ฟังคำตอบคุณแล้ว คุณใช้พระคัมภีร์แบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจริงๆ
โปรแตสแตนท์มากมายอ้างพระคัมภีร์แบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือหลับหูหลับตาใช้โดยไม่สนใจประวัติศาสตร์และที่มา
2ทิโมธี 3:16 16พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า.
คุณรู้ไหมว่า เปาโลเขียนประโยคนี้ในจดหมาย
ย้ำนะว่าท่านเขียนจดหมาย ไม่ได้กะเขีัยนพระคัมภีร์
ท่านเขียนจดหมายฉบับนี้ราวค.ศ.50 ก่อน มัทธิว ลูกกา และมาระโก รวมทั้งยอห์น จะเขียนพระคัมภีร์พระธรรมใหม่ซะอีกนะครับ
นั่นแปลว่าตอนที่เขียนนั้นท่านหมายถึง
พระธรรมเดิม เพราะท่านยังไม่เคยได้เห็นหรือได้อ่านพระธรรมใหม่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจดหมายตัวเองจะถูกยกระดับจากแค่จดหมายเป็นพระคัมภีร์
หลังจากนั้น พระคัมภีร์พระวรสารฉบับ มาระโก ลูกา และมัทธิว จึงถูกเขียนตามมาหลังจดหมายของเปาโล
นั่นหมายความว่า คริสตชนอยู่กันมา50กว่าปีโดยไม่มีพระธรรมใหม่ เรื่องราวทั้งหมดของพระเยซูเป็นเพียงการเล่าปากต่อปากเท่านั้น
2ธส 2:15
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัดมั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา
อ่านพระคัมภีร์เจอคำพวกนี้บ้างไหม รู้จักคำว่า
ธรรมประเพณี อันเป็นสิื่งที่คริสตชนเริ่มแรกยึดถือก่อนจะมีพระธรรมใหม่ไหม ประเพณีคือสิ่งที่ปฏิบัติสืบๆกันมา ซึ่งประเพณีที่บรรพบุรุษทางความเชื่อทำต่อๆกันมานั้น เราก็ควรยึดถือไม่ใช่ตัดทิ้ง
แล้วเห็นคว่า
วาจา ไหม
คำพูดสอนกันปากต่อปากของผู้หลักผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรน่ะก็ให้ยึดถือด้วย
แล้วเห็นไหมว่า เขาให้ยึดคำสอนที่เขาเขียนใน
จดหมาย เขาเรียกมันว่าจดหมาย ไม่ได้เรียกมันว่าพระคัมภีร์
แล้วยิ่งกว่านั้น สมัยที่เปาโลเขียนจดหมาย เรื่องราวของพระเยซูและการกลับคืนชีพของพระองค์ ไม่เคยมีบันทึกเป็นรายลักษณ์อักษรเลย มันยังมีฐานะของเรื่องเล่าปากต่อปากและทำต่อๆกันมา และถูกเรียกว่าเป็นเรื่องที่เป็น
ธรรมประเพณี มาก่อน
1คร 15:3
ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำคัญที่สุดให้กับท่าน เป็นธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์กับข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย
อ่านแล้วเข้าใจเงื่อนปมและลำดับทางประวัติศาสตร์ด้วยนะครับ เรื่องราวของพระเยซูเจ้าในสมัยเปาโลนั้นเป็นการเล่าปากต่อปาก โดยคำว่า
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ หมายถึงที่มีเขียนทำนายไว้ในพระธรรมเดิมว่า พระผู้ไถ่จะต้องสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพ แต่เหตุการณ์พระเยซูกลับคืนชีพแล้วปรากฎแก่ผู้คนโดยเฉพาะกรณีเปาโลนั้น ยังอยู่ในฐานะ
การเล่าคำพยานปากเปล่าล้วนๆ
แล้วเปาโลเองตายไปก่อนที่จดหมายของตนจะโดนยกขึ้นเป็นพระคัมภีร์หรือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ซะอีก
คริสตชนแรกเริ่มนั้นอยู่กันมาโดยอาศํย
พระธรรมเดิม คำสอนปากต่อปาก ธรรมประเพณีที่ทำสืบต่อกันมา และ
บันทึกอื่นๆที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ในเวลานั้นคือบรรดาจดหมายต่างๆของผู้ใหญ่ในพระศาสนจักร
เวลาผ่านไปถึง300กว่าปี คริสตชนก็ยึดหลักแบบนี้ จนระบบพระศาสนจักรเข้มแข็งขึ้น ระบบพระสันตะปาปา และระบบนักบวชเป็นรูปเป็นร่างขึ้น มีการจัดการและอภิบาลดูแลที่เป็นระบบ จนเรียกว่าพระศาสนจักร
โดยจดหมายของบรรดาผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรถูกคัดลอกอ่านต่อๆกันมา โดยจดหมานของเปาโลเอง ยังตกทอดมาไม่ครบด้วย อย่างน้อยจดหมายเปาโล2ฉบับหายสาปสูญไปก่อนที่จะถึงเวลาจัดสาระบบพระคัมภีร์
ที่สำคัญ คุณรู้ไหมว่า คนรู้ได้อย่างไรว่าหนังสือเล่มไหนใครเขียน เพราะพระธรรมใหม่ที่เล่าประวัติพระเยซู4เล่ม มีเล่มเดียวคือลูกา ที่คนเขียนบันทึกชื่อตัวเองลงไปว่าเป็นคนเขียน อีก3เล่ม ไม่มีการบันทึกชื่อคนเขียนลงในหนังสือ เลย
พระศาสนจักรแต่แรกเริ่มใช้พูดปากต่อปาก จำกันเป็น
ธรรมประเพณีครับคุณ ว่าเนื้อหาอันนี้ เขียนโดยยอห์น มาระโก และมัทธิว โดยไม่มีหลักฐานไม่มีลายเซนต์ อะไรทั้งสิ้น เชื่อตามกันมาด้วยปากเปล่าอย่าเดียว
แต่บรรดาหนังสือต่างๆที่เขียนเกี่ยวกับพระเยซูเจ้านั้นนอกจากพระวรสารทั้ง4ยังมีหนังสืออื่นๆที่ถูกเขียนโดยอ้างว่าเป็นพระคัมภีร์เช่นกัน เช่นพระคัมภีร์ฉบับยูดาส ฉบับัฟิลิป ฉบับเมรี่ แมกดาลีน ฯลฯ
ซึ่งก็อ่านกันมั่วซั่วปะปนเพราะคนเห้นหนังสือไหนเล่าชีวิตพระเยซูก็คิดว่าเป็นพระคัมภีร์ไปหมด
จน ค.ศ. 384 พระสันตะปาปาดามาซํส สั่งให้ เยโรม ซึ่งเป็นนักบวชในสมัยนั้น รวบรวมคัมภีร์ทั้งหมดที่ยอมรับอ่านๆกัน เพื่อสรุปสาระบบหนังสือพระธรรมใหม่และพระธรรมเดิมอย่างเป็นทางการ แปลเป็นภาษาละตินอย่างเป็นทางการ
โดยเยโรมนั้นไปถือศีลอดอาหาร และเลือกว่าเล่มไหนบ้างที่พระจิตเจ้าดลใจ ดังนั้น เยโรม เชื่อว่า จดหมายต่างๆพระจิตเจ้าก็ดลใจ จึงยกมันขึ้นมาเป็นพระคัมภีร์ จากนั้นก็รวบรวมสาระบบพระคัมภีร์ที่เป็นทางการครั้งแรกขึ้นส่งให้พระสันตะปาปา ดามาซัส รับรองและประกาศใช้อย่างเป็นทางการ โดยตัดเล่มอื่นที่ไม่อยู่ในสาระบบเป็น พระคัมภีร์นอกสาระบบ
และพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในการแปลครั้งนี้เป็นฉบับมาตรฐานของพระศาสนจักรคาทอลิกและคริสเตียนทุกนิกายจนปัจจุบันและใช้แปลเป็นภาษาต่างๆอย่างแพร่หลายในสมัยนั้น
พระศาสนจักรคาทอลิกเขียนพระคัมภีร์ให้คริสตชนทุกนิกาย พระศาสนจักรคาทอลิกจัดสาระบบว่าเล่มไหนจริงบ้างให้คริสตชนทุกนิกาย
ดังนั้น
พระศาสนจักรคาทอลิกเกิดก่อนสาระบบพระคัมภีร์พระธรรมใหม่ ระบบนักบวชและระบบอภิบาลผู้เชื่อก็เป็นรูปเป็นร่างก่อน
และพระศาสนจักรตั้งแต่แรกเริ่มใช้ระบบ
พระคัมภีร์ + คำสอนในพระศาสนจักร + การตีความของพระศาสนจักร + ธรรมประเพณี + การเล่าปากต่อปาก
ไม่ใช่ระบบ
ไบเบิ้ลอย่างเดียว แบบที่โปรแตสแตนท์ใช้เมื่อตอนแยกนิกายเมื่อ500กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่ง
ไม่ใช่วิธีที่เปาโลหรือคริสตชนยุคแรกและแม้แต่พระเยซูใช้
ขอย้ำนะว่าคริสตชนยุคแรกนอกจากพระธรรมเดิมเขายังใช้
2ธส 2:15
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัดมั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา
ดังนั้น พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้โยนหนังสือไบเบิ้ลเปล่าๆทอดกันมาอย่างเดียว แต่ยังส่งต่อการตีความตามแบบอัครสาวกยุคแรกมาด้วย และยังสืบทอดธรรมประเพณีอันดีตามมาอีกมากมาย โดยที่มันไม่จำเป็นต้องเขียน หรือประกาศเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมสาระบบพระคัมภีร์ หรือเพิ่มจำนวนพระคัมภีร์แต่อย่างใด(เพราะทุกวันนี้ขนาดพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน โปรฯคนละคริสตจักร เห็นอ้างพระวิญญาณทุกราย แต่ตีความต่างกันเฉย ด่ากันเอง แตกแยกกันเองจนตอนนี้มีโปรฯเป็นพันๆนิกายไปแล้ว)
คุณเคยคิดสักนิดไหมว่าตลอดเวลาพระธรรมเดิมไม่เคยหยุดเขียน ประวัติศาสตร์ชนชาติยิวถูกเล่าผ่านพระคัมภีร์มาตลอดจนมาเป็นพันๆปี เขียนเพิ่มเป็นระยะๆ จนมาหยุดลงเมื่อพระเยซูเสด็จมาบังเกิด แล้วออกใหม่เป็นพระธรรมใหม่ซึ่งช่วงสั้นมากคือตั้งแต่พระเยซูเกิดถึงยุคสาวกรุ่นแรกเท่านั้น แล้ว2000ปี ไม่มีพระคัมภีร์เขียนเพิ่ม ซึ่งตามระบบพระธรรมเดิม มันต้องเขียนเรื่อยๆเป็นระยะๆ
นั่นเพราะพระคัมภีร์ได้มีชีวิตอยู่ในพระศาสนจักร กล่าว คือ มันดำเนินอยู่ในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิกบันทึกประวัติศาสตร์พระศาสนจักรไว้มานาน2000ปี จนถ้ารวมเข้าไปเป็นคัมภีร์ มันคงมีจำนวนเล่มที่จัดเข้าเป็นห้องสมุดได้1ห้อง
ดังนั้นประวัติศาสตร์2000ปี มันก็มีข้อเท็จจริง สิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำจริงๆอยู่
ดังนั้นการที่ยึดไบเบิ้ลเล่มเดียว แล้วตัดประวัติศาสตร์ออกหมดไม่ศึกษาเลย ตัดธรรมประเพณีออกหมดไม่ศึกษาเลย ตัดการสอนปากต่อปากที่สืบทอดเป็นมรดกในพระศาสนจักรออกหมดไม่ศึกษาเลย
ไม่มีทางที่คนๆนั้นจะตีความพระคัมภีร์ได้ถูกต้องสมบูรณ์
ดังนั้นสรุปง่ายๆคือ พระศาสนจักรคาทอลิกตีความเรื่องรูปเคารพ ไม่เหมือนโปรฯ(บางสาย)
พระศาสนจักรเข้าใจเจตนาของพระเจ้าในพระคัมภีร์ข้อนั้น ผ่านการลดใจของพระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดิมกับที่คัดแยกสาระบบพระคัมภีร์)ที่สั่งสอนผ่านปิตาจารย์ของพระศาสนจักรมากมายว่า รูปเคารพที่พระเจ้าสั่งห้าม หมายถึงรูปปั้นหรือรูปภาพในศาสนาอื่นที่ทำให้เราห่างพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับรูปภาพหรือรูปปั้นของสิ่งที่อยู่ในศาสนาตัวเองที่ทำให้คนเข้าถึงพระเจ้าง่ายขึ้น
ส่วนโปรฯที่แยกนิกายไป(บางคน บางสาย บางคริสตจักร)จะตีความอย่างไร จะชอบด่านิกายอื่นเป็นนิสัยยังไงก็เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกคุณ ถ้าพูด สอน อธิบายให้เข้าใจแล้วยังไม่ยอมเข้าใจ ต้องถือว่ามีปัญหาทางการสื่อสาร หรือภาษาช่าวบ้านเรียกว่าพูดไม่รู้เรื่อง ดื้อรั้น หัวแข็ง ไม่ฟังเหตุผลคนอื่น ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เหมาะสนทนาด้วย
ดังนั้นถ้ายังคุยไม่รู้เรื่องเราจะจัดการตามระบบสังคมต่อไป
ขอพระเจ้าอวยพรให้เปิดใจ และตาสว่างเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง