สวัสดีครับ คุณ
s.gabriel

การอ่านพระคัมภีร์ หรือพระธรรมไม่ว่าพระธรรมเก่าหรือพระธรรมใหม่ นั้นจะต้องใช้การ
ตีความด้วย จะอ่านตรง ๆ ตามตัวหนังสืออย่างนั้นหาได้ไม่ครับ ผมชอบที่ท่านพุทธทาส
ท่าน ปาฐกถา เรื่อง
"คริสตธรรม พุทธธรรม" ณ ศูนย์ศิลป วิทยาลัยพระคริสตธรรม
แห่งสภาคริสตจักร ประเทศไทย จ.เชียงใหม่ ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่าในพระคัมภีร์ หรือ
พระไตรปิฎก มีทั้ง
"ภาษาคน" และ
"ภาษาธรรม"
เราจะไปตีความพระัคัมภีร์ ตามตัวหนังสือ หาได้ไม่จำต้องใช้ปัญญาในการขบ ถ้าเป็นทาง
เซ็นเค้าเรียก
ขบโกอาน
** โกอาน ปริศนาธรรม เกี่ยวกับพระพุทธศาสนานิกายเซ็น**
ศาสนามีความสุขุมคัมภีรภาพ หาได้เข้าใจง่าย ดังเช่นเรียน เลข หรือท่องจำสูตรคูณ
จำต้อง อาศัยการจิตนาการประกอบ แต่หาใช่ทุกคนที่อ่าน และจะเกิด ความเข้าใจ หรือ
ปัญญาเหมือนกัน
http://www.buddhadasa.com/BudChrist/Beunderstand1.html
ดังเช่นพระพุทธองค์เปรียบไว้
ประดุจบัว 4 เหล่า คือ หลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงตรัสรู้แล้ว 7 สัปดาห์ ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ ทรงบรรลุนั้น มีความละเอียดอ่อน
สุขุมคัมภีรภาพ(สุขุมลึกซึ้ง) ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและ ปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อ
พระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาพระองค์ได้ทรง พิจารณาอย่างลึกซึ้ง
แล้วทรงเห็นว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวก สอนไม่ได้
เปรียบเสมือนบัว 4 เหล่า ดังนั้นแล้ว จึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บัว 4 เหล่าที่พระองค์กล่าวถึง ได้แก่
1. ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ(ปัญญาเห็นชอบ)
เมื่อได้ฟังธรรมก็ สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ
เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบาน ทันที เรียก
อุคฆฏิตัญญู
2.ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำพวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว
พิจารณาตามและ ได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า
เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป เรียก
วิปัจจิตัญญู
3.ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณา
ตามและได้รับ การอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอย
ด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุด ก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัว
ที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้น เบ่งบานได้ในวันหนึ่ง เรียก
เนยยะ
4.ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ(ปัญญาเห็นผิด)
แม้ได้ฟังธรรมก็ ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความ
เพียร เปรียบเสมือน ดอกบัวที่จม อยู่กับโคลนตม รังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มี
โอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน เรียก
ปทปรมะ
ผมไม่พูดต่อที่คนรุ่นหลังตั้งว่ามีบัวเต่าถุยอีก ...คือต่ำเตี้ยเรี่ยติดดิน เตากินเป็นอาหารยัง
ถุยออกมา >>>เรียก
บัวเต่าถุย
หลังพระพุทธองค์ทรงตัดสินใจจะเทศนาโปรดชาวโลก จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ระลึกถึง
อาฬารดาบสและอุททกดาบส ว่าเป็นผู้มีกิเลสเบาบาง สามารถตรัสรู้ได้ทันที
แต่ท่านทั้ง 2 ได้ละสังขารแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ และได้เสด็จไปที่ป่าอิสปตน-
มฤคทายวัน เมือง พาราณสี แคว้นกาสี(ปัจจุบันคือ ต.สารนาถ) ตรงกับวันเพ็ญ เดือน
อาสาฬหมาส(เดือน 8) พระพุทธองค์ ทรงเสร็จ มา ณ เมืองสารนาถ แสดงปฐมเทศนาแก่
ปัญจวัคคีย์ (สาวกรุ่นแรก 5 องค์ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ
พระมหานามะ และพระอัสสชิ) ที่ อิสิปตนมฤคทายวัน โดยธรรม ที่แสดงนั้นมีชื่อว่า
“ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร”

พระวารสารบันทึกโดย
นักบุญมัธธิว ตามพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ กล่าวว่า...
เวลานั้นพระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์
"ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด"
พระองค์ตรัสตอบว่า
"มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงด้วย พระวาจา
ทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า"
ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหารแล้วทูลว่า
"ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
พระเจ้าทรงสั่ง ทูตสวรรค์เกี่ยวกับท่านให้คอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน"
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
"ในพระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ด้วยว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย"
และอีกครั้งหนึ่งปีศาจนำพระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณา
จักรรุ่งเรืองต่าง ๆ ของโลกแล้วทูลว่า "เราจะให้ทุกสิ่งนี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา"
พระเยซูตรัสว่า
"เจ้าซาตานจงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงกราบนมัสการองค์
พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น"
ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไปแล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศข่าวดี
หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำพระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลีทรงประกาศเทศนาข่าวดี
ของพระเจ้า ตรัสว่า
"เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้วพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด"
พระเยซูเจ้าเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อม
พระองค์ จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง
พระองค์ทรงสอนเขา หลายเรื่องเป็นอุปมา ในการสอนนั้นพระองค์ตรัสว่า...
จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเม็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ดพืชอยู่นั้น
- บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด
- บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นมาทันทีเพราะดินไม่ลึก
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก
- บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล
- บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโตขึ้น และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง
ร้อยเท่าบ้าง
ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสว่า ...
"ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด"
พระคัมภีร์ ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจง่าย จำต้องใช้การตีความ และหมั่นศึกษา ด้วยเหตุนี้เราจึง
ต้องมี
พระสงฆ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนพระศานุศิษย์ของพระเยซู ช่วยชี้แนะพวกเราไงครับ
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ (เดินทางทุกที่ ที่มีพระองค์)