เสรีภาพในการนับถือศาสนา คือหนทางสู่สันติภาพ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 07, 2011 5:20 pm
สารของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16
เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันสันติภาพสากล
1 มกราคม 2554/2011
เสรีภาพในการนับถือศาสนา คือหนทางสู่สันติภาพ
(Religious Freedom, the Path to Peace)
1. ในวาระเริ่มต้นของปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมายังท่านแต่ละคนและทุกๆ คน ขอให้ท่านประสบแต่ความสงบและความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้ท่านมีสันติสุข น่าเศร้าใจ ปีที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ยังคงเต็มไปด้วยการเบียดเบียน การเลือกปฏิบัติ ความรุนแรงโหดร้าย และการไม่ยอมรับความแตกต่างทางศาสนา
ข้าพเจ้าหวนคิดไปถึงประเทศอิรัก อันเป็นที่รักเป็นพิเศษ ยังคงเป็นเวทีแห่งความรุนแรงและความขัดแย้งในขณะที่กำลังพยายามมุ่งหน้าไปสู่อนาคตที่มั่นคงและการคืนดีกัน ข้าพเจ้าคิดถึงความทุกข์ทรมานของชุมชนคริสตชน โดยเฉพาะการโจมตีที่น่าตำหนิต่ออาสนวิหารไซโร-คาทอลิกแห่งพระมารดานิจจานุเคราะห์ ในกรุงแบกแดดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งพระสงฆ์สององค์และฆราวาสมากกว่า 50 ราย ถูกสังหารในขณะที่มาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ ในวันต่อ ๆ มา ยังมีการโจมตีต่อเนื่อง แม้กระทั่งต่อบ้านเรือน ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหมู่ชุมชนคริสตชน และมีคนจำนวนมากที่ต้องการอพยพไปเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่านี้ ข้าพเจ้าต้องการให้ความมั่นใจต่อพวกเขาว่าข้าพเจ้ายังคงใกล้ชิดกับพวกเขาและพระศาสนจักรทั้งมวล ซึ่งเป็นความใกล้ชิดที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในสมัชชาพิเศษของสังฆสภาสำหรับตะวันออกกลาง สังฆสภาให้กำลังใจชุมชนคาทอลิกในอิรักและในตะวันออกกลางโดยรวม ให้ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อมุ่งเป็นประจักษ์พยานต่อความเชื่ออย่างกล้าหาญในดินแดนเหล่านี้
ข้าพเจ้าขอบคุณอย่างจริงใจต่อรัฐบาลที่ทำงานเพื่อขจัดความทุกข์ยากของบรรดาพี่น้องหญิงชายในครอบครัวมนุษยชาติเหล่านี้ และข้าพเจ้าเรียกร้องคาทอลิกทุกคนได้สวดภาวนาและสนับสนุนพี่น้องร่วมความเชื่อ ซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์จากความรุนแรงและการไม่ยอมรับนี้ ในบริบทดังกล่าว ข้าพเจ้าเห็นว่าเหมาะสมเป็นพิเศษที่จะแบ่งปันการไตร่ตรองเรื่อง เสรีภาพในการนับถือศาสนา ในฐานะที่เป็นหนทางสู่สันติภาพ
เป็นเรื่องเจ็บปวดที่จะคิดว่า ในบางพื้นที่ของโลกนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะประกาศศาสนาของตนอย่างเสรีนอกจากต้องยอมเสี่ยงชีวิตและการสูญเสียอิสรภาพส่วนบุคคล ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ เราพบรูปแบบอคติและเป็นปรปักษ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่อผู้มีความเชื่อและต่อสัญลักษณ์ทางศาสนา ในปัจจุบัน คริสตชนเป็นกลุ่มศาสนาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเบียดเบียนเพราะความเชื่อของพวกเขา คริสตชนจำนวนมากถูกสบประมาททุกวันและมักจะต้องดำเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวเพราะการแสวงหาความจริง ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และการเรียกร้องให้เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา สถานการณ์นี้ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ เนื่องจากเป็นการสบประมาทต่อพระเจ้าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ นอกจากนั้น ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและสันติภาพ และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานให้บรรลุผลในการพัฒนามนุษย์แบบบูรณาการที่แท้จริง
เสรีภาพในการนับถือศาสนาแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะพิเศษเกี่ยวกับบุคคลมนุษย์ เนื่องจากช่วยเราให้ดำเนินชีวิตส่วนตัวและส่วนรวมมุ่งไปหาพระเจ้า โดยพระองค์จะช่วยส่องสว่างให้เราเข้าใจอัตลักษณ์ ความหมาย และเป้าหมายของบุคคลอย่างครบถ้วน การปฏิเสธหรือการจำกัดเสรีภาพโดยพลการนี้ เท่ากับการส่งเสริมวิสัยทัศน์ที่ลดคุณค่าบุคคลมนุษย์ลง การบดบังบทบาททางสาธารณะของศาสนาคือการสร้างสังคมที่ไม่ยุติธรรม เนื่องจากละเลยที่จะคำนึงถึงธรรมชาติที่แท้จริงของบุคคลมนุษย์ เป็นการสกัดกั้นการเติบโตของสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืนของครอบครัวมนุษยชาติทั้งมวล
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าวิงวอนผู้มีน้ำใจดีทั้งหญิงและชายได้รื้อฟื้นการอุทิศตนในการสร้างโลกที่ทุกคนมีอิสระที่จะประกาศศาสนาหรือความเชื่อของตน และ แสดงความรักของตนต่อพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจและวิญญาณและความคิดอ่าน (เทียบ มธ 22:37) นี่คือ ความรู้สึกที่ดลใจและชี้นำ สารวันสันติภาพสากลครั้งที่ 44 โดยใช้หัวข้อ ‘เสรีภาพในการนับถือศาสนา คือหนทางสู่สันติภาพ’
สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะดำรงชีวิตและมีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
2. สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามีรากมาจากศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์ ซึ่งโดยสภาวะเหนือธรรมชาตินี้ไม่อาจเพิกเฉยหรือมองข้ามได้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหญิงและชายตามภาพลักษณ์และความละม้ายกับพระองค์ (เทียบ ปฐก 1:27) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์แต่ละคนจึงได้รับ สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์จากจุดยืนทางจิตวิญญาณด้วย หากไม่รับรู้สภาวะทางจิตวิญญาณ และปราศจากการเปิดใจต่อผู้อยู่เหนือธรรมชาติแล้วไซร้ บุคคลมนุษย์ก็จะเริ่มต้นถอยหลังจากภายในตนเอง ไม่แสวงหาคำตอบให้กับคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดในหัวใจของตนเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ละเลยต่อการใช้คุณค่าและหลักการทางจริยธรรมอย่างยั่งยืน แม้กระทั่งไม่สามารถมีประสบการณ์แห่งการใช้เสรีภาพที่แท้จริง รวมทั้งการสร้างสังคมที่ยุติธรรม
พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ของเราเองนั้น เปิดเผยให้เห็นคุณค่าของศักดิ์ศรีมนุษย์ที่ลึกซึ้ง “เมื่อข้าพเจ้าแหงนมองท้องฟ้า ซึ่งนิ้วพระหัตถ์บรรจงสร้างไว้ มองดูเดือนดูดาวที่พระองค์ทรงประดับไว้อย่างมั่นคง มนุษย์เป็นใคร พระองค์จึงทรงระลึกถึงเขา บุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร พระองค์จึงต้องทรงเอาพระทัยใส่ ถูกแล้ว พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้ด้อยกว่าพระเจ้าเพียงน้อยนิด ประทานความรุ่งโรจน์และเกียรติยศให้เป็นเสมือนมงกุฎประดับศีรษะ ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นเจ้านายของผลงานทั้งมวลจากฝีพระหัตถ์ และทรงวางสรรพสิ่งไว้ใต้เท้าของเขา” (สดด 8:3-6)
การไตร่ตรองความจริงที่สูงส่งเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้เราสามารถพบกับความมหัศจรรย์แบบเดียวกันกับผู้ที่นิพนธ์บทเพลงสดุดี ธรรมชาติของเราเป็นการเปิดใจต่อพระธรรมล้ำลึก ซึ่งเป็นความสามารถที่จะตั้งคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเราเอง และกำเนิดของจักรวาล และภาพสะท้อนที่ลึกซึ้งแห่งความรักสูงส่งของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของสรรพสิ่งของมนุษย์แต่ละคนและประชาชน ศักดิ์ศรีเหนือธรรมชาติของบุคคลเป็นคุณค่าสำคัญพื้นฐานของปรีชาญาณแบบยิว-คริสต์ แต่เพราะการใช้เหตุผลทำให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้ ศักดิ์ศรีนี้ซึ่งถือเป็นความสามารถในการก้าวข้ามวัตถุธาตุของตนเพื่อแสวงหาความจริงนั้น จะต้องถือว่าเป็นความดีสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการสร้างสังคมที่มุ่งสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น การเคารพต่อองค์ประกอบที่สำคัญของศักดิ์ศรีมนุษย์ เช่น สิทธิในการมีชีวิต และสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นเงื่อนไขของความชอบธรรมทางศีลธรรมของบรรทัดฐานทางสังคมและกฎหมายทุกประการ
เสรีภาพในการนับถือศาสนาและการเคารพซึ่งกันและกัน
3. เสรีภาพในการนับถือศาสนาคือบ่อเกิดของเสรีภาพทางศีลธรรม การเปิดใจต่อความจริงและความดีที่สมบูรณ์ การเปิดใจต่อพระเจ้า มีรากอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ เสรีภาพนี้ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีที่สมบูรณ์แก่มนุษย์แต่ละคน และเป็นหลักประกันของการเคารพซึ่งกันและกันระหว่างบุคคล เสรีภาพในการนับถือศาสนาจะต้องถือว่าไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภูมิคุ้มกันจากการบังคับข่มขู่ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ถือเป็นความสามารถในกำหนดทางเลือกของตนตามความจริง
เสรีภาพและการเคารพเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ที่จริง “ในการใช้สิทธิของตนนั้น มนุษย์แต่ละคนและกลุ่มทางสังคมมีข้อผูกพันตามกฎแห่งศีลธรรมที่จะเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น ตามหน้าที่ของตนที่มีต่อผู้อื่นและความดีส่วนรวมของทุกคน”
เสรีภาพซึ่งเป็นปรปักษ์หรือไม่ใส่ใจต่อพระเจ้า กลายเป็นการปฏิเสธตนเอง และไม่ให้หลักประกันต่อการเคารพผู้อื่นอย่างครบถ้วน เจตจำนงที่เชื่อว่าตนเองไม่สามารถแสวงหาความจริงและความดีอย่างแน่นอนนั้น ไม่มีเหตุผลที่เป็นเป้าหมายหรือแรงจูงใจในการกระทำที่ปกป้องสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยผลประโยชน์ชั่วแล่นและเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่มี “อัตลักษณ์” ในการพิทักษ์และสร้างขึ้นมาด้วยการตัดสินใจที่เป็นอิสระและเปี่ยมด้วยสำนึกอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เจตจำนงนี้จึงไม่สามารถเรียกร้องการเคารพจาก “เจตจำนง” อื่น ๆ ซึ่งตัวเองก็ถูกแยกออกจากความเป็นตัวตนของตนเองที่ลึกซึ้ง และจึงไม่สามารถที่จะกำหนด “เหตุผล” อื่น ๆ หรือในเรื่องนี้ คือ ไม่มี “เหตุผล” แต่ประการใดเลย ภาพมายาที่แนวคิด สัมพัทธ์นิยมทางศีลธรรม (moral relativism) ให้หลักสำคัญต่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เป็นแค่บ่อเกิดของความแตกแยกและการปฏิเสธศักดิ์ศรีของมนุษย์นั่นเอง ดังนั้น เราจึงสามารถเห็นความจำเป็นที่จะรับรองมิติสองด้านของความเป็นเอกภาพของบุคคลมนุษย์ นั่นคือ มิติทางศาสนา และ มิติทางสังคม ในเรื่องนี้ “จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่ผู้มีความเชื่อจะระงับส่วนหนึ่งของตนเอง นั่นคือความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นพลเมืองที่มีคุณค่า ไม่ใช่เรื่องจำเป็นแต่ประการใดที่จะปฏิเสธพระเจ้าเพื่อจะได้ใช้สิทธิของตน”
ครอบครัวเป็นโรงเรียนแห่งเสรีภาพและสันติภาพ
4. หากเสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นหนทางสู่สันติภาพ การศึกษาด้านศาสนา ก็คือทางด่วนที่นำพาชนรุ่นใหม่ให้มองผู้อื่นเป็นพี่เป็นน้องของตน ด้วยเขาได้รับเรียกให้มาเดินทางและทำงานร่วมกันเพื่อว่าทุกคนจะรู้สึกว่าตนเป็นสมาชิกที่มีชีวิตชีวาของครอบครัวมนุษยชาติที่มีความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะไม่มีใครถูกกีดกันออกไปเลย
ครอบครัวที่สร้างขึ้นด้วยการแต่งงานซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันและการหนุนเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกันระหว่างหญิงหนึ่งและชายหนึ่งนั้น ถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกในการอบรมบ่มเพาะทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม และชีวิตฝ่ายจิต และการเจริญเติบโตของเด็กๆ ผู้ซึ่งควรจะสามารถมองเห็นบิดาและมารดาของตนเป็นประจักษ์พยานบุคคลแรกในการดำเนินชีวิตที่มุ่งแสวงหาความจริงและความรักของพระเจ้า บิดามารดาต้องพร้อมเสมอที่จะถ่ายทอดมรดกความเชื่อ คุณค่า และวัฒนธรรมของตนแก่บุตรของตนอย่างรับผิดชอบและปราศจากอุปสรรค ครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยแรกของสังคมมนุษย์ ยังคงเป็นสถานที่หลักในการอบรมด้านความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกันของการดำรงชีวิตในทุกระดับ ทั้งระดับมนุษย์ ระดับชาติ และระหว่างประเทศ หนังสือปรีชาญาณ บอกเราว่า มีหนทางในการสร้างสายใยความเป็นพี่น้องทางสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งเยาวชนสามารถเตรียมพร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่เหมาะสมในชีวิตของตน ในสังคมที่มีอิสรเสรี และด้วยจิตวิญญาณของความเข้าใจและสันติภาพ
มรดกร่วม
5. อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มีรากในศักดิ์ศรีของบุคคลนั้น เสรีภาพในการนับถือศาสนามีสถานะพิเศษ เมื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาได้รับการยอมรับ ศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์ก็จะได้รับการเคารพตั้งแต่แก่นราก และลักษณะพื้นฐานทางด้านสังคมที่มีร่วมกันของกลุ่มคนและสถาบันของประชาชาติก็จะได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็ง ในทางตรงกันข้าม เมื่อใดที่เสรีภาพในการนับถือศาสนาถูกปฏิเสธ และมีความพยายามขัดขวางประชาชนมิให้ปฏิบัติศาสนกิจหรือความเชื่อ และดำเนินชีวิตตามความเชื่อ เมื่อนั้น ศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็ถูกล่วงละเมิด ส่งผลให้เกิดภัยคุกคามต่อความยุติธรรมและสันติภาพ ซึ่งมีรากฐานในระเบียบทางสังคมที่ถูกต้องซึ่งถูกกำหนดขึ้นมาด้วยแสงสว่างแห่งความจริงและความดีสูงสุด
ในทำนองนี้ เสรีภาพในการนับถือศาสนายังเป็นการบรรลุผลสำเร็จของวัฒนธรรมทางการเมืองและกฎหมายที่เหมาะสม เสรีภาพนี้เป็นความดีสำคัญพื้นฐาน แต่ละบุคคลจะต้องมีอิสรเสรีที่จะใช้สิทธิในการประกาศและปฏิบัติศาสนาหรือความเชื่อของตน ทั้งที่เป็นส่วนตัวหรือในชุมชน ในที่สาธารณะหรือในที่ส่วนตัว ในการสอน การปฏิบัติ ในการพิมพ์ ในการนมัสการและในการร่วมพิธีกรรม จะต้องไม่มีอุปสรรคขัดขวาง หากชายหรือหญิงปรารถนาจะเปลี่ยนศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย ในบริบทนี้ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นแบบอย่างและเป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญสำหรับรัฐทุกประเทศ ตราบเท่าที่กฎหมายมิได้อนุโลมให้มีการบิดเบือนจากเสรีภาพในการนับถือศาสนา และตราบเท่าที่การดำเนินการตามข้อเรียกร้องที่เป็นธรรมเพื่อระเบียบของสาธารณะได้รับการปฏิบัติ ดังนั้น ระเบียบระหว่างประเทศจึงรับรองว่าสิทธิแห่งธรรมชาติของศาสนา ว่ามีสถานะเดียวกับสิทธิในการมีชีวิตและเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ความจริงที่ว่า สิทธิเหล่านี้เป็นแก่นสำคัญของสิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิตามธรรมชาติและเป็นสากลที่กฎหมายของมนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธได้
เสรีภาพในการนับถือศาสนามิใช่เป็นมรดกเฉพาะของผู้มีความเชื่อ แต่เป็นมรดกของครอบครัวของประชาชาติทั้งมวลของโลก เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐประเทศที่มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธ ทั้งนี้โดยไม่มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งปวง เนื่องจากเสรีภาพในการนับถือศาสนานี้เป็นการสังเคราะห์และแก่นสำคัญของสิทธิเหล่านี้ เป็น “กระดาษทดสอบในเรื่องการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ทั้งปวง” ในขณะที่เสรีภาพในการนับถือศาสนานี้สนับสนุนการปฏิบัติคุณลักษณะเฉพาะที่สุดของมนุษย์ของเรา เสรีภาพนี้ได้สร้างหลักฐานที่จำเป็นในการบรรลุถึงการพัฒนาแบบบูรณาการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งครบทุกมิติ
ศาสนาในมิติสาธารณะ
6. เสรีภาพในการในการนับถือศาสนาเป็นเช่นเดียวกับเสรีภาพอื่น ๆ นั่นคือ มาจากเรื่องของส่วนตัว และเป็นจริงได้ก็โดยความสัมพันธ์กับผู้อื่น เสรีภาพที่ปราศจากความสัมพันธ์มิใช่เสรีภาพที่สมบูรณ์ เสรีภาพในการนับถือศาสนามิได้จำกัดเพียงแค่มิติส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นได้ในชุมชนและในสังคม ตามวิถีที่สอดคล้องกับการดำรงอยู่อย่างสัมพันธ์กันของบุคคลและลักษณะทางสาธารณะของศาสนา
ความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบหลักของเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งกระตุ้นให้ชุมชนผู้มีความเชื่อให้ปฏิบัติความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวเพื่อความดีส่วนรวม ในมิติแห่งความเป็นชุมชนนี้ แต่ละบุคคลยังคงมีอัตลักษณ์และไม่อาจเลียนแบบกันได้ ในขณะเดียวกันก็ที่สามารถแสวงหาความครบครันและสมบูรณ์พร้อมได้
คุณูปการของชุมชนทางศาสนาที่มีต่อสังคมเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ สถาบันการกุศลและวัฒนธรรมจำนวนมากมายเป็นสิ่งยืนยันต่อบทบาทสร้างสรรค์ที่ผู้มีความเชื่อปฏิบัติในชีวิตทางสังคม สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คุณูปการทางจริยธรรมของศาสนาต่อภาคการเมือง ศาสนาไม่ควรถูกกีดกันหรือถูกขัดขวาง แต่ต้องถือว่าเป็นคุณูปการที่มีประสิทธิภาพต่อการส่งเสริมความดีส่วนรวม ในบริบทนี้ จำต้องกล่าวถึงมิติทางศาสนาของวัฒนธรรม ซึ่งสร้างขึ้นมานานนับหลายศตวรรษด้วยคุณูปการทางสังคม และโดยเฉพาะคุณูปการทางจริยธรรมของศาสนา มิตินี้มิได้เลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มีความเชื่ออื่น แต่กลับเสริมสร้างความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันทางสังคม การประสานสัมพันธ์และความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน
เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นพลังเพื่อเสรีภาพและอารยธรรม:
อันตรายที่เกิดจากการบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์
7. การบิดเบือนเสรีภาพในการนับถือศาสนาเพื่อปิดบังผลประโยชน์ที่แฝงเร้น เช่น การโค่นล้มระเบียบที่มีอยู่ การกักตุนทรัพยากร หรือการกุมอำนาจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง ลัทธิคลั่งศาสนา (Fanaticism), ลัทธิมูลฐานนิยม (Fundamentalism) และการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่อาจถือเป็นสิ่งชอบธรรมได้ โดยเฉพาะหากการกระทำนั้นแอบอ้างว่าทำในนามศาสนา การปฏิบัติศาสนาไม่อาจบิดเบือนหรือยัดเยียดด้วยกำลัง รัฐประเทศและบรรดาชุมชนมนุษย์จะต้องไม่ลืมว่า เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นเงื่อนไขในการแสวงหาความจริง และความจริงไม่อาจยัดเยียดได้โดยความรุนแรง แต่ “ด้วยพลังแห่งความจริงของตัวเอง” ด้วยเหตุนี้ ศาสนาคือพลังผลักดันเชิงบวกในการสร้างสังคมพลเมืองและการเมือง
ใครจะปฏิเสธคุณูปการของศาสนาหลัก ๆ ของโลกต่อการพัฒนาของอารยธรรมได้อย่างไร ? การแสวงหาพระเจ้าด้วยความจริงใจได้นำไปสู่การเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์มากขึ้น ด้วยมรดกแห่งคุณค่าและหลักการของตน บรรดาชุมชนคริสตชนต่างก็มีคุณูปการมากมายต่อการทำให้มนุษย์แต่ละคนและประชาชาติได้สำนึกถึงอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีของตน การสร้างสถาบันประชาธิปไตย และการรับรองต่อสิทธิมนุษยชนและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย
เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ในสังคมที่มีกระแสโลกาภิวัตน์เพิ่มมากยิ่งขึ้น คริสตชนได้รับเรียก ไม่เพียงอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างรับผิดชอบของตนในชีวิตพลเมือง เศรษฐกิจ และการเมืองเท่านั้น แต่โดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานด้วยเมตตาธรรมและความเชื่อของตนด้วย ในการร่วมสร้างคุณูปการต่อความบากบั่นและมุ่งมั่นที่จะให้เกิดความยุติธรรม การพัฒนามนุษย์แบบบูรณาการ และระเบียบที่ถูกต้องของกิจการมนุษย์ การขจัดศาสนาออกจากชีวิตในทางสาธารณะ เท่ากับเป็นการกีดกันมิติชีวิตที่เปิดกว้างต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ หากปราศจากประสบการณ์พื้นฐานนี้ ก็จะเป็นการยากที่จะนำสังคมไปสู่หลักการจริยธรรมสากลและสร้างระเบียบกฎหมายในระดับประเทศและระหว่างประเทศที่รับรองและเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างครบถ้วนในฐานะที่ถูกกำหนดไว้ในเป้าหมายของ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1948 ซึ่งน่าเสียดายที่ยังไม่ได้รับความสนใจหรือยังขัดแย้งกันอยู่
เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันสันติภาพสากล
1 มกราคม 2554/2011
เสรีภาพในการนับถือศาสนา คือหนทางสู่สันติภาพ
(Religious Freedom, the Path to Peace)
1. ในวาระเริ่มต้นของปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมายังท่านแต่ละคนและทุกๆ คน ขอให้ท่านประสบแต่ความสงบและความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้ท่านมีสันติสุข น่าเศร้าใจ ปีที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ยังคงเต็มไปด้วยการเบียดเบียน การเลือกปฏิบัติ ความรุนแรงโหดร้าย และการไม่ยอมรับความแตกต่างทางศาสนา
ข้าพเจ้าหวนคิดไปถึงประเทศอิรัก อันเป็นที่รักเป็นพิเศษ ยังคงเป็นเวทีแห่งความรุนแรงและความขัดแย้งในขณะที่กำลังพยายามมุ่งหน้าไปสู่อนาคตที่มั่นคงและการคืนดีกัน ข้าพเจ้าคิดถึงความทุกข์ทรมานของชุมชนคริสตชน โดยเฉพาะการโจมตีที่น่าตำหนิต่ออาสนวิหารไซโร-คาทอลิกแห่งพระมารดานิจจานุเคราะห์ ในกรุงแบกแดดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งพระสงฆ์สององค์และฆราวาสมากกว่า 50 ราย ถูกสังหารในขณะที่มาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ ในวันต่อ ๆ มา ยังมีการโจมตีต่อเนื่อง แม้กระทั่งต่อบ้านเรือน ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหมู่ชุมชนคริสตชน และมีคนจำนวนมากที่ต้องการอพยพไปเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่านี้ ข้าพเจ้าต้องการให้ความมั่นใจต่อพวกเขาว่าข้าพเจ้ายังคงใกล้ชิดกับพวกเขาและพระศาสนจักรทั้งมวล ซึ่งเป็นความใกล้ชิดที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในสมัชชาพิเศษของสังฆสภาสำหรับตะวันออกกลาง สังฆสภาให้กำลังใจชุมชนคาทอลิกในอิรักและในตะวันออกกลางโดยรวม ให้ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อมุ่งเป็นประจักษ์พยานต่อความเชื่ออย่างกล้าหาญในดินแดนเหล่านี้
ข้าพเจ้าขอบคุณอย่างจริงใจต่อรัฐบาลที่ทำงานเพื่อขจัดความทุกข์ยากของบรรดาพี่น้องหญิงชายในครอบครัวมนุษยชาติเหล่านี้ และข้าพเจ้าเรียกร้องคาทอลิกทุกคนได้สวดภาวนาและสนับสนุนพี่น้องร่วมความเชื่อ ซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์จากความรุนแรงและการไม่ยอมรับนี้ ในบริบทดังกล่าว ข้าพเจ้าเห็นว่าเหมาะสมเป็นพิเศษที่จะแบ่งปันการไตร่ตรองเรื่อง เสรีภาพในการนับถือศาสนา ในฐานะที่เป็นหนทางสู่สันติภาพ
เป็นเรื่องเจ็บปวดที่จะคิดว่า ในบางพื้นที่ของโลกนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะประกาศศาสนาของตนอย่างเสรีนอกจากต้องยอมเสี่ยงชีวิตและการสูญเสียอิสรภาพส่วนบุคคล ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ เราพบรูปแบบอคติและเป็นปรปักษ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่อผู้มีความเชื่อและต่อสัญลักษณ์ทางศาสนา ในปัจจุบัน คริสตชนเป็นกลุ่มศาสนาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเบียดเบียนเพราะความเชื่อของพวกเขา คริสตชนจำนวนมากถูกสบประมาททุกวันและมักจะต้องดำเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวเพราะการแสวงหาความจริง ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และการเรียกร้องให้เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา สถานการณ์นี้ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ เนื่องจากเป็นการสบประมาทต่อพระเจ้าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ นอกจากนั้น ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและสันติภาพ และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานให้บรรลุผลในการพัฒนามนุษย์แบบบูรณาการที่แท้จริง
เสรีภาพในการนับถือศาสนาแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะพิเศษเกี่ยวกับบุคคลมนุษย์ เนื่องจากช่วยเราให้ดำเนินชีวิตส่วนตัวและส่วนรวมมุ่งไปหาพระเจ้า โดยพระองค์จะช่วยส่องสว่างให้เราเข้าใจอัตลักษณ์ ความหมาย และเป้าหมายของบุคคลอย่างครบถ้วน การปฏิเสธหรือการจำกัดเสรีภาพโดยพลการนี้ เท่ากับการส่งเสริมวิสัยทัศน์ที่ลดคุณค่าบุคคลมนุษย์ลง การบดบังบทบาททางสาธารณะของศาสนาคือการสร้างสังคมที่ไม่ยุติธรรม เนื่องจากละเลยที่จะคำนึงถึงธรรมชาติที่แท้จริงของบุคคลมนุษย์ เป็นการสกัดกั้นการเติบโตของสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืนของครอบครัวมนุษยชาติทั้งมวล
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าวิงวอนผู้มีน้ำใจดีทั้งหญิงและชายได้รื้อฟื้นการอุทิศตนในการสร้างโลกที่ทุกคนมีอิสระที่จะประกาศศาสนาหรือความเชื่อของตน และ แสดงความรักของตนต่อพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจและวิญญาณและความคิดอ่าน (เทียบ มธ 22:37) นี่คือ ความรู้สึกที่ดลใจและชี้นำ สารวันสันติภาพสากลครั้งที่ 44 โดยใช้หัวข้อ ‘เสรีภาพในการนับถือศาสนา คือหนทางสู่สันติภาพ’
สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะดำรงชีวิตและมีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
2. สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามีรากมาจากศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์ ซึ่งโดยสภาวะเหนือธรรมชาตินี้ไม่อาจเพิกเฉยหรือมองข้ามได้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหญิงและชายตามภาพลักษณ์และความละม้ายกับพระองค์ (เทียบ ปฐก 1:27) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์แต่ละคนจึงได้รับ สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์จากจุดยืนทางจิตวิญญาณด้วย หากไม่รับรู้สภาวะทางจิตวิญญาณ และปราศจากการเปิดใจต่อผู้อยู่เหนือธรรมชาติแล้วไซร้ บุคคลมนุษย์ก็จะเริ่มต้นถอยหลังจากภายในตนเอง ไม่แสวงหาคำตอบให้กับคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดในหัวใจของตนเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ละเลยต่อการใช้คุณค่าและหลักการทางจริยธรรมอย่างยั่งยืน แม้กระทั่งไม่สามารถมีประสบการณ์แห่งการใช้เสรีภาพที่แท้จริง รวมทั้งการสร้างสังคมที่ยุติธรรม
พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ของเราเองนั้น เปิดเผยให้เห็นคุณค่าของศักดิ์ศรีมนุษย์ที่ลึกซึ้ง “เมื่อข้าพเจ้าแหงนมองท้องฟ้า ซึ่งนิ้วพระหัตถ์บรรจงสร้างไว้ มองดูเดือนดูดาวที่พระองค์ทรงประดับไว้อย่างมั่นคง มนุษย์เป็นใคร พระองค์จึงทรงระลึกถึงเขา บุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร พระองค์จึงต้องทรงเอาพระทัยใส่ ถูกแล้ว พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้ด้อยกว่าพระเจ้าเพียงน้อยนิด ประทานความรุ่งโรจน์และเกียรติยศให้เป็นเสมือนมงกุฎประดับศีรษะ ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นเจ้านายของผลงานทั้งมวลจากฝีพระหัตถ์ และทรงวางสรรพสิ่งไว้ใต้เท้าของเขา” (สดด 8:3-6)
การไตร่ตรองความจริงที่สูงส่งเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้เราสามารถพบกับความมหัศจรรย์แบบเดียวกันกับผู้ที่นิพนธ์บทเพลงสดุดี ธรรมชาติของเราเป็นการเปิดใจต่อพระธรรมล้ำลึก ซึ่งเป็นความสามารถที่จะตั้งคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเราเอง และกำเนิดของจักรวาล และภาพสะท้อนที่ลึกซึ้งแห่งความรักสูงส่งของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของสรรพสิ่งของมนุษย์แต่ละคนและประชาชน ศักดิ์ศรีเหนือธรรมชาติของบุคคลเป็นคุณค่าสำคัญพื้นฐานของปรีชาญาณแบบยิว-คริสต์ แต่เพราะการใช้เหตุผลทำให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้ ศักดิ์ศรีนี้ซึ่งถือเป็นความสามารถในการก้าวข้ามวัตถุธาตุของตนเพื่อแสวงหาความจริงนั้น จะต้องถือว่าเป็นความดีสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการสร้างสังคมที่มุ่งสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น การเคารพต่อองค์ประกอบที่สำคัญของศักดิ์ศรีมนุษย์ เช่น สิทธิในการมีชีวิต และสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นเงื่อนไขของความชอบธรรมทางศีลธรรมของบรรทัดฐานทางสังคมและกฎหมายทุกประการ
เสรีภาพในการนับถือศาสนาและการเคารพซึ่งกันและกัน
3. เสรีภาพในการนับถือศาสนาคือบ่อเกิดของเสรีภาพทางศีลธรรม การเปิดใจต่อความจริงและความดีที่สมบูรณ์ การเปิดใจต่อพระเจ้า มีรากอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ เสรีภาพนี้ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีที่สมบูรณ์แก่มนุษย์แต่ละคน และเป็นหลักประกันของการเคารพซึ่งกันและกันระหว่างบุคคล เสรีภาพในการนับถือศาสนาจะต้องถือว่าไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภูมิคุ้มกันจากการบังคับข่มขู่ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ถือเป็นความสามารถในกำหนดทางเลือกของตนตามความจริง
เสรีภาพและการเคารพเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ที่จริง “ในการใช้สิทธิของตนนั้น มนุษย์แต่ละคนและกลุ่มทางสังคมมีข้อผูกพันตามกฎแห่งศีลธรรมที่จะเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น ตามหน้าที่ของตนที่มีต่อผู้อื่นและความดีส่วนรวมของทุกคน”
เสรีภาพซึ่งเป็นปรปักษ์หรือไม่ใส่ใจต่อพระเจ้า กลายเป็นการปฏิเสธตนเอง และไม่ให้หลักประกันต่อการเคารพผู้อื่นอย่างครบถ้วน เจตจำนงที่เชื่อว่าตนเองไม่สามารถแสวงหาความจริงและความดีอย่างแน่นอนนั้น ไม่มีเหตุผลที่เป็นเป้าหมายหรือแรงจูงใจในการกระทำที่ปกป้องสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยผลประโยชน์ชั่วแล่นและเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่มี “อัตลักษณ์” ในการพิทักษ์และสร้างขึ้นมาด้วยการตัดสินใจที่เป็นอิสระและเปี่ยมด้วยสำนึกอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เจตจำนงนี้จึงไม่สามารถเรียกร้องการเคารพจาก “เจตจำนง” อื่น ๆ ซึ่งตัวเองก็ถูกแยกออกจากความเป็นตัวตนของตนเองที่ลึกซึ้ง และจึงไม่สามารถที่จะกำหนด “เหตุผล” อื่น ๆ หรือในเรื่องนี้ คือ ไม่มี “เหตุผล” แต่ประการใดเลย ภาพมายาที่แนวคิด สัมพัทธ์นิยมทางศีลธรรม (moral relativism) ให้หลักสำคัญต่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เป็นแค่บ่อเกิดของความแตกแยกและการปฏิเสธศักดิ์ศรีของมนุษย์นั่นเอง ดังนั้น เราจึงสามารถเห็นความจำเป็นที่จะรับรองมิติสองด้านของความเป็นเอกภาพของบุคคลมนุษย์ นั่นคือ มิติทางศาสนา และ มิติทางสังคม ในเรื่องนี้ “จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่ผู้มีความเชื่อจะระงับส่วนหนึ่งของตนเอง นั่นคือความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นพลเมืองที่มีคุณค่า ไม่ใช่เรื่องจำเป็นแต่ประการใดที่จะปฏิเสธพระเจ้าเพื่อจะได้ใช้สิทธิของตน”
ครอบครัวเป็นโรงเรียนแห่งเสรีภาพและสันติภาพ
4. หากเสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นหนทางสู่สันติภาพ การศึกษาด้านศาสนา ก็คือทางด่วนที่นำพาชนรุ่นใหม่ให้มองผู้อื่นเป็นพี่เป็นน้องของตน ด้วยเขาได้รับเรียกให้มาเดินทางและทำงานร่วมกันเพื่อว่าทุกคนจะรู้สึกว่าตนเป็นสมาชิกที่มีชีวิตชีวาของครอบครัวมนุษยชาติที่มีความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะไม่มีใครถูกกีดกันออกไปเลย
ครอบครัวที่สร้างขึ้นด้วยการแต่งงานซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันและการหนุนเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกันระหว่างหญิงหนึ่งและชายหนึ่งนั้น ถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกในการอบรมบ่มเพาะทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม และชีวิตฝ่ายจิต และการเจริญเติบโตของเด็กๆ ผู้ซึ่งควรจะสามารถมองเห็นบิดาและมารดาของตนเป็นประจักษ์พยานบุคคลแรกในการดำเนินชีวิตที่มุ่งแสวงหาความจริงและความรักของพระเจ้า บิดามารดาต้องพร้อมเสมอที่จะถ่ายทอดมรดกความเชื่อ คุณค่า และวัฒนธรรมของตนแก่บุตรของตนอย่างรับผิดชอบและปราศจากอุปสรรค ครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยแรกของสังคมมนุษย์ ยังคงเป็นสถานที่หลักในการอบรมด้านความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกันของการดำรงชีวิตในทุกระดับ ทั้งระดับมนุษย์ ระดับชาติ และระหว่างประเทศ หนังสือปรีชาญาณ บอกเราว่า มีหนทางในการสร้างสายใยความเป็นพี่น้องทางสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งเยาวชนสามารถเตรียมพร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่เหมาะสมในชีวิตของตน ในสังคมที่มีอิสรเสรี และด้วยจิตวิญญาณของความเข้าใจและสันติภาพ
มรดกร่วม
5. อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มีรากในศักดิ์ศรีของบุคคลนั้น เสรีภาพในการนับถือศาสนามีสถานะพิเศษ เมื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาได้รับการยอมรับ ศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์ก็จะได้รับการเคารพตั้งแต่แก่นราก และลักษณะพื้นฐานทางด้านสังคมที่มีร่วมกันของกลุ่มคนและสถาบันของประชาชาติก็จะได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็ง ในทางตรงกันข้าม เมื่อใดที่เสรีภาพในการนับถือศาสนาถูกปฏิเสธ และมีความพยายามขัดขวางประชาชนมิให้ปฏิบัติศาสนกิจหรือความเชื่อ และดำเนินชีวิตตามความเชื่อ เมื่อนั้น ศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็ถูกล่วงละเมิด ส่งผลให้เกิดภัยคุกคามต่อความยุติธรรมและสันติภาพ ซึ่งมีรากฐานในระเบียบทางสังคมที่ถูกต้องซึ่งถูกกำหนดขึ้นมาด้วยแสงสว่างแห่งความจริงและความดีสูงสุด
ในทำนองนี้ เสรีภาพในการนับถือศาสนายังเป็นการบรรลุผลสำเร็จของวัฒนธรรมทางการเมืองและกฎหมายที่เหมาะสม เสรีภาพนี้เป็นความดีสำคัญพื้นฐาน แต่ละบุคคลจะต้องมีอิสรเสรีที่จะใช้สิทธิในการประกาศและปฏิบัติศาสนาหรือความเชื่อของตน ทั้งที่เป็นส่วนตัวหรือในชุมชน ในที่สาธารณะหรือในที่ส่วนตัว ในการสอน การปฏิบัติ ในการพิมพ์ ในการนมัสการและในการร่วมพิธีกรรม จะต้องไม่มีอุปสรรคขัดขวาง หากชายหรือหญิงปรารถนาจะเปลี่ยนศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย ในบริบทนี้ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นแบบอย่างและเป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญสำหรับรัฐทุกประเทศ ตราบเท่าที่กฎหมายมิได้อนุโลมให้มีการบิดเบือนจากเสรีภาพในการนับถือศาสนา และตราบเท่าที่การดำเนินการตามข้อเรียกร้องที่เป็นธรรมเพื่อระเบียบของสาธารณะได้รับการปฏิบัติ ดังนั้น ระเบียบระหว่างประเทศจึงรับรองว่าสิทธิแห่งธรรมชาติของศาสนา ว่ามีสถานะเดียวกับสิทธิในการมีชีวิตและเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ความจริงที่ว่า สิทธิเหล่านี้เป็นแก่นสำคัญของสิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิตามธรรมชาติและเป็นสากลที่กฎหมายของมนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธได้
เสรีภาพในการนับถือศาสนามิใช่เป็นมรดกเฉพาะของผู้มีความเชื่อ แต่เป็นมรดกของครอบครัวของประชาชาติทั้งมวลของโลก เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐประเทศที่มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธ ทั้งนี้โดยไม่มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งปวง เนื่องจากเสรีภาพในการนับถือศาสนานี้เป็นการสังเคราะห์และแก่นสำคัญของสิทธิเหล่านี้ เป็น “กระดาษทดสอบในเรื่องการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ทั้งปวง” ในขณะที่เสรีภาพในการนับถือศาสนานี้สนับสนุนการปฏิบัติคุณลักษณะเฉพาะที่สุดของมนุษย์ของเรา เสรีภาพนี้ได้สร้างหลักฐานที่จำเป็นในการบรรลุถึงการพัฒนาแบบบูรณาการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งครบทุกมิติ
ศาสนาในมิติสาธารณะ
6. เสรีภาพในการในการนับถือศาสนาเป็นเช่นเดียวกับเสรีภาพอื่น ๆ นั่นคือ มาจากเรื่องของส่วนตัว และเป็นจริงได้ก็โดยความสัมพันธ์กับผู้อื่น เสรีภาพที่ปราศจากความสัมพันธ์มิใช่เสรีภาพที่สมบูรณ์ เสรีภาพในการนับถือศาสนามิได้จำกัดเพียงแค่มิติส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นได้ในชุมชนและในสังคม ตามวิถีที่สอดคล้องกับการดำรงอยู่อย่างสัมพันธ์กันของบุคคลและลักษณะทางสาธารณะของศาสนา
ความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบหลักของเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งกระตุ้นให้ชุมชนผู้มีความเชื่อให้ปฏิบัติความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวเพื่อความดีส่วนรวม ในมิติแห่งความเป็นชุมชนนี้ แต่ละบุคคลยังคงมีอัตลักษณ์และไม่อาจเลียนแบบกันได้ ในขณะเดียวกันก็ที่สามารถแสวงหาความครบครันและสมบูรณ์พร้อมได้
คุณูปการของชุมชนทางศาสนาที่มีต่อสังคมเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ สถาบันการกุศลและวัฒนธรรมจำนวนมากมายเป็นสิ่งยืนยันต่อบทบาทสร้างสรรค์ที่ผู้มีความเชื่อปฏิบัติในชีวิตทางสังคม สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คุณูปการทางจริยธรรมของศาสนาต่อภาคการเมือง ศาสนาไม่ควรถูกกีดกันหรือถูกขัดขวาง แต่ต้องถือว่าเป็นคุณูปการที่มีประสิทธิภาพต่อการส่งเสริมความดีส่วนรวม ในบริบทนี้ จำต้องกล่าวถึงมิติทางศาสนาของวัฒนธรรม ซึ่งสร้างขึ้นมานานนับหลายศตวรรษด้วยคุณูปการทางสังคม และโดยเฉพาะคุณูปการทางจริยธรรมของศาสนา มิตินี้มิได้เลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มีความเชื่ออื่น แต่กลับเสริมสร้างความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันทางสังคม การประสานสัมพันธ์และความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน
เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นพลังเพื่อเสรีภาพและอารยธรรม:
อันตรายที่เกิดจากการบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์
7. การบิดเบือนเสรีภาพในการนับถือศาสนาเพื่อปิดบังผลประโยชน์ที่แฝงเร้น เช่น การโค่นล้มระเบียบที่มีอยู่ การกักตุนทรัพยากร หรือการกุมอำนาจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง ลัทธิคลั่งศาสนา (Fanaticism), ลัทธิมูลฐานนิยม (Fundamentalism) และการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่อาจถือเป็นสิ่งชอบธรรมได้ โดยเฉพาะหากการกระทำนั้นแอบอ้างว่าทำในนามศาสนา การปฏิบัติศาสนาไม่อาจบิดเบือนหรือยัดเยียดด้วยกำลัง รัฐประเทศและบรรดาชุมชนมนุษย์จะต้องไม่ลืมว่า เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นเงื่อนไขในการแสวงหาความจริง และความจริงไม่อาจยัดเยียดได้โดยความรุนแรง แต่ “ด้วยพลังแห่งความจริงของตัวเอง” ด้วยเหตุนี้ ศาสนาคือพลังผลักดันเชิงบวกในการสร้างสังคมพลเมืองและการเมือง
ใครจะปฏิเสธคุณูปการของศาสนาหลัก ๆ ของโลกต่อการพัฒนาของอารยธรรมได้อย่างไร ? การแสวงหาพระเจ้าด้วยความจริงใจได้นำไปสู่การเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์มากขึ้น ด้วยมรดกแห่งคุณค่าและหลักการของตน บรรดาชุมชนคริสตชนต่างก็มีคุณูปการมากมายต่อการทำให้มนุษย์แต่ละคนและประชาชาติได้สำนึกถึงอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีของตน การสร้างสถาบันประชาธิปไตย และการรับรองต่อสิทธิมนุษยชนและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย
เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ในสังคมที่มีกระแสโลกาภิวัตน์เพิ่มมากยิ่งขึ้น คริสตชนได้รับเรียก ไม่เพียงอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างรับผิดชอบของตนในชีวิตพลเมือง เศรษฐกิจ และการเมืองเท่านั้น แต่โดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานด้วยเมตตาธรรมและความเชื่อของตนด้วย ในการร่วมสร้างคุณูปการต่อความบากบั่นและมุ่งมั่นที่จะให้เกิดความยุติธรรม การพัฒนามนุษย์แบบบูรณาการ และระเบียบที่ถูกต้องของกิจการมนุษย์ การขจัดศาสนาออกจากชีวิตในทางสาธารณะ เท่ากับเป็นการกีดกันมิติชีวิตที่เปิดกว้างต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ หากปราศจากประสบการณ์พื้นฐานนี้ ก็จะเป็นการยากที่จะนำสังคมไปสู่หลักการจริยธรรมสากลและสร้างระเบียบกฎหมายในระดับประเทศและระหว่างประเทศที่รับรองและเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างครบถ้วนในฐานะที่ถูกกำหนดไว้ในเป้าหมายของ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1948 ซึ่งน่าเสียดายที่ยังไม่ได้รับความสนใจหรือยังขัดแย้งกันอยู่