<<: สงครามครูเสด :>>
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 02, 2005 10:31 am
สงครามครูเสด
Conquest by Crusade : Age of Faith, Ann Fremantle เขียน
จิรกรณฑ์ เสวตรวิทย์ และ พ่อซีมอน, C.Ss.R. แปล/เรียบเรียง
ในสงครามที่มนุษย์เคยขับเคี่ยวกันมาทั้งหมด ไม่มีครั้งใดที่กระทำด้วยความเร่าร้อนมากกว่าในนามของความเชื่อ และในบรรดา สงครามศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ ไม่มีครั้งใดที่นองเลือด และยืดเยื้อเท่าสงครามครูเสดในสมัยกลางของชาวคริสต์ สงครามครูเสดครอบงำจิตใจคนในสมัยกลางเป็นเวลาถึง 200 ปี จากปลายศตวรรษที่ 11 จนถึงปลายศตวรรษที่ 13
สงครามครูเสดเริ่มต้นด้วยความเร่าร้อนที่ระเบิดขึ้นอย่าง รุนแรง แต่ลงเอยด้วยความยุ่งเหยิงและมายาภาพที่ถูกทำลาย
มีแรงกระตุ้นหลายอย่างอยู่เบื้องหลังสงครามครูเสด
ความตั้งใจที่ได้ประกาศออกมาในตอนเริ่มต้น คือยึดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็มกลับมาจากการควบคุมของมุสลิมนอกศาสนานั้น ฟังดูแล้วก็ไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะแม้ว่าผู้แสวงบุญทั้งหลายจะถูกรังควานจากภาษีต่างๆ พวกเขาก็แทบไม่ถูกกีดขวางที่จะไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้
มีความตั้งใจอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังการประกาศสงครามศาสนานี้ด้วย นั่นก็คือ ศาสนจักรแห่งโรมมองเห็นโอกาสที่จะแผ่ขยายไปสู่เขตอิทธิพลของคู่แข่งขันที่สำคัญ คือศาสนจักรกรีก ออร์โธดอกซ์ บรรดากษัตริย์และขุนนางศักดินาของยุโรปตะวันตก เห็นโอกาสแห่งดินแดนใหม่ๆ และความร่ำรวยใหม่ๆ พวกขุนนางหวังที่จะพบทางออกสำหรับพวกบุตรหลานที่เกกมะเหรก พวกพระสงฆ์นักบวชหวังที่จะหาสถานที่ที่จะส่งพวกเหลือขอชอบก่อความวุ่นวายไปปล่อย
นักรบสงครามครูเสดเองก็มีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนสำนึกถึงรางวัลในการรบซึ่งพระศาสนจักรให้สัญญา ไม่ว่าจะเป็นการละเว้นโทษสำหรับบาปที่ผ่านมาและเลื่อนการชำระหนี้ออกไป แต่นักรบครูเสดหลายคนก็ป่าเถื่อนโหดร้าย หลายคนข่มขืนและปล้นสดมภ์คริสตชนด้วยกันและกระทำการโหดร้ายอย่างสุดบรรยายต่อศัตรู มีการเลื่อยศพเพื่อเอาทอง และบางครั้งเอาเนื้อมาทำอาหารรับประทาน ซึ่งพวกเขาพบว่าอร่อยกว่า นกยูงใส่เครื่องเทศ ตามที่ผู้บันทึกเหตุการณ์ในสมัยนั้นเขียนไว้
อย่างไรก็ตาม ความเชื่ออย่างซื่อๆ และการมีความเคารพศรัทธาอย่างลึกล้ำต่อดินแดนที่พระคริสตเจ้าเคยย่างพระบาท ก็เป็นแรงผลักดันของนักรบสงครามครูเสดจำนวนมาก เช็คสเปียร์บรรยายถึงความรู้สึกนี้ด้วยคำพูดของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 กษัตริย์นักรบของอังกฤษ เรามีความฝังใจและพันธะที่จะต่อสู้ เพื่อขับไล่คนป่าเถื่อนเหล่านี้จากผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนที่พระบาทอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่เมื่อพันสี่ร้อยปีที่แล้วทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของชาวเรา ได้ทรงก้าวดำเนิน
นักรบสงครามครูเสดกู้แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ แต่รักษาไว้ไม่ถึงร้อยปี จุดมุ่งหมายของพวกเขาล้มเหลว เช่นเดียวกับความฝันที่จะขยายอำนาจของฝ่ายตะวันตกไปสู่ตะวันออก เมื่อพวกเขายุติ ชาวมุสลิมก็กลับมาตั้งมั่นในดินแดนที่เคยมีการสู้รบรุนแรง จักรวรรดิไบเซนไทน์แห่งศาสนจักรตะวันออกอ่อนแอลงจนเกือบพินาศ และยุโรปก็หวนกลับเข้าสนใจเรื่องภายในของตนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่า สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นเช่นเดิม หน้าต่างสู่โลกได้ถูกเปิดออกแล้ว และสภาพการณ์ทุกอย่างของชีวิตในยุคสมัยกลางก็ได้รับผลกระทบ แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางเช่นนี้ไม่สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้เมื่อสงครามครูเสดเริ่มต้น
ชนวนเหตุโดยตรงของสงครามครูเสดคือการคุกคามทางทหารต่อเมืองคอนสแตนติโนเปิล ปราการทางตะวันออกของชาวคริสต์ เมืองนี้ตั้งขึ้นโดยคอนสแตนติน จักรพรรดิโรมันองค์แรกที่กลับใจมาเป็นคริสต์ ผู้สืบราชสมบัติต่อจากคอนสแตนติน บนบัลลังก์แห่งไบเซนไทน์ต้องรับมือกับผู้รุกรานทุกพวกจากเอเชีย พวกไบเซนไทน์เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ซาราคีโนส (Sarakenos) แปลว่า ชาวตะวันออก และคำว่า ซาราเซ็น (Sarasen) ก็ได้กลายเป็นคำที่ทำให้เกิดมโนภาพนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง พวกผู้รุกรานเหล่านี้พวกหลังสุด ดุร้ายที่สุดและเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาด้วย คือพวกเซลจุก เติร์ก (Seljuk Turk) ในปี ค.ศ.1071 พวกเขาตีชาวไบเซนไทน์นับพันๆ แตกพ่ายในการรบใกล้แมนซีเคอร์ท (Manzikert) อันเป็นการเริ่มต้นบุกลึกเข้ามาสู่ดินแดนเอเชียไมเนอร์ พวกเซลจุก เติร์กได้ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ในปี ค.ศ.1073 จักรพรรดิไมเกิลที่ 7 แห่งไบเซนไทน์ ร้องขอชาวคริสต์ตะวันตกให้ช่วย ทั้งที่เมื่อ 19 ปีก่อน ศาสนจักรตะวันออกและศาสนจักรตะวันตกได้แตกแยกกันอย่างสุดขีดจากการถกเถียงเรื่องข้อความเชื่อ จักรพรรดิไมเกิลได้ส่งผู้แทนทางการทูตเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 ซึ่งให้การต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี แต่พระองค์ก็มีภาระเต็มมือในการต่อสู้กับศัตรูของการปฏิรูปพระศาสนจักรในเวลานั้น
แล้วตลอดระยะเวลาสามในสี่ของศตวรรษต่อมา พวกเซลจุก เติร์กได้ดำเนินการบุกรุกต่อไปในดินแดนยุทธศาสตร์อื่นๆ พวกเขายึดป้อมนิเชอาอันเก่าแก่ และจากที่นั่น เพียงข้ามช่องแคบ บอสฟอรัสก็จะถึงคอนสแตนติโนเปิล จักรพรรดิไบเซนไทน์อีกองค์หนึ่ง คือ อาเล็กซีอุส คอมเนนุส ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ไปยังพระสันตะปาปาอูร์บันที่ 2 อาเล็กซีอุสหลักแหลมกว่าจักรพรรดิ ไมเกิล ในสาส์นของพระองค์ที่ส่งไปยังโรม พระองค์ไม่ได้เน้นถึงอันตรายต่อบัลลังก์ของพระองค์ แต่เน้นถึงความจำเป็นร่วมกันของคริสตชนทั้งในศาสนจักรตะวันตกและตะวันออก ที่จะต้องช่วยกันขับไล่ผู้บุกรุกชาวมุสลิมออกไปจากดินแดนดั้งเดิมของชาวคริสต์
พระสันตะปาปาสนองตอบในการประชุมสภาสังคายนาที่แคลร์มองต์ ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในเดือน พฤศจิกายน 1095 ผู้มาประชุมมีทั้งพระคาร์ดินัล พระสังฆราชและขุนนางทั้งหลาย ส่วนพวกชาวบ้านธรรมดาชุมนุมอยู่ที่ลานนอกวัด หลังจากพิจารณาเรื่องราวอื่นๆ แล้ว พระสันตะปาปาอูร์บันก็ออกมาข้างนอก พระองค์ต้องการให้ทุกคนได้ยินสิ่งที่พระองค์จะกล่าว ตามคำบอกเล่าที่ตกทอดมา พระองค์เริ่มว่า สิ่งที่นำพวกเรามาที่นี่ ก็คือภยันตรายที่กำลังคุกคามเราและผู้มีความเชื่อทุกคน จากอาณาบริเวณของกรุงเยรูซาเล็ม และจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล เรื่องราวที่น่ากลัวได้ปรากฏออกมา มีชนเผ่าที่ถูกสาป ชนเผ่าที่ห่างไกลจากพระเจ้าได้รุกรานดินแดนของชาวคริสต์ และได้ทำลายล้างพวกเขาด้วยดาบ การปล้นสดมภ์ และไฟ ต่อจากนั้นพระสันตะปาปาได้จาระไนการกระทำที่บ้าคลั่งของพวกเติร์ก ไม่ว่าจะเป็นการทำลายวัดหรือใช้วัดเพื่อพิธีทางศาสนาของมุสลิม การทุราจารต่อพระแท่นบูชา การข่มขืนบรรดาสตรีชาวคริสต์ การทรมานและสังหารพวกผู้ชาย พระองค์บอกเล่าชนิดไม่ละเว้นรายละเอียด พระองค์เล่าว่าเทคนิคอย่างหนึ่งของชาวเติร์กในการทรมานเหยื่อ คือเจาะสะดือของเหยื่อ แล้วลากปลายลำไส้ออกมามัดไว้กับเสา ต่อจากนั้น โบยตีเหยื่อซึ่งพยายามหนีทุรนทุรายไปรอบๆ เสา จนที่สุดไส้พุงไหลออกมา และเหยื่อล้มลงกับพื้นสิ้นใจ
พระสันตะปาปากล่าวต่อว่า ดังนั้น ภารกิจแก้แค้นต่อความผิดเหล่านี้ และพันธกิจที่จะนำดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาจะเป็นหน้าที่ของใคร ถ้าไม่ใช่ของพวกท่าน? จงก้าวบนหนทางไปสู่ที่อันศักดิ์สิทธิ์ แย่งชิงดินแดนนั้นคืนมาจากชนเผ่าที่เลวร้าย
ยังมีวาทะปลุกเร้าจิตใจอื่นๆ เพื่อสร้างผลในการลุกฮือขึ้นก่อการ พระสันตะปาปาอูร์บันเตือนผู้ฟังของพระองค์ว่าแผ่นดินที่พวกเขากำลังจะไป เต็มไปด้วยนมและน้ำผึ้งเป็นดังสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ส่วนดินแดนที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้น อึดอัดคับแคบเกินไปสำหรับประชาชนของพวกท่าน โดยเฉพาะอาหารการกินที่ฝืดเคือง และสำหรับชาวฝรั่งเศส ซึ่งกำลังเดือดร้อนจากภาวะอดอยากขาดแคลนที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วในปีนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่พูดได้ตรงจุดและทำให้เกิดผล
เมื่อพระสันตะปาปาอูร์บันกล่าวจบลง เสียงโห่ร้องก็ดังประสานกระหึ่มจากมหาชน เดอุส โวลท์! เดอุส โวลท์! (Deus volt! Deus volt! พระเป็นเจ้าทรงประสงค์! พระเป็นเจ้าทรงประสงค์!) เสียงสนั่นสนับสนุนที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเองเกินความคาดคิด ทำให้พระสันตะปาปาประกาศอย่างที่พระองค์ก็ไม่ได้คาดคิดก่อนว่า พระเป็นเจ้าทรงประสงค์จะเป็นเสียงโห่ร้องในสนามรบกับศัตรู และผู้ชายทุกคนที่รับเอาภารกิจเสี่ยงอันตรายอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะต้องติดสัญลักษณ์ไม้กางเขนไว้บนอาภรณ์ของเขา ฟูลเชอร์แห่งชาร์ต (Fulcher of Chartres) ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย ได้เล่า อย่างปีติว่า โอ เป็นการเหมาะสมอะไรเช่นนั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีแก่พวกเราที่จะได้เห็นไม้กางเขนเหล่านั้น
ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกันไป หลายคนในกลุ่มตัดเสื้อคลุมของตัวเอง เอาผ้ามาทำเป็นกางเขนติดใส่ชุดแต่งกายตน สัญลักษณ์นี้ในไม่ช้าก็แพร่หลายเป็นที่ปฏิบัติตามของคนจำนวนมากมายหลายพันคนทั่วตะวันตก บัดนี้ ผู้คนได้รับผลกระทบเต็มๆ ของการประกาศชวนเชื่อที่เผยแพร่อย่างฉลาดเชี่ยวชาญและพากเพียร นอกจากการเทศน์ปลุกเร้าของบรรดาพระสงฆ์และนักเทศน์แล้ว ก็มีใบปลิว แผ่นกระดาษ หนังสือต่างๆ ที่บรรจงบรรยายพฤติกรรมที่น่าเกลียดน่ากลัวของพวกมุสลิม แม้กระทั่ง ศิลปะการวาดภาพก็ถูกนำมาใช้ ภาพวาดชาวเติร์กดุจปีศาจกำลังเหยียบย่ำไม้กางเขนแพร่หลายจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง
Conquest by Crusade : Age of Faith, Ann Fremantle เขียน
จิรกรณฑ์ เสวตรวิทย์ และ พ่อซีมอน, C.Ss.R. แปล/เรียบเรียง
ในสงครามที่มนุษย์เคยขับเคี่ยวกันมาทั้งหมด ไม่มีครั้งใดที่กระทำด้วยความเร่าร้อนมากกว่าในนามของความเชื่อ และในบรรดา สงครามศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ ไม่มีครั้งใดที่นองเลือด และยืดเยื้อเท่าสงครามครูเสดในสมัยกลางของชาวคริสต์ สงครามครูเสดครอบงำจิตใจคนในสมัยกลางเป็นเวลาถึง 200 ปี จากปลายศตวรรษที่ 11 จนถึงปลายศตวรรษที่ 13
สงครามครูเสดเริ่มต้นด้วยความเร่าร้อนที่ระเบิดขึ้นอย่าง รุนแรง แต่ลงเอยด้วยความยุ่งเหยิงและมายาภาพที่ถูกทำลาย
มีแรงกระตุ้นหลายอย่างอยู่เบื้องหลังสงครามครูเสด
ความตั้งใจที่ได้ประกาศออกมาในตอนเริ่มต้น คือยึดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็มกลับมาจากการควบคุมของมุสลิมนอกศาสนานั้น ฟังดูแล้วก็ไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะแม้ว่าผู้แสวงบุญทั้งหลายจะถูกรังควานจากภาษีต่างๆ พวกเขาก็แทบไม่ถูกกีดขวางที่จะไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้
มีความตั้งใจอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังการประกาศสงครามศาสนานี้ด้วย นั่นก็คือ ศาสนจักรแห่งโรมมองเห็นโอกาสที่จะแผ่ขยายไปสู่เขตอิทธิพลของคู่แข่งขันที่สำคัญ คือศาสนจักรกรีก ออร์โธดอกซ์ บรรดากษัตริย์และขุนนางศักดินาของยุโรปตะวันตก เห็นโอกาสแห่งดินแดนใหม่ๆ และความร่ำรวยใหม่ๆ พวกขุนนางหวังที่จะพบทางออกสำหรับพวกบุตรหลานที่เกกมะเหรก พวกพระสงฆ์นักบวชหวังที่จะหาสถานที่ที่จะส่งพวกเหลือขอชอบก่อความวุ่นวายไปปล่อย
นักรบสงครามครูเสดเองก็มีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนสำนึกถึงรางวัลในการรบซึ่งพระศาสนจักรให้สัญญา ไม่ว่าจะเป็นการละเว้นโทษสำหรับบาปที่ผ่านมาและเลื่อนการชำระหนี้ออกไป แต่นักรบครูเสดหลายคนก็ป่าเถื่อนโหดร้าย หลายคนข่มขืนและปล้นสดมภ์คริสตชนด้วยกันและกระทำการโหดร้ายอย่างสุดบรรยายต่อศัตรู มีการเลื่อยศพเพื่อเอาทอง และบางครั้งเอาเนื้อมาทำอาหารรับประทาน ซึ่งพวกเขาพบว่าอร่อยกว่า นกยูงใส่เครื่องเทศ ตามที่ผู้บันทึกเหตุการณ์ในสมัยนั้นเขียนไว้
อย่างไรก็ตาม ความเชื่ออย่างซื่อๆ และการมีความเคารพศรัทธาอย่างลึกล้ำต่อดินแดนที่พระคริสตเจ้าเคยย่างพระบาท ก็เป็นแรงผลักดันของนักรบสงครามครูเสดจำนวนมาก เช็คสเปียร์บรรยายถึงความรู้สึกนี้ด้วยคำพูดของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 กษัตริย์นักรบของอังกฤษ เรามีความฝังใจและพันธะที่จะต่อสู้ เพื่อขับไล่คนป่าเถื่อนเหล่านี้จากผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนที่พระบาทอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่เมื่อพันสี่ร้อยปีที่แล้วทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของชาวเรา ได้ทรงก้าวดำเนิน
นักรบสงครามครูเสดกู้แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ แต่รักษาไว้ไม่ถึงร้อยปี จุดมุ่งหมายของพวกเขาล้มเหลว เช่นเดียวกับความฝันที่จะขยายอำนาจของฝ่ายตะวันตกไปสู่ตะวันออก เมื่อพวกเขายุติ ชาวมุสลิมก็กลับมาตั้งมั่นในดินแดนที่เคยมีการสู้รบรุนแรง จักรวรรดิไบเซนไทน์แห่งศาสนจักรตะวันออกอ่อนแอลงจนเกือบพินาศ และยุโรปก็หวนกลับเข้าสนใจเรื่องภายในของตนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่า สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นเช่นเดิม หน้าต่างสู่โลกได้ถูกเปิดออกแล้ว และสภาพการณ์ทุกอย่างของชีวิตในยุคสมัยกลางก็ได้รับผลกระทบ แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางเช่นนี้ไม่สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้เมื่อสงครามครูเสดเริ่มต้น
ชนวนเหตุโดยตรงของสงครามครูเสดคือการคุกคามทางทหารต่อเมืองคอนสแตนติโนเปิล ปราการทางตะวันออกของชาวคริสต์ เมืองนี้ตั้งขึ้นโดยคอนสแตนติน จักรพรรดิโรมันองค์แรกที่กลับใจมาเป็นคริสต์ ผู้สืบราชสมบัติต่อจากคอนสแตนติน บนบัลลังก์แห่งไบเซนไทน์ต้องรับมือกับผู้รุกรานทุกพวกจากเอเชีย พวกไบเซนไทน์เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ซาราคีโนส (Sarakenos) แปลว่า ชาวตะวันออก และคำว่า ซาราเซ็น (Sarasen) ก็ได้กลายเป็นคำที่ทำให้เกิดมโนภาพนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง พวกผู้รุกรานเหล่านี้พวกหลังสุด ดุร้ายที่สุดและเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาด้วย คือพวกเซลจุก เติร์ก (Seljuk Turk) ในปี ค.ศ.1071 พวกเขาตีชาวไบเซนไทน์นับพันๆ แตกพ่ายในการรบใกล้แมนซีเคอร์ท (Manzikert) อันเป็นการเริ่มต้นบุกลึกเข้ามาสู่ดินแดนเอเชียไมเนอร์ พวกเซลจุก เติร์กได้ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ในปี ค.ศ.1073 จักรพรรดิไมเกิลที่ 7 แห่งไบเซนไทน์ ร้องขอชาวคริสต์ตะวันตกให้ช่วย ทั้งที่เมื่อ 19 ปีก่อน ศาสนจักรตะวันออกและศาสนจักรตะวันตกได้แตกแยกกันอย่างสุดขีดจากการถกเถียงเรื่องข้อความเชื่อ จักรพรรดิไมเกิลได้ส่งผู้แทนทางการทูตเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 ซึ่งให้การต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี แต่พระองค์ก็มีภาระเต็มมือในการต่อสู้กับศัตรูของการปฏิรูปพระศาสนจักรในเวลานั้น
แล้วตลอดระยะเวลาสามในสี่ของศตวรรษต่อมา พวกเซลจุก เติร์กได้ดำเนินการบุกรุกต่อไปในดินแดนยุทธศาสตร์อื่นๆ พวกเขายึดป้อมนิเชอาอันเก่าแก่ และจากที่นั่น เพียงข้ามช่องแคบ บอสฟอรัสก็จะถึงคอนสแตนติโนเปิล จักรพรรดิไบเซนไทน์อีกองค์หนึ่ง คือ อาเล็กซีอุส คอมเนนุส ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ไปยังพระสันตะปาปาอูร์บันที่ 2 อาเล็กซีอุสหลักแหลมกว่าจักรพรรดิ ไมเกิล ในสาส์นของพระองค์ที่ส่งไปยังโรม พระองค์ไม่ได้เน้นถึงอันตรายต่อบัลลังก์ของพระองค์ แต่เน้นถึงความจำเป็นร่วมกันของคริสตชนทั้งในศาสนจักรตะวันตกและตะวันออก ที่จะต้องช่วยกันขับไล่ผู้บุกรุกชาวมุสลิมออกไปจากดินแดนดั้งเดิมของชาวคริสต์
พระสันตะปาปาสนองตอบในการประชุมสภาสังคายนาที่แคลร์มองต์ ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในเดือน พฤศจิกายน 1095 ผู้มาประชุมมีทั้งพระคาร์ดินัล พระสังฆราชและขุนนางทั้งหลาย ส่วนพวกชาวบ้านธรรมดาชุมนุมอยู่ที่ลานนอกวัด หลังจากพิจารณาเรื่องราวอื่นๆ แล้ว พระสันตะปาปาอูร์บันก็ออกมาข้างนอก พระองค์ต้องการให้ทุกคนได้ยินสิ่งที่พระองค์จะกล่าว ตามคำบอกเล่าที่ตกทอดมา พระองค์เริ่มว่า สิ่งที่นำพวกเรามาที่นี่ ก็คือภยันตรายที่กำลังคุกคามเราและผู้มีความเชื่อทุกคน จากอาณาบริเวณของกรุงเยรูซาเล็ม และจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล เรื่องราวที่น่ากลัวได้ปรากฏออกมา มีชนเผ่าที่ถูกสาป ชนเผ่าที่ห่างไกลจากพระเจ้าได้รุกรานดินแดนของชาวคริสต์ และได้ทำลายล้างพวกเขาด้วยดาบ การปล้นสดมภ์ และไฟ ต่อจากนั้นพระสันตะปาปาได้จาระไนการกระทำที่บ้าคลั่งของพวกเติร์ก ไม่ว่าจะเป็นการทำลายวัดหรือใช้วัดเพื่อพิธีทางศาสนาของมุสลิม การทุราจารต่อพระแท่นบูชา การข่มขืนบรรดาสตรีชาวคริสต์ การทรมานและสังหารพวกผู้ชาย พระองค์บอกเล่าชนิดไม่ละเว้นรายละเอียด พระองค์เล่าว่าเทคนิคอย่างหนึ่งของชาวเติร์กในการทรมานเหยื่อ คือเจาะสะดือของเหยื่อ แล้วลากปลายลำไส้ออกมามัดไว้กับเสา ต่อจากนั้น โบยตีเหยื่อซึ่งพยายามหนีทุรนทุรายไปรอบๆ เสา จนที่สุดไส้พุงไหลออกมา และเหยื่อล้มลงกับพื้นสิ้นใจ
พระสันตะปาปากล่าวต่อว่า ดังนั้น ภารกิจแก้แค้นต่อความผิดเหล่านี้ และพันธกิจที่จะนำดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาจะเป็นหน้าที่ของใคร ถ้าไม่ใช่ของพวกท่าน? จงก้าวบนหนทางไปสู่ที่อันศักดิ์สิทธิ์ แย่งชิงดินแดนนั้นคืนมาจากชนเผ่าที่เลวร้าย
ยังมีวาทะปลุกเร้าจิตใจอื่นๆ เพื่อสร้างผลในการลุกฮือขึ้นก่อการ พระสันตะปาปาอูร์บันเตือนผู้ฟังของพระองค์ว่าแผ่นดินที่พวกเขากำลังจะไป เต็มไปด้วยนมและน้ำผึ้งเป็นดังสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ส่วนดินแดนที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้น อึดอัดคับแคบเกินไปสำหรับประชาชนของพวกท่าน โดยเฉพาะอาหารการกินที่ฝืดเคือง และสำหรับชาวฝรั่งเศส ซึ่งกำลังเดือดร้อนจากภาวะอดอยากขาดแคลนที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วในปีนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่พูดได้ตรงจุดและทำให้เกิดผล
เมื่อพระสันตะปาปาอูร์บันกล่าวจบลง เสียงโห่ร้องก็ดังประสานกระหึ่มจากมหาชน เดอุส โวลท์! เดอุส โวลท์! (Deus volt! Deus volt! พระเป็นเจ้าทรงประสงค์! พระเป็นเจ้าทรงประสงค์!) เสียงสนั่นสนับสนุนที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเองเกินความคาดคิด ทำให้พระสันตะปาปาประกาศอย่างที่พระองค์ก็ไม่ได้คาดคิดก่อนว่า พระเป็นเจ้าทรงประสงค์จะเป็นเสียงโห่ร้องในสนามรบกับศัตรู และผู้ชายทุกคนที่รับเอาภารกิจเสี่ยงอันตรายอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะต้องติดสัญลักษณ์ไม้กางเขนไว้บนอาภรณ์ของเขา ฟูลเชอร์แห่งชาร์ต (Fulcher of Chartres) ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย ได้เล่า อย่างปีติว่า โอ เป็นการเหมาะสมอะไรเช่นนั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีแก่พวกเราที่จะได้เห็นไม้กางเขนเหล่านั้น
ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกันไป หลายคนในกลุ่มตัดเสื้อคลุมของตัวเอง เอาผ้ามาทำเป็นกางเขนติดใส่ชุดแต่งกายตน สัญลักษณ์นี้ในไม่ช้าก็แพร่หลายเป็นที่ปฏิบัติตามของคนจำนวนมากมายหลายพันคนทั่วตะวันตก บัดนี้ ผู้คนได้รับผลกระทบเต็มๆ ของการประกาศชวนเชื่อที่เผยแพร่อย่างฉลาดเชี่ยวชาญและพากเพียร นอกจากการเทศน์ปลุกเร้าของบรรดาพระสงฆ์และนักเทศน์แล้ว ก็มีใบปลิว แผ่นกระดาษ หนังสือต่างๆ ที่บรรจงบรรยายพฤติกรรมที่น่าเกลียดน่ากลัวของพวกมุสลิม แม้กระทั่ง ศิลปะการวาดภาพก็ถูกนำมาใช้ ภาพวาดชาวเติร์กดุจปีศาจกำลังเหยียบย่ำไม้กางเขนแพร่หลายจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง