ประสบการณ์เหนือธรรมชาติกัับพระเจ้า โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
ผู้เขียนเชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ แต่ฐานะนักวิชาการและนักศาสนศาสตร์ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาิติของพระเ้จ้านั้นมีข้อที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่คริสตชนอยู่หลายเรื่อง ในทางศาสนศาสตร์มีประเด็นคำถามที่พบบ่อยคือ...
ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้ายังทรงกระทำอยู่ในทุกวันนี้หรือไม่?
ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในหมู่คริสตชนในทุกวันนี้เหมือนกันกับสมัยพระคัมภีร์หรือไม่?
ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่ปรากฎในหมู่คริสตชนทุกวันนี้เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้หรือไม่?
หรือถ้าอัศจรรย์จริงก็ยังมีปัญหาว่าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามาจากพระเจ้าแน่ ไม่ได้มาจากอำนาจอื่น?
หรือหากมาจากพระเจ้าจริงจะตีความหมายว่ามีเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?
แต่อีกประเด็นที่มีปัญหามากอีกเรื่องคือ ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าสามารถมีรูปแบบที่ต่างจากที่บันทึีกในพระคัมภีร์ได้หรือไม่?
แต่บทความนี้อยากเน้นประเด็นที่สุดท้ายที่ว่า ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติของพระเจ้าสามารถมีรูปแบบที่ต่างจากที่บันทึีกในพระคัมภีร์ได้หรือไม่? เพราะสามประเด็นแรกต้องใช้เวลาและหน้ากระดาษอีกมาก
มีคริสตชนจำนวนมากที่มีความเชื่อแนว "พระคัมภีร์เท่านั้น" ได้บอกว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้าต้องสำแดงในรูปแบบที่มีบันทึกในพระคัมภีร์เท่านั้น เกินกว่านั้้นไม่ได้ แต่แนวความเชื่อนี้ก็ถูกคัดค้านจากคริสตชนที่เชื่ออีกแบบ ผู้เขียนเคยสนใจในเรื่องประสบการณ์กับพระเจ้ามาก เคยได้ศึกษาค้นคว้ืาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ครอบคลุมทั้งแง่มุมด้านศาสนศาสตร์และประสบการณ์ (สุดท้ายได้เขียนเป็นหนังสือชื่อว่า "ประสบการณ์กับพระเจ้า") หัวข้อหนึ่งที่พูดถึงก็คือ ประสบการณ์กับพระเจ้าในรูปแบบที่ไม่มีในพระคัมภีร์ ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าและติดตามของผู้เีขียนพบว่ามีประสบการณ์หลายอย่างของคริสตชนที่ "ไม่มีปรากฏ" ในพระคัมภีร์
เมื่อโปรแตสแตนท์ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
ขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้อ่านพบในนิตยสารคริสเตียนจากมาเลเซียเล่มหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์คำพยานของสตรีคริสเตียนผู้หนึ่งชื่อ ซานดร้า โรส (Sandra Rose) ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างเหลือเชื่อ ผู้เขียนขอแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษมาบางส่วนดังต่อไปนี้...
ซานดร้า โรส เป็นสตรีชาวอังกฤษวัยหกสิบกว่า สามีชือจอห์น เป็นชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดียที่เคยทำงานในอังกฤษ และหลังจากที่สามีเกษียณแล้วก็ย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่มาเลเซีย
ซานดร้าเป็นคริสเตียนและไปโบสถ์ตั้งแต่สามขวบ ซื้อพระคัมภีร์ของตัวเองตอนสี่ขวบ และรับเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงเมื่ออายุแปดขวบ จากนั้นก็มอบชีีวิตให้กับพระองค์มาโดยตลอด
แต่เธอประสบปัญหาชีวิตที่รุนแรงในเรื่องสุขภาพ เธอเป็นโรคขาดเลือด (Ischemic) ซึ่งผลคือเธอจะเป็นลมบ่อย อ่อนแอมาก จนเธอไม่สามารถมาโบสถ์ได้ทั้งๆ ที่เธอรักการนมัสการ และชอบที่จะใช้เวลาในการอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างมาก
จุดสำคัญของเรื่องมาอยู่ตรงที่ ณ จุดหนึ่ง เธอได้เล่าว่า พระเยซูได้มาปรากฎกับเธอและทรงตรัสประกาศการรักษาแก่ร่างกายที่อ่อนแอของเธอ และหลังจากนั้น ร่างกายของเธอก็แข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด จนเธอสามารถไปโบสถ์ได้นับแต่นั้นมา
ในวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2009 ขณะที่กำลังนมัสการในโบสถ์ ศิษยาภิบาลได้เชิญเธอให้ขึ้นเป็นพยานถึงประสบการณ์พิเศษที่เธอได้รับจากพระเจ้า เธอเล่าอย่างนี้ว่า
ย้อนไปในคืนวันที่ 22 มิถุนายน 2009 เธอกับสามีได้นมัสการพระเจ้าอยู่ราวชั่วโมงครึ่งก่อนจะเข้านอน ราวเที่ยงคืนเธอตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอว่า "ซานดร้า ซานดร้า" เธอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นชายคนหนึ่ง ร่างอาบไปด้วยแสงขาวสว่างจ้า ยืนต่อหน้าเธอ ชายผู้นั้นสวมชุดขาว ดวงตาเต็มด้วยประกายแห่งความงามและความรัก ถึงตรงนั้นเธอจำได้ทันที ...พระเยซู ภาพที่เห็นช่างตระการตายิ่งนัก
พระเยซูตรัสกับเธอว่า "พรจงมีแก่เจ้า ลูกเอ๋ย" พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ขวามาสัมผัสหน้าผากของเธอ ตอนนั้นเธอตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก คำเดียวที่พูดออกมาได้คือ "ขอบคุณพระเยซู" จากนั้นพระเยซูก็วางพระหัตถ์ลงและผายออกต่อเธอ ท้ายสุดพระองค์ทรงประสานพระหัตถ์แล้วก็ทรงหายไปจากสายตา
จากนั้น เธอก็รีบลุกขึ้นและไปปลุกสามีโดยทันที เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง สามีกอดเธอไว้แน่นและพร่ำบอกว่าขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาต่อซานดร้าภรรยาของเขา ซานดร้าบอกจอห์นว่า "ฉันรู้สึกว่าหน้าผากร้อนเหมือนไหม้ตรงจุดที่พระเยซูแตะฉัน"
จอห์นก็เลยลุกไปเปิดไฟเืพื่อจะได้เห็นอะไรชัดๆ พอไฟสว่าง จอห์นก็ช๊อคกับสิ่งที่เห็น "ซานดร้า คุณมีกางเขนบนหน้าผาก!" เขาบอกฉันให้รีบไปส่องกระจก ภาพที่ฉันเห็นก็คือ กลางหน้าผากฉันมีรอยนูนออกมา...เป็นรูปกางเขน!!! แถมยังมีเลือดหยดออกมาตรงรูปกางเขนนี้ด้วย! จากนั้นทั้งสองก็สวมกอดกันร้องไห้แบบหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว
พอรุ่งสาง เธอก็ได้เชิญศิษยาภิบาลชื่อ อ.เจเรมีย์ มาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อ.เจเรมีย์ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ และจำได้ว่าตอนนั้น รอยนูนรูปกางเขนบนหน้าผากเริ่มนูนน้อยลงแล้ว แต่เลือดยังคงไหลอ่อนๆ
ภาพคุณซานดร้า โรส ที่มีรอยแผลรูปกางเขนบนหน้าผาก ในขณะที่เธอเป็นพยาน
ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง (ขออภัยที่ภาพไม่ชัดเท่าที่ควร เนื่องจากผู้เขียนต้องถ่ายจากนิตยสาร
โดยใช้กล้องในโทรศัพท์มือถือราคาถูกๆ)
โบสถ์เล็กๆ ที่เธอไปนมัสการประจำ
สองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์นั้น เุมื่อเธอถูกถามว่ารู้สึกอย่างไร ซานดร้าตอบว่า เธอมีความสุขมาก "ฉันรู้สึกเหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ฉันอยากจะกระโดดและเต้น" ส่วนจอห์น สามีนั้นเหตุการณ์นั้นได้ทำให้รู้สึกสำึนึกบาปของตนเอง และกลับใจใหม่
ซานดร้า โรส เป็นสตรีชาวอังกฤษวัยหกสิบกว่า สามีชือจอห์น เป็นชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดียที่เคยทำงานในอังกฤษ และหลังจากที่สามีเกษียณแล้วก็ย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่มาเลเซีย
ซานดร้าเป็นคริสเตียนและไปโบสถ์ตั้งแต่สามขวบ ซื้อพระคัมภีร์ของตัวเองตอนสี่ขวบ และรับเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงเมื่ออายุแปดขวบ จากนั้นก็มอบชีีวิตให้กับพระองค์มาโดยตลอด
แต่เธอประสบปัญหาชีวิตที่รุนแรงในเรื่องสุขภาพ เธอเป็นโรคขาดเลือด (Ischemic) ซึ่งผลคือเธอจะเป็นลมบ่อย อ่อนแอมาก จนเธอไม่สามารถมาโบสถ์ได้ทั้งๆ ที่เธอรักการนมัสการ และชอบที่จะใช้เวลาในการอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างมาก
จุดสำคัญของเรื่องมาอยู่ตรงที่ ณ จุดหนึ่ง เธอได้เล่าว่า พระเยซูได้มาปรากฎกับเธอและทรงตรัสประกาศการรักษาแก่ร่างกายที่อ่อนแอของเธอ และหลังจากนั้น ร่างกายของเธอก็แข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด จนเธอสามารถไปโบสถ์ได้นับแต่นั้นมา
ในวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2009 ขณะที่กำลังนมัสการในโบสถ์ ศิษยาภิบาลได้เชิญเธอให้ขึ้นเป็นพยานถึงประสบการณ์พิเศษที่เธอได้รับจากพระเจ้า เธอเล่าอย่างนี้ว่า
ย้อนไปในคืนวันที่ 22 มิถุนายน 2009 เธอกับสามีได้นมัสการพระเจ้าอยู่ราวชั่วโมงครึ่งก่อนจะเข้านอน ราวเที่ยงคืนเธอตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอว่า "ซานดร้า ซานดร้า" เธอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นชายคนหนึ่ง ร่างอาบไปด้วยแสงขาวสว่างจ้า ยืนต่อหน้าเธอ ชายผู้นั้นสวมชุดขาว ดวงตาเต็มด้วยประกายแห่งความงามและความรัก ถึงตรงนั้นเธอจำได้ทันที ...พระเยซู ภาพที่เห็นช่างตระการตายิ่งนัก
พระเยซูตรัสกับเธอว่า "พรจงมีแก่เจ้า ลูกเอ๋ย" พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ขวามาสัมผัสหน้าผากของเธอ ตอนนั้นเธอตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก คำเดียวที่พูดออกมาได้คือ "ขอบคุณพระเยซู" จากนั้นพระเยซูก็วางพระหัตถ์ลงและผายออกต่อเธอ ท้ายสุดพระองค์ทรงประสานพระหัตถ์แล้วก็ทรงหายไปจากสายตา
จากนั้น เธอก็รีบลุกขึ้นและไปปลุกสามีโดยทันที เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง สามีกอดเธอไว้แน่นและพร่ำบอกว่าขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาต่อซานดร้าภรรยาของเขา ซานดร้าบอกจอห์นว่า "ฉันรู้สึกว่าหน้าผากร้อนเหมือนไหม้ตรงจุดที่พระเยซูแตะฉัน"
จอห์นก็เลยลุกไปเปิดไฟเืพื่อจะได้เห็นอะไรชัดๆ พอไฟสว่าง จอห์นก็ช๊อคกับสิ่งที่เห็น "ซานดร้า คุณมีกางเขนบนหน้าผาก!" เขาบอกฉันให้รีบไปส่องกระจก ภาพที่ฉันเห็นก็คือ กลางหน้าผากฉันมีรอยนูนออกมา...เป็นรูปกางเขน!!! แถมยังมีเลือดหยดออกมาตรงรูปกางเขนนี้ด้วย! จากนั้นทั้งสองก็สวมกอดกันร้องไห้แบบหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว
พอรุ่งสาง เธอก็ได้เชิญศิษยาภิบาลชื่อ อ.เจเรมีย์ มาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อ.เจเรมีย์ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ และจำได้ว่าตอนนั้น รอยนูนรูปกางเขนบนหน้าผากเริ่มนูนน้อยลงแล้ว แต่เลือดยังคงไหลอ่อนๆ
ภาพคุณซานดร้า โรส ที่มีรอยแผลรูปกางเขนบนหน้าผาก ในขณะที่เธอเป็นพยาน
ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง (ขออภัยที่ภาพไม่ชัดเท่าที่ควร เนื่องจากผู้เขียนต้องถ่ายจากนิตยสาร
โดยใช้กล้องในโทรศัพท์มือถือราคาถูกๆ)
โบสถ์เล็กๆ ที่เธอไปนมัสการประจำ
สองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์นั้น เุมื่อเธอถูกถามว่ารู้สึกอย่างไร ซานดร้าตอบว่า เธอมีความสุขมาก "ฉันรู้สึกเหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ฉันอยากจะกระโดดและเต้น" ส่วนจอห์น สามีนั้นเหตุการณ์นั้นได้ทำให้รู้สึกสำึนึกบาปของตนเอง และกลับใจใหม่
ประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับคุณซานดร้านั้นสรุปได้เป็น 3 อย่าง อย่างแรกคือ ได้พบและพูดคุยกับพระเยซูคริสต์ สองคือได้รับรอยแผลรูปกางเขนบนหน้าผาก และสามคือได้รับการรักษาด้านสุขภาพให้หายจากโรคเดิมและแข็งแรงขึ้น
ในที่นี้จะเน้นในเรื่องที่สองเท่านั้นคือเรื่องรอยแผล
เหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงใส่รอยแผลไว้บนร่างกายของผู้เชื่อบางคนโดยเกิดขึ้นเองอย่างเหนือธรรมชาติเช่นนี้ มีศัพท์เรียกว่า "Stigma" (สติ๊กมา) ซึ่งมีการเรียกเป็นไทยว่า "รอยแผลศักดิ์สิทธิ์"
ปรากฏการณ์เรื่องรอยแผลศักดิ์สิทธิ์นี้มักเป็นที่ถือกันว่า "ไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์" แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่คาทอลิก โดยเป็นความเชื่อที่ได้รับการรัับรองอย่างเป็นทางการในศาสนจักรคาทอลิก มีการยืนยันว่าเกิดขึ้นกับหลายบุคคลและมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ทางฝั่งโปรเตสแต๊นท์ไม่เคยยอมรับเรื่องนี้
ศัพท์คำว่า stigma เป็นภาษากรีก เป็นคำโบราณหมายถึงเครื่องหมายหรือรอยสักที่ถูกประทับลงบนร่างกายของทาสหรือทหารในยุคโบราณ เพื่อใช้ระบุวัตถุประสงค์บางอย่าง คำนี้ถูกพบการใช้ครั้งแรกในพระธรรมกาลาเทีย 6:17 ที่ท่านอัครทูตเปาโลกล่าวว่า "ตั้งแต่นี้ไป ขออย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้าเลย เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซู ติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว" อย่างไรก็ตาม คำว่า "รอยประทับตรา" นี้ก็ไม่อาจชี้ชัดว่านี่หมายถึงแผลศักดิ์สิทธิ์แน่ และท่านเปาโลได้รับปรากฎการณ์แผลศักดิ์สิทธิ์(Stigma) ด้วย
เรื่องที่น่าสนใจของคำพยานที่ผู้เขียนหยิบยกมานี้มีหลายประเด็น คือ หนึ่ง คำพยานนี้กำลังบอกว่าปรากฏการณ์ Stigmata มีปรากฏอีกแล้วเร็วๆ นี้ เพราะคำพยานนี้เกิดในปี 2009 นี่เอง สอง ปรากฏการณ์นี้เกิดกับคนที่ไม่ได้รู้และเชื่อในเรื่อง Stigmata มาก่อนเลย สาม มีหลักฐานของปรากฏการณ์ชัดเจน และสี่ เป็นเหตุการณ์น้อยครั้งมากที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในคริสตชนโปรเตสแต๊นท์
ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งเหนือธรรมชาติในรูปแบบที่นอกเหนือจากที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ ทั้งๆ ที่ท่านยอห์นเองก็เขียนไว้ในพระธรรมยอห์นว่า "พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใีส่หนังสือที่จะเขียนนั้น" (ยน.21:25) ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ประกอบกับมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง (ไม่่ใช่หลอกลวงหรือจิตวิทยา) อีกทั้งผู้ที่ได้รับประสบการณ์ดังกล่าวก็มีท่าทีที่ยกย่องพระเยซูคริสต์ มิได้ปฏิเสธพระองค์ และที่สำคัญคือประสบการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีในพระคัมภีร์นี้เิกิดขึ้น "ร่วมกับ" ประสบการณ์อื่นที่ "มี" ในพระคัมภีร์ด้วย (เช่น ได้รับการรักษาโรคด้วย ได้พบพระเยซูด้วย ดังในคำพยานของคุณซานดร้าเป็นต้น)
น่าคิดว่า ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ในรูปแบบที่นอกเหนือจากพระคัมภีร์ได้ นั่นก็เท่ากับเรายอมรับว่า สามารถมีปรากฎการณ์อื่นๆ ได้อีก...อย่างไม่มีข้อจำกัด
น่าตื่นเต้้นดีไหม?
ในที่นี้จะเน้นในเรื่องที่สองเท่านั้นคือเรื่องรอยแผล
เหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงใส่รอยแผลไว้บนร่างกายของผู้เชื่อบางคนโดยเกิดขึ้นเองอย่างเหนือธรรมชาติเช่นนี้ มีศัพท์เรียกว่า "Stigma" (สติ๊กมา) ซึ่งมีการเรียกเป็นไทยว่า "รอยแผลศักดิ์สิทธิ์"
ปรากฏการณ์เรื่องรอยแผลศักดิ์สิทธิ์นี้มักเป็นที่ถือกันว่า "ไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์" แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่คาทอลิก โดยเป็นความเชื่อที่ได้รับการรัับรองอย่างเป็นทางการในศาสนจักรคาทอลิก มีการยืนยันว่าเกิดขึ้นกับหลายบุคคลและมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ทางฝั่งโปรเตสแต๊นท์ไม่เคยยอมรับเรื่องนี้
ศัพท์คำว่า stigma เป็นภาษากรีก เป็นคำโบราณหมายถึงเครื่องหมายหรือรอยสักที่ถูกประทับลงบนร่างกายของทาสหรือทหารในยุคโบราณ เพื่อใช้ระบุวัตถุประสงค์บางอย่าง คำนี้ถูกพบการใช้ครั้งแรกในพระธรรมกาลาเทีย 6:17 ที่ท่านอัครทูตเปาโลกล่าวว่า "ตั้งแต่นี้ไป ขออย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้าเลย เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซู ติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว" อย่างไรก็ตาม คำว่า "รอยประทับตรา" นี้ก็ไม่อาจชี้ชัดว่านี่หมายถึงแผลศักดิ์สิทธิ์แน่ และท่านเปาโลได้รับปรากฎการณ์แผลศักดิ์สิทธิ์(Stigma) ด้วย
เรื่องที่น่าสนใจของคำพยานที่ผู้เขียนหยิบยกมานี้มีหลายประเด็น คือ หนึ่ง คำพยานนี้กำลังบอกว่าปรากฏการณ์ Stigmata มีปรากฏอีกแล้วเร็วๆ นี้ เพราะคำพยานนี้เกิดในปี 2009 นี่เอง สอง ปรากฏการณ์นี้เกิดกับคนที่ไม่ได้รู้และเชื่อในเรื่อง Stigmata มาก่อนเลย สาม มีหลักฐานของปรากฏการณ์ชัดเจน และสี่ เป็นเหตุการณ์น้อยครั้งมากที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในคริสตชนโปรเตสแต๊นท์
ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งเหนือธรรมชาติในรูปแบบที่นอกเหนือจากที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ ทั้งๆ ที่ท่านยอห์นเองก็เขียนไว้ในพระธรรมยอห์นว่า "พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใีส่หนังสือที่จะเขียนนั้น" (ยน.21:25) ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ประกอบกับมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง (ไม่่ใช่หลอกลวงหรือจิตวิทยา) อีกทั้งผู้ที่ได้รับประสบการณ์ดังกล่าวก็มีท่าทีที่ยกย่องพระเยซูคริสต์ มิได้ปฏิเสธพระองค์ และที่สำคัญคือประสบการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีในพระคัมภีร์นี้เิกิดขึ้น "ร่วมกับ" ประสบการณ์อื่นที่ "มี" ในพระคัมภีร์ด้วย (เช่น ได้รับการรักษาโรคด้วย ได้พบพระเยซูด้วย ดังในคำพยานของคุณซานดร้าเป็นต้น)
น่าคิดว่า ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ในรูปแบบที่นอกเหนือจากพระคัมภีร์ได้ นั่นก็เท่ากับเรายอมรับว่า สามารถมีปรากฎการณ์อื่นๆ ได้อีก...อย่างไม่มีข้อจำกัด
น่าตื่นเต้้นดีไหม?
แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีข้อต้องระวังด้วย นั่นคือ ผู้ที่ได้รับประสบการณ์เหล่านี้ต้องตระหนักด้วยว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ต้องไม่ถูกยกขึ้นให้ความสำคัญเกินกว่าหลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์ ไม่ขัดกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ต้องไม่ถูกถือเป็นบรรทัดฐานที่คริสตชนคนอื่นๆต้องมีเหมือนๆ กัน ต้องไม่เอามาเป็นเหตุให้ยกตัวว่าเหนือกว่าคริสตชนคนอื่น ต้องไม่ด่วนทึกทักเอาว่าปรากฏการณ์นี้มีความหมายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ และที่สำคัญคือ ผู้ที่ได้รับต้องถ่อมใจ พร้อมให้ผู้อื่นขอพิสูจน์ด้วย (ผู้เขียนเคยพบคริสตชนบางคนที่มีประสบการณ์พิเศษกับพระเจ้าที่ดูพิเศษกว่าคนอื่น แทนที่เขาจะถ่อมตัวลงสำนึกบาปเหมือนกับคุณจอห์น สามีคุณซานดร้า เขากลับหยิ่งผยองโอ้อวด จนใครๆ ต่างบอกว่านิสัยแย่กว่าเดิมอีก และอ้างประสบการณ์นี้ไปสนับสนุนคำสอนอื่นที่ผิดพระคัมภีร์ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย น่าเสียดาย!)
ไม่นานนี้ผู้เีขียนก็ได้ฟังนักเทศน์จากต่างประเทศท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติและแปลกประหลาด ไม่มีในพระคัมภีร์ (จนคริสตชนหลายคนไม่ยอมรับและบ้างก็ถึงกับต่อต้านด้วย) มีคนถามว่าประสบการณ์แปลกๆ แบบนี้เริ่มเกิดกับท่านเมื่อไร ท่านบอกว่า เกิดขึ้นหลังจากที่วันหนึ่งท่านอธิษฐานกับพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทำสิ่งแปลกใหม่กับลูก แบบที่ลูกไม่เคยเห็น" แล้วมันก็เริ่มเกิดและเกิดมาตลอด ...แปลกดี
โดยส่วนตัวนั้น ในระยะหลังๆ ผู้เขียนมีโอกาสได้พบและได้รับประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่พูดได้ว่า "นอกเหนือพระคัมภีร์" มากขึ้นเรื่อยๆ และแปลกขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนตัวเองต้องย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า...
พระเจ้าสามารถทำเกินกว่าที่เราคาดคิดได้
---
(หมายเหตุ: ส่วนของบทความที่แปลมา มาจากบทความ "When God Left His Mark" by Edmund Ng ในนิตยสาร Asian Beacon (Christian Magazine) เป็นนิตยสารคริสตชนที่เป็นที่นิยมในมาเลเซีย-สิงคโปร์ ฉบับ Aug-Sep 2009 Vol.41 No.4 page 28-29.)
http://kaochristian.blogspot.com/2011/0 ... t_543.html
ไม่นานนี้ผู้เีขียนก็ได้ฟังนักเทศน์จากต่างประเทศท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติและแปลกประหลาด ไม่มีในพระคัมภีร์ (จนคริสตชนหลายคนไม่ยอมรับและบ้างก็ถึงกับต่อต้านด้วย) มีคนถามว่าประสบการณ์แปลกๆ แบบนี้เริ่มเกิดกับท่านเมื่อไร ท่านบอกว่า เกิดขึ้นหลังจากที่วันหนึ่งท่านอธิษฐานกับพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทำสิ่งแปลกใหม่กับลูก แบบที่ลูกไม่เคยเห็น" แล้วมันก็เริ่มเกิดและเกิดมาตลอด ...แปลกดี
โดยส่วนตัวนั้น ในระยะหลังๆ ผู้เขียนมีโอกาสได้พบและได้รับประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่พูดได้ว่า "นอกเหนือพระคัมภีร์" มากขึ้นเรื่อยๆ และแปลกขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนตัวเองต้องย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า...
พระเจ้าสามารถทำเกินกว่าที่เราคาดคิดได้
---
(หมายเหตุ: ส่วนของบทความที่แปลมา มาจากบทความ "When God Left His Mark" by Edmund Ng ในนิตยสาร Asian Beacon (Christian Magazine) เป็นนิตยสารคริสตชนที่เป็นที่นิยมในมาเลเซีย-สิงคโปร์ ฉบับ Aug-Sep 2009 Vol.41 No.4 page 28-29.)
http://kaochristian.blogspot.com/2011/0 ... t_543.html
- billa-bong
- ~@
- โพสต์: 668
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
- ที่อยู่: thailand
อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกวัน จริงๆๆ เย้ อยากเห็นรูปชัดๆ จังเลย
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อคติต่างๆมาจาก อดีต ที่ทำให้แตกแยกกัน แล้วยังมีคำสอนต่อๆกันมา ในบางกลุ่มของคริสเตียน
เชื่อแบบหลับหูหลับตา แล้วนำไปถึงการทะเลาะกันมากมาย
เชื่อแบบหลับหูหลับตา แล้วนำไปถึงการทะเลาะกันมากมาย
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
แ่ต่ดันมาเกิดในหมู่ "คนที่เชื่อพระ" ด้วยกันได้ไงฟระ -*-s.gabriel เขียน:ปีศาจมันขยันทำงานแข่งกับพระครับJeab Agape เขียน:อคติต่างๆมาจาก อดีต ที่ทำให้แตกแยกกัน แล้วยังมีคำสอนต่อๆกันมา ในบางกลุ่มของคริสเตียน
เชื่อแบบหลับหูหลับตา แล้วนำไปถึงการทะเลาะกันมากมาย