําวิงวอนเหมือนกับของลูกๆแทบทุกคนที่มารับเรา”
“เรายอมตายก็เพราะรัก และเราได้กลับคืนชีพแล้ว เราเฝ้าคอยลูกแต่ละคน
เพราะรักและเรายังอยู่กับลูกก็เพราะรัก... แต่ลูกมิได้รู้สํานึกเลยว่าเราต้องการ
ความรักจากลูก จําไว้เถิดว่าเราเป็นผู้มาวอนขอความรักในวาระที่สูงส่งสําหรับ
วิญญาณนี้” พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพระองค์ผู้เป็นองค์ความรักกําลังอ้อนวอนขอ
ความรักจากเรา แล้วเราไม่ได้มอบความรักแด่พระองค์ มิหนําซ้ํา เรายังเลี่ยงที่จะ
พบองค์ความรักผู้พลีชีวิตเป็นเครื่องบูชานิรันดรเพียงเพราะความรัก
ตอนที่ประธานในพิธีกล่าวอวยพร แม่พระตรัส “จงตั้งใจให้ดี...ลูกทําเครื่อง
หมายแบบเก่าแทนที่จะทําสําคัญมหากางเขน จงระลึกไว้ว่าการอวยพรคราวนี้อาจ
เป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกจะได้รับจากพระสงฆ์ ลูกไม่รู้หรอกว่าลูกจะอยู่หรือจะตาย
เมื่อออกจากวัดไปแล้ว ลูกไม่รู้หรอกว่าลูกจะมีโอกาสรับพระพรจากพระสงฆ์องค์
อื่นอีกหรือไม่ มือผู้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าแล้วกําลังมอบพระพรให้ลูกเดชะพระ
นามพระตรีเอกภาพ ด้วยเหตุนี้ จงทําสําคัญมหากางเขนด้วยความเคารพราวกับ
เป็นการทําสําคัญมหากางเขนครั้งสุดท้ายในชีวิตของลูก” 
คนจํานวนมากมายขาดวัดวันอาทิตย์ด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เช่น พวกเขามีลูก
2-10 คน เลยมาวัดไม่ได้ แล้วคนเราจัดการกับสิ่งที่เขายึดมั่นกันอย่างไร เขาเอา
ลูกๆมาด้วยหรือไม่ก็ผลัดกันเข้ามิสซาคนละเวลา เรามักมีเวลาให้กับการศึกษาหา
ความรู้ การทํางาน การหาความสําราญ การพักผ่อนเสมอ แต่เราไม่มีเวลาแม้แต่
มาร่วมมิสซาในวันอาทิตย์ พระเยซูเจ้าขอให้ฉันอยู่กับพระองค์อีกสัก 2-3 นาที
หลังมิสซาเลิก พระองค์ตรัสว่า “หลังมิสซาจบแล้วอย่าเพิ่งรีบไป จงอยู่เป็นเพื่อน
1
เราสักครู่หนึ่ง แล้วให้เราได้อยู่กับลูก...”
ฉันเคยได้ยินมาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ายังอยู่กับเราอีก 5-10 นาทีหลังรับศีล
ฉันเลยถือโอกาสถามพระองค์เรื่องนี้ “พระเจ้าข้า จริงๆแล้วพระองค์อยู่กับพวก
เรานานแค่ไหนหลังรับศีลมหาสนิท” พระองค์ตอบว่า “เราอยู่กับลูกตลอดเวลาที่
ลูกต้องการให้เราอยู่นั่นแหละ ถ้าหากลูกพูดคุยกับเราตลอดวัน เรารับฟังลูกเวลา
ที่ลูกพูดกับเราระหว่างทํางานบ้าน เราอยู่กับลูกตลอดเวลา ลูกนั่นแหละที่เป็นฝ่าย
จากเราไปหลังเลิกมิสซาและวันฉลองบังคับสิ้นสุดลง ก็ลูกถือวันของพระเจ้าแล้ว
และตอนนี้ก็หมดหน้าที่ของลูกแล้ว ลูกไม่ได้คิดหรอกว่าเราอยากร่วมส่วนกับชีวิต
ครอบครัวของลูกร่วมกับลูกอย่างน้อยก็ในวันนั้น”
“ในบ้านของลูกๆ ลูกมีพื้นที่สําหรับทุกๆสิ่งแล้วก็มีห้องสําหรับกิจกรรมแต่ละ
อย่าง ลูกมีห้องสําหรับนอน สําหรับทําอาหาร สําหรับรับประทานอาหาร และ
อื่นๆ แล้วตรงไหนหรือที่ลูกเตรียมไว้ให้เรา ที่นั่นไม่ควรเป็นที่ที่มีแต่รูปบูชารูปหนึ่ง
ที่วางทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับตลอดเวลาเท่านั้น แต่ควรเป็นที่ที่สมาชิกในบ้านร่วมกันขอบ
คุณสําหรับวันๆนั้น สําหรับพระพรแห่งชีวิต สําหรับวอนขอสิ่งที่เขาต้องการแต่ละ
วัน สําหรับวอนขอพระพร ขอการปกป้องคุ้มครอง ขอสุขภาพที่ดี อย่างน้อยก็สัก
วันละห้านาที ลูกมีพื้นที่สําหรับทุกๆอย่างในบ้านของลูก แต่ลูกไม่มีที่สําหรับเรา”
“มนุษย์กําหนดแผนการของวัน ของสัปดาห์ ของภาคเรียน ของการพักร้อน
และอื่นๆของตน เข้ารู้ว่าวันไหนจะพัก วันไหนจะไปดูหนังหรือไปงานรื่นเริง หรือ
ไปเยี่ยมคุณย่า-คุณยายหรือเยี่ยมลูกหลาน พบเพื่อนฝูง หรือไปหาความสําราญ
มีกี่ครอบครัวกันที่อย่างน้อยๆเดือนละครั้งคุยกันว่า ‘วันนี้เราควรเป็นฝ่ายไปหา
พระเยซูเจ้าในตู้ศีลบ้าง’ แล้วทั้งครอบครัวก็มาเฝ้าศีลเพื่อพูดคุยกับเรา มีสักกี่คน
กันที่มานั่งตรงหน้าเราและสนทนาพูดคุยกับเรา เล่าสารทุกข์สุกดิบตั้งแต่พบกัน
ครั้งก่อนให้เราฟัง เพื่อปรับทุกข์ เพื่อขอสิ่งที่เขาต้องการจากเรา เพื่อให้เรามีส่วน
ร่วมในเรื่องเหล่านี้ มีสักกี่ครั้งกัน”
“เราล่วงรู้ทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งความลับที่ฝังลึกอยู่ในความคิดจิตใจของลูก
แต่เราชอบให้ลูกเล่าความเป็นไปในชีวิตให้เราฟัง  เราพอใจที่ลูกให้เรามีส่วนร่วม
เหมือนกับสมาชิกในครอบครัวของลูกคนหนึ่ง เหมือนเพื่อนสนิทของลูกคนหนึ่ง
โอ้มนุษย์ช่างสูญเสียพระหรรษทานไปมากมายกระไรหนอเมื่อเขาไม่มีพื้นที่ให้เรา
bomzaiya
โพสต์: 663
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 02, 2005 10:41 pm
ที่อยู่: Sriracha Chonburi
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:45 am

อยู่ในชีวิตของเขา!” 
“เราต้องการช่วยสิ่งสร้างของเราให้รอด เพราะในช่วงที่เปิดประตูสู่สวรรค์นั้น
ท่วมล้นไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน... ระลึกไว้เถิดว่าไม่มีแม่คนไหนที่เอาเนื้อของ
นางเองมาเลี้ยงลูกของตนหรอก เราบรรลุถึงความรักระดับสูงที่สุดแล้วเพื่อ
ถ่ายทอดบุญกุศลของเรามายังลูกทุกคน” 
“มิสซาคือตัวเราเองที่ยืดชีวิตของเราออกไป มิสซาเป็นเครื่องบูชาของเราบน
ไม้กางเขนท่ามกลางพวกลูก ปราศจากบุญกุศลแห่งชีวิตและโลหิตของเราแล้ว
ลูกมีอะไรที่จะนํามาถวายเฉพาะพระพักตร์พระบิดาเล่า ไม่มีเลย มีแต่ความน่า
เวทนาและบาป...” 
“ลูกสมควรจะมีคุณสมบัติที่ดีและน่าชื่นชมเหนือกว่าเทวดาและอัครเทวดา
เพราะว่าเทวดาไม่มีโอกาสได้ชื่นชมยินดีกับการรับเราเป็นอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณ
อย่างที่ลูกได้รับ พวกเขาดื่มจากพุน้ําได้หยดเดียว แต่ลูกที่มีพระหรรษทานในการ
รับเรานั้นมีทั้งมหาสมุทรให้ดื่มกิน”
อีกเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอ่ยถึงด้วยความรวดร้าวนั้นเกี่ยวข้องกับคน
ที่มาพบพระองค์ด้วยความเคยชิน คนที่หมดความเลื่อมใสยําเกรงในการพบพระ
องค์แต่ละครั้ง ความจําเจเปลี่ยนให้บางคนเย็นเฉยจนเขาไม่มีอะไรใหม่ๆมาเล่าให้
พระเยซูเจ้าฟังเวลาเขารับพระองค์ พระองค์ตรัสด้วยว่าวิญญาณผู้ถวายตัวจํานวน
ไม่น้อยหมดความร้อนรักพระองค์แล้ว ทําให้กระแสเรียกของเขาเป็นเพียงอาชีพๆ
หนึ่ง เป็นอาชีพที่ไม่มีอะไรจะให้อีกแล้วเว้นแต่ในสิ่งที่คนเรียกร้อง แต่เป็นการให้
ที่ไร้ความรู้สึก... แล้วพระองค์เอ่ยถึงผลที่ควรเกิดจากการที่เรารับศีลมหาสนิท
แต่ละครั้ง มีคนที่รับพระองค์ทุกวันแต่ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตเลย เขาใช้เวลาสวด
ภาวนานานหลายชั่วโมง เขาสร้างผลงานหลายอย่าง แต่ชีวิตกลับไม่ได้เปลี่ยน
สภาพ บุญกุศลที่เราได้รับในมิสซาควรส่งผลให้เรากลับใจและมีความรักความ
เมตตาต่อบรรดาพี่น้องของเรา เราผู้เป็นฆราวาสมีบทบาทสําคัญในพระศาสนจักร
เราไม่มีสิทธิ์เงียบเสียงเพราะพระได้ส่งเราออกไปประกาศพระวรสารในฐานะที่เรา
ทุกคนได้รับศีลล้างบาปแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ซึมซับรับความรู้นี้ไว้คนเดียวโดยไม่แบ่ง
ปันให้ผู้อื่น แล้วปล่อยให้พี่น้องของเราต้องอดตายในขณะที่เรามีอาหารเหลือเฟือ
อยู่ในมือ เราควรไปเยี่ยมเยียนคนเจ็บหนักที่หมดทางเยียวยาแล้วช่วยเขาด้วยการ
1
สวดสายประคําพระเมตตาและสวดภาวนาให้เขาหลุดพ้นจากกับดักและการ
ประจญล่อลวงของปีศาจ คนใกล้ตายทุกคนล้วนมีความกลัว ขอเพียงเรากุมมือ
เขาและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความรักของพระเยซูเจ้าและแม่พระ เกี่ยวกับความ
มหัศจรรย์ที่รอคอยเขาอยู่ในสวรรค์เคียงข้างบรรดาผู้ล่วงลับเพื่อบรรเทาใจเขา 
ช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ในเวลานี้ทําให้เราไม่อาจนิ่งดูดายได้ เราควรให้พระสงฆ์
ของเรายื่นมือเข้าไปช่วยในส่วนที่เขาไปไม่ถึง แต่สําหรับเรื่องนี้เราต้องการความกล้า
หาญ เราต้องรับพระเยซูเจ้า เราต้องดํารงชีวิตกับพระเยซูเจ้า เราต้องหล่อเลี้ยงตัว
เราเองด้วยพระเยซูเจ้าเสียก่อน 
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบ
ธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะเพิ่มสิ่งเหล่านี้ให้ (มธ.6:33) พระองค์พูด
ทั้งประโยค หมายถึงการแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าทุกวิถีทางและเท่าที่
ทําได้ แล้วรอรับทุกสิ่งนอกเหนือจากนี้! เพราะพระองค์เป็นผู้เดียวที่เอาใจใส่ใน
ความต้องการที่เล็กน้อยที่สุดของเรา
ขอขอบคุณพี่น้องที่ให้โอกาสฉันทําหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมานี้ได้อย่างลุล่วง
ฉันรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทําตามคํามั่นสัญญาของพระองค์ ที่ว่า “มิสซาของลูก
จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป” และขอให้ท่านรักพระองค์ด้วยเมื่อท่านรับพระองค์
ในศีลมหาสนิท! 

ขอพระเป็นเจ้าอวยพรท่าน

คาทารีน่า รีวาซ 
ฆราวาสแพร่ธรรม 
Eucharistic Heart of Jesus



มิสซา
หนังสือเสริมศรัทธาเล่มนี้แปลจาก The Holy Mass ซึ่ง แคทาลีน่า รีวาซ ได้
บันทึกเรื่องราวไว้หลังจากที่เธอได้รับคําอธิบายจากพระเยซูเจ้าและแม่พระในเรื่อง
ธรรมล้ําลึกของมิสซา  ภราดาแดเนียล แกญัง OMI กรรมการผู้ดูแลรับผิดชอบ
เกี่ยวกับข้อความเชื่อและศีลธรรมของอัครสังฆมณฑลเม็กซิโกได้ทําการตรวจสอบ
และไม่พบข้อความใดที่ขัดต่อข้อความเชื่อและธรรมประเพณีของพระศาสนจักร
โดย พระสังฆราช เรเน่ เฟอร์นันเดซ อปาซา เป็นผู้ลงนามอนุมัติให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ 
แคทาลีน่า รีวาซ ผู้เขียนบันทึกนี้เป็นแม่บ้าน มีความรู้แค่มัธยมต้นและไม่มีพื้น
ฐานด้านศาสนาหรือเทววิทยาเลย เธอพํานักอยู่ในโกชาบัมบา ประเทศโบลิเวีย
ในโกชาบัมบานั้นมีพระรูปพระคริสตเจ้ากันแสงเป็นเลือด แคทาลีน่าเริ่มได้รับสาร
จากพระเยซูเจ้าและแม่พระในปี 1993 หลังจากที่เธอเปิดใจรับพระเมตตาของ
พระและได้กลับใจ   
ปี 1994 เธอไปแสวงบุญที่คอนเยอร์ส จอร์เจีย ในวาระครบรอบการประจักษ์
ของแม่พระปีที่ 13 ระหว่างคุกเข่าถวายตัวอยู่หน้ากางเขนที่โฮลี่​ฮิลล์นั้นเธอเริ่ม
ได้รับความเจ็บปวดจากการตรึงกางเขนของพระคริสตเจ้า ซึ่งต่อมาในปี 1996
รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มือ เท้าและสีข้างของเธอได้ปรากฏให้เห็น  เธอร่ําเรียนมา
น้อย แต่ในระหว่างสามปีที่เธอได้รับสารจากเบื้องบนให้จดตามนั้น เธอสามารถ
เขียนหนังสือได้ถึงแปดเล่มหรือราว 4,000-5,000 หน้า โดยไม่มีข้อผิดพลาด
ด้านเทววิทยา สังคมศาสตร์ ชีวิตมนุษย์และคําสอนฝ่ายจิตจากพระเป็นเจ้า
หนังสือของเธอได้รับการรับรองจากพระสังฆราชท้องถิ่นทุกเล่ม วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
4 เมษายน 1999 ทีมงานฟ็อกซ์ได้บันทึกเรื่องราวที่เธอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
และได้นําเทปวีดิทัศน์เรื่องพระรูปพระคริสตเจ้ากันแสงเป็นเลือดมาออกอากาศใน
อเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุด
แคทาลีน่าเป็นพยานเรื่องมิสซา •เพื่อเทิดพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า
และเพื่อความรอดของผู้ต้องการเปิดใจรับพระองค์  •เพื่อให้เราหลุดพ้นจาก
“การรับพระองค์ด้วยความเคยชิน” •เพื่อให้ความน่าพิศวงของพิธีมิสซาบูชา
ขอบพระคุณ ติดตรึงอยู่ในจิตใจของเราตลอดไป ...
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

อังคาร ม.ค. 19, 2010 9:10 am

ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วดีมากๆ เลยค่ะ  : emo045 : : xemo026 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

อังคาร ม.ค. 19, 2010 9:10 am

ในลิ้งค์ที่แนบมาในหัวข้อกระทู้ น่าอ่านกว่าเยอะเลยครับ

ยังไงก็ขอบคุณมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

อังคาร ม.ค. 19, 2010 4:39 pm

อ่านแล้วมองย้อนมาที่ตัวเอง

เราถามคำถามพระองค์ไปมากมาย ขอทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ และโฟกัสที่มันอย่างเต็มที่ให้มันเป็นไปได้ทุกวิถีทาง

แต่เราลืมประโยคสำคัญ ๆ ไปได้ยังไงนะ

ถ้าเรานึกถึงประโยคการบอกรักและขอบคุณพระบิดาเจ้าได้ขณะอธิษฐานก็น่าจะดี จากนี้ไปต้องไม่ลืมแล้ว
Te Deum
โพสต์: 387
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มิ.ย. 02, 2009 7:20 pm

อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:16 pm

ขอบคุณค่ะ

มิสซาทุกครั้งล้วนศักดิ์สิทธิ์
ถ้าเราร่วมรับประทานอาหารกับพระเจ้าด้วยใจ

;'D
ภาพประจำตัวสมาชิก
เลย์
โพสต์: 1845
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 05, 2009 12:27 am
ที่อยู่: ในอ้อมพระหัตถ์พระเป็นเจ้า
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 19, 2010 8:45 pm

Amen.  : xemo026 :
:: ทั่ น เ บ เ น ดิ๊ ก โ ต ::
โพสต์: 574
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มี.ค. 02, 2007 12:52 pm
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 19, 2010 10:15 pm

ยาวๆๆ ปายยยยยยยยยย
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 10:45 am

ขอบคุณมากครับที่นำมาแบ่งปัน  ขอพระเจ้าอวยพระพร

หลังจากได้อ่านแล้ว รู้สึกซาบซึ้งในความรักที่พระองค์มีให้กับเรามากล้นเหลือเกิน

ผมเพิ่งรู้ว่า ทุกขั้นตอนของมิสซา มีความหมายและความสำคัญจริงๆ ก็ครั้งนี้เอง

ลูกขอขอบพระคุณพระองค์ พระเจ้าข้า รักพระองค์จัง  : xemo026 :

และลูกขอขอบพระคุณ พระแม่มารีย์ ของพวกลูกทั้งหลาย ที่สอนพวกลูกๆ

ด้วยความรัก ความห่วงใยและความอดทน มาตลอด ขอบคุณครับแม่  : xemo026 :
taiyo
โพสต์: 658
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 22, 2006 12:01 am

อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 1:10 pm

วันนี้นอนตื่นสายอีกแย้ว : xemo023 :ไม่ได้ไปมิสซาเลย : xemo023 :กะจะไปรับศีลอภัยบาปซะหน่อย เพราะขาดไป2มิสซาแล้วรวมวันนี้ด้วยก็เป็น3(นอนตี2 กว่าจะหลับเกือบตี4 : emo018 :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 4:57 pm

taiyo เขียน: วันนี้นอนตื่นสายอีกแย้ว : xemo023 :ไม่ได้ไปมิสซาเลย : xemo023 :กะจะไปรับศีลอภัยบาปซะหน่อย เพราะขาดไป2มิสซาแล้วรวมวันนี้ด้วยก็เป็น3(นอนตี2 กว่าจะหลับเกือบตี4 : emo018 :)
taiyo ชื่อคุ้นๆ เหมือนยี่ห้อ ไฟแช๊ก
สงสัยจะแก๊สหมด  : xemo016 :
ตอบกลับโพส