minirosary เขียน:Andreas เขียน:(ต่อ)
สิ่งที่สมัยพระคัมภีร์ปฏิบัติ แต่ในปัจจุบันไม่ปฏิบัติแล้ว
- การแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
- การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
- การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
- การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
- การถวาย 10% ของรายได้ (บางคริตสจักรยังปฏิบัติอยู่)
- การทำพิธีสุหนัต
สงสัย เรื่อง การมีภรรยาหลายคน และ การแต่งงานในหมู่เครือญาติ
ช่วยอ้างอิงข้อความที่กล่าวถึง และกรณีศึกษาหน่อยได้ป่ะครับ เผื่อจะได้แสดงความคิดเห็นได้ตรงจุด
1. การแต่งงานในหมู่เครือญาติ
ตอนแรก พระเจ้าอนุญาติให้มีการแต่งงานในเครือญาติได้ (ปฐมกาลทั้งเล่ม)
ลูกหลานของอาดัม ลูกหลานของโนอาห์ อิสอัคแต่งงานกับเรเบคาห์ (ลูกพี่ลูกน้องของตน)
ยาโคบ แต่งงานกับเลอาห์ และราเชล (ลูกพี่ลูกน้องของตน)
ต่อมา ในยุคของโมเสส พระเจ้าได้ห้ามแต่งงานในหมู่เครือญาติ
เลวีนิติ 18:6-18
6"
ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ญาติสนิทของตนหรือเปิดของลับ ของเขา เราคือยาห์เวห์
7ห้ามเปิดของลับของบิดาเจ้า คือของลับมารดาเจ้า เพราะนางเป็นแม่ของเจ้า ห้ามเปิดของลับของนาง
8ห้ามเปิดของลับของภรรยาของบิดาเจ้า เพราะเป็นของลับของบิดาเจ้า
9
ห้ามเปิดของลับของพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้า คือของบุตรสาวของบิดาเจ้า หรือของบุตรสาวของมารดาเจ้า ไม่ว่าที่เกิดในบ้านหรือเกิดที่อื่น
10ห้ามเปิดของลับของบุตรสาวของบุตรชายของเจ้า หรือของบุตรสาวของบุตรีของเจ้า เพราะว่าของลับของพวกเธอก็เป็นของลับของเจ้าเอง
11
ห้ามเปิดของลับของบุตรสาวของภรรยาของบิดาเจ้า ซึ่งเกิดจากบิดาเจ้าเอง เพราะว่าเธอเป็นน้องสาวหรือพี่สาวของเจ้า
12
ห้ามเปิดของลับของอาหญิง หรือของป้า เพราะเธอเป็นญาติหญิงที่สนิทของบิดาเจ้า
13
ห้ามเปิดของลับของป้าหรือน้าหญิงของเจ้า เพราะเธอเป็นญาติหญิงที่สนิทของมารดาเจ้า
14ห้ามเปิดของลับของลุงหรืออาชายของเจ้า คือห้ามเข้าหาภรรยาของเขา เพราะนางเป็นป้าสะใภ้หรืออาสะใภ้ของเจ้า
15ห้ามเปิดของลับของลูกสะใภ้ของเจ้า นางเป็นภรรยาลูกชายเจ้า ห้ามเปิดของลับของนางเลย
16ห้ามเปิดของลับของภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของเจ้า นางเป็นของลับของพี่น้องผู้ชายของเจ้า
17ห้ามเปิดของลับของบุตรสาวของสตรีคนใดที่เจ้าได้เปิดของลับของนางแล้ว และห้ามนำบุตรสาวของบุตรชายของนาง หรือบุตรสาวของบุตรสาวของนางไปเปิดของลับ เพราะว่าพวกเธอเป็นญาติหญิงที่สนิท เป็นการอธรรม
18และห้ามนำพี่สาวหรือน้องสาวของภรรยามาเป็นคู่แข่งกับภรรยา โดยเปิดของลับของเธอในขณะที่ภรรยายังมีชีวิตอยู่
(เปิดของลับ เป็นสำนวนภาษาฮีบรู หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ หรือ แต่งงาน)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. การถือเรื่องการปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นมลทิน
ยกตัวอย่างเช่น การกินอาหารที่มลทินและไม่มลทิน ในเลวีนิติ 11:1-46
แต่เมื่อมาถึงยุคพระเยซู พระองค์ได้ประกาศว่า ทุกอย่างปราศจากมลทิน (มาระโก 7:15-23)
15
ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” 17เมื่อพระองค์เสด็จพ้นจากฝูงชนเข้าไปในบ้านแล้ว พวกสาวกก็ทูลถามพระองค์ถึงคำเปรียบเทียบนั้น 18พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “แม้แต่พวกท่านก็ยังไม่เข้าใจหรือ?
พวกท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป” (เป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาด) 20พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21เพราะว่าจากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน 22การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา 23
สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
3.การฆ่าสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า (ได้อธิบายไปด้านบนแล้วครับ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
4. การคลุมศีรษะของสตรีขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
5. การทำพิธีสุหนัต
การคลุมศีรษะเป็นธรรมเนียมของคนยิว 1 โครินธ์ 11:1-เป็นกฏระเบียบที่
ไม่เด็ดขาด และไม่ได้บังคับให้ทำ
การเข้าสุหนัตก็เป็นธรรมบัญญัติของยิวเช่นกัน
แต่สำหรับคนต่างชาติ (เช่นคนไทย หรือประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยิว) พระเจ้าไม่ได้เน้นการคลุมศีรษะ หรือเน้นการเข้าสุหนัต ...แต่พระเจ้าเน้นที่จิตใจในการนมัสการพระเจ้า และเน้นการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ตามพระวิญญาณ (พระจิต)
ยอห์น 4:21-24
21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
22สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว
23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์
24พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
ดังนั้น การนมัสการพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของเราที่นมัสการด้วยความจริง
ส่วนเรื่องสถานที่ วันเวลาคลุมหัวหรือไม่คลุม เข้าสุหนัตหรือไม่เข้า กางเกงขาสั้นหรือขายาว ... ไม่สำคัญเท่าจิตใจของเราที่ให้พระเจ้า
กาลาเทีย 6:13-15
13
แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปรารถนาให้พวกท่านเข้าสุหนัต เพื่อพวกเขาจะได้เอาเนื้อหนังของพวกท่านไปอวด
14ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไร นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตาย จากโลก
15เพราะว่า
จะเข้าสุหนัตหรือไม่ ไม่สำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ
16สันติสุขและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ประพฤติตามกฎนี้ และแก่อิสราเอลของพระเจ้า
ท่านใดสนใจอยากเข้าสุหนัต หรือคลุมศีรษะก็ทำได้ครับ ไม่มีความผิด (แต่อย่าชักชวน หรือบังคับคนอื่นให้ทำตาม...อิอิ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ุ6. การถวาย 10%
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เน้นการถวาย 10%
Leviticus 27:30:
“
ทศางค์(10%)ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดินเป็นพืช ที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดีเป็นของพระเจ้า เป็นสิ่งบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า
Deuteronomy 14:22:
"ท่านจงถวาย
ทศางค์(10%)ของผลิตผลจากพืชพันธุ์ที่ได้ในนาของท่านแต่ละปี
Malachi 3:10:
พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า
จงนำทศางค์(10%) เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
แต่ ในพันธสัญญาใหม่ เน้นเรื่องการถวายด้วยใจจริง
2 โครินธ์ 9:6-9
6นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก
7แต่ละคน
จงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี
8และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างแก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วย
9ตามที่เขียนไว้ว่า
เขาแจกจ่าย เขาให้แก่บรรดาคนยากจน
ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
II Corinthians 8:3:
เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่า
พวกเขาถวายตามความสามารถ ที่จริงก็เกินความสามารถ และทำด้วยความสมัครใจ
Romans 12:1:
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน
แต่คริสตจักรส่วนมาก ก็ยังรักษาการถวาย 10%
จะว่าไปแล้ว ยุคพันธสัญญาเดิมกับยุคพันธสัญญาใหม่ ก็ไม่ต่างอะไรมาก เพียงแต่ยุคพันธสัญญาใหม่เน้นเรื่องการถวายด้วยความสมัครใจ และจริงใจ
ถ้าเรารักพระเจ้า ซื่อสัตย์กับพระองค์ เราก็คงจะถวายให้กับพระองค์ด้วยความเต็มใจ และเท่าที่เรามีอย่างแน่นอน (อาจจะมากกว่า 10% ได้)
มีอะไรขาดตก หรือผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยด้วยครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านมั่นคงในความเชื่อ