+ สาเหตุที่พระเจ้าต้องอณุญาติมารให้ทดสอบมนุษย์ +
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
คำถามที่พบบ่อยที่สุดของเหล่าคริสตชนคือ "ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เราต้องลำบาก" "ถ้าพระเจ้ามีจริงต้องไม่มีโจร" "ทำไมไม่ช่วยเราเมื่อเราต้องการให้ช่วย" ฯลฯ ซึ่งคำถามเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาได้นั้นเป็นเพราะว่าคริสตชนที่มีคำถามเหล่านี้ขาดความเข้าใจในแก่นแท้ของหลักคำสอนของพระเยซูเจ้า หรือว่าเข้าใจแบบผิดๆถูกๆไม่ตรงตามที่พระเยซูเจ้าต้องการจะสอน
----------------------
Q : "ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เราต้องลำบาก"
A : ถ้าไม่ลำบากก็เข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้ จริงๆแล้วคำถามนี้ต้องถามกลับผู้ที่ถามมาด้วยซ้ำว่าแล้วทำไมจะไม่ลำบากละก็ในเมื่อพระองค์ทรงบอกถึงอาณาจักรสวรรค์และการที่จะติดตามพระองค์นั้นต้องแบกกางเขนและเดินเข้าประตูแคบ
มัทธิว 7:13
จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก
ปัญหาอุปสรรค์ต่างๆในชีวิตหากเราน้อมรับด้วยความเต็มใจและยินดีแล้วย่อมก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อวิญญาณของเรา
1 เปโตร 1:6- 8
ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดีถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ พื่อการลองดูความเชื่อของท่านอันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟจะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญเกิดศักดิ์ศรีและเกียรติในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็นแต่ท่านยังรักพระองค์อยู่แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชมด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้..
ดังนั้นคำถามนี้แสดงถึงความเข้าใจผิดแต่แรกของผู้ถามในการเข้ามาติดตามพระเยซูคริสตเจ้า จึงทำให้พลาดจุดประสงค์ของพระองค์คือผ่านความยากลำบากเพื่อไปให้ถึงอาณาจักรสวรรค์ ไม่ใช่ได้รับความสบายฝ่ายโลกที่จะทำให้เสียวิญญาณไป
----------------------
Q : ถ้าพระเจ้ามีจริงต้องไม่มีโจร ต้องไม่มีเด็กโดนฆ่า ต้องไม่มีผู้หญิงโดนข่มขืน
A : คำถามนี้เกิดจากความเข้าใจไม่หมดและไม่ลึกซึ้งพอเกี่ยวกับการสร้างสิ่งสร้างของพระเจ้า เมื่อครั้งที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์และเทวดานั้นพระองค์ได้ให้อำเภอใจแก่สิ่งสร้างนั้นใว้ด้วยเพื่อที่จะเลือกรับใช้พระองค์หรือไม่ก็ได้โดยที่สัตว์ไม่สามารถทำได้มันได้แต่ทำตามสัญชาติญาณที่ถูกกำหนดใว้เท่านั้นไม่สามารถเลือกเป็นอื่นได้แต่มนุษย์และเทวดาสามารถทำได้และบาปได้เข้ามาในโลกจากการเลือกใช้อำเภอใจไม่ถูกต้อง ดังนั้นการที่มีโจรฆ่าข่มขืน หรือคนที่ทำความชั่ว ความอยุติธรรมต่างๆในโลกเกิดขึ้นจากความบาปที่เป็นผลมาจากการทำตามอำเภอใจของมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงก้าวก่ายอำเภอใจของมนุษย์ทั้งๆที่พระองค์จะทรงทำก็ได้ แต่เพราะว่าพระองค์ทรงยุติธรรมมนุษย์ทุกคนต้องรับผิดชอบการกระทำของตนในวันพิพากษาพระองค์จึงไม่ทรงใช้ฤทธานุภาพบังคับมนุษย์ในการกระทำต่างๆ ดังนั้นพระองค์จึงทรงต้องอณุญาติให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเป็นผลมาจากความบาปของมนุษย์
----------------------
Q : อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่นะสิ อย่างผู้หญิงโดนข่มขืนทำไมพระองค์ไม่ทรงช่วย
A : ความยุติธรรมของโลก กับ ความยุติธรรมของสวรรค์ นั้นคนละเรื่องกันถ้าเราใช้ชีวิตแบบตามประสาโลกเราก็คงมองว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมพรเจ้าไม่ทรงช่วยเหลือ แต่พระเจ้ามองถึงอนาคตที่ว่าชีวิตที่แท้จริงเริ่มต้นหลังจากความตายดังนั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปูทางสำหรับโลกหน้าเท่านั้นที่ซึ่งความยุติธรรมที่แท้จริงจะปรากฏ มนุษย์ทุกคนที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากได้รับการเอาเปรียบทุกข์ทรมาณจะได้รับการตอบแทนคือชีวิตนิรันดร์และบำเหน็จในสวรรค์ตามการกระทำ หรือเราจะเลือกที่จะไม่เจออะไรเลยในโลกแล้วตายไปต่อให้ได้ขึ้นสวรค์แต่ไม่มีบำเหน็จอะไรรอเราอยู่เลย?
--------------------------------
Q : ทำไมไม่ช่วยเมื่อเราต้องการให้ช่วย?
A : อ่านคำถามดีๆนะครับ "ทำไมไม่ช่วยเมื่อเราต้องการให้ช่วย?" คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนที่พระเยซูเจ้าก่อนถูกจับกุมและทรงภาวนาอย่างทุกข์แสนสาหัสในสวนเกทเสมนีคุณสองนึกถึงว่าคุณเองเป็นพระองค์ซึ่งกำลังจะถูกจับไปทรมาณและโดนประหารแบบนั้นพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ทรงเข้าใจความกลัวและความอ่อนแอของมนุษย์ มีบทภาวนาตอนนึงพระองค์ทรงกล่าวว่า " โอพระบิดาของข้าพระองค์ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิดแต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" พระองค์ทรงต้องการความช่วยเหลือต้องการหลุดพ้นจากสิ่งที่จะต้องเจออยู่ตอนนี้แต่พระองค์ทรงวางใจและถ่อมตนให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา ดังนั้นตัวอย่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงว่าพระเยซูเจ้านั้นก็มีความต้องการของตัวเองแต่ท้ายสุดแล้วพระองค์ทรงวางใจในพระบิดาและเชื่ออย่างสุดใจว่าทุกทางที่จะออกมานั้นคือทางที่ดีที่สุด และพระองค์ก็ทรงถูกทรมาณและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ดังนั้นคนที่ถามคำถามนี้จะถามไหมละครับว่า "ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยพระเยซูละเพราะพระองค์ร้องขอให้ชวย?"
ยอห์นฺ 18:36
"พระเยซูตรัสตอบว่าราชอำนาจของเรามิได้เป็นของโลกนี้ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกนี้คนของเราก็คงจะได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกยิวแต่ราชอำนาจของเรามิได้มาจากโลกนี้"
--------------------------------
มาถึงคำถามหลัก
Q : ทำไมพระเจ้าถึงต้องอนุญาติให้มารมาทดสอบมนุษย์
A :ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่ามารนั้นอิจฉามนุษย์มันไม่อยากให้เราได้ขึ้นสวรรค์ ดังนั้นการที่มารจะมาทดลองเรานั้นมีสาเหตุเดียวที่มันต้องการคือ"เพื่อพิสูจน์ว่าคนนี้ไม่คู่ควรกับอาณาจักรสวรรค์"
เช่น case นาย A :
"มารอาจขอให้เกิดอุบัติเหตุกับนาย A และทำให้เขาตกอับลำบากทั้งๆที่นาย A เข้าโบสถ์บ่อยเป็นคนศรัทธา เพื่อที่มันจะพิสูจน์ว่านาย A นั้นไม่ได้รักพระเจ้าจริงแต่แค่ให้พระเจ้าคุ้มครองเค้าให้ปลอดภัยและให้รวยเท่านั้น"
แต่พระเจ้านั้นใว้ใจเรา(แม้จะรู้ว่าเราชอบหักหลังพระองค์)ก็เลยต้องอนุญาติให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อที่จะพิสูจน์ว่านาย A นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่มารพูด ทั้งนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นแล้วว่าการทดลองนี้จะเกิดประโยชน์คือ
1. นาย A เมื่อลำบากจะหันมาพึ่งพระเจ้ามากขึ้น
2. นาย A จะลดความจองหองลงจากอำนาจที่เคยมี
3. นาย A จะได้รักพระเจ้าแบบบริสุทธ์โดยที่ไม่หวังว่าพระเจ้าจะตอบแทนอะไรเขา เพราะชีวิตนี้เราเป็นหนี้พระเจ้าทุกอย่าง
4. นาย A จะได้คู่ควรกับอาณาจักรสวรรค์ เพราะถ้าไม่ทดสอบเราก็จะไม่รู้ว่าธาตุแท้นาย A เป็นคนอย่างไร เคยได้ยินมั้ยครับว่าเวลาลำบากคนเราจะเผยธาตุแท้ออกมา
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระเจ้าเล็งเห็นในการทดลองที่มารมาเสนอ เรียกได้ว่าพระองค์ทรงแปรเปลี่ยนยาพิษเล่ห์อุบายที่มารจะมาฆ่าเราให้กลับกลายเป็นบำเน็จในสรรรค์อันประเมิณค่ามิได้ และไม่แปลกที่มนุษย์น้อยคนจะคิดได้เพราะมนุษย์นั้นมองเห็นแต่ตัวเองอยู่ในโลกใบนี้ซึ่งท้ายสุดคือความตายแต่พระเจ้ามองเห็นตัวเราในสวรรค์อันไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งเป็นนิรันดร์
------------------------------------------
ปิดบทความด้วยบทนี้ครับ
มัทธิว 16:23 - 27
"พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่าอ้ายซาตานจงไปให้พ้นเจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเราเพราะเจ้าคิดอย่างคนมิได้คิดอย่างพระเจ้า" ณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่าถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอดผู้นั้นจะเสียชีวิตแต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตนผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไรหรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดาและพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน..
พระองค์บอกชัดครับว่าแบกกางเขนและตามเรามา พระองค์ชวนมาลำบากร่วมกับพระองค์ครับไม่ได้ชวนมาใช้ชีวิตสบายๆครับ ถ้าคุณอยากสบายให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจตัวเองคุณต้องหาเจ้านายอื่นแล้วละครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ มี.ค. 24, 2010 3:05 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ขอบคุณค่ะ ตอนนี้เราได้คำตอบบางอย่างที่ต้องการมาตลอดเสียที
ถึงอธิษฐานเมื่อคืนทั้งคืนยังไม่ได้คุยกับพระองค์โดยตรง (หรืออาจได้คุยแล้วแต่เราไม่ชัวร์ว่าคิดไปเองหรือว่าได้คุยจริง เพราะมันไม่ต่างจากเราคิดเองตามปกติซะงั้น) แต่ตอนนี้ก็รู้สึกได้แล้วว่ามันไม่สูญเปล่า
ห่วงแต่คนบางคนที่ไม่ยอมแม้แต่จะหันมาเข้าใจนี่สิ พูดอะไรก็ไม่ได้ผล ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ทันไหมนะ (แต่คงต้องได้แต่เงียบ ปล่อยพระเจ้าจัดการให้แล้วล่ะ)
ถึงอธิษฐานเมื่อคืนทั้งคืนยังไม่ได้คุยกับพระองค์โดยตรง (หรืออาจได้คุยแล้วแต่เราไม่ชัวร์ว่าคิดไปเองหรือว่าได้คุยจริง เพราะมันไม่ต่างจากเราคิดเองตามปกติซะงั้น) แต่ตอนนี้ก็รู้สึกได้แล้วว่ามันไม่สูญเปล่า
ห่วงแต่คนบางคนที่ไม่ยอมแม้แต่จะหันมาเข้าใจนี่สิ พูดอะไรก็ไม่ได้ผล ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ทันไหมนะ (แต่คงต้องได้แต่เงียบ ปล่อยพระเจ้าจัดการให้แล้วล่ะ)
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ชัดเจนปั๊ม ขอบใจมากครับ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
กลัวแต่แค่ในกรณีบางคน ที่ชีวิตแบบว่า.....ตกต่ำและน่าสงสารจริง ๆ และการที่เขาต่อว่าพระเจ้า ประชดพระองค์ เพราะเขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป (แบบว่าไม่ได้ยึดติดในศาสนาเท่าไหร่) นี่สิ ที่เกรงมากกว่าคือถ้าเขาตายไปแล้วต้องลงนรกเพราะความไม่รู้นั้น แต่ไม่ได้อะไรตอบแทนความทุกข์ยากที่เขาได้รับเลย
.......แต่เรามั่นใจว่า คำตอบจากพระองค์ต้องดีแน่นอน ไม่งั้นไม่ถามหรอก เข้าโหมดคลั่งไปแล้ว
.......แต่เรามั่นใจว่า คำตอบจากพระองค์ต้องดีแน่นอน ไม่งั้นไม่ถามหรอก เข้าโหมดคลั่งไปแล้ว
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
^
^
ลำพังถ้าไม่รู้แล้วทำลงไป ก็อาจจะยังไม่ถือว่าบาป
แต่ถ้ารู้แล้วยังทำนี่ บาปแน่นอน
^
ลำพังถ้าไม่รู้แล้วทำลงไป ก็อาจจะยังไม่ถือว่าบาป
แต่ถ้ารู้แล้วยังทำนี่ บาปแน่นอน
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
.....แต่ถ้าหากใช้หลักที่ว่าไม่รู้แล้วทำลงไปไม่บาป โลกนี้ก็คงหาคนชอบธรรมได้ง่าย ๆ (พวกคนไร้เดียงสาต่าง ๆ หรือพวกคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิด)Batholomew เขียน: ^
^
ลำพังถ้าไม่รู้แล้วทำลงไป ก็อาจจะยังไม่ถือว่าบาป
แต่ถ้ารู้แล้วยังทำนี่ บาปแน่นอน
ถ้าเช่นนั้นพระเยซูก็ไม่ต้องลงมาไถ่บาป และบาปกำเนิดที่มาจากอาดัมสำหรับคนที่ไม่รู้ก็ไม่มีผล แล้วจะกล่าวถึงทำไม
คนไร้เดียงสา คนปัญญาอ่อน เด็กทารกที่ไม่รู้เรื่อง คนที่ไหว้พระอื่นโดยไม่ทราบถึงบัญญัติของพระเจ้าValkyrie Zero Number เขียน: .....แต่ถ้าหากใช้หลักที่ว่าไม่รู้แล้วทำลงไปไม่บาป โลกนี้ก็คงหาคนชอบธรรมได้ง่าย ๆ (พวกคนไร้เดียงสาต่าง ๆ หรือพวกคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิด)
ถ้าเช่นนั้นพระเยซูก็ไม่ต้องลงมาไถ่บาป และบาปกำเนิดที่มาจากอาดัมสำหรับคนที่ไม่รู้ก็ไม่มีผล แล้วจะกล่าวถึงทำไม
เหล่านี้ถูกต้องแล้่วครับ เพราะเขาไม่เคยรู้ ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ดี เขาจึงไม่ผิด
แต่คนที่ผิดแล้วไม่ยอมรับผิดมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...
เพราะมโนธรรมรู้ผิดชอบชั่วดีมันเกิดขึ้นในใจของเขา ตั้งแต่ที่เขาได้รับรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดีแล้ว
ฉะนั้น "ความไม่รู้จริงๆ" กับ "ความไม่รู้เพราะไม่ยอมรับ" มันจึงเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
เราทุกคนมีมโนธรรมอยู่ในใจเสมอ เพียงแต่เราไม่ยอมรับ แม้กระทั่งในความโกรธหรือโหมดคลั่งอะไรก็แล้วแต่เถอะครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
^
^
ชัดเจนมากครับ
^
ชัดเจนมากครับ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
แล้วคนที่ไม่สำนึกผิด และไม่สนใจเลยว่าศาสนาจะสอนอะไร ไม่รู้ ถือว่าที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องหมดทุกอย่าง ไม่ต้องรับผิด? (บางทีในสมองเขาอาจไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยแบบโงหัวไม่ขึ้น)
หรือบางทีก็อาจเป็น พวกที่คิดว่าจะทำอะไรก็ช่าง พระของเขาคุ้มครองอยู่แล้ว และคิดว่าโลกนี้ต้องหมุนตามตัวเขาเองล่ะ
หรือกรณีที่อาจเลวร้ายกว่าคือ มองเรื่องผิดเป็นของสนุกไป
(ความเห็นส่วนตัว: ไม่น่าจะรอด)
(สารภาพว่า เอามาจากลิสต์คนที่ตัวเองเกลียด)
หรือบางทีก็อาจเป็น พวกที่คิดว่าจะทำอะไรก็ช่าง พระของเขาคุ้มครองอยู่แล้ว และคิดว่าโลกนี้ต้องหมุนตามตัวเขาเองล่ะ
หรือกรณีที่อาจเลวร้ายกว่าคือ มองเรื่องผิดเป็นของสนุกไป
(ความเห็นส่วนตัว: ไม่น่าจะรอด)
(สารภาพว่า เอามาจากลิสต์คนที่ตัวเองเกลียด)
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
^
^
งั้นก็ต้องสวดภาวนาให้เค้าครับ เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินใครทั้งนั้น
จะเรียกตัวเองว่าเป้น "ลูก" ของพระเจ้าได้ยังไง ถ้าคุณเกลียดชังมนุษย์
"จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรผู้ที่ สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน" (ลก. 6, 27-28)
^
งั้นก็ต้องสวดภาวนาให้เค้าครับ เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินใครทั้งนั้น
จะเรียกตัวเองว่าเป้น "ลูก" ของพระเจ้าได้ยังไง ถ้าคุณเกลียดชังมนุษย์
"จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรผู้ที่ สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน" (ลก. 6, 27-28)
บอกแล้วไม่ฟัง ก็คือไม่ยอมรับนั่นล่ะครับ
คนเราเมื่อได้รับรู้ว่าอะไรผิดหรือไม่ผิด กฎหมายเป็นต้น ถึงแม้ว่าไม่ยอมรับ แต่เมื่อขัดก็ต้องรับโทษ
เช่นกัน กฎหมายที่พระเจ้าใช้ตัดสินเราก็คือมโนธรรมของเราเอง ความรู้ผิดรู้ชอบของเราเอง
แม้ว่าเราจะไม่ยอมรับว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ไม่ดี ทุกสิ่งเก็บไว้ในจิตเราเรียบร้อย รอวันที่มันจะออกมาประจานตัวเราเอง
ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดของการเห็นผิดเป็นชอบน่าจะเป็น ลูซิเฟอร์ ครับ
แต่สิ่งที่ชัดเจนกว่านั้น พระเจ้ายังคงรักลูซิเฟอร์ แม้จะไม่เคยได้รักตอบเลย
คนเราเมื่อได้รับรู้ว่าอะไรผิดหรือไม่ผิด กฎหมายเป็นต้น ถึงแม้ว่าไม่ยอมรับ แต่เมื่อขัดก็ต้องรับโทษ
เช่นกัน กฎหมายที่พระเจ้าใช้ตัดสินเราก็คือมโนธรรมของเราเอง ความรู้ผิดรู้ชอบของเราเอง
แม้ว่าเราจะไม่ยอมรับว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ไม่ดี ทุกสิ่งเก็บไว้ในจิตเราเรียบร้อย รอวันที่มันจะออกมาประจานตัวเราเอง
ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดของการเห็นผิดเป็นชอบน่าจะเป็น ลูซิเฟอร์ ครับ
แต่สิ่งที่ชัดเจนกว่านั้น พระเจ้ายังคงรักลูซิเฟอร์ แม้จะไม่เคยได้รักตอบเลย
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
อืม ๆ เข้าใจแล้วค่ะsasuke เขียน: บอกแล้วไม่ฟัง ก็คือไม่ยอมรับนั่นล่ะครับ
คนเราเมื่อได้รับรู้ว่าอะไรผิดหรือไม่ผิด กฎหมายเป็นต้น ถึงแม้ว่าไม่ยอมรับ แต่เมื่อขัดก็ต้องรับโทษ
เช่นกัน กฎหมายที่พระเจ้าใช้ตัดสินเราก็คือมโนธรรมของเราเอง ความรู้ผิดรู้ชอบของเราเอง
แม้ว่าเราจะไม่ยอมรับว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ไม่ดี ทุกสิ่งเก็บไว้ในจิตเราเรียบร้อย รอวันที่มันจะออกมาประจานตัวเราเอง
ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดของการเห็นผิดเป็นชอบน่าจะเป็น ลูซิเฟอร์ ครับ
แต่สิ่งที่ชัดเจนกว่านั้น พระเจ้ายังคงรักลูซิเฟอร์ แม้จะไม่เคยได้รักตอบเลย
ถ้าเขาไม่ทำสิ่งที่น่าเกลียด ก็คงไม่เกลียดจะเรียกตัวเองว่าเป้น "ลูก" ของพระเจ้าได้ยังไง ถ้าคุณเกลียดชังมนุษย์
บางอย่างมันทำใจลำบากนะ ถึงจะพยายามอยู่ก็เถอะ