บทเรียนของผู้เชื่อใหม่จากผู้เชื่อเก่า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 11:56 pm
วันนี้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนฝรั่งที่ไม่ได้เจอกันนาน
เราก็ถามเรื่องศาสนาไปเยอะ ไปนั่งกินกาแฟที่สยามกัน
เล่าๆให้ฟังว่า เราสนใจเรื่องพระเจ้ามาครึ่งปีแล้วนะ
ก็คุยๆกันไป เค้าก็แนะนำเราดีนะ ก็บอก เรอย่าเพิ่งไปโบถส์ ให้เรหาข้อมูลให้ดีก่อนว่าคำสอนที่แท้จริงเป็นยังไง (อ้าว ไม่ให้ไปโบสถ์แล้วให้ตูไปหาที่ไหนเนี่ย) เค้าไม่ไว้ใจโบสถ์ในเมืองไทยว่า โบสถ์ไหนยึดคำสอนจริง
โบสถ์ไหนบิดเบือน เค้าได้ยินมาว่ามีลัทธิแปลกๆจากเมืองนอกมาเยอะ แล้วคนไทยกไม่มีความรู้
ไปรับเชื่อผิดๆด้วยความไม่รู้ เรต้องรู้ก่อนว่าที่ถูกเป็นยังไง ถ้าเจอคนที่ไม่ใช่คริสตชนที่ถูกต้อง เรจะได้แยกแยะได้
อืม... ก็จริงนะ
แล้วเค้าก็บอกว่า เรสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย โดยยังไม่ต้องไปโบถส์ก็ได้
พระองค์ทรงอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว อืม...เห็นด้วย (แต่เรก็ยังอยากผ่านพิธีล้างบาปก่อนถึงจะพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นคนของพระองค์)
เค้าถามว่าแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้เรา เปลี่ยนได้ หรือ ไม่ได้
เรก็งงๆ จะตอบว่าไรดีหว่า
เฉลยว่าเราจะเปลี่ยนแผนการที่ทรงวางไว้ให้เราทั้งหมดก็ได้ แต่การที่เราเปลี่ยนทุกอย่างนั้นก็เข้าแผนการอีกแผนของพระองค์อยู่ดี ... เรเหมือนๆจะเข้าใจแต่ชักเริ่มมึนนิดๆ
เค้าบอกว่า ถ้าอยากรู้เรื่องพระเจ้าให้ดีกว่านี้ ให้อ่านจากภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะเรื่องดีๆมักไม่ค่อยมีคนแปล เล่มภาษาไทย อ่านไปเสียเวลาเปล่า (อันนี้จริงป่าวคะ??)
คุยกันอยู่ชม.กว่า แล้วเค้าก็ชวนเรไปร้านหนังสือ จะแนะนำหนังสือปรัชญาคริสต์ดีๆให้
แต่ไปที่ร้านเอเชียบุ๊ค หาหนังสือแบบที่ว่าไม่ได้สักเล่ม เค้าก็เริ่มหงุดหงิด
สักพักเพื่อนเรมาหา คือ เพื่อนเรเค้าเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดมาไม่เคยเจอฝรั่งในระยะเผาขนอ่ะค่ะ
มาถึงเค้าก็ทักเร ก็คุยๆกันนิดหน่อย แต่เพื่อนที่มาใหม่จะหลบสายตาเพื่อนฝรั่งตลอดเลย
พอเพื่อนเรไป ตาฝรั่งเค้าก็หันมาใส่ใหญ่เลยอ่ะว่า
คนอะไร หยาบคาย ทักทายสักคำก็ไม่มี ทำท่าหยิ่งยโสใส่เค้า
เราก็ขอโทษแทน บอกว่า เพื่อนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
เค้าก็ไม่ยอมฟังบอกว่า แค่ฮัลโหลคำเดียว พูดไม่ได้เค้าไม่เชื่อหรอก มันต้องหยิ่งแน่ๆ
เห็นเค้าเป็นไอ้โง่หรือยังไง คุยด้วยก็เอาแต่เงียบ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย
(เพื่อนเรมันฟังไม่ออก แต่เค้าไม่เข้าใจ)
แล้วก็ว่าเพื่อนเรสารพัด ตบท้ายว่า ถ้าคราวหน้าเพื่อนคนนี้มาอีก ก็ไม่ต้องให้มาเจอเค้านะ
เจอคราวหน้าจะชกให้หน้าแหกเลย แบบนี้ ให้เรเลิกคบไปเลยดีกว่า มารยาททรามมาก
ถ้าเรเป็นแฟนกับคนนี้นะ ให้เรเลิกคบเค้าได้เลย เค้าจะไม่คบเรแล้ว (ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่านี่แฟน *swt)
เรก็อึ้งกิมกี่ไปเลย..... ชั้นควรจะเลิกคบคนไหนกันแน่
คือที่เค้าพูดเรื่องปรัชญาอะไรทั้งหมดที่เรนั่งฟังมาชม.นึงนี่ หมดกันเลยอ่ะ
คำสอนที่เรรู้มาลอยเข้ามาในหัว...
พระเจ้าสอนให้เราถ่อมใจ และ สุภาพ
พระเจ้าสอนให้เรารักและเข้าใจผู้อื่น
พระเจ้าสอนให้เราให้อภัยผู้อื่น
แค่ทักแล้วไม่ทักตอบ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเนี่ย มันร้ายแรงขนาดจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลยเหรอ
ความน่าเชื่อถือที่เค้าพูดเหมือนเค้าเป็นคริสตชนที่ดีหายวับไปเลยทันทีอ่ะ
ที่เรนั่งคุยกับเค้าชม.นึงนี่ เหมือนไม่ได้อะไรเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรเห็น
คนเราสามารถประกาศถึงการเป็นคริสชนได้ผ่านคำพูด
แต่เราประกาศได้ชัดเจนกว่าผ่านการสำแดงชีวิต
พี่พีพีเคยบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องบอกใครๆว่าเชื่อพระเจ้าแล้วดียังไงก็ได้
การสำแดงชีวิตของเรา ให้เค้าเห็นว่า เราเป็นคนที่ดีขึ้นเมื่อมีพระคริสต์ในชีวิตต่างหากที่สำคัญ
ถ้าเราประกาศปาวๆ แต่เราไม่ทำให้เห็นจริงว่าเรานำคำสอนของพระเยซูมาใช้ในชีวิต มันจะไม่มีประโยชน์เลย
กลายเป็นว่า เรได้สัจธรรมข้อนี้มาแทนเสียนี่.... นี่อาจจะเป็นพระประสงค์ของพระองค์ก็ได้ที่ส่งเพื่อนคนนี้มาให้คุยกับเรวันนี้ (และส่งเพื่อนอีกคนมาให้เรเห็นธาตุแท้ของเค้า)
บทเรียนของผู้เชื่อใหม่ในวันนี้ ... จงสำแดงชีวิตของเจ้า
เราก็ถามเรื่องศาสนาไปเยอะ ไปนั่งกินกาแฟที่สยามกัน
เล่าๆให้ฟังว่า เราสนใจเรื่องพระเจ้ามาครึ่งปีแล้วนะ
ก็คุยๆกันไป เค้าก็แนะนำเราดีนะ ก็บอก เรอย่าเพิ่งไปโบถส์ ให้เรหาข้อมูลให้ดีก่อนว่าคำสอนที่แท้จริงเป็นยังไง (อ้าว ไม่ให้ไปโบสถ์แล้วให้ตูไปหาที่ไหนเนี่ย) เค้าไม่ไว้ใจโบสถ์ในเมืองไทยว่า โบสถ์ไหนยึดคำสอนจริง
โบสถ์ไหนบิดเบือน เค้าได้ยินมาว่ามีลัทธิแปลกๆจากเมืองนอกมาเยอะ แล้วคนไทยกไม่มีความรู้
ไปรับเชื่อผิดๆด้วยความไม่รู้ เรต้องรู้ก่อนว่าที่ถูกเป็นยังไง ถ้าเจอคนที่ไม่ใช่คริสตชนที่ถูกต้อง เรจะได้แยกแยะได้
อืม... ก็จริงนะ
แล้วเค้าก็บอกว่า เรสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย โดยยังไม่ต้องไปโบถส์ก็ได้
พระองค์ทรงอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว อืม...เห็นด้วย (แต่เรก็ยังอยากผ่านพิธีล้างบาปก่อนถึงจะพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นคนของพระองค์)
เค้าถามว่าแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้เรา เปลี่ยนได้ หรือ ไม่ได้
เรก็งงๆ จะตอบว่าไรดีหว่า
เฉลยว่าเราจะเปลี่ยนแผนการที่ทรงวางไว้ให้เราทั้งหมดก็ได้ แต่การที่เราเปลี่ยนทุกอย่างนั้นก็เข้าแผนการอีกแผนของพระองค์อยู่ดี ... เรเหมือนๆจะเข้าใจแต่ชักเริ่มมึนนิดๆ
เค้าบอกว่า ถ้าอยากรู้เรื่องพระเจ้าให้ดีกว่านี้ ให้อ่านจากภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะเรื่องดีๆมักไม่ค่อยมีคนแปล เล่มภาษาไทย อ่านไปเสียเวลาเปล่า (อันนี้จริงป่าวคะ??)
คุยกันอยู่ชม.กว่า แล้วเค้าก็ชวนเรไปร้านหนังสือ จะแนะนำหนังสือปรัชญาคริสต์ดีๆให้
แต่ไปที่ร้านเอเชียบุ๊ค หาหนังสือแบบที่ว่าไม่ได้สักเล่ม เค้าก็เริ่มหงุดหงิด
สักพักเพื่อนเรมาหา คือ เพื่อนเรเค้าเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดมาไม่เคยเจอฝรั่งในระยะเผาขนอ่ะค่ะ
มาถึงเค้าก็ทักเร ก็คุยๆกันนิดหน่อย แต่เพื่อนที่มาใหม่จะหลบสายตาเพื่อนฝรั่งตลอดเลย
พอเพื่อนเรไป ตาฝรั่งเค้าก็หันมาใส่ใหญ่เลยอ่ะว่า
คนอะไร หยาบคาย ทักทายสักคำก็ไม่มี ทำท่าหยิ่งยโสใส่เค้า
เราก็ขอโทษแทน บอกว่า เพื่อนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
เค้าก็ไม่ยอมฟังบอกว่า แค่ฮัลโหลคำเดียว พูดไม่ได้เค้าไม่เชื่อหรอก มันต้องหยิ่งแน่ๆ
เห็นเค้าเป็นไอ้โง่หรือยังไง คุยด้วยก็เอาแต่เงียบ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย
(เพื่อนเรมันฟังไม่ออก แต่เค้าไม่เข้าใจ)
แล้วก็ว่าเพื่อนเรสารพัด ตบท้ายว่า ถ้าคราวหน้าเพื่อนคนนี้มาอีก ก็ไม่ต้องให้มาเจอเค้านะ
เจอคราวหน้าจะชกให้หน้าแหกเลย แบบนี้ ให้เรเลิกคบไปเลยดีกว่า มารยาททรามมาก
ถ้าเรเป็นแฟนกับคนนี้นะ ให้เรเลิกคบเค้าได้เลย เค้าจะไม่คบเรแล้ว (ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่านี่แฟน *swt)
เรก็อึ้งกิมกี่ไปเลย..... ชั้นควรจะเลิกคบคนไหนกันแน่
คือที่เค้าพูดเรื่องปรัชญาอะไรทั้งหมดที่เรนั่งฟังมาชม.นึงนี่ หมดกันเลยอ่ะ
คำสอนที่เรรู้มาลอยเข้ามาในหัว...
พระเจ้าสอนให้เราถ่อมใจ และ สุภาพ
พระเจ้าสอนให้เรารักและเข้าใจผู้อื่น
พระเจ้าสอนให้เราให้อภัยผู้อื่น
แค่ทักแล้วไม่ทักตอบ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเนี่ย มันร้ายแรงขนาดจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลยเหรอ
ความน่าเชื่อถือที่เค้าพูดเหมือนเค้าเป็นคริสตชนที่ดีหายวับไปเลยทันทีอ่ะ
ที่เรนั่งคุยกับเค้าชม.นึงนี่ เหมือนไม่ได้อะไรเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรเห็น
คนเราสามารถประกาศถึงการเป็นคริสชนได้ผ่านคำพูด
แต่เราประกาศได้ชัดเจนกว่าผ่านการสำแดงชีวิต
พี่พีพีเคยบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องบอกใครๆว่าเชื่อพระเจ้าแล้วดียังไงก็ได้
การสำแดงชีวิตของเรา ให้เค้าเห็นว่า เราเป็นคนที่ดีขึ้นเมื่อมีพระคริสต์ในชีวิตต่างหากที่สำคัญ
ถ้าเราประกาศปาวๆ แต่เราไม่ทำให้เห็นจริงว่าเรานำคำสอนของพระเยซูมาใช้ในชีวิต มันจะไม่มีประโยชน์เลย
กลายเป็นว่า เรได้สัจธรรมข้อนี้มาแทนเสียนี่.... นี่อาจจะเป็นพระประสงค์ของพระองค์ก็ได้ที่ส่งเพื่อนคนนี้มาให้คุยกับเรวันนี้ (และส่งเพื่อนอีกคนมาให้เรเห็นธาตุแท้ของเค้า)
บทเรียนของผู้เชื่อใหม่ในวันนี้ ... จงสำแดงชีวิตของเจ้า