@ ศีลศักดิ์สิทธิ์ประการที่ 8 @
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 23, 2005 11:34 am
ศีลศักดิ์สิทธิ์ประการที่ 8 เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ประการใหม่? หรือเป็นคำสอนใหม่? คงไม่ใช่ แต่เป็นคำสอน
ที่เข้าใจลึกซึ้งกว่าสมณสาสน์ เรื่องพระศาสนจักรสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ได้กล่าวไว้ว่า "พระ
ศาสนจักรเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์สากลของความรอดพ้น" (UNIVERSAL SACRAMENT OF SALVATION
LG 48)
:)ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจถึงความหมายของพระศาสนจักร และศีลศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรมิได้หมายถึง
วัดวาอาราม หรือสมาชิกผู้เป็นฐานันดรเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่ได้รับการเจิม หรือผู้ที่ได้ล้างบาปทุก
คน ส่วนความหมายชองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้นและโดยผ่านทาง
เครื่องหมายนี้ ทำให้เราได้รับพระหรรษทานหรือพระพรจากพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้นพระศาสนจักรจึง
หมายถึงผู้ที่ได้รับการเจิมทุกคน และเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูทรงตั้งขึ้น และโดยผ่านทางผู้ที่
ได้รับเจิมนี้ พระพรของพระจึงหลั่งไหลไปสู่มวลมนุษย์
:Dพระบัญญัติที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้แก่ศิษย์ของพระองค์คือ * ให้ท่านรักกัน เรารักท่านอย่างไร ท่าน
ก็จงรักกันอย่างนั้น ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิยย์ของเรา * (ยน 13: 34-35)
เมื่อพระองค์ทรงสั่งให้ศิษย์ของพระองค์รักกันและกัน พระองค์มิได้เพียงแต่สั่งเท่านั้น แต่พระองค์ทรง
มอบเครื่องมือให้เราแต่ละคนในการแบ่งปันความรักนี้ ถ้าเรามองดูบุคคลต่างๆรอบๆตัวเรา เราจะเห็น
ได้ว่าเราแต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน มากไปกว่านั้น ความสามารถเฉพาะตัวหรือพรสวรรค์ที่
เราแต่ละคนได้รับก็แตกต่างกันด้วย (1 คร 12) ความแตกต่างนี้มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่พระเป็นเจ้า
ทรงให้เป็นเช่นนั้น เพื่อให้เราเป็นไปตามแผนการความรักที่พระองค์ทรงมอบให้
:-[แต่น่าเสียดายคือ ความบาปที่ได้ครอบงำชีวิตของเรา เมื่องบางคนมีพระพรวิเศษดีกว่าผู้อื่น แทนที่จะ
ใช้พระพรนั้นช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าด้วยความรักและความเมตตา กลับหลงตัวเอง คิดว่าตนดีกว่า เหนือ
กว่าผู้อื่น และข่มผู้อื่น กลับกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหองและดูถูกผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามบางคนอาจ
จะด้อยกว่าผู้อื่น (ในบางอย่าง) เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่า ตัวเองไม่มีค่า ไม่มีความหมาย กลาย
เป็นความอิจฉา และกลั่นแกล้งทำลายกันและกัน แน่นอน พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเช่นนั้น พระองค์
ทรงปรารถนาให้เราได้ใช้พระพรวิเศษที่ได้รับในการข่วยเหลือและเอื้ออาทรต่อกัน และเมื่อเรามีความ
สามารถบางอย่างที่ด้อยกว่าผู้อื่น พระองค์ทรงต้องการให้เรามีความสุภาพถ่อมตัว ยอมรับความช่วยเหลือ
จากผู้อื่น เราจะอยู่ด้วยกันด้วยความเคารพรักและมีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน
:-*การดำเนินชีวิตด้วยความรักและความเอื้ออาทรต่อกันและกันนี้ จะเป็นการประกาศข่าวดีของพระ
เยซูเจ้าด้วยชีวิตเหมือนกับคริสตชนในยุคแรกดังที่หนังสือกิจการอัครสาวกได้กล่าวไว้ว่า * กลุ่มผู้มี
ความเชื่อ ดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแต่ทุกสิ่ง
เป็นของส่วนรวม.... ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ให้บรรดา
อัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ที่มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ * (กจ 4:32,34)
ที่เข้าใจลึกซึ้งกว่าสมณสาสน์ เรื่องพระศาสนจักรสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ได้กล่าวไว้ว่า "พระ
ศาสนจักรเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์สากลของความรอดพ้น" (UNIVERSAL SACRAMENT OF SALVATION
LG 48)
:)ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจถึงความหมายของพระศาสนจักร และศีลศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรมิได้หมายถึง
วัดวาอาราม หรือสมาชิกผู้เป็นฐานันดรเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่ได้รับการเจิม หรือผู้ที่ได้ล้างบาปทุก
คน ส่วนความหมายชองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้นและโดยผ่านทาง
เครื่องหมายนี้ ทำให้เราได้รับพระหรรษทานหรือพระพรจากพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้นพระศาสนจักรจึง
หมายถึงผู้ที่ได้รับการเจิมทุกคน และเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูทรงตั้งขึ้น และโดยผ่านทางผู้ที่
ได้รับเจิมนี้ พระพรของพระจึงหลั่งไหลไปสู่มวลมนุษย์
:Dพระบัญญัติที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้แก่ศิษย์ของพระองค์คือ * ให้ท่านรักกัน เรารักท่านอย่างไร ท่าน
ก็จงรักกันอย่างนั้น ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิยย์ของเรา * (ยน 13: 34-35)
เมื่อพระองค์ทรงสั่งให้ศิษย์ของพระองค์รักกันและกัน พระองค์มิได้เพียงแต่สั่งเท่านั้น แต่พระองค์ทรง
มอบเครื่องมือให้เราแต่ละคนในการแบ่งปันความรักนี้ ถ้าเรามองดูบุคคลต่างๆรอบๆตัวเรา เราจะเห็น
ได้ว่าเราแต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน มากไปกว่านั้น ความสามารถเฉพาะตัวหรือพรสวรรค์ที่
เราแต่ละคนได้รับก็แตกต่างกันด้วย (1 คร 12) ความแตกต่างนี้มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่พระเป็นเจ้า
ทรงให้เป็นเช่นนั้น เพื่อให้เราเป็นไปตามแผนการความรักที่พระองค์ทรงมอบให้
:-[แต่น่าเสียดายคือ ความบาปที่ได้ครอบงำชีวิตของเรา เมื่องบางคนมีพระพรวิเศษดีกว่าผู้อื่น แทนที่จะ
ใช้พระพรนั้นช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าด้วยความรักและความเมตตา กลับหลงตัวเอง คิดว่าตนดีกว่า เหนือ
กว่าผู้อื่น และข่มผู้อื่น กลับกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหองและดูถูกผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามบางคนอาจ
จะด้อยกว่าผู้อื่น (ในบางอย่าง) เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่า ตัวเองไม่มีค่า ไม่มีความหมาย กลาย
เป็นความอิจฉา และกลั่นแกล้งทำลายกันและกัน แน่นอน พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเช่นนั้น พระองค์
ทรงปรารถนาให้เราได้ใช้พระพรวิเศษที่ได้รับในการข่วยเหลือและเอื้ออาทรต่อกัน และเมื่อเรามีความ
สามารถบางอย่างที่ด้อยกว่าผู้อื่น พระองค์ทรงต้องการให้เรามีความสุภาพถ่อมตัว ยอมรับความช่วยเหลือ
จากผู้อื่น เราจะอยู่ด้วยกันด้วยความเคารพรักและมีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน
:-*การดำเนินชีวิตด้วยความรักและความเอื้ออาทรต่อกันและกันนี้ จะเป็นการประกาศข่าวดีของพระ
เยซูเจ้าด้วยชีวิตเหมือนกับคริสตชนในยุคแรกดังที่หนังสือกิจการอัครสาวกได้กล่าวไว้ว่า * กลุ่มผู้มี
ความเชื่อ ดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแต่ทุกสิ่ง
เป็นของส่วนรวม.... ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ให้บรรดา
อัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ที่มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ * (กจ 4:32,34)