อย่าทำบาปอีก
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 14, 2010 6:25 am
อย่าทำบาปอีก
พระเยซูเจ้ารักษาชายคนหนึ่งเป็นง่อยเดินทางไม่ได้ 38 ปีแล้วที่สระน้ำเบธสาธา โดยสั่งให้เขาลุกขึ้นและแบกที่นอนกลับไป วันนั้นเป็นวันพระ หัวหน้าชาวยิวจึงตำหนิเขาว่าทำงานวันพระ เขาก็บอกว่าคนที่รักษาโรคของฉันสั่งให้ฉันทำเช่นนี้ เขาไม่รู้จักว่าเป็นใคร ต่อมาเขาได้พบกับพระเยซูอีก พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าหายดีแล้ว ฉะนั้นอย่าทำบาปอีก จะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพที่ร้ายกว่านั้นอีก” (ยน 5,5-14)
พระเยซูรักษาโรคผ่ายกายแล้วก็รักษาโรคฝ่ายวิญญาณคือยกบาปให้ด้วย บ่อยครั้งบาปก็เป็นเหตุแห่งความเจ็บป่วยได้ด้วยเหมือนกัน ไม่เสมอไปก็จริง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่สบายใจไม่มากก็น้อย ใช่ไหม?
พระเยซูมีพระทัยดี ได้ตั้งศีลอภัยบาป เพื่อรักษาโรคฝ่ายวิญญาณคือยกบาปให้เรา ไม่ว่าจะบาปหนักแค่ไหน ไม่ว่าบาปจะมากเท่าไร ขอให้เราเป็นทุกข์จริงจังและกลับใจจริง ๆ เท่านั้นแหละ ฉะนั้นถ้าเราไม่เป็นทุกข์และขอโทษอย่างจริงใจ พระก็ไม่ยกบาปให้เรา แม้เราจะไปแก้บาปกี่ครั้งก็ตาม
เครื่องหมายของความเป็นทุกข์จริงใจอย่างหนึ่งที่จำเป็นด้วย คือตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้น ๆ อีกเลย ฉะนั้นถ้าใครไปแก้บาปแล้ว ตั้งใจจะทำบาปนั้นอีก หรือไม่ยอมละทิ้งโอกาสจะทำบาปนั้นอีก เช่นคนที่แต่งงานไม่ถูกต้องตามพิธีของคาทอลิก หรือตั้งใจจะไปขโมยอีกหลังแก้บาป ฯลฯ แม้พระสงฆ์ซึ่งไม่ทราบเจตนาของท่านแล้วอภัยบาปให้ท่าน บาปก็ไม่หลุดนะครับ ถ้าพระสงฆ์ทราบเจตนาของท่านเช่นนั้น พระสงฆ์ก็จะไม่อภัยบาปของท่านแน่ ๆ
ทุกครั้งที่เราสวดบทแสดงความทุกข์ เรา “สัญญาว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย” เป็นไปไม่ได้ดอกครับ มิฉะนั้นเราก็ไม่ต้องแก้บาปอีกเลยเหมือนกัน เราสัญญาที่เป็นไปไม่ได้ เราโกหกพระโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเราจะเปลี่ยนบทสวดเสียใหม่ เช่น “ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่โมโหใครอีกเลย... หรือไม่ด่าใครอีกเลย ฯลฯ” คิดว่าคำสัญญานี้คงพอถือตามได้ง่ายกว่า สวดบ่อย ๆ บาปนั้นคงน้อยลงแน่ ๆ และคงหมดไปได้สักวันหนึ่งเป็นแน่ แล้วก็เปลี่ยนเป็นบาปอื่นต่อไปทีละอย่าง ๆ ไม่ช้าเราคงเป็นคนดีมากขึ้น ขอให้คำเตือนของพระเยซูเจ้าก้องอยู่ในใจของเราเสมอ “อย่าทำบาปอีก”
จากบทความ อย่าทำบาปอีก หน้า 252-254 หนังสือ ข้างธรรมาสน์ ผู้เขียน ไก่นักบุญเปโตร พิมพ์ ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2005 สำนักพิมพ์ สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
---
จากหนังสือเล่มเดียวกัน
จงมาหาเราเถิด
อย่าลองดีกับพระเจ้า
ใครอยากตามเรามา
บางคนยังสงสัยอยู่
แบกคนง่อยขึ้นไปบนดาดฟ้า
พระเยซูเจ้ารักษาชายคนหนึ่งเป็นง่อยเดินทางไม่ได้ 38 ปีแล้วที่สระน้ำเบธสาธา โดยสั่งให้เขาลุกขึ้นและแบกที่นอนกลับไป วันนั้นเป็นวันพระ หัวหน้าชาวยิวจึงตำหนิเขาว่าทำงานวันพระ เขาก็บอกว่าคนที่รักษาโรคของฉันสั่งให้ฉันทำเช่นนี้ เขาไม่รู้จักว่าเป็นใคร ต่อมาเขาได้พบกับพระเยซูอีก พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าหายดีแล้ว ฉะนั้นอย่าทำบาปอีก จะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพที่ร้ายกว่านั้นอีก” (ยน 5,5-14)
พระเยซูรักษาโรคผ่ายกายแล้วก็รักษาโรคฝ่ายวิญญาณคือยกบาปให้ด้วย บ่อยครั้งบาปก็เป็นเหตุแห่งความเจ็บป่วยได้ด้วยเหมือนกัน ไม่เสมอไปก็จริง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่สบายใจไม่มากก็น้อย ใช่ไหม?
พระเยซูมีพระทัยดี ได้ตั้งศีลอภัยบาป เพื่อรักษาโรคฝ่ายวิญญาณคือยกบาปให้เรา ไม่ว่าจะบาปหนักแค่ไหน ไม่ว่าบาปจะมากเท่าไร ขอให้เราเป็นทุกข์จริงจังและกลับใจจริง ๆ เท่านั้นแหละ ฉะนั้นถ้าเราไม่เป็นทุกข์และขอโทษอย่างจริงใจ พระก็ไม่ยกบาปให้เรา แม้เราจะไปแก้บาปกี่ครั้งก็ตาม
เครื่องหมายของความเป็นทุกข์จริงใจอย่างหนึ่งที่จำเป็นด้วย คือตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้น ๆ อีกเลย ฉะนั้นถ้าใครไปแก้บาปแล้ว ตั้งใจจะทำบาปนั้นอีก หรือไม่ยอมละทิ้งโอกาสจะทำบาปนั้นอีก เช่นคนที่แต่งงานไม่ถูกต้องตามพิธีของคาทอลิก หรือตั้งใจจะไปขโมยอีกหลังแก้บาป ฯลฯ แม้พระสงฆ์ซึ่งไม่ทราบเจตนาของท่านแล้วอภัยบาปให้ท่าน บาปก็ไม่หลุดนะครับ ถ้าพระสงฆ์ทราบเจตนาของท่านเช่นนั้น พระสงฆ์ก็จะไม่อภัยบาปของท่านแน่ ๆ
ทุกครั้งที่เราสวดบทแสดงความทุกข์ เรา “สัญญาว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย” เป็นไปไม่ได้ดอกครับ มิฉะนั้นเราก็ไม่ต้องแก้บาปอีกเลยเหมือนกัน เราสัญญาที่เป็นไปไม่ได้ เราโกหกพระโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเราจะเปลี่ยนบทสวดเสียใหม่ เช่น “ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่โมโหใครอีกเลย... หรือไม่ด่าใครอีกเลย ฯลฯ” คิดว่าคำสัญญานี้คงพอถือตามได้ง่ายกว่า สวดบ่อย ๆ บาปนั้นคงน้อยลงแน่ ๆ และคงหมดไปได้สักวันหนึ่งเป็นแน่ แล้วก็เปลี่ยนเป็นบาปอื่นต่อไปทีละอย่าง ๆ ไม่ช้าเราคงเป็นคนดีมากขึ้น ขอให้คำเตือนของพระเยซูเจ้าก้องอยู่ในใจของเราเสมอ “อย่าทำบาปอีก”
จากบทความ อย่าทำบาปอีก หน้า 252-254 หนังสือ ข้างธรรมาสน์ ผู้เขียน ไก่นักบุญเปโตร พิมพ์ ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2005 สำนักพิมพ์ สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
---
จากหนังสือเล่มเดียวกัน
จงมาหาเราเถิด
อย่าลองดีกับพระเจ้า
ใครอยากตามเรามา
บางคนยังสงสัยอยู่
แบกคนง่อยขึ้นไปบนดาดฟ้า