ท่านรู้สึกอย่างไร ชาวพุทธบางกลุ่มระบุพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์
เมื่อไม่นาน ได้คุยกับชาวพุทธท่านหนึ่ง เขาได้อธิบายให้ฟังว่า
ชาวพุทธบางกลุ่มกล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นพระโพธิสัตว์ท่านหนึ่ง
ศาสนาพุทธมีคติว่า พระโพธิสัตว์ก็คือจะเป็นพระพุทธเ้จ้าในอนาคตกาล
แม้ความเชื่อเขาไม่ได้เชื่อเรื่องพระบิดาเหมือนกับคริสตชนเรา
แต่เขาก็พูดในเชิงยกย่องนะครับ
ผมมีสองความคิดอยู่นะครับ
1. ศาสนาคริสต์และพระศาสนจักรก็มีหลักการทุกอย่างชัดเจน
คงไม่ใช่่ว่าคริสตชนจะต้องเชื่อเช่นนั้น
2. ผมว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสิทธิยกย่องพระเยซูในบริบทของศาสนาของเขาได้
ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่นั่นอีกเรื่อง
เพราะถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว พระเยซูก็ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวโลกทั้งมวล
ไม่ใช่เฉพาะแต่คริตชนเท่านั้น
อย่างมุสลิม เขาก็ยอมรับว่าท่านทรงเป็นนบีท่านหนึ่ง
จึงอยากทราบว่าถ้าท่านอื่นๆ หากได้รับทราบเรื่องแบบนี้
รู้สึกอย่างไรกันบ้าง ในสิ่งที่ไม่ตรงกับแนวทางของคริสตชน
อยากทราบความรู้สึกจริงๆ นะ ไม่อ้างตำรามาขัดแย้งกันนะ
ชาวพุทธบางกลุ่มกล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นพระโพธิสัตว์ท่านหนึ่ง
ศาสนาพุทธมีคติว่า พระโพธิสัตว์ก็คือจะเป็นพระพุทธเ้จ้าในอนาคตกาล
แม้ความเชื่อเขาไม่ได้เชื่อเรื่องพระบิดาเหมือนกับคริสตชนเรา
แต่เขาก็พูดในเชิงยกย่องนะครับ
ผมมีสองความคิดอยู่นะครับ
1. ศาสนาคริสต์และพระศาสนจักรก็มีหลักการทุกอย่างชัดเจน
คงไม่ใช่่ว่าคริสตชนจะต้องเชื่อเช่นนั้น
2. ผมว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสิทธิยกย่องพระเยซูในบริบทของศาสนาของเขาได้
ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่นั่นอีกเรื่อง
เพราะถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว พระเยซูก็ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวโลกทั้งมวล
ไม่ใช่เฉพาะแต่คริตชนเท่านั้น
อย่างมุสลิม เขาก็ยอมรับว่าท่านทรงเป็นนบีท่านหนึ่ง
จึงอยากทราบว่าถ้าท่านอื่นๆ หากได้รับทราบเรื่องแบบนี้
รู้สึกอย่างไรกันบ้าง ในสิ่งที่ไม่ตรงกับแนวทางของคริสตชน
อยากทราบความรู้สึกจริงๆ นะ ไม่อ้างตำรามาขัดแย้งกันนะ
ถ้าถามความรู้สึก ก็ดีใจที่เค้าให้เกียรติ ยกย่อง พระเยซูเจ้า ในบริบทของเค้า
(ดีกว่าเจอพวกที่ลบหลู่ เหยียดหยามพระองค์แรงๆ)
แต่ถามว่า เชื่อมั้ย? ว่าพระองค์เป็นแค่พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่พระเจ้า
คำตอบคือ ผมจะเชื่อ ถ้าพระโพธิสัตว์ในบริบทของเค้า สามารถฟื้นคืนชีพจากความตายได้, ชุบชีวิตคนตายได้ และยอมตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุดเพราะความรักได้
(ดีกว่าเจอพวกที่ลบหลู่ เหยียดหยามพระองค์แรงๆ)
แต่ถามว่า เชื่อมั้ย? ว่าพระองค์เป็นแค่พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่พระเจ้า
คำตอบคือ ผมจะเชื่อ ถ้าพระโพธิสัตว์ในบริบทของเค้า สามารถฟื้นคืนชีพจากความตายได้, ชุบชีวิตคนตายได้ และยอมตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุดเพราะความรักได้
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
มันเป็นการยกใครใหญ่กว่าใครอย่างหนึ่ง เหมือนทาง
พราหมณ์ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารที่ 8 ของพระนารายณ์
เพื่อไม่ให้ผู้ศรัทธาเดิมออกจากศาสนาของตนเมื่อรู้ว่าศาสนาอื่นดีกว่า
แต่กลืนศาสนาอื่นเข้ามาหาตัวเองเสีย ผู้ศรัทธาเดิมจะได้รู้สึกว่า
ของตนดีที่สุด
พราหมณ์ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารที่ 8 ของพระนารายณ์
เพื่อไม่ให้ผู้ศรัทธาเดิมออกจากศาสนาของตนเมื่อรู้ว่าศาสนาอื่นดีกว่า
แต่กลืนศาสนาอื่นเข้ามาหาตัวเองเสีย ผู้ศรัทธาเดิมจะได้รู้สึกว่า
ของตนดีที่สุด
-
- โพสต์: 407
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 28, 2010 12:03 am
ตามแมวน้ำครับlittleseal เขียน:มันเป็นการยกใครใหญ่กว่าใครอย่างหนึ่ง เหมือนทาง
พราหมณ์ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารที่ 8 ของพระนารายณ์
เพื่อไม่ให้ผู้ศรัทธาเดิมออกจากศาสนาของตนเมื่อรู้ว่าศาสนาอื่นดีกว่า
แต่กลืนศาสนาอื่นเข้ามาหาตัวเองเสีย ผู้ศรัทธาเดิมจะได้รู้สึกว่า
ของตนดีที่สุด
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
รู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน
ท่านทั้งหลาย จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ
ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า
ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา
ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม
ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
ต้นไม่ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรืต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
เหตุฉะนั้นท่านจะรู้จักเขาได้ เพราะผลของเขา
(มธ 7:15-20)
ยังมั่นคงในความรักที่มีต่อองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเป็นเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ทรงเป็นพระเจ้าร่วมกับพระบิดาและพระจิต ตลอดนิรันดร
ท่านทั้งหลาย จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ
ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า
ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา
ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม
ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
ต้นไม่ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรืต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
เหตุฉะนั้นท่านจะรู้จักเขาได้ เพราะผลของเขา
(มธ 7:15-20)
ยังมั่นคงในความรักที่มีต่อองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเป็นเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ทรงเป็นพระเจ้าร่วมกับพระบิดาและพระจิต ตลอดนิรันดร
-
- โพสต์: 300
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am
ต้องระวังความเชื่อแบบนี้ให้ดี เพราะไม่ใช่ศาสนาอื่นความเชื่ออื่นเท่านั้น แต่เข้าข่ายเป็นความเชื่อเทียมเท็จ ลัทธิสอนผิดอีกด้วย ต้องระวังการยอมรับเรื่องนี้ให้ดี แม้ว่าจะเป็นการยกย่องพระเยซู แต่เป็นการยกย่องไม่ตรงกับความเป็นจริง อะไรที่ไม่ใช่เราก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่
เหมือนคุณ littleseal บอก ศาสนาพราหมณ์เคยใช้วิธีนี้ในกรณีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ผลคือ ทำให้พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย เพราะฉะนั้น ผมเห็นว่าความคิดแนวนี้ เป็นอันตรายต่อพระศาสนจักร มากกว่าการปฏิเสธพระคริสต์ตรง ๆ เสียอีก
เหมือนคุณ littleseal บอก ศาสนาพราหมณ์เคยใช้วิธีนี้ในกรณีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ผลคือ ทำให้พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย เพราะฉะนั้น ผมเห็นว่าความคิดแนวนี้ เป็นอันตรายต่อพระศาสนจักร มากกว่าการปฏิเสธพระคริสต์ตรง ๆ เสียอีก
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
รู้สึกว่า เป็นความเข้าใจผิดครับ ^^
-
- โพสต์: 286
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
- ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.
amenครับfrancisco xavier เขียน:ต้องระวังความเชื่อแบบนี้ให้ดี เพราะไม่ใช่ศาสนาอื่นความเชื่ออื่นเท่านั้น แต่เข้าข่ายเป็นความเชื่อเทียมเท็จ ลัทธิสอนผิดอีกด้วย ต้องระวังการยอมรับเรื่องนี้ให้ดี แม้ว่าจะเป็นการยกย่องพระเยซู แต่เป็นการยกย่องไม่ตรงกับความเป็นจริง อะไรที่ไม่ใช่เราก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่
เหมือนคุณ littleseal บอก ศาสนาพราหมณ์เคยใช้วิธีนี้ในกรณีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ผลคือ ทำให้พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย เพราะฉะนั้น ผมเห็นว่าความคิดแนวนี้ เป็นอันตรายต่อพระศาสนจักร มากกว่าการปฏิเสธพระคริสต์ตรง ๆ เสียอีก
(มธ5:37)แต่ให้ถ้อยคำของท่านเป็นคำตรงเถิด จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ ซึ่งพูดเกินนี้ไปก็มาจากความชั่ว
อยากฝากถามเหมือนกันว่าชาวพุทธรู้สึกยังไงที่โดนแบบนั้น
แต่พอดีคริสตชนเรามีพระเป็นเจ้ารักษาดูแลเอาใจใส่อย่างดี คงเป็นการยากซักหน่อยที่มารจะใช้วิธีนี้ทำให้คริสตชนไปเป็นพุทธ และคงเป็นการยากที่จะทำให้คริสตชนเกือบล้นโลกกลับกลายเป็นเกือบหมดโลกแบบที่เค้าเคยโดนชาวฮินดูทำมาแล้ว
ผมว่าอันนี้คนละกรณีนะครับ พี่น้องมุสลิมเค้ามีพระเจ้าองค์เดียวกับเรานะครับ เค้าก็ลูกหลานอับราฮัมเหมือนๆกับเรา ในบางกรณีบางเรื่องอาจเห็นต่างไปบ้าง อย่างน้อยเค้าก็ยังเห็นว่าองค์พระเยซูเป็นคนของพระเจ้า อย่างน้อยเค้าก็ไม่ใช่ลัทธิอเทวนิยม ปฏิเสธพระเจ้าพระผู้สร้างผู้ทรงพระชนม์นิจนิรันดร์นะครับThai เขียน:อย่างมุสลิม เขาก็ยอมรับว่าท่านทรงเป็นนบีท่านหนึ่ง
-
- โพสต์: 300
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am
อ๋อ ครับ หลงแสดงความคิดเห็นไปตั้งเยอะพระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน:รู้สึกว่า เป็นความเข้าใจผิดครับ ^^
-
- โพสต์: 361
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 08, 2012 8:57 pm
ว่าตามบนๆเลยฮะ มันจะเป็นการบิดเบือนเพื่อไม่ให้ชาวพุทธที่ว่าจะเปลี่ยนเป็นคริสต์มาคิดว่า เอ๊ ถ้างี้ก็นับถือพุทธต่อดีกว่า ไรงี้แน่เลย โดยตัวผมไม่เชื่อแน่นอน เพราะพระองค์คือพระคริสตเจ้าพระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นมนุษย์แท้และพระเจ้าแท้ และพระองค์คือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด (แต่ว่าแต่ละศาสนาก็มีกลไกการปกป้องศาสนาตัวเองล่ะนะ ต้องสรุปได้ว่าแม้จะเป็นคนต่างศาสนาพระองค์ก็ยังทรงพระสิริรุ่งโรจน์เหนือจิตใจทุกคนในโลกแน่นอนคั๊ บบ)
((ปล.เป็นความเห็นส่วนตัวแท้ๆ ถ้าก้าวร้าวหรือผิด หรือ หรือ....ประการใดขออภัยเป็นอย่างยิ่งคับ )
((ปล.เป็นความเห็นส่วนตัวแท้ๆ ถ้าก้าวร้าวหรือผิด หรือ หรือ....ประการใดขออภัยเป็นอย่างยิ่งคับ )
แก้ไขล่าสุดโดย magicgreen เมื่อ จันทร์ ก.ย. 17, 2012 8:30 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- dark-kanita
- โพสต์: 317
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 18, 2007 2:37 pm
คำว่าโพธิสัตว์ คือ คือผู้รู้ ผู้แนะนำให้ สัตว์นรก สัตว์โลก รวมทั้งมนุษย์ ให้รอดพ้นจากบาปและความทุกข์นะครับท่าน
ดังนั้นชาวพุทธบางคนจะจิ้นจิ๊กพระเยซูไปแจมไว้มันก็ไม่น่าจะเป็นไร ที่ตกใจคือปกติแล้วชาวพุทธไม่มีไครคิดว่าพระเยซูเป็นโพธิสัตว์นะครับ มันไม่มีบันทึกในไตรปิฎก ด้วย แต่มั่วระวัง ให้ดี ไปผิดกับหลักพุทธและหลักคริสมันจะวุ่น 55555
ดังนั้นชาวพุทธบางคนจะจิ้นจิ๊กพระเยซูไปแจมไว้มันก็ไม่น่าจะเป็นไร ที่ตกใจคือปกติแล้วชาวพุทธไม่มีไครคิดว่าพระเยซูเป็นโพธิสัตว์นะครับ มันไม่มีบันทึกในไตรปิฎก ด้วย แต่มั่วระวัง ให้ดี ไปผิดกับหลักพุทธและหลักคริสมันจะวุ่น 55555
ส่วนตัวไม่คิดว่าการที่ชาวพุทธบางกลุ่มเชื่ออย่างนั้นแล้วจะทำให้ชาวคริสต์ในไทยเขวได้เท่าไรนะครับ
เรื่องศาสนาฮินดูกลืนศาสนาพุทธในอินเดียมันมีเรื่องการเมืองและผลประโยชน์มาเกี่ยวมากครับ ความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธทำให้พวกพราหมณ์เสียผลประโยชน์ และส่งผลสะเทือนถึงระบบวรรณะในอินเดียอีกด้วย
เคยอ่านเจอมีคนอ้างว่าพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ซึ่งได้มรณภาพไปแล้วได้เล่าให้ฟังว่าท่านเคยเข้าณาณไปพบกับพระเยซู และพระเยซูได้บอกว่าพระองค์มาจากสวรรค์ชั้นดุสิต (ในความเชื่อเรื่องภพภูมิของทางพุทธจะถือเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 จากสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น) และพระอาจารย์ท่านนั้นก็ยังได้สอบถามข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องการยกบาปแก้บาปจากพระเยซูอีกด้วย เพราะทางทางพุทธไม่เชื่อว่าใครจะแก้กรรมให้ใครได้
ผมคิดว่าถ้าเจอใครให้ความเห็นแบบนี้ก็ไม่ต้องไปทุ่มเถียงเอาเป็นเอาตายกับเค้าหรอกครับเพราะว่าเค้าไม่ได้มีความเชื่อเหมือนกับเรา เราบอกแค่ว่าจุดยืนที่เราเชื่อจริงๆเป็นอย่างไรให้เค้าเข้าใจก็พอแล้วครับ
เรื่องศาสนาฮินดูกลืนศาสนาพุทธในอินเดียมันมีเรื่องการเมืองและผลประโยชน์มาเกี่ยวมากครับ ความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธทำให้พวกพราหมณ์เสียผลประโยชน์ และส่งผลสะเทือนถึงระบบวรรณะในอินเดียอีกด้วย
เคยอ่านเจอมีคนอ้างว่าพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ซึ่งได้มรณภาพไปแล้วได้เล่าให้ฟังว่าท่านเคยเข้าณาณไปพบกับพระเยซู และพระเยซูได้บอกว่าพระองค์มาจากสวรรค์ชั้นดุสิต (ในความเชื่อเรื่องภพภูมิของทางพุทธจะถือเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 จากสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น) และพระอาจารย์ท่านนั้นก็ยังได้สอบถามข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องการยกบาปแก้บาปจากพระเยซูอีกด้วย เพราะทางทางพุทธไม่เชื่อว่าใครจะแก้กรรมให้ใครได้
ผมคิดว่าถ้าเจอใครให้ความเห็นแบบนี้ก็ไม่ต้องไปทุ่มเถียงเอาเป็นเอาตายกับเค้าหรอกครับเพราะว่าเค้าไม่ได้มีความเชื่อเหมือนกับเรา เราบอกแค่ว่าจุดยืนที่เราเชื่อจริงๆเป็นอย่างไรให้เค้าเข้าใจก็พอแล้วครับ
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
สวัสดีครับ คุณThai และ ทุกท่าน
ผมเคยกล่าวในที่นี้ว่า "ศาสนา" เป็นเรื่อง สุขุมคัมภีรภาพ (สุขุม ลุ่มลึก)
แม้พระพุทธองค์เอง ภายหลังตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้พิจารณาธรรมอยู่ 7 สัปดาห์
ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ
ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรม
เพื่อโปรดมหาชน ต่อมาพระองค์ได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคล
ในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ จึงเป็นที่มาของ บัวสี่เหล่า คือ อุปมา
เปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว 4 จำพวก
ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
โพธิสัตว์ น. ท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า. (ส. โพธิสตฺตฺว; ป. โพธิสตฺต)
1. ทั้งพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า
2. พระเยซูประสูติ หลังพระพุทธองค์ ปรินิพพาน 543 ปี
ณ เวลานี้เราอยู่ที่ พ.ศ. 2555 แต่ ค.ศ. 2012
3. พระเยซู คือ พระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้ พระโพธิสัตว์ คือ มนุษย์ ที่
บำเพ็ญบารมีหรือกระทำความดีต่าง ๆ เพื่อให้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล (คือ ชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป) ...
**ในศาสนาคริสต์ ไม่มีชาติหน้า มีชาติเดียว และชีวิตนิรันด์**
4. พระโพธิสัตว์ มีหลายองค์ พระเยซู มีพระองค์เดียว ...ทรงเป็นหนึ่งในทาง
คริสต์เราเรียก "พระตรีเอกานุภาพ" หรือ "พระตรีเอกภาพ" คือ พระบิดาพระบุตร
และพระจิต
ศาสนา เป็นเรื่องของ ความเชื่อ และ หลักการ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ไม่ได้ เปรียบเหมือนเรือไม่มีหางเสือ ขับไปก็เบ้ซ้ายทีขวาที ชนตลิ่ง ชนสะพาน
ชนเรือลำอื่น มั่วไปหมด...ลังแต่จะทำให้เรือตนเอง และเรือผู้อื่นเสียหาย
ศาสนา ไม่ทำความเข้าใจ แล้ว จับ แพะ ชนแกะ เลือด สาด ไม่เพียงแต่ไม่เกิด
คุณ กับเป็นโทษมหันต์ หากตนเองซึ่งเป็นศาสนิกศาสนานั้น ๆ นอกจากไม่แตกฉาน
ในศาสนาตัวเอง แล้วยังมั่วศาสนาอื่นอีก...
จริง ๆ เรื่องพวกนี้ผมมีรูปและ Link ด้วยแต่ไม่อยากนำมาเสนอในนี้ มัน สุแปรติซัง
ท่านใดต้องการอ่านเรื่องพวกนี้ให้ Search ใน google ว่า "โพธิสัตว์ปรมัตถบารมี"
เป็นแนวคิดของสายหลวงพ่อองค์นึง(ผมไม่กล่าวชื่อแล้วกัน)
ดังพระเยซูเคยตรัสไว้ ...
"ให้เขี่ยท่อนซุงในตาตนเอง ก่อนเขี่ยผงทุลีดินในตาชาวบ้าน"
คนนำมาเผยแพร่ต่อ จากหวังดี กลายเป็นเครื่องมือโดยปริยาย...แบบทำงานผ่านเน็ต
ได้เดือนละแสน...ยิ่งแชร์ ยิ่งสร้างความบอบช้ำให้ สังคม
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์
ผมเคยกล่าวในที่นี้ว่า "ศาสนา" เป็นเรื่อง สุขุมคัมภีรภาพ (สุขุม ลุ่มลึก)
แม้พระพุทธองค์เอง ภายหลังตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้พิจารณาธรรมอยู่ 7 สัปดาห์
ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ
ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรม
เพื่อโปรดมหาชน ต่อมาพระองค์ได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคล
ในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ จึงเป็นที่มาของ บัวสี่เหล่า คือ อุปมา
เปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว 4 จำพวก
ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
โพธิสัตว์ น. ท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า. (ส. โพธิสตฺตฺว; ป. โพธิสตฺต)
1. ทั้งพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า
2. พระเยซูประสูติ หลังพระพุทธองค์ ปรินิพพาน 543 ปี
ณ เวลานี้เราอยู่ที่ พ.ศ. 2555 แต่ ค.ศ. 2012
3. พระเยซู คือ พระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้ พระโพธิสัตว์ คือ มนุษย์ ที่
บำเพ็ญบารมีหรือกระทำความดีต่าง ๆ เพื่อให้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล (คือ ชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป) ...
**ในศาสนาคริสต์ ไม่มีชาติหน้า มีชาติเดียว และชีวิตนิรันด์**
4. พระโพธิสัตว์ มีหลายองค์ พระเยซู มีพระองค์เดียว ...ทรงเป็นหนึ่งในทาง
คริสต์เราเรียก "พระตรีเอกานุภาพ" หรือ "พระตรีเอกภาพ" คือ พระบิดาพระบุตร
และพระจิต
ศาสนา เป็นเรื่องของ ความเชื่อ และ หลักการ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ไม่ได้ เปรียบเหมือนเรือไม่มีหางเสือ ขับไปก็เบ้ซ้ายทีขวาที ชนตลิ่ง ชนสะพาน
ชนเรือลำอื่น มั่วไปหมด...ลังแต่จะทำให้เรือตนเอง และเรือผู้อื่นเสียหาย
ศาสนา ไม่ทำความเข้าใจ แล้ว จับ แพะ ชนแกะ เลือด สาด ไม่เพียงแต่ไม่เกิด
คุณ กับเป็นโทษมหันต์ หากตนเองซึ่งเป็นศาสนิกศาสนานั้น ๆ นอกจากไม่แตกฉาน
ในศาสนาตัวเอง แล้วยังมั่วศาสนาอื่นอีก...
จริง ๆ เรื่องพวกนี้ผมมีรูปและ Link ด้วยแต่ไม่อยากนำมาเสนอในนี้ มัน สุแปรติซัง
ท่านใดต้องการอ่านเรื่องพวกนี้ให้ Search ใน google ว่า "โพธิสัตว์ปรมัตถบารมี"
เป็นแนวคิดของสายหลวงพ่อองค์นึง(ผมไม่กล่าวชื่อแล้วกัน)
ดังพระเยซูเคยตรัสไว้ ...
"ให้เขี่ยท่อนซุงในตาตนเอง ก่อนเขี่ยผงทุลีดินในตาชาวบ้าน"
คนนำมาเผยแพร่ต่อ จากหวังดี กลายเป็นเครื่องมือโดยปริยาย...แบบทำงานผ่านเน็ต
ได้เดือนละแสน...ยิ่งแชร์ ยิ่งสร้างความบอบช้ำให้ สังคม
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์
ความหมายของคำว่าพุทธะ
ในพระพุทธศาสนา พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน")
ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อนที่มนุษย์คู่แรกจะทำบาป ในพระคัมภีร์กล่าวว่า “พวกเขาเปลือยกายแต่ก็ไม่อายต่อกัน” มันบอกถึงว่าจิตของเด็ก (the spirt of the child) ของอาดัมและเอวาตื่นอยู่เสมอ เบิกบานใจตลอดเวลา คล้ายทูตสวรรค์เซราฟิม ที่บินวนเวียนแวกว่ายอยู่รัศมีแห่งพระสิริของพระเจ้า อย่างไม่รู้เบื่อหน่าย ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา หลังจากที่พวกท่านทั้งสองได้ทำบาปโดยกินผลไม้จากต้นไม้แห่งปัญญาที่มีแต่ความรู้ดีและรู้ชั่วเท่านั้น จิตของเด็กของท่านทั้งสองจึงเข้าสู่สภาวะหลับใหล มนุษย์จึงแสดงความเป็นปัจเจกบุคคลโดยพึ่งแต่วิญญาณ(soul)และร่างกาย(flesh body)เท่านั้น
ในหนังสือ La vita interna di Gesù Cristo พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงชีวิตภายในของพระองค์ให้แก่ซิสเตอร์มารีอา เชชีลีอา บายอี พระเยซูทรงตรัสถึงพระองค์เองขณะอยู่ในพระอุทรของพระมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกทรมานพระทัยที่ต้องอยู่ในกายเนื้อ จะไปไหนก็ไม่ได้ ลิ้มรสแต่อาหารที่ไร้รสชาติ ผ่านทางอวัยวะของกายเนื้อ พระองค์ได้ถวายความทรมานพระทัยนี้แด่พระบิดา ในฐานะบุตร เพื่อชดเชยความผิดทุกอย่างที่น้องทั้งหลายได้กระทำผิดต่อพระองค์ด้วยอวัยวะต่างๆของร่างกาย แต่พระองค์ก็ทรงรู้สึกยินดีที่ได้รับอาหารอันบริสุทธิ์เหมาะสมจากพระมารดาผู้บริสุทธิ์และปราศจากมลทินของพระองค์ ในเวลากลางคืนเมื่อพระวิญญาณของพระองค์ถอนตัวจากอวัยวะต่างๆ ของกายเนื้อ พระวิญญาณได้แนบสนิทกับพระวจนาตถ์ เพื่อร่วมกันสรรเสริญ ถวายพระพร และโมทนาคุณในพระกรุณา และความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระบิดา
ในพระพุทธศาสนา พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน")
ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อนที่มนุษย์คู่แรกจะทำบาป ในพระคัมภีร์กล่าวว่า “พวกเขาเปลือยกายแต่ก็ไม่อายต่อกัน” มันบอกถึงว่าจิตของเด็ก (the spirt of the child) ของอาดัมและเอวาตื่นอยู่เสมอ เบิกบานใจตลอดเวลา คล้ายทูตสวรรค์เซราฟิม ที่บินวนเวียนแวกว่ายอยู่รัศมีแห่งพระสิริของพระเจ้า อย่างไม่รู้เบื่อหน่าย ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา หลังจากที่พวกท่านทั้งสองได้ทำบาปโดยกินผลไม้จากต้นไม้แห่งปัญญาที่มีแต่ความรู้ดีและรู้ชั่วเท่านั้น จิตของเด็กของท่านทั้งสองจึงเข้าสู่สภาวะหลับใหล มนุษย์จึงแสดงความเป็นปัจเจกบุคคลโดยพึ่งแต่วิญญาณ(soul)และร่างกาย(flesh body)เท่านั้น
ในหนังสือ La vita interna di Gesù Cristo พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงชีวิตภายในของพระองค์ให้แก่ซิสเตอร์มารีอา เชชีลีอา บายอี พระเยซูทรงตรัสถึงพระองค์เองขณะอยู่ในพระอุทรของพระมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกทรมานพระทัยที่ต้องอยู่ในกายเนื้อ จะไปไหนก็ไม่ได้ ลิ้มรสแต่อาหารที่ไร้รสชาติ ผ่านทางอวัยวะของกายเนื้อ พระองค์ได้ถวายความทรมานพระทัยนี้แด่พระบิดา ในฐานะบุตร เพื่อชดเชยความผิดทุกอย่างที่น้องทั้งหลายได้กระทำผิดต่อพระองค์ด้วยอวัยวะต่างๆของร่างกาย แต่พระองค์ก็ทรงรู้สึกยินดีที่ได้รับอาหารอันบริสุทธิ์เหมาะสมจากพระมารดาผู้บริสุทธิ์และปราศจากมลทินของพระองค์ ในเวลากลางคืนเมื่อพระวิญญาณของพระองค์ถอนตัวจากอวัยวะต่างๆ ของกายเนื้อ พระวิญญาณได้แนบสนิทกับพระวจนาตถ์ เพื่อร่วมกันสรรเสริญ ถวายพระพร และโมทนาคุณในพระกรุณา และความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระบิดา
ในเทววิทยามีคำถามหนึ่งถามว่า พระเยซูเจ้าทรงทำบาปได้หรือไม่ หรือมีบาปกำเนิดได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้ ถ้าพระองค์ทำบาปก็เท่ากับพระองค์ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของตนเอง บาปคือความแตกแยก พระกายและพระวิญญาณของพระองค์ไม่อาจจะแตกแยกกันได้
ทีนี้ถ้าจะมาเล่นบริบทเกี่ยวกับพุทธะ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสภาวะพุทธะเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์มาแต่นิรันดร พระองค์ไม่ใช่ผู้หลับใหลจึงไม่ต้องเป็นผู้ตื่น
Enlightenment การตรัสรู้ การรู้แจ้ง มันเป็นพลังที่พุ่งจากที่ต่ำสู่ที่สูง พลังนี้ไม่จำเป็นต้องวอนขอจากพระเจ้า แต่สามารถอาศัยความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ชั้นบรรยากาศได้ พระพุทธเจ้าจึงพูดได้เต็มพระโอษฐ์ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เหมือนกับคุณธรรมขึ้นพื้นฐาน 4 ประการของมนุษย์ ความรอบคอบ ความยุติธรรม ความกล้าหาญ และความมัธยัสถ์ ที่ไม่จำเป็นต้องวอนขอแต่พระเจ้าก็จะทรงประทานให้เอง พลังของการตรัสรู้สามารถทะลุทะลวงถึงสวรรค์ชั้นบรรยากาศได้ ไม่ว่าสวรรค์ชั้นบรรยากาศจะมีกี่ชั้นก็ตาม แต่ไม่อาจก้าวผ่านแดนนิรวาณ(ช่องว่างระหว่างสวรรค์สูงกับสวรรค์ชั้นบรรยากาศ) ในหนังสือโยบได้พูดถึงบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้ามาประชุมกันในสวรรค์ และซาตานก็เข้าร่วมประชุมด้วย (เวลาที่เราเรียนคำสอน ครูจะถามว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน เด็กๆก็จะตอบว่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วในสวรรค์แต่ละชั้นพระที่นั่งของพระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน เราก็ต้องตอบว่าอยู่ทุกชั้น พระเจ้าพระองค์เดียวสามารถปรากฏพระองค์ได้พร้อมกันทุกสถานที่ในเวลาเดียวกัน)
Illumination การส่องสว่าง เป็นพลังที่มาจากสวรรค์สูง มนุษย์จึงต้องวอนขอต่อพระเจ้าเท่านั้น สวรรค์สูงเป็นสถานที่ที่ซาตาน หรือมนุษย์คนใดก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ยกเว้นแต่พระบุตรผู้มาจากสวรรค์สูง ผู้ที่รู้ทางที่จะกลับไปสู่สวรรค์สูงนั้นก็มีเพียงแต่พระบุตร ทางกลับสู่สวรรค์สูงพระเยซูทรงเรียกว่าทางแห่งกางเขน มันเล็กแคบเหมือนรูเข็ม และผู้ที่จะกลับสู่สวรรค์สูงได้ก็จะต้องตื่นจากหลับใหล จิตของเด็กจะต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะต้องแสดงความบุตรออกมาให้พระบิดาได้ทรงเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยงบุตร ธรรมชาติของเด็กจะอ่อนน้อมถ่อมตน ขอความช่วยเหลือ เชื่อฟังและปฏิบัติตามโดยไม่คิดหาเหตุผลมาต่อต้าน
ทีนี้ถ้าจะมาเล่นบริบทเกี่ยวกับพุทธะ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสภาวะพุทธะเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์มาแต่นิรันดร พระองค์ไม่ใช่ผู้หลับใหลจึงไม่ต้องเป็นผู้ตื่น
Enlightenment การตรัสรู้ การรู้แจ้ง มันเป็นพลังที่พุ่งจากที่ต่ำสู่ที่สูง พลังนี้ไม่จำเป็นต้องวอนขอจากพระเจ้า แต่สามารถอาศัยความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ชั้นบรรยากาศได้ พระพุทธเจ้าจึงพูดได้เต็มพระโอษฐ์ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เหมือนกับคุณธรรมขึ้นพื้นฐาน 4 ประการของมนุษย์ ความรอบคอบ ความยุติธรรม ความกล้าหาญ และความมัธยัสถ์ ที่ไม่จำเป็นต้องวอนขอแต่พระเจ้าก็จะทรงประทานให้เอง พลังของการตรัสรู้สามารถทะลุทะลวงถึงสวรรค์ชั้นบรรยากาศได้ ไม่ว่าสวรรค์ชั้นบรรยากาศจะมีกี่ชั้นก็ตาม แต่ไม่อาจก้าวผ่านแดนนิรวาณ(ช่องว่างระหว่างสวรรค์สูงกับสวรรค์ชั้นบรรยากาศ) ในหนังสือโยบได้พูดถึงบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้ามาประชุมกันในสวรรค์ และซาตานก็เข้าร่วมประชุมด้วย (เวลาที่เราเรียนคำสอน ครูจะถามว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน เด็กๆก็จะตอบว่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วในสวรรค์แต่ละชั้นพระที่นั่งของพระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน เราก็ต้องตอบว่าอยู่ทุกชั้น พระเจ้าพระองค์เดียวสามารถปรากฏพระองค์ได้พร้อมกันทุกสถานที่ในเวลาเดียวกัน)
Illumination การส่องสว่าง เป็นพลังที่มาจากสวรรค์สูง มนุษย์จึงต้องวอนขอต่อพระเจ้าเท่านั้น สวรรค์สูงเป็นสถานที่ที่ซาตาน หรือมนุษย์คนใดก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ยกเว้นแต่พระบุตรผู้มาจากสวรรค์สูง ผู้ที่รู้ทางที่จะกลับไปสู่สวรรค์สูงนั้นก็มีเพียงแต่พระบุตร ทางกลับสู่สวรรค์สูงพระเยซูทรงเรียกว่าทางแห่งกางเขน มันเล็กแคบเหมือนรูเข็ม และผู้ที่จะกลับสู่สวรรค์สูงได้ก็จะต้องตื่นจากหลับใหล จิตของเด็กจะต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะต้องแสดงความบุตรออกมาให้พระบิดาได้ทรงเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยงบุตร ธรรมชาติของเด็กจะอ่อนน้อมถ่อมตน ขอความช่วยเหลือ เชื่อฟังและปฏิบัติตามโดยไม่คิดหาเหตุผลมาต่อต้าน
ดูสับสนและย้อนแย้งในตัวเองนะครับ ใช้ความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ แต่พูดได้ว่าพึ่งตนเอง
และยังย้อนแย้งว่า ไม่ต้องขอพระเจ้า แต่ให้ทูตสวรรค์ช่วย
คือเทวศาสตร์สอนชัดว่า ทูตสวรรค์คือจิตที่พระเจ้าสร้างเพื่อรับใช้พระเจ้านะครับ ถ้าพระองค์ไม่อนุญาตทูตสวรรค์ก็ทำให้ไม่ได้หรอกครับ
และยังย้อนแย้งว่า ไม่ต้องขอพระเจ้า แต่ให้ทูตสวรรค์ช่วย
คือเทวศาสตร์สอนชัดว่า ทูตสวรรค์คือจิตที่พระเจ้าสร้างเพื่อรับใช้พระเจ้านะครับ ถ้าพระองค์ไม่อนุญาตทูตสวรรค์ก็ทำให้ไม่ได้หรอกครับ