อยากถามเกี่ยวกับคลิ๊ปนี้ค่ะ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Berserker
โพสต์: 94
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 09, 2010 4:37 pm

จันทร์ ส.ค. 08, 2011 9:52 pm



เรายังศรัทธาในพระศาสนจักรคาทอลิคอย่างไม่เปลี่ยนแปลงนะคะ แต่ยังเกิน100%เหมือนเดิม แต่อยากได้คำอธิบายน่ะค่ะ สงสัยอยู่เนืองๆ แต่เชื่อว่าต้องมีเหตุผลที่ดีแน่นอนค่ะ (เหมือนหลายๆข้อหาที่เคยโดนมาก็มักอธิบายได้เสมอๆ) เผื่อมีใครดูมาถามจะได้ไม่เข้าใจผิดค่ะ รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

จันทร์ ส.ค. 08, 2011 10:53 pm

เรื่องนี้คริสเตียนฯหลายท่านคงเคยได้ยินมามากแล้วหละครับ
อาจมีบางคนยังไม่รู้ แต่สำหรับคาทอลิกผมไม่ทราบเหมือนกันว่า เพิ่งเคยได้ยินหรือเปล่า
คือแต่ละที่แม้จะมีการตีความต่างกันไปบ้าง แต่เรื่องราวก็มีโครงเรื่องยึดตามพระคัมภีร์ คือข้อดังปรากฏในคลิปดังกล่าว ถ้าพิจารณาดีๆก็ค่อนไปทางสอดคล้องกันใกล้เคียงกัน(ยกเว้นที่ตีความแปลกมากๆว่า 666 คือ computer ^^) แม้ที่ๆผมนมัสการอยู่ก็ไม่ได้ตีความตรงกับคลิปข้างต้น100% ตีความ666เป็น ซีซาร์เนโน แต่ก็มีโครงที่คล้ายกัน

อย่างไรก็ดี ผมเป็นมนุษย์ ผมไม่กล้าและไม่คู่ควรในการพิพากษาว่าอะไรถูกอะไรผิด อำนาจนั้นไม่ใช่ของผม แต่พระเจ้าบอกกับเราในพระคัมภีร์แล้วว่า "อย่าหมิ่นคำเทศนาพยากรณ์"(1 th 5:20) ก็แล้วแต่พระวิญญาณจะเปิดเผยไขแสดงก็แล้วกันนะครับ เพราะพระองค์จะบอกเราได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

ส่วนตัวแล้ว ความเชื่อหลักๆของคริสเตียนคือ องค์พระเยซูคริสตเจ้าเป็นกษัตริย์ผู้สูงสุดองค์เดียวแห่งคริสตจักรอยู่แล้ว เพราะผู้อื่นไม่มีคุณสมบัติอย่างพระองค์ (rev 1) คือผู้ทรงเป็นอัลฟา และ โอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย ดำรงอยู่ในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และสืบๆไปเป็นนิจ ผู้ทรงมีเนตรดังเปลวเพลิง ถือดวงดาวเจ็ดดวง(คือทูตแห่งคริสตจักรทั้งหลาย) ผู้มีพระพัตรดังดวงอาทิตย์แสงกล้า เท้าของพระองค์ดังทองเหลืองที่ผ่านการหลอมดีแล้ว(การพิพากษา).....ฯลฯ......ผู้เดียวเท่านั้นที่ดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ด(คือคริสตจักรทั้งเจ็ด).และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้

อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่งรู้สึกผมเคยโพสในหัวข้ออื่นไว้นานแล้ว จำไม่ได้เหมือนกันว่าหัวข้อไหน จะถูกจะผิด จะนอบน้อมหรือไม่ ทุกคนที่เชื่อมีพระวิญญาณวินิจฉัยได้ ก็ลองถามพระองค์เองดูครับ (พอดีเจอ เป็นคลิปในเครือเดียวกันเลย กดlink ไปดู ^^)



ปล.รอฟังความเห็นพี่น้องคาทอลิกครับ อิมมานูเอล
แก้ไขล่าสุดโดย aqua-alta เมื่อ จันทร์ ส.ค. 08, 2011 11:42 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Trinity
โพสต์: 147
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 06, 2008 2:00 am

จันทร์ ส.ค. 08, 2011 11:23 pm

คลิบนี้ เป็น พวก ลัทธิเทียมเท็จ เอามาลงนะครับ อย่าไปใส่ใจ ผมไม่ได้บอกโดยไม่มีข้อมูลนะครับ อะเอาไปดูกัน

http://www.youtube.com/watch?v=iZPsRfsppqo

พวกนี้ เป็นกลุ่มลัทธิเทียมเท็จจากเกาหลี ใช้ชื่อว่า
The World Mission Society Church of God
ก่อตั้งโดย Ahn Sahng-hong
ชาวเกาหลีในปี 1964 ที่อ้างว่าตนเองคือพระคริสต์ที่­เสด็จมาในโลกนี้เป็นครั้งที่สอง ส่วนนี่คือเว็บของเขาครับ
http://english.watv.org/

น่าขำ ที่ลัทธินี้แปลพระคัมภีร์มั่วและผิดมากมาย แปลผิดถึงขนาด ว่า มีพระเจ้าพระบิดา ก็ต้องมีพระเจ้าพระมารดานะครับ ลองดูใน ลิ้งค์ youtube ที่ผมเอาให้ดู แล้วสังเกตุคน โพสต์นะครับ ว่าเป็นคนเดียวกับ คลิป ของเจ้าของกระทู้และ คลิป ที่ หาว่า พระศาสนจักรคาทอลิก คือ antichrist ไหม
ลัทธินี้มนัสการพระเจ้าในสะบาโต วันเสาร์

ลัทธินี้ให้สุภาพสตรีใส่ผ้าคลุมเวลานมัสการและอธิษฐาน

ลัทธินี้เชื่อในตรีเอกานุภาพแห่งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระมารดา พระเจ้าพระบุตร

ลัทธินี้เชื่อว่าพระสันตะปาปาคือAntichrist

ลัทธินี้เชื่อในพระเจ้าพระมารดาคือพระผู้สร้างสรรพสิ่งพร้อมพระเจ้าพระบิดา

ลัทธินี้เชื่อว่ามนุษย์ชายคือฉายาแห่งพระเจ้าพระบิดา
ลัทธินี้เชื่อว่ามนุษย์หญิงคือฉายาแห่งพระเจ้าพระมารดา

ลัทธินี้เชื่อว่าน้ำแห่งชีวิตคือพระเจ้าพระมารดา

ลัทธินี้เชื่อว่าการเฉลิมวันอีสเตอร์คือการบูชาพระนอกรีต

ฉะนั้น ขอพี่น้องได้โปรดช่วยกัน สวด ขอพระฯ ได้โปรดเมตตาที่จะไม่มีผู้ใดหลงเชื่อลัทธิเทียมเท็จนี้
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

จันทร์ ส.ค. 08, 2011 11:29 pm

ถ้าแรงถึงขั้นมีพระเจ้าพระมารดาก็ไม่ไหวนะครับ
ค่อนข้างน่ากลัว
ส่วนเรื่องพระคริสต์เทียมเท็จนั้นก็มีอยู่ทั่วไปในปัจจุบันตามคำพยากรณ์โดยพระโอษฐ์ของพระเยซูคริสต์ของเราเอง ว่ายุคสุดปลายจะมีพวกเหล่านี้มากมาย
อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่เคยเห็นพระเจ้าพระมารดาปากฏในพระคัมภีร์นะครับ
ข้อที่เขาอ้างในคลิปตามลิงค์ 1 ti 6:15 ก็ไม่ได้กล่าวเกี่ยวกับพระมารดาเลยซักนิด
"ซึ่งพระองค์จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาของพระองค์ คือพระองค์นั้นผู้ทรงประกอบด้วยบรมสุขและเป็นมหิศรพระองค์เดียว เป็นพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งปวง."
เห็นได้ชัดครับว่ากล่าวถึงพระบิดาเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระมารดาปรากฏอยู่เลยครับ
น่าขำจริงๆแหละครับ

และ
ลัทธินี้มนัสการพระเจ้าในสะบาโต วันเสาร์

ลัทธินี้ให้สุภาพสตรีใส่ผ้าคลุมเวลานมัสการและอธิษฐาน

ลัทธินี้เชื่อในตรีเอกานุภาพแห่งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระมารดา พระเจ้าพระบุตร

ลัทธินี้เชื่อว่าพระสันตะปาปาคือAntichrist

ลัทธินี้เชื่อในพระเจ้าพระมารดาคือพระผู้สร้างสรรพสิ่งพร้อมพระเจ้าพระบิดา

ลัทธินี้เชื่อว่ามนุษย์ชายคือฉายาแห่งพระเจ้าพระบิดา
ลัทธินี้เชื่อว่ามนุษย์หญิงคือฉายาแห่งพระเจ้าพระมารดา

ลัทธินี้เชื่อว่าน้ำแห่งชีวิตคือพระเจ้าพระมารดา

ลัทธินี้เชื่อว่าการเฉลิมวันอีสเตอร์คือการบูชาพระนอกรีต
1.ในยุคพันธสัญญาใหม่เราถือวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นขึ้นในวันอาทิตย์นะครับ
2.การใส่ผ้าคลุมมีปรากฏในพระคัมภีร์ครับ ชัดเจนด้วย เล็งถึงความนอบน้อมนะครับ อันนี้ผมว่าไม่ผิด
3.ข้อนี้เป็นข้อตัดสินเลยก็ว่าได้ ว่าเป็นมิจฉาลัทธิหรือไม่
4.เรื่องสันตะปาปา ผมไม่มีอำนาจพิพากษา
5.พระคัมภีร์บันทึกชัดเจนถึงการทรงสร้างว่าเป็นมาแต่พระบิดาเจ้า ไม่เกี่ยวกับพระมารดา(เพราะไม่เคยมีพระมารดาเจ้าเลยทั้งที่ปรากฏในพระคัมภีร์ และในความเป็นจริง)
6.พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ทั้งหญิงชายครับ
7.น้ำแห่งชีวิต ผมไม่ get ครับ ว่าคืออะไร :s013:
8.การฉลองการเป็นขึ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปเกี่ยวอะไรกับพระนอกรีตอะครับ
ตลกก็จริงนะครับ แต่ก็น่ากลัว
อย่างไรก็ตาม ในนี้ก็มีจริงปนเท็จ(ตามสไตล์ของมารตั้งแต่การหลอกล่อบรรพบุรุษคู่แรกของมนุษย์ ใช้คำจริงปนคำเท็จ) ดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า ควรใช้การวินิจฉัยมาจากพระวิญญาณมากๆครับ ผมเชื่อว่าผู้เชื่อคงจะแยกออกได้นะครับว่าอะไรจริง อะไรเทียมเท็จ ถ้าเราแยกเอาความจริงออกมาใช้สอยได้ ก็เป็นประโยชน์ต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรานะครับ ส่วนอะไรเท็จก็ไว้เป็นภูมิคุ้มกัน
อิมมานูเอล
ภาพประจำตัวสมาชิก
Trinity
โพสต์: 147
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 06, 2008 2:00 am

อังคาร ส.ค. 09, 2011 10:23 am

http://www.youtube.com/watch?v=UDyNmJ9Z ... re=related


อะเอามาให้ดูอีกคลิป สังเกตุคนเอาลงโพสต์นะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Trinity
โพสต์: 147
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 06, 2008 2:00 am

อังคาร ส.ค. 09, 2011 10:27 am

http://www.youtube.com/watch?v=E3JZyHjm4Ug


อะนี่ที่เขาเอาลงเกี่ยวกับวันอีสเตอร์
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

อังคาร ส.ค. 09, 2011 2:22 pm

เหมือนเขาจะตั้งใจแปลพระคัมภีร์ให้ตรงกับคาทอลิกมาก ๆ เลยนะครับ โดยที่ไม่ดูเลยว่าตัวเองสอนผิดอย่างไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:38 pm

ขอยกข้อมูลของพี่โฮลี่มาให้อ่านหมดเลยนะครับ ผมจำิลิ้งค์ไม่ได้ เพราะผมเซฟข้อมูลลงคอมพ์ไว้

2ปต 2:11
ผู้สอนผิดเหล่านี้ก้าวร้าว หยิ่งยโส ไม่เกรงกลัวที่จะล่วงเกินบรรดาจิตที่ทรงสิริรุ่งโรจน์ แม้แต่ทูตสวรรค์ผู้ทรงพลังและอำนาจมากกว่ายังไม่กล่าวหาพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่คนเหล่านี้ประพฤติเหมือนกับสัตว์เดียรัจฉานประเภทที่ตามธรรมชาติเกิดมาเพื่อถูกจับไปฆ่า เขาล่วงเกินสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ เขาจะถูกทำลายเช่นเดียวกับสัตว์เดียรัจฉาน จะถูกลงโทษเป็นการตอบแทนความอธรรมของเขา
แก้ไขล่าสุดโดย Cherval เมื่อ อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:39 pm

ส่วนเรื่องที่โกหกว่าคาทอลิกเริ่มใช้รูปปั้นในวัด ลองอ่านพระธรรมเดิมนะครับ ก่อนพระเยซูเกิดมีการสร้างพระวิหาร โดยอิงจากนิมิตในสวรรค์ และมันมีรูปปั้นครับ

Ezekiel 41:16
ห้องโถงของพระนิเวศนั้นและห้องชั้นในและมุขชั้นนอกบุด้วยไม้และทั้งสามนั้นมีหน้าต่างรอบซึ่งมีกรอบฝังลึก ตรงข้ามธรณีประตูบุไม้โดยรอบ ตั้งแต่พื้นถึงหน้าต่าง (หน้าต่างนี้มีม่านคลุม) ทั้งช่องว่างที่อยู่เหนือประตูถึงแม้เป็นห้องชั้นใน และข้างนอกและบนผนังโดยรอบที่ห้องชั้นในและ ห้องโถงก็มีรูปแกะไว้ เป็นรูปเครูบ รูปต้นอินทผลัม และรูปต้นอินทผลัมระหว่างเครูบทุกรูป เครูบทุกตนมีสองหน้า หน้าของผู้ชายตรงต้นอินทผลัมที่อยู่ข้างหนึ่ง และหน้าของสิงห์หนุ่มตรงต้นอินทผลัมที่อยู่อีกข้างหนึ่ง มีรูปอย่างนี้แกะไว้รอบพระนิเวศ จากพื้นถึงที่เหนือประตู มีรูปเครูบและ รูปต้นอินทผลัมแกะอยู่ที่ผนัง
ฝ่ายเสาประตูของห้องโถงนั้นสี่เหลี่ยม ข้างหน้าวิสุทธิสถานก็มีอะไรเหมือนกับแท่นบูชาทำด้วยไม้ สูงสามศอกยาวสองศอก และกว้างสองศอก ที่มุม ที่ฐาน และที่ผนังทำด้วยไม้ ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นโต๊ะซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า” ห้องโถงคือวิสุทธิสถาน มีประตูคู่แห่งละคู่ ประตูนั้นมีสองบาน ประตูหนึ่งมีบานเหวี่ยงสองบาน และบนประตูของห้องโถง มีเครูบและต้นอินทผลัมแกะไว้ เช่นเดียวกับที่แกะไว้บนผนัง มีปะรำไม้อยู่ที่หน้ามุขข้างนอก มีหน้าต่างที่มีกรอบฝังลึกและมีต้นอินทผลัมอยู่ ทั้งสองข้างที่บนผนังด้านข้างมุข ทั้งห้องระเบียงพระนิเวศและปะรำ

------------------------------------------------------------------------

รูปแกะสลักในวิหารพระเจ้าสร้างโดยกษัตริย์โซโลมอน

II Chronicles 3:13
แล้วซาโลมอนทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ที่กรุงเยรูซาเล็มบนภูเขาโมริยาห์ ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปรากฏแก่ดาวิดราชบิดาของพระองค์ ตรงที่ซึ่งดาวิดทรงกำหนดไว้ที่ลานนวดข้าวของโอรนัน คนเยบุส พระองค์ทรงเริ่มสร้างในวันที่สองเดือนที่สองของปีที่สี่ แห่งรัชกาลของพระองค์ ต่อไปนี้เป็นรากฐานซึ่งซาโลมอน ทรงวางเพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนยาวตามศอกโบราณ หกสิบศอก และกว้างยี่สิบศอก มุขด้านหน้าของพระนิเวศนั้นยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระนิเวศ และส่วนสูงหนึ่งร้อยยี่สิบ พระองค์ทรงบุด้านในด้วยทองคำบริสุทธิ์ ห้องโถงพระองค์ทรงบุด้วยไม้สนสามใบ และบุด้วยทองคำเนื้อนพคุณ และทำต้นอินทผลัมและลูกโซ่ประดับไว้บนนั้น พระองค์ทรงแต่งพระนิเวศด้วยฝังเพชรพลอย ทองคำนั้นเป็นทองคำเมืองพารวายิม พระองค์จึงทรงบุพระนิเวศนั้นด้วยทองคำคือที่คาน ธรณีประตู ผนัง ประตู กับสลักรูปเครูบไว้บนผนัง
และพระองค์ทรงสร้างอภิสุทธิสถาน คือความยาวของที่นั้นตามความกว้างของพระนิเวศ เป็นยี่สิบศอกและกว้างยี่สิบศอก พระองค์ทรงบุด้วยทองคำนพคุณหนักหกร้อยตะลันต์ น้ำหนักของตะปูห้าสิบเชเขลทองคำ และพระองค์ทรงบุห้องชั้นบนด้วยทองคำ
ในอภิสุทธิสถานนั้น พระองค์ทรงสร้างเครูบไว้สองรูปด้วยไม้บุทองคำ ปีกของเครูบทั้งสองนั้นกางออกยี่สิบศอก ปีกข้างหนึ่งของเครูบรูปหนึ่งยาวห้าศอกจดผนังพระนิเวศ และอีกปีกหนึ่งยาวห้าศอกจดปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง และรูปนี้ ปีกข้างหนึ่งห้าศอกจดผนังพระนิเวศ และอีกปีกหนึ่งห้าศอกด้วยติดต่อกับปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง ปีกของเครูบเหล่านี้กางออกยี่สิบศอก เครูบทั้งสองนั้นยืนหันหน้าไปทางห้องโถง และพระองค์ทรงสร้างม่านด้วยผ้าสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าป่าน และปักรูปเครูบไว้บนนั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:43 pm

รูปภาพ

ความจริงเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันในสิ่งที่เราเรียกว่า

บัญญัติ10ประการ

กันก่อน

ว่าที่จริงแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา มันไม่ได้บอกว่ามี10ข้อ และไม่ได้บอกด้วยว่าให้แบ่งเป็น10ข้อ ที่จริงพระบัญญัติประทานมาเป็นข้อความยาวเหยียด มีทั้งส่วนสำคัญและส่วนขยาย ดังนี้

มาดูบทพระคัมภีร์บทดังกล่าวกัน

เฉลยธรรมบัญญัติ5:5

ครั้งนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระเจ้ากับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย เพราะท่านทั้งหลายกลัวเพลิง จึงมิได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
“ 'เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาส
67“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ
11“ 'อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่างไม่สมควร ด้วยผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษหามิได้
12“ 'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชา ไว้แก่เจ้า
13จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
14แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโต(แปลว่า หยุด หยุดพัก (งาน)) แห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำงานสิ่ง ใดๆ คือเจ้าเอง หรือบุตราบุตรีของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้ใดๆของเจ้า หรือแขกที่อยู่ในเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
15จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออก เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต
16“ 'จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของ เจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
17“ 'อย่าฆ่าคน
18“ 'อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
19“ 'อย่าลัก ทรัพย์
20“ 'อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
21“ 'อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน และอย่าอยากได้บ้านของเพื่อนคือไร่นา ทาส ทาสี วัว ลา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน'
22“พระวจนะเหล่านี้พระเจ้า ได้ตรัสแก่ชุมนุมชนทั้งปวงของท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิงเมฆ และความมืดคลุ้มหนาทึบ ด้วยพระสุรเสียงอันดัง และมิได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก


------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ทำสีไว้ คือส่วนของบัญญัติทั้งหมด ซึ่งเอาเข้าจริง จะเรียกว่าบัญญัติหลายสิบประการเลยก็ได้นะครับ




ทีนี้เรามาดูบัญญัติแต่ละส่วน ผมขอเน้นส่วนของพระเจ้า ซึ่งแยกได้3คอนเซปหลักๆคือ

1-เรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียวตั้งแต่ข้อ7-10
2-เรื่องการระวังการออกพระนามพระเจ้าในข้อ11
3-เรื่องถือวันสะบาโตตั้งแต่ข้อ12-15

ผมขออ้างอิงกรณีวันสะบาโตก่อน เพราะเราคงจำได้ว่าพะรเยซูเจ้าพิพาทกับฟาริสีเรื่องนี้โดดเด่นหลายหนที่สุด เราจำได้ไหมครับว่าฟาริสีถืออเคร่งมากว่า ห้ามทำอะไรเลยที่จัดว่าเป็นงานในวันสะบาโตโดยเน้นอ้างที่ข้อ13-14 แต่หัวข้อของประเด็นนี้อยู่ที่ข้อ12 คือ"'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์" ทีนี้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ยังไง ก็ด้วยตามที่บอกไว้ในข้อ13-14ว่าห้ามทำงานโน่นนี่ ส่วนข้อ15เป็นการบอกเหตุผลว่าทำไมควรถือวันนี้

นี่คือโครงสร้างของบทบัญญัติข้อนี้นะครับ คือมีหัวข้อ มีการอธิบายวิธีการ และมีเหตุผล

แต่ฟาริสีเน้นการปฎิบัติตามตัวอักษรจนเขาลืมเหตุผลแท้จริงว่าพระเจ้ากำหนดวันนี้ทำไม ซึ่งเราตอบได้เลยว่า

ไม่ใช่ว่าพระเจ้าต้องการให้ว่างงานวันนั้น แต่ที่จริงต้องการให้เราสละ1วันไปนมัสการพระเจ้าในวิหารหรือศาลาธรรม เจตนาที่ห้ามทำงานเพื่อให้ว่าง ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่อยากเห็นใครทำงาน ที่ขนาดแบกแคร่กลับบ้าน หรือรักษาคน ไล่ผีวันนั้นก็ไม่ได้

พระเยซูเจ้าที่น่ารักตอบพวกนั้นชัดเจน2เรื่องคือ 1วันสะบาโตควรทำดีหรือทำชั่ว และ2พระบิดาทำงานทุกวันแหละ (ไม่งั้นพืชคงไม่งอกวันสะบาโต ดวงอาทิตย์คงงดฉายแสงวันนั้น และฝนคงไม่ตกวันนั้นจริงไม๊)

นี่คือสาระสำคัญของบทบัญญัติข้อนี้ และนี่คือวิธีที่พระเยซูสอนให้เราตีความพระคัมภีร์ นั่นคือ ที่จริงพระเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่ทำตามตัวอักษรแล้วพระเจ้าจะพอพระทัย

จำคำพูดของพระองค์ได้ไม๊ที่ว่า (ลก 13:15)องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’

เห็นมั้ยครับ ว่าพระเยซูตีความพระคัมภีร์ด้วยเหตุผลของความรัก

เรากลับมาดูข้อแรก อันเป็นข้อที่พิพาทกันระหว่างนิกายเสมอมา

7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ


เห็นไม๊ครับว่า โครงสร้างข้อนี้คือ

1-มีพระเจ้าสูงสุดแต่ผู้เดียวในข้อ7
2-โดยอย่านมัสการรูปเคารพในข้อ8-9
3-เพราะเหตุผลคือพระเจ้าหวงแหนเราไม่อยากให้เราไปนมัสการพระอื่นเป็นพระเจ้าในข้อ9 และยังพ่วงบทลงโทษและอวยพรไว้ในข้อ9-10

---ดังนั้นหลักใหญ่ใจความไม่ใช่เรื่องการมีรูปหรือไม่มีรูป แต่เป็นเรื่องการนมัสการพระเจ้าสูงสุดแต่ผุ้เดียว

---เราคงจำได้ว่าหินบัญญัติแผ่นแรกถูกทุ่มแตกตั้งแต่ตอนโมเสสเห็นอิสราเอลนมัสการรูปวัวทอง ดังนั้น แน่ใจได้เลยว่าการห้ามทำรูปเคารพในที่นี้ พระเจ้าหมายถึงรูปเคารพในศาสนาอื่นหรือรูปเคารพของพระเจ้าที่ไม่มีจริงเช่นในกรณีวัวทองคำนั้น และหมายถึงรูปที่เอามานมัสการเทียบเท่าพระเจ้า เหมือนในศาสนาโบราณสมัยก่อนที่มีการบูชายัญต่อเทวรูปไม่ได้หมายถึงรูปของพระองค์หรือเหล่าช่าวสวรรค์เลย เพราะพระเจ้าเองทรงสั่งให้สร้างหีบพันธสัญญาที่มีรูปเครูป(เทวดาชั้นหนึ่งในสวรรค์)กางปีกอย่างชัดเจน

Exodus 25:18
พระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าจงเก็บไว้ในหีบนั้น แล้วจงทำพระที่นั่งกรุณา(หรือ ฝา (หีบ)) ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณา ไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น ณ ที่นั้น เราจะอยู่ให้เจ้าเข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้า จากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งตั้งอยู่บน หีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่อง

รูปภาพ

---นั่นชัดเจนว่า ทั้งโมเสส อาโรน รวมทั้งอิสราเอลทั้งหมด ก็ต้องก้มหน้านมัสการไปที่หีบที่มีรูปปั้นเทวดาทำด้วยทอง

แล้วถามว่า มันต่างกับวัวทองตรงไหน ต่างกันก็ตรงที่

1.การนมัสการวัวทองนั้นชัดแจ้งว่า นมัสการพระเท็จเทียม เป็นพระเจ้าอื่นที่สร้างขึ้นเอง จิตนาการขึ้นเองไม่มีจริง แล้วยกขึ้นแทนที่พระเจ้า
2.แต่การนมัสการพระเจ้าในจุดที่มีรูปปั้นเครูปนั้น แม้จะมีรูปปั้นเครูปกางปีกทนโท่เราก็รู้อยู่ดีวว่าเรากำลังคุยกับใคร และพระเจ้าของเราคือใคร พระเจ้าคือพระจิตที่ลงมาตรงจุดนั้นไม่ใช่ตัวรูปปั้นหรือตัวหีบนั้น เรารู้ดีว่าเครูบคือชาวสวรรค์ที่รับใช้พระเจ้า

รูปภาพ

(อิสราเอลเดินแห่หีบ แถมถวายกำยานให้ด้วย ทั้งที่หีบ เครูบ หรือแผ่นบัญญัติ โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย)

---ดังนั้น แปลง่ายๆว่า ถ้าเราไหว้กางเขน หรือไหว้ไปทางรูปพระเยซู เราไม่ได้ไหว้วัสดุนั้น เรารู้ตัวว่าเราไหว้พระเยซูเจ้าผู้มีตัวตนจริงและเป็นพระเจ้า เหล่าเทวดานักบุญก็เช่นกัน ต่อให้เรายกมือไหว้รูปพวกท่าน ถามว่า"เราคิดว่าท่านเป็นพระเจ้าหรือเปล่า" ถ้าเรารู้แก่ใจว่าเราไหว้ท่านในฐานะไหนแล้วมันจะเป็นการผิดบัญญัติข้อ1นี้ได้ยังไง

ในเมื่อมันชัดเจนในเหตุผลว่า ที่พระเจ้าห้ามในสมัยนั้นเพราะไม่อยากให้เราไหว้พระเท็จเทียม(ซึ่งในสมัยนั้นคือลัทธิบูชาเทวรูปต่างๆที่สร้างจินตนาการเป็นเทวนิยายเอาเองไม่มีจริง) เพราะพระองค์หวงแหนเรา ไม่ใช่เพราะพระองค์เกลียดงานศิลปะ จิตกรรม และปะติมากรรม

ดังนั้นการสร้างเทวรูปบูชาสมัยโบราณ คมันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง กับการวาดรูปไอคอนในออโธอดอค หรือการมีรูปศักดิ์สิทธิ์ในคาทอลิค

ดังนั้น ถ้าต้องการเส้นแบ่งที่"รูปแบบการกระทำ" คุณจะหลงทางทันทีเหมือนกรณีไม่ทำงานอะไรเลยในวันสะบาโตในสมัยพระเยซู
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:46 pm

ตอนนาทีที่ 4.35
คือตอนที่อ้างวิวรณ์บทที่13 ถ้าเราลองอ่านดูไหมว่าวิวรณ์บทที่12 ที่อยู่ก่อนหน้า13 จริงๆเขียนว่้ายังไง และสัตว์ร้ายคืออะไร
-----------------------------------------------------------------------

วว 12:1-17 นิมิตเรื่องสตรีและมังกร

รูปภาพ

เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน สงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับเหล่าทูตสวรรค์ของเขาต่อสู้กับมังกร มังกรพร้อมกับบริวารของมันก็ต่อสู้ด้วย แต่มันพ่ายแพ้และไม่มีที่พำนักในสวรรค์อีกต่อไป มังกรใหญ่ คืองูดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่าปีศาจและซาตาน ผู้ล่อลวงผู้อาศัยอยู่ทั่วแผ่นดินให้หลงไป ถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน บริวารของมันก็ถูกโยนลงมาด้วย ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ เพราะผู้กล่าวหาบรรดาพี่น้องของเรา คือผู้ที่กล่าวหาเขาทั้งกลางวันกลางคืนเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าของเราก็ถูกโยนลงไปแล้ว บรรดาพี่น้องของเราชนะผู้กล่าวหา เดชะพระโลหิตของลูกแกะและอาศัยคำพยานของตน เพราะเขาไม่หวงแหนชีวิตแม้เมื่อเผชิญความตาย ดังนั้น สวรรค์และท่านทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ จงชื่นชมเถิด วิบัติจงเกิดแก่แผ่นดินและทะเล เพราะปีศาจลงมายังแผ่นดินและทะเลด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เพราะมันรู้ว่ามีเวลาเหลือน้อยแล้ว เมื่อมังกรหรืองูเห็นว่าตนถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน ก็เริ่มเบียดเบียนสตรีที่คลอดบุตรชาย แต่สตรีนั้นรับปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกเพื่อจะได้บินไปยังถิ่นทุรกันดารที่พำนักของนาง ที่นั่นนางจะได้รับการเลี้ยงดูพ้นสายตาของงูเป็นเวลาสามปีครึ่ง งูพ่นน้ำออกจากปากเหมือนแม่น้ำตามหลังสตรี เพื่อให้นางถูกกระแสน้ำพัดไป แต่แผ่นดินช่วยนางไว้ แผ่นดินอ้าปากออกและดื่มแม่น้ำที่มังกรพ่นออกมาจากปากของมัน มังกรโกรธสตรี และออกไปทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ที่เหลือของนาง คือผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานถึงพระเยซูเจ้า

----------------------------------------------------------------

นี่คือบทอ่านประจำวันสมโภชพระมารดามารีย์เสด็จขึ้นสวรรค์ของพระศาสนจักร ที่คริสตชนคาทอลิคคงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยความที่เป็นภาษาสัญลักษณ์จึงมีหลายคณะและหลายนิกายที่ตีความพระวาจาบทนี้แตกต่างออกไป แต่สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิค และออธอดอค ที่เน้นการตีความตามแบบปิตาจารย์ของพระศาสนจักรยุคเริ่มแรก ได้นำบทนี้เป้นบทอ่านของวันฉลองพระมารดามารีย์ และดูเหมือนว่า สวรรค์เองจะยืนยันการตีความนี้ด้วยการเปิดเผยและไขแสดงจากเบื้องบน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:49 pm

ในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 1531 ชาวอินเอียนแดงผู้หนึ่งชื่อ ยวง ดิเอโก ได้รับการประจักษ์จากสตรีที่บอกว่าเธอคือ "มารีอา ผู้เป็นพรหมจารี และมารดาพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงผู้สร้างสรรพสิ่งและสถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง"

รูปภาพ

ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้บนวัสดุหยาบๆ ของเสื้อคลุมนั้น เป็นอัศจรรย์อย่างแท้จริง

พระฉายาลักษณ์มีรังสีของดวงอาทิตย์ล้อมรอบและภายใต้พระบาทแม่พระ มีเสี้ยวดวงจันทร์กับมีเทวดาองค์หนึ่งค้ำจุนอยู่ข้างล่าง ปีกของเทวดาประดับด้วยขนนกสีแดง สีขาวและสีเขียว รูปทรงเหมือนปีกนกอินทรี แม่พระสวมเสื้อคลุมชั้นนอกคลุมจากศีรษะจรดเท้าสีเขียวอมสีน้ำเงิน มีดาวสีทองปกคลุมผ้าคลุมศีรษะนี้ เสื้อคลุมชั้นในเป็นแบบรัดเอว มีเข็มขัดมัดสูงลักษณะที่บ่งบอกว่ากำลังตั้งครรภ์

เมื่อพระสังฆราชซูมาร์รากา ผู้ไม่เชื่อในเรื่องที่ว่า ยวงได้เห็นภาพนิมิตของแม่พระ ได้เห้นภาพนี้ ท่านก็ตกตะลึงคุกเข่าต่อหน้าภาพจากสวรรค์ ที่บรรยายลักษณะของสตรีในพระวิวรณ์บทที่12นี้ทันที และสิ่งที่ตามมาคือ

ในถิ่นทุรกันดารอันไกลโพ้น ที่ชาวอินเดียนแดง แมกซิโก นับถือศาสนาแห่งการบูชายัญ เด็ก ผู้หญิง และชีวิตศัตรู ต่อเหล่าเทพเจ้าของพวกเขา และต่อต้านการยอมรับนับถือคริสตศาสนา ได้กลับเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ที่ภาพนี้สามารถทำให้ประชาชนชาวเม็กซิกันนับถือคริสตศาสนาได้ทั้งประเทศ คือ ทั้ง 8 ล้านคน ภายใน 7 ปี

ไม่เคยมีมิชชันารีคนใด ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน จะสามารถโอ้อวดความสำเร็จในการประกาศพระนามพระคริสต์ได้อย่างยิ่งใหญ่เท่าพระมารดาของชายที่จะปกครองโลกด้วยคฑาเหล็กผู้นี้ได้เลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 4:52 pm

ถิ่นทุรกันดาร

น่าแปลกใจที่ในการประจักษ์ของแม่พระ โดยเฉพาะการประจักษ์ครั้งสำคัญหลายแห่งที่พระศาสนจักรรับรอง มารดาพระเจ้าได้เสด็จมาในที่ๆคนทั่วไปเรียกว่า ถิ่นทุรกันดาร เพื่อนำพระเยซูคริสต์ประจักษ์แก่ชาวโลก เหมือนที่เธอเคยทำเมื่อ2000ปีก่อนในถ้ำเลี้ยงสัตว์อันต่ำต้อยที่เบธเลแฮม และหลายๆที่อันแสนกันดารนั้น มารดาพระเจ้าได้ขอให้สร้างโบสถ์ หรือสักการะสถาน เพื่อถวายเกียรติแด่พระบุตรของพระนาง เพื่อพระองค์ผู้จะปกครองโลกนี้ จะได้เสด็จไปครองราชย์ในดวงใจของผู้ต่ำต้อยยากไร้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพงษ์พันธุ์ของพระมารดาของพระองค์

รูปภาพ

อาเว มารีอา

เมื่อแรกเริ่ม ชายคืออาดัม และหญิงคือเอวา ร่วมกันทำผิด และเมื่อเริ่มประวัติศาสตร์แห่งความรอด พระเจ้าก็ทรงใช้สตรีผู้ร่วมงานทรงไถ่คือพระมารดามารีย์ เป็นเอวาคนใหม่

นักบุญ อีเรเนอุสเกิดที่เมืองสมีร์นา ประมาณปี ค.ศ. 130 และได้รับการศึกษาอบรมจากนักบุญ โปลีการ์ป ซึ่งเป็นศิษย์ของนักบุญ ยอห์น อัครสาวก ผู้รับพระมารดามารีย์เป็นมารดาของตน โดยนัยนี้ท่านจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลสุดท้ายในแวดวงของบรรดาอัครสาวก และสืบทอดแนวคิดของ
พระวรสาร น. ยอห์นอย่างลึกซึ้ง ท่านได้ประกาศว่า พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุคคลในประวัติศาสตร์จริงๆ เป็นผู้ไขแสดงสูงสุดของพระบิดาเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ และพระศาสนจักรเองก็ได้เจริญชีวิตพระคริสตเจ้าและได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งไปหาพระคริสตเจ้า และจะต้องได้รับการปฏิรูปปรับปรุงในพระองค์ซึ่งเป็นอาดัมคนใหม่ และพระนางมารีอาทรงเป็นเอวาคนใหม่

ไม่น่าแปลกใจถ้าท่านจะเข้าใจลึกซึ้งว่า คำว่า "สตรี" ที่ท่านยอห์นผู้บันทึกพระวรสาร ใช้เรียกพระมารดามารีย์ถึง3ครั้ง 2ครั้งในพระวรสาร และอีกครั้งในพระวิวรณ์บทนี้ ก็เพื่อยืนยันบทบาทของ สตรี แห่งคำทำนายจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าแต่แรกเริ่มตั้งแต่ปฐมกาล

รูปภาพ

พระนางมารีย์คือมารดาของมนุษย์ทุกคน และของผู้ที่เชื่อในคำพยานของพระเยซูเจ้า

ในปฐมกาล………..
นางเอวา ผู้เป็นมารดาของเหล่ามนุษย์คนบาป

1)หญิงคนหนึ่ง เกิดจากชาย(เพียงคนเดียว)คนหนึ่ง
2)หญิงคนนั้นเชื่องูและจองหอง
ผล-->มนุษย์ทั้งหมด พลัดพรากจากพระเจ้า

ในหน้าแรกของพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่…………..
หญิงพรหมจารีย์ชื่อมารีย์ ผู้ถูกเลือกเป็นมารดาพระผู้ไถ่

1)หญิงคนนั้นเชื่อทูตสวรรค์ และนบนอบ
2)ชายคนหนึ่ง เกิดจากหญิงพรหมจารี(เพียงคนเดียว)คนหนึ่ง
ผล--->มนุษย์ทั้งมวลได้รับความรอดพ้นผ่านทางพระเยซูคริสต์ได้กลับไปหาพระบิดา

1คร 15: 22
มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น


-----อาดัมร่วมทำพลาดกับนางเอวาเพราะเชื่องูฉันใด พระเยซูได้ทำการทรงไถ่โดยมีพระนางมารีย์ผู้นบนอบร่วมแผนการฉันนั้น

ท่าน น.ออกัสติน ปิตาจารย์คนสำคัญในยุคแรกเริ่มของพระศานสนจักร จึงได้บันทึกไว้สั้นๆว่า "ตายทางเอวา รอดทางมารีย์"

น่าอัศจรรย์พระเจ้าได้ย้อนกลับขบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาในสมัยปฐมกาล ผลของบาปคือความตาย กลับใช้การตายไถ่บาป แบบหนามยอกเอาหนามบ่ง ก็เห็นเด่นชัดอยู่ แล้วยังใช้การกลับสมการนี้ กับนางเอวาและพระนางมารีย์ด้วย

Genesis 3:15
I shall put enmity between you and the woman, and between your offspring and hers; it will bruise your head and you will strike its heel.'

เราจะให้เจ้ากับ “สตรี” เป็นศัตรูกัน และระหว่างพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับนางด้วย นาง(และพวกพงศ์พันธุ์ของนาง)จะบดขยี้หัวเจ้า และเจ้าจะฉกกันส้นเท้าของนาง(และพวกพงศ์พันธุ์ของนาง)


วว 12:17
มังกรโกรธสตรี และออกไปทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ที่เหลือของนาง คือผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานถึงพระเยซูเจ้า


----ดังนั้นผู้เชื่อพระเยซูทุกคนคือลูกหลานของพระมารดามารีย์ ผู้แก้ไขความผิดของนางเอวา

แม้มังกรร้ายจะพยายามพ่นน้ำเพื่อทำลายหญิงนั้น สิ่งที่ออกมาจากปาก นั่นคือคำพูดนั่นเอง และในพระธรรมเดิม ถือว่าของเหลวที่ออกมาจากร่างกายถ้าไปกระเด็นหรือรดโดนคนอื่น จะทำให้คนนั้นมีมลทิน ดังนั้นน้ำที่ออกมาจากปากมังกร คือคำพูดใส่ร้ายต่างๆที่มันพยายามทำให้แม่พระมีมลทิน นี่คือวิธีที่ซาตานใช้ทำลายพระมารดาพรหมจารีย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ว่าคำพูดโสโครกอันเต็มไปด้วยมลทินนั้นจะถูกพ่นออกมามากเท่าใด พระเจ้าจะทรงให้แผ่นดินอ้าปากสูบน้ำเหล่านั้นไปหมด ไม่ให้ความบริสุทธิ์ของสตรีที่ทรงโปรดปรานผู้นี้ต้องแปดเปื้อนได้เลย

ที่น่าอัศจรรย์ใจที่สตรีผู้นี้ ไม่ใช้กำลังหรือออกแรงต่อสู้ใดๆกับมังกรร้าย เพียงแค่ความสุภาพ นบนอบเชื่อฟังพระเจ้า และความเชื่อความศรัทธาอันล้นพ้น กลับกลายเป็นแส้ที่พระเจ้าทรงใช้หวดซาตานลงยังเหวลึกของความพ่ายแพ้ที่หัวของมันถูกบดขยี้แหลกเหลวตลอดกาล

เราทั้งหลายผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเป็นลูกของแม่ด้วย เราจึงมีแบบอย่างแห่งชัยชนะเหนือซาตาน ที่เป็นความหวังและกำลังใจของเรา เคียงข้างพระบุตรสุดที่รักของพระนาง

ดังนั้น เมื่อพระบุตรประทานของขวัญวิเศษสุดนี้แก่เราแล้วที่เชิงกางเขน เราทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ที่พระองค์ทรงรัก จะไม่นำพระมารดาของพระองค์กลับไปอยู่กับเราในฐานะแม่ของเราด้วยหรือ

ขอพระนามพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ อาแมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

อังคาร ส.ค. 09, 2011 5:18 pm

Trinity เขียน:http://www.youtube.com/watch?v=UDyNmJ9Z ... re=related


อะเอามาให้ดูอีกคลิป สังเกตุคนเอาลงโพสต์นะครับ
ในคลิปนี้พวกเขาบอกว่าพระเจ้าใช้คำว่า "เรา" ในปญมกาล
ซึ่งพวกเขาบอกว่าหมายถึงพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระมารดา

1) พระเจ้ามีพระองค์เดียว: เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4; 1 โครินธ์ 8:4; กาลาเทีย 3:20; 1 ทิโมธี 2:5.

2) พระตรีเอกนุภาพประกอบด้วยสามพระบุคคล: ปฐมกาล 1:1; 1:26; 3:22; 11:7; อิสยาห์ 6:8; 48:16; 61:มัทธิว 3:16-17; มัทธิว 28:19; 2 โครินธ์ 13:14 ในข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ ในพันธสัญญาเดิม ความรู้ทางภาษาฮีบรูช่วยได้มาก หนังสือปฐมกาล 1:1 ใช้คำว่า “เอลโลอิม” ซึ่งเป็นสรรพนามพหูพจน์ หนังสือปฐมกาล 1:26; 3:22; 11:7 และอิสยาห์ 6:8 ใช้คำว่า “เรา” ซึ่งเป็นคำสรรพนามพหูพจน์ คำว่า “เอลโลอิม” และคำว่า “เรา” หมายถึงมากกว่าสองโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนภาษาอังกฤษมีอยู่สองรูปแบบเท่านั้น คือ เอกพจน์และพหูพจน์ ภาษาฮีบรูมีสามรูปแบบ คือ เอกพจน์, คู่, และพหูพจน์ คำว่าคู่หมายถึงสองเท่านั้น ในภาษาฮีบรูคำว่าคู่ใข้สำหรับสิ่งที่มาคู่กัน เช่น ตา, หู, และมือ คำว่า “เอลโลอิม” และคำสรรพนาม “เรา” เป็นคำพหูพจน์ – แน่นอนว่ามีความหมายมากกว่าสอง (พระบิดา, พระบุตร และพระจิต)

ในหนังสือ อิสยาห์ 48:16 และ 61:1 พระบุตรทรงเป็นผู้ตรัส และทรงตรัสถึงพระบิดาและพระจิต ลองดูเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์อิสยาห์ 61:1 กับ ลูกา 4:14-19 แล้วท่านจะเห็นว่าพระบุตรทรงเป็นผู้ตรัส หนังสือมัทธิว 3:16-17 บรรยายถึงเหตุการณ์ในตอนที่พระเยซูทรงรับพิธีล้าง ในภาพนี้ท่านจะเห็นว่าพระจิตเจ้าเสด็จมาเหนือพระบุตรในขณะที่พระเจ้าพระบิดาทรงประกาศถึงความพอพระทัยในพระบุตร ข้อพระคัมภีร์มัทธิว 28:19 และ 2 โครินธ์ 13:14 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพระลักษณะที่แตกต่างกันสามพระลักษณะในตรีเอกภาพ

และสิ่งที่ยืนยันว่ามีพระเจ้าพระมารดานั้น พวกเขาอ้างถึงการสร้างผู้หญิงมาตามพระฉายาของพระเจ้า
ซึ่งพวกเขาคิดว่านั่นคือพระเจ้าพระมารดา นั่นหมายถึงพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระลักษณะร่างกายของพระองค์

ในหนังสือคำสอนของคาทอลิก วรรค 239 ก็ระบุว่า "พระเจ้าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง พระเจ้าคือพระเจ้า"

คำว่า พระบิดา บ่งบอกว่าพระองค์เป็นผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นผู้ปกป้องดูแล และทรงอยู่ทุกหนแห่ง ซึ่งเกินกว่าการที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้ อย่าง นักบุญโทมัส อควีนัส คริสต์ศาสนปราชญ์คนสำคัญเขียนสรุปไว้ว่าท่านเองก็ยังไม่เข้าใจพระบิดาเจ้าเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Trinity
โพสต์: 147
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 06, 2008 2:00 am

อังคาร ส.ค. 09, 2011 7:00 pm

พี่น้องทั้งหลาย อย่าไปสนใจกับลัทธิเทียมเท็จเลย พวกคนเหล่านั้นก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ว่าในยุคสุดท้าย จะเกิดลัทธิเทียมเท็จมากมายซึ่งพระเยซูเจ้าก็ได้ตรัสบอกไว้ไม่ใช่หรือ ว่า เวลานั้น ถ้าผู้ใดบอกท่านว่าพระคริสต์อยู่ที่นี่ หรือ พระคริสต์อยู่ที่นั่น จงอย่าเชื่อ เพราะ จะมีพระคริสต์เทียมและประกาศกเทียมเกิดขึ้น (มธ 24: 4-14 ,มธ 24 :23-28) เวลาที่พระคริสต์จะเสด็จมาหรือ เวลาสิ้นโลกนั้นพระองค์ก็บอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอและนักบุญเปาโลก็ได้บอกเราเรื่องนี้ด้วย ( มธ 24 : 26-31 ) ( 1 ทธ 4: 1-16 ) ( 2 ทธ 3 : 1-17 )ฉะนั้น เราจะเป็นคริสตชนที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ดีกว่า พระเจ้าจะตัดสินผู้ใด พระองค์จะตัดสินเพราะท่าน เป็น คาทอลิก หรือ เพราะ ท่านเป็นคริสเตียน เปล่าเลย พระองค์ตัดสินท่านตามความเชื่อ การกระทำของท่าน หากท่านที่เป็นคาทอลิก ร้องออกนาม พระเจ้าข้าๆ แต่การประพฤติปฏิบัติตน ไม่ได้สำแดง พระลักษณะของพระเยซูเจ้าเลย พระคริสต์ไม่ได้เป็นชีวิตของท่าน ก็ไร้ผล ท่านที่เป็นคริสเตียนก็เหมือนกัน หากท่านร้องออกนามพระเจ้า นมัสการพระเจ้าสุดใจ ถวายทรัพย์สุดกำลัง แต่ชีวิตของท่านไม่ได้เปลี่ยน ไม่ได้แสดงถึงพระลักษณะของพระเจ้า ท่านถือตัวว่าท่านดีทำถูกต้องแล้วและตัดสินพี่น้อง ท่านคิดว่าพระเจ้าจะพอพระทัยหรือ
ส่วนคนที่โต้เถียงกัน ว่า คริสเตียนดีที่สุด ทำถูกต้องพระคัมภีร์ คาทอลิกนั้นผิด ส่วนคาทอลิกที่โต้เถียงกันไปเถียงกันมา ไม่รู้จักจบสิ้น ผมก็ขอถามว่า การพิพากษาเป็นของพระเจ้าไม่ใช่หรือ ใครตั้งท่านให้เป็นผู้พิพากษากันเล่า อย่าให้ท่านเห็นเศษผงในตาผู้อื่นแต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาท่านท่านไม่เห็นละ พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราเป็นคนมีใจถ่อม หรอกหรือ
The lost lamb
โพสต์: 20
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 15, 2011 9:03 am

อังคาร ส.ค. 09, 2011 8:46 pm

ถึงเเม้ตอนนี้ผมจะยังเป็นพุทธอยู่ ( ยังไม่ได้ล้างบาป + พ่อสั่งห้าม )
ก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี ผมอ่านพระคัมภีย์ จบไปหลายรอบทั้งให้ คุณพ่อช่วยสอนให้
ก็ยังไม่รู้ว่าทำไม เดียวนี้ลัทธิเเบบนี้ถึงมากมายกันเป็นดอกเห็ด
อยากจะรู้ว่า จะต้องให้ เเม่พระและท่านนักบุญหรือเทวา จำนวนมากขนาดไหน
ถึงจะ เหยีบ ( อยากใช้คำว่า กระทื้บ มากกว่า ) " งู " เหล่านี้ให้ไม่ มาปรากฎใน
ศาสนา ของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ส.ค. 10, 2011 4:51 am

ยุคสุดท้ายพวกนี้ต้องมีเยอะครับ ในพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว
Berserker
โพสต์: 94
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 09, 2010 4:37 pm

พุธ ส.ค. 10, 2011 9:51 pm

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ กระจ่างขึ้นมาแล้ว
จะสวดภาวนาเพื่อคนเหล่านั้นนะคะ ขอบคุณทุกๆท่านมากๆเลยค่ะ>w<
bossmaximo
โพสต์: 24
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 11, 2011 2:06 am

ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 11:56 pm

Holy เขียน:ยุคสุดท้ายพวกนี้ต้องมีเยอะครับ ในพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว
งั้นแสดงว่า ปี 2012 น้ำจะท่วมโลก (หรือโลกแตก) คงจะเป็นจริงนั่นสินะครับ ถึงจะเป็นจริง ก็ขอให้พระเจ้าทรงรับดวงวิณญาณทุกดวงกลับไปสู่อ้อมแขนของพระองค์ตลอดไปครับ

ขอพระเจ้าคุ้มครอง :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

เสาร์ ส.ค. 13, 2011 1:47 am

bossmaximo เขียน:
Holy เขียน:ยุคสุดท้ายพวกนี้ต้องมีเยอะครับ ในพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว
งั้นแสดงว่า ปี 2012 น้ำจะท่วมโลก (หรือโลกแตก) คงจะเป็นจริงนั่นสินะครับ ถึงจะเป็นจริง ก็ขอให้พระเจ้าทรงรับดวงวิณญาณทุกดวงกลับไปสู่อ้อมแขนของพระองค์ตลอดไปครับ

ขอพระเจ้าคุ้มครอง :s002:

ไม่มีใครบอกเลยนะคะ ว่าปี 2012 น้ำจะท่วมโลก (หรือโลกแตก)

ยุคสุดท้าย ไม่ได้บอกเลยว่าคิดว่ายาวนานแค่ไหน
ไม่มีใครรู้วันเวลาหรอกค่ะ อย่าไปเชื่อตามหนังมาก
แค่เตรียมอย่างดี ให้พร้อมเสมอ ทุกเวลาก็พอค่ะ
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

อาทิตย์ ส.ค. 14, 2011 11:03 am

ถ้ามีใครบอกว่าวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร โลกจะแตก หรือพระคริสต์จะมา
ให้รู้ได้เลยครับว่า ลวงโลก เพราะแม้แต่พระเยซู ขณะอยู่บนโลก พระองค์ยังตรัสกับพระโอษฐ์พระองค์เองเลยว่า ไม่มีใครรู้วันเวลา พระองค์เองก็ยังไม่รู้ มีแต่พระบิดาผู้เดียว(มธ24:36)
คนที่กล้าบอกเค้าจะเก่งจะแน่กว่าองค์พระคริสต์เจ้าของเราเลยหรือครับ ขนาดพระองค์เองยังไม่รู้เลย
อีกประการหนึ่งเรื่องโลกแตก คือคนข้างนอกเขาก็บอกกันว่าโลกจะแตก แต่ (ปญจ 1:4 )บอกเราว่า โลกจะดํารงอยู่เป็นนิจ แม้แต่ฟ้าใหม่แผ่นดินโลกใหม่ ถึงวันนั้นยังมาตั้งอยู่บนโลกเลยครับ
อิมมานูเอล
aqua-alta
โพสต์: 286
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 27, 2010 8:03 pm
ที่อยู่: ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

อาทิตย์ ส.ค. 14, 2011 2:15 pm

ขออนุญาตออกความเห็นเพิ่มเติมความเห็นของคุณCherval(ขออนุญาตอ้างอิงแค่ชื่อนะครับ เนื้อความมันยาว)ในฐานะคริสเตียน(เผื่อคริสเตียนคนอื่นมาอ่านครับ^^)

เรื่องของรูปบูชาในมุมมองคริสเตียนหลายคนคงชัดเจนอยู่แล้ว ผมไม่ได้จะมาตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิดนะครับ(เพราะมันต้องไม่จบแน่ๆ) แต่ความเห็นของผมและมุมมองของคริสเตียนถึงเหตุผลที่เราไม่มี คือ มันไม่ได้สำคัญว่าการทำรูปเคารพจะเป็นหนึ่งในบัญญัติ 10 ประการของประกาศกโมเสสหรือไม่(เพราะเราดำเนินอยู่ในกฎแห่งพระวิญญาณซึ่งประทานชีวิต ไม่ใช่ตัวอักษรตามพระบัญญัติซึ่งประหารให้ตาย) และ มันไม่เกี่ยวกับความถูกผิด แต่เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณ เพราะใช่ว่าถ้าไม่มีรูปเหล่านั้นแล้วคำอธิษฐานภาวนาของเราจะไปไม่ถึงพระโสตพระเป็นเจ้า
จริงอยู่ที่ในพันธสัญญาเดิมมีรูปสลักรูปหล่อมากมาย(เช่น เครูบิม เซราฟิม โคทองเหลืองแบกอ่างทองเหลือง คันประทีป ฯลฯ) ในวิหาร คริสเตียนไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ตามความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงแบบเล็งให้เห็นถึงวิหารของพระเจ้าที่แท้จริงอันจะมีมาในปัจจุบันยุคของเราและซึ่งไม่ใช่สร้างด้วยมือมนุษย์(คือเราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตจักร อาณาจักรของพระคริสต์ พระวิหารของพระองค์นิรันดร์)
ขอยกตัวอย่างสักหนึ่งตัวอย่าง เช่น จริงอยู่แม้โมเสสและอาโรนนั้นก้มลงกราบที่หีบพันธสัญญา(อันเป็นแบบเล็งถึงที่ประทับของพระเจ้าพระยะโฮวาห์) ไม่ใช่ว่ามันผิด แต่ในยุคปัจจุบัน ผมว่ามันไร้ซึ่งความจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ เหตุผลคือ ปัจจุบันนี้ ท่ามกลางชุมนุมชนคนของพระองค์ มีพระเยซูพระองค์เองสถิตอยู่ท่ามกลางเรา เราไม่ต้องจัดมหาปุโรหิตเข้าไปในบรมวิสุทธิสถาน แต่ม่านวิหารได้ฉีกขาดแล้ว เราเองเข้าถึงตัวพระเจ้าได้โดยเดชพระบุตรที่รัก มากยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงสถิตภายในเรา แล้วเราจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้แบบเล็งมากมายก่ายกอง ก็ในเมื่อเราอธิษฐานภาวนาผ่านองค์พระเยซูพระองค์เอง แล้วพระองค์ก็ทรงฟัง ทรงตอบคำอธิษฐานเราอย่างทันที(หรือในบางกรณีก็ตามกาลอันสมควรบ้าง) เรายิ่งไร้ซึ่งความจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งแทนองค์อย่างในพันธสัญญาเดิม(เรานมัสการพระเจ้าโดยวิญญาณและความจริง ไม่ใช่โดยท่าทางพิธีการ)
ทั้งการถวายบูชา ไม่ว่าจะการบูชาแกวง สัตวบูชา เผากำยานเครื่องหอม เผามันแกะตัวผู้ ฯลฯ ต่อเบื้องพักตรพระเจ้าอย่างในพันธสัญญาเดิม ยิ่งไม่จำเป็นมากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อเราสรรเสริญบูชาพระเยซูพระบุตรที่รัก ผู้เป็นที่ชอบพระทัยพระบิดาแล้ว ก็เป็นการถวายบูชาโดยใช้ตัวพระเมษโปดกพระองค์เอง พระเยซูของเราหอมยิ่งกว่าการเผาเครื่องบูชาใดๆครับ และเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงพอพระทัยที่สุดอีกด้วย
ปัจจุบันเราทุกคนถือได้ว่าเป็นยุคสมัยแห่งพระคุณโดยแท้ ถ้าในอดีต พระวิญญาณพระเจ้าประทับอยู่กับมนุษย์ชั่วครั้งคราว(ตัวอย่างเช่น โมเสสขณะลงจากเขาหลังจากเฝ้าพระเจ้าดวงหน้าก็สว่างเพียงชั่วคราวจนต้องเอาผ้าคลุมหน้าไว้ กษัตริย์ซาอูลในช่วงหลังที่พระเจ้าได้แต่งตั้งดาวิดแล้ว ฯลฯ ที่เราเห็นได้ในพันธสัญญาเดิม) แต่ในยุคพันธสัญญาใหม่ เราเป็นที่ประทับของพระวิญญาณนิจนิรันดร์
อิมมานูเอล
Thai
โพสต์: 79
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 29, 2009 12:13 am

อังคาร ส.ค. 16, 2011 10:53 am

ทฤษฎีสมคบคิดป่าว
ตอบกลับโพส