เมื่อโปรแตสแตนท์ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ส.ค. 17, 2011 1:42 am

ประสบการณ์เหนือธรรมชาติกัับพระเจ้า โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์

ผู้เขียนเชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ แต่ฐานะนักวิชาการและนักศาสนศาสตร์ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาิติของพระเ้จ้านั้นมีข้อที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่คริสตชนอยู่หลายเรื่อง ในทางศาสนศาสตร์มีประเด็นคำถามที่พบบ่อยคือ...

ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้ายังทรงกระทำอยู่ในทุกวันนี้หรือไม่?

ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในหมู่คริสตชนในทุกวันนี้เหมือนกันกับสมัยพระคัมภีร์หรือไม่?

ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่ปรากฎในหมู่คริสตชนทุกวันนี้เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้หรือไม่?

หรือถ้าอัศจรรย์จริงก็ยังมีปัญหาว่าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามาจากพระเจ้าแน่ ไม่ได้มาจากอำนาจอื่น?

หรือหากมาจากพระเจ้าจริงจะตีความหมายว่ามีเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?

แต่อีกประเด็นที่มีปัญหามากอีกเรื่องคือ ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าสามารถมีรูปแบบที่ต่างจากที่บันทึีกในพระคัมภีร์ได้หรือไม่?




แต่บทความนี้อยากเน้นประเด็นที่สุดท้ายที่ว่า ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าสามารถมีรูปแบบที่ต่างจากที่บันทึีกในพระคัมภีร์ได้หรือไม่? เพราะสามประเด็นแรกต้องใช้เวลาและหน้ากระดาษอีกมาก

มีคริสตชนจำนวนมากที่มีความเชื่อแนว "พระคัมภีร์เท่านั้น" ได้บอกว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้าต้องสำแดงในรูปแบบที่มีบันทึกในพระคัมภีร์เท่านั้น เกินกว่านั้้นไม่ได้ แต่แนวความเชื่อนี้ก็ถูกคัดค้านจากคริสตชนที่เชื่ออีกแบบ ผู้เขียนเคยสนใจในเรื่องประสบการณ์กับพระเจ้ามาก เคยได้ศึกษาค้นคว้ืาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ครอบคลุมทั้งแง่มุมด้านศาสนศาสตร์และประสบการณ์ (สุดท้ายได้เขียนเป็นหนังสือชื่อว่า "ประสบการณ์กับพระเจ้า") หัวข้อหนึ่งที่พูดถึงก็คือ ประสบการณ์กับพระเจ้าในรูปแบบที่ไม่มีในพระคัมภีร์ ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าและติดตามของผู้เีขียนพบว่ามีประสบการณ์หลายอย่างของคริสตชนที่ "ไม่มีปรากฏ" ในพระคัมภีร์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ส.ค. 17, 2011 1:45 am

ขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้อ่านพบในนิตยสารคริสเตียนจากมาเลเซียเล่มหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์คำพยานของสตรีคริสเตียนผู้หนึ่งชื่อ ซานดร้า โรส (Sandra Rose) ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างเหลือเชื่อ ผู้เขียนขอแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษมาบางส่วนดังต่อไปนี้...

ซานดร้า โรส เป็นสตรีชาวอังกฤษวัยหกสิบกว่า สามีชือจอห์น เป็นชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดียที่เคยทำงานในอังกฤษ และหลังจากที่สามีเกษียณแล้วก็ย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่มาเลเซีย

ซานดร้าเป็นคริสเตียนและไปโบสถ์ตั้งแต่สามขวบ ซื้อพระคัมภีร์ของตัวเองตอนสี่ขวบ และรับเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงเมื่ออายุแปดขวบ จากนั้นก็มอบชีีวิตให้กับพระองค์มาโดยตลอด

แต่เธอประสบปัญหาชีวิตที่รุนแรงในเรื่องสุขภาพ เธอเป็นโรคขาดเลือด (Ischemic) ซึ่งผลคือเธอจะเป็นลมบ่อย อ่อนแอมาก จนเธอไม่สามารถมาโบสถ์ได้ทั้งๆ ที่เธอรักการนมัสการ และชอบที่จะใช้เวลาในการอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างมาก

จุดสำคัญของเรื่องมาอยู่ตรงที่ ณ จุดหนึ่ง เธอได้เล่าว่า พระเยซูได้มาปรากฎกับเธอและทรงตรัสประกาศการรักษาแก่ร่างกายที่อ่อนแอของเธอ และหลังจากนั้น ร่างกายของเธอก็แข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด จนเธอสามารถไปโบสถ์ได้นับแต่นั้นมา

ในวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2009 ขณะที่กำลังนมัสการในโบสถ์ ศิษยาภิบาลได้เชิญเธอให้ขึ้นเป็นพยานถึงประสบการณ์พิเศษที่เธอได้รับจากพระเจ้า เธอเล่าอย่างนี้ว่า

ย้อนไปในคืนวันที่ 22 มิถุนายน 2009 เธอกับสามีได้นมัสการพระเจ้าอยู่ราวชั่วโมงครึ่งก่อนจะเข้านอน ราวเที่ยงคืนเธอตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอว่า "ซานดร้า ซานดร้า" เธอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นชายคนหนึ่ง ร่างอาบไปด้วยแสงขาวสว่างจ้า ยืนต่อหน้าเธอ ชายผู้นั้นสวมชุดขาว ดวงตาเต็มด้วยประกายแห่งความงามและความรัก ถึงตรงนั้นเธอจำได้ทันที ...พระเยซู ภาพที่เห็นช่างตระการตายิ่งนัก

พระเยซูตรัสกับเธอว่า "พรจงมีแก่เจ้า ลูกเอ๋ย" พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ขวามาสัมผัสหน้าผากของเธอ ตอนนั้นเธอตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก คำเดียวที่พูดออกมาได้คือ "ขอบคุณพระเยซู" จากนั้นพระเยซูก็วางพระหัตถ์ลงและผายออกต่อเธอ ท้ายสุดพระองค์ทรงประสานพระหัตถ์แล้วก็ทรงหายไปจากสายตา

จากนั้น เธอก็รีบลุกขึ้นและไปปลุกสามีโดยทันที เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง สามีกอดเธอไว้แน่นและพร่ำบอกว่าขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาต่อซานดร้าภรรยาของเขา ซานดร้าบอกจอห์นว่า "ฉันรู้สึกว่าหน้าผากร้อนเหมือนไหม้ตรงจุดที่พระเยซูแตะฉัน"

จอห์นก็เลยลุกไปเปิดไฟเืพื่อจะได้เห็นอะไรชัดๆ พอไฟสว่าง จอห์นก็ช๊อคกับสิ่งที่เห็น "ซานดร้า คุณมีกางเขนบนหน้าผาก!" เขาบอกฉันให้รีบไปส่องกระจก ภาพที่ฉันเห็นก็คือ กลางหน้าผากฉันมีรอยนูนออกมา...เป็นรูปกางเขน!!! แถมยังมีเลือดหยดออกมาตรงรูปกางเขนนี้ด้วย! จากนั้นทั้งสองก็สวมกอดกันร้องไห้แบบหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว

พอรุ่งสาง เธอก็ได้เชิญศิษยาภิบาลชื่อ อ.เจเรมีย์ มาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อ.เจเรมีย์ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ และจำได้ว่าตอนนั้น รอยนูนรูปกางเขนบนหน้าผากเริ่มนูนน้อยลงแล้ว แต่เลือดยังคงไหลอ่อนๆ

รูปภาพ
ภาพคุณซานดร้า โรส ที่มีรอยแผลรูปกางเขนบนหน้าผาก ในขณะที่เธอเป็นพยาน
ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง (ขออภัยที่ภาพไม่ชัดเท่าที่ควร เนื่องจากผู้เขียนต้องถ่ายจากนิตยสาร
โดยใช้กล้องในโทรศัพท์มือถือราคาถูกๆ)


รูปภาพ
โบสถ์เล็กๆ ที่เธอไปนมัสการประจำ


สองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์นั้น เุมื่อเธอถูกถามว่ารู้สึกอย่างไร ซานดร้าตอบว่า เธอมีความสุขมาก "ฉันรู้สึกเหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ฉันอยากจะกระโดดและเต้น" ส่วนจอห์น สามีนั้นเหตุการณ์นั้นได้ทำให้รู้สึกสำึนึกบาปของตนเอง และกลับใจใหม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ส.ค. 17, 2011 1:50 am

ประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับคุณซานดร้านั้นสรุปได้เป็น 3 อย่าง อย่างแรกคือ ได้พบและพูดคุยกับพระเยซูคริสต์ สองคือได้รับรอยแผลรูปกางเขนบนหน้าผาก และสามคือได้รับการรักษาด้านสุขภาพให้หายจากโรคเดิมและแข็งแรงขึ้น

ในที่นี้จะเน้นในเรื่องที่สองเท่านั้นคือเรื่องรอยแผล

เหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงใส่รอยแผลไว้บนร่างกายของผู้เชื่อบางคนโดยเกิดขึ้นเองอย่างเหนือธรรมชาติเช่นนี้ มีศัพท์เรียกว่า "Stigma" (สติ๊กมา) ซึ่งมีการเรียกเป็นไทยว่า "รอยแผลศักดิ์สิทธิ์"

ปรากฏการณ์เรื่องรอยแผลศักดิ์สิทธิ์นี้มักเป็นที่ถือกันว่า "ไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์" แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่คาทอลิก โดยเป็นความเชื่อที่ได้รับการรัับรองอย่างเป็นทางการในศาสนจักรคาทอลิก มีการยืนยันว่าเกิดขึ้นกับหลายบุคคลและมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ทางฝั่งโปรเตสแต๊นท์ไม่เคยยอมรับเรื่องนี้

รูปภาพ

ศัพท์คำว่า stigma เป็นภาษากรีก เป็นคำโบราณหมายถึงเครื่องหมายหรือรอยสักที่ถูกประทับลงบนร่างกายของทาสหรือทหารในยุคโบราณ เพื่อใช้ระบุวัตถุประสงค์บางอย่าง คำนี้ถูกพบการใช้ครั้งแรกในพระธรรมกาลาเทีย 6:17 ที่ท่านอัครทูตเปาโลกล่าวว่า "​ตั้งแต่​นี้​ไป ขอ​อย่า​ให้​ใคร​มา​รบกวน​ข้าพเจ้า​เลย เพราะ​ว่า​ข้าพเจ้า​มี​รอย​ประทับตรา​ของ​พระ​เยซู ติด​อยู่​ที่​กาย​ของ​ข้าพเจ้า​แล้ว​" อย่างไรก็ตาม คำว่า "รอยประทับตรา" นี้ก็ไม่อาจชี้ชัดว่านี่หมายถึงแผลศักดิ์สิทธิ์แน่ และท่านเปาโลได้รับปรากฎการณ์แผลศักดิ์สิทธิ์(Stigma) ด้วย


รูปภาพ

เรื่องที่น่าสนใจของคำพยานที่ผู้เขียนหยิบยกมานี้มีหลายประเด็น คือ หนึ่ง คำพยานนี้กำลังบอกว่าปรากฏการณ์ Stigmata มีปรากฏอีกแล้วเร็วๆ นี้ เพราะคำพยานนี้เกิดในปี 2009 นี่เอง สอง ปรากฏการณ์นี้เกิดกับคนที่ไม่ได้รู้และเชื่อในเรื่อง Stigmata มาก่อนเลย สาม มีหลักฐานของปรากฏการณ์ชัดเจน และสี่ เป็นเหตุการณ์น้อยครั้งมากที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในคริสตชนโปรเตสแต๊นท์

ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งเหนือธรรมชาติในรูปแบบที่นอกเหนือจากที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ ทั้งๆ ที่ท่านยอห์นเองก็เขียนไว้ในพระธรรมยอห์นว่า "พระ​เยซู​ยัง​ทรง​ทำ​สิ่ง​อื่นๆ อีก​มาก​มาย ถ้า​จะ​เขียน​ให้​หมด​ทุก​สิ่ง ข้าพเจ้า​คิด​ว่า​แม้​ที่​ทั้ง​โลก​ไม่​พอ​ใีส่​หนังสือ​ที่​จะ​เขียน​นั้น" (ยน.21:25) ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ประกอบกับมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง (ไม่่ใช่หลอกลวงหรือจิตวิทยา) อีกทั้งผู้ที่ได้รับประสบการณ์ดังกล่าวก็มีท่าทีที่ยกย่องพระเยซูคริสต์ มิได้ปฏิเสธพระองค์ และที่สำคัญคือประสบการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีในพระคัมภีร์นี้เิกิดขึ้น "ร่วมกับ" ประสบการณ์อื่นที่ "มี" ในพระคัมภีร์ด้วย (เช่น ได้รับการรักษาโรคด้วย ได้พบพระเยซูด้วย ดังในคำพยานของคุณซานดร้าเป็นต้น)

น่าคิดว่า ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ในรูปแบบที่นอกเหนือจากพระคัมภีร์ได้ นั่นก็เท่ากับเรายอมรับว่า สามารถมีปรากฎการณ์อื่นๆ ได้อีก...อย่างไม่มีข้อจำกัด

น่าตื่นเต้้นดีไหม?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ส.ค. 17, 2011 1:58 am

แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีข้อต้องระวังด้วย นั่นคือ ผู้ที่ได้รับประสบการณ์เหล่านี้ต้องตระหนักด้วยว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ต้องไม่ถูกยกขึ้นให้ความสำคัญเกินกว่าหลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์ ไม่ขัดกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ต้องไม่ถูกถือเป็นบรรทัดฐานที่คริสตชนคนอื่นๆต้องมีเหมือนๆ กัน ต้องไม่เอามาเป็นเหตุให้ยกตัวว่าเหนือกว่าคริสตชนคนอื่น ต้องไม่ด่วนทึกทักเอาว่าปรากฏการณ์นี้มีความหมายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ และที่สำคัญคือ ผู้ที่ได้รับต้องถ่อมใจ พร้อมให้ผู้อื่นขอพิสูจน์ด้วย (ผู้เขียนเคยพบคริสตชนบางคนที่มีประสบการณ์พิเศษกับพระเจ้าที่ดูพิเศษกว่าคนอื่น แทนที่เขาจะถ่อมตัวลงสำนึกบาปเหมือนกับคุณจอห์น สามีคุณซานดร้า เขากลับหยิ่งผยองโอ้อวด จนใครๆ ต่างบอกว่านิสัยแย่กว่าเดิมอีก และอ้างประสบการณ์นี้ไปสนับสนุนคำสอนอื่นที่ผิดพระคัมภีร์ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย น่าเสียดาย!)

ไม่นานนี้ผู้เีขียนก็ได้ฟังนักเทศน์จากต่างประเทศท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติและแปลกประหลาด ไม่มีในพระคัมภีร์ (จนคริสตชนหลายคนไม่ยอมรับและบ้างก็ถึงกับต่อต้านด้วย) มีคนถามว่าประสบการณ์แปลกๆ แบบนี้เริ่มเกิดกับท่านเมื่อไร ท่านบอกว่า เกิดขึ้นหลังจากที่วันหนึ่งท่านอธิษฐานกับพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทำสิ่งแปลกใหม่กับลูก แบบที่ลูกไม่เคยเห็น" แล้วมันก็เริ่มเกิดและเกิดมาตลอด ...แปลกดี

โดยส่วนตัวนั้น ในระยะหลังๆ ผู้เขียนมีโอกาสได้พบและได้รับประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่พูดได้ว่า "นอกเหนือพระคัมภีร์" มากขึ้นเรื่อยๆ และแปลกขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนตัวเองต้องย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า...

พระเจ้าสามารถทำเกินกว่าที่เราคาดคิดได้


---
(หมายเหตุ: ส่วนของบทความที่แปลมา มาจากบทความ "When God Left His Mark" by Edmund Ng ในนิตยสาร Asian Beacon (Christian Magazine) เป็นนิตยสารคริสตชนที่เป็นที่นิยมในมาเลเซีย-สิงคโปร์ ฉบับ Aug-Sep 2009 Vol.41 No.4 page 28-29.)

http://kaochristian.blogspot.com/2011/0 ... t_543.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6094
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2011 12:19 pm

อัศจรรย์เกิดขึ้นได้เสมอ พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าเที่ยงแท้
องค์แห่งความเมตตาพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้าสูงสุด.... :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 20, 2011 5:32 pm

อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกวัน จริงๆๆ เย้ :s007: อยากเห็นรูปชัดๆ จังเลย
tach
โพสต์: 200
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 22, 2009 9:53 pm

พุธ ต.ค. 12, 2011 10:22 pm

อัศจรรย์จริง บรรดาคริสเตียนปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นคาทอลิก
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ต.ค. 13, 2011 7:51 pm

อคติต่างๆมาจาก อดีต ที่ทำให้แตกแยกกัน แล้วยังมีคำสอนต่อๆกันมา ในบางกลุ่มของคริสเตียน
เชื่อแบบหลับหูหลับตา แล้วนำไปถึงการทะเลาะกันมากมาย
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

ศุกร์ ต.ค. 14, 2011 1:43 pm

Jeab Agape เขียน:อคติต่างๆมาจาก อดีต ที่ทำให้แตกแยกกัน แล้วยังมีคำสอนต่อๆกันมา ในบางกลุ่มของคริสเตียน
เชื่อแบบหลับหูหลับตา แล้วนำไปถึงการทะเลาะกันมากมาย
ปีศาจมันขยันทำงานแข่งกับพระครับ :s013:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

เสาร์ ต.ค. 15, 2011 9:15 pm

s.gabriel เขียน:
Jeab Agape เขียน:อคติต่างๆมาจาก อดีต ที่ทำให้แตกแยกกัน แล้วยังมีคำสอนต่อๆกันมา ในบางกลุ่มของคริสเตียน
เชื่อแบบหลับหูหลับตา แล้วนำไปถึงการทะเลาะกันมากมาย
ปีศาจมันขยันทำงานแข่งกับพระครับ :s013:
แ่ต่ดันมาเกิดในหมู่ "คนที่เชื่อพระ" ด้วยกันได้ไงฟระ -*-
ตอบกลับโพส