อู มา.."มี้" เรื่องเล่าสบายๆสไตล์..."พ่อมี้"1

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 23, 2012 3:46 pm

....อู..มา..มี้เป็นหนังสืออ่านสบายๆจริงๆ คลายเครียด พอดีไปเจอมา เลยซื้อ
มาอ่าน และจะขอเอามาแบ่งปันให้น้องๆหรือ คนที่ยังไม่เคยอ่านได้เสริมศรัทธา
จะพยายามพิมพ์ไปเรื่อยๆเป็นบางเรื่อง หรือจะไปหาซื้อมาอ่านเองก็ได้ที่วัดที่มีศาสนภัณฑ์
หรือหนังสือเสริมศรัทธาคาทอลิก ได้ขออนุญาตผู้แต่ง คุณพ่อ สุวนารถ กวยมงคลแล้ว
ขอขอบคุณ คุณพ่อมากๆค่ะ
.... :s002: ....
อู..มา..มิเป็นเครื่องปรุงชูรสอาหาร
ส่วน อู.. มา ..มี้เป็นเรื่องเล่าสบายๆที่พ่อตั้งใจให้พี่น้องอ่าน เพี่อเสริมความเชื่อ
ความศรัทธา เพิ่มบรรยากาศในการอ่านให้สนุก ประทับใจ สอนใจ ทั้งตนเองและผู้อื่น
ลงชื่อ.....พ่อมี้..ครับ
.... :s013: ....
.................กล่องความรัก............
...โอกาสคริสต์มาส พี่ชายต้องทำงานตลอดวัน และตอนเย็นกลับมาบ้าน ก็เห็นน้องชาย
และน้องสาวคนเล็กกำลังห่อของขวัญกันอยู่ ใช้กล่องรองเท้า และกระดาษสองสามชิ้น
กำลังพยายามตัดกระดาษสำหรับห่อกล่อง พี่ชายก็พูดว่า "เสียเวลาห่อของขวัญทำไม?
ใช้กระดาษเยอะขนาดนี้ ไม่รู้หรือว่ากระดาษแพงขนาดไหน" น้องสาวก็เสียใจร้องไห้
พี่ชายก็ดึงกระดาษจากมีอเธอ เธอก็วิ่งไปและร้องไห้คนเดียว ส่วนพี่ชายไม่ได้สนใจอะไร
ถึงเวลาไปวัดพิธีสง่างามมาก สาวน้อยคนนั้นอยู่ที่นั่น เธอบอกว่า.."พระเยซูส่งยิ้มให้เธอ
และส่งจูบให้"
....หลังจากพิธี ในครอบครัวมีธรรมเนียมให้ของขวัญกัน พ่อให้ของขวัญลูกทุกๆคนพอถึง
น้องเล็กก็ให้ของขวัญพ่อ เป็นของขวัญที่ไม่ได้ห่ออะไรเลย กล่องเปล่าๆ แล้วพ่อก็ค่อยๆ
แกะของขวัญ ที่สุดพ่อไม่พบอะไรในกล่องของขวัญเลย จึงดุลูกว่า"ไม่เห็นมีอะไรเลย"
ลูกก็ร้องไห้บอกว่า "มันไม่ว่างเปล่าหรอกพ่อ...หนูส่งจูบไว้ในนั้นตั้งล้านจูบแน่ะ!"
เมื่อลูกพูดจบ พ่อก็เสียใจที่มองลูกผิดไป แล้วก็กอดลูกไว้ที่อก
....วันต่อมา พ่อไปทำงานนำกล่องของขวัญไปวางไว้ที่โต๊ะ เพื่อนร่วมงานก็ถามว่า
"นั่นกล่องอะไร?" พ่อตอบว่า "กล่องนั้นไม่ใช่กล่องเปล่า แต่เป็นกล่องที่บรรจุความรักของ
ลูกสาวคนเล็กของผมไว้เต็มเลย!!!"
.... :s021: ...
..........เพราะคำภาวนา........
...จิม จอห์นสัน เป็นเจ้าของโรงแรม แต่โรงแรมไปไม่รอด ผู้จัดการก็ไปไม่ไหว ความไม่
สำเร็จก็เกิดขึ้น โรงแรมอยู่ในสถานการณ์อันน่าเป็นห่วง ทุกๆคืนเขาจะขับรถขึ้นไปบนยอด
เขาและมองไปยังโรงแรมของเขาที่ในเมือง เขานั่งลงแล้วภาวนา 20 นาที หลังจากนั้น
เขาก็ภาวนาต่อไปสำหรับแขกของโรงแรม ลูกค้าสำหรับครอบครัว ภาวนาสำหรับทุกคน
ที่ประกอบธุระกิจโรงแรม ที่สุดเขาภาวนาทั้งหมดเกี่ยวกับเมืองของเขาและประชาชน
...หลังจากคืนนั้นเขาขับรถไปบนเทือกเขาเหมือนเดิมและอยู่ที่นั่น สวดเหมือนเดิมตลอด
สถานการณ์โรงแรมเริ่มดีขึ้น ความเชื่อมั่นเริ่มดี เริ่มอบอุ่นมากขึ้น ทุกคนมีความสุข
เมื่ออยู่ในโรงแรมนั้น
...จากเรื่องนี้ จิม จอห์นสัน ได้ทำให้โรงแรมของเขาพลิกฟื้นขึ้นมา และเป็นไปไม่ได้หรือ
ถ้าเราภาวนาแล้วโลกเราจะไม่ดีขึ้นกว่านี้
..... :s005: ....
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ ก.ค. 23, 2012 5:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

จันทร์ ก.ค. 23, 2012 4:42 pm

ห้องสมุดร.ร ผมมีอูมามี้เพียบเลย :s012:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 23, 2012 5:17 pm

...............เกลโอเซเลอร์............
.....เกลโอเซลเลอร์เล่นฟุตบอลให้ทีมชิคาโกแบร์ลปี ค.ศ.1960 เขาเป็นคนมี
ชื่อเสียงมากในกีฬาฟุตบอล รอบคอของเขาจะมีเหรียญใหญ่ขนาดครึ่งดอลลาร์
ห้อยคออยู่มีคำเขียนไว้ "ผมเป็นที่สาม" สามคำนี้ถูกเขียนในหนังสือชีวประวัติของเขา
ซึ่งขายดีเป็นอันดับหนึ่งในสมัยนั้น หนังสือเล่มนี้เขียนคำอธิบาย สามคำนี้อย่างดี
เกลโอเซเลอร์ได้อธิบายว่า..."เขาได้เห็นโค้ชของเขาที่ชื่อบิล เอสตั้น เขียนสามคำ
นี้ไว้ที่โต๊ะทำงานของเขา"
.....วันหนึ่งเกลเข้าไปที่โต๊ะและถามเอสตั้นว่า "หมายถึงอะไร" โค้ชเอสตั้น
ก็บอกว่า "พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง... เพื่อนๆเป็นที่สอง...ส่วนที่สามเป็นผมเอง"
หลังจากวันนั้นเกลก็ใช้คำนี้ เป็นแนวปฎิบัติในชีวิตเสมอมา..
...... :s007: .....
................นักเทนนิส................
.....นานมาแล้วมีนักเทนนิส 2 คน คนแรกตีเทนนิสได้อย่างดียอดเยี่ยม
ส่วนคนที่ 2 มีความชำนาญน้อย
.....คนแรกจะไม่ยอมเข้าแข่งขันถ้าประเมินแล้วไม่ชนะ ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึง
ลงแข่งขันปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ส่วนคนที่ 2 เมื่อไรที่มีโอกาสแข่งขัน เขาก็เข้า
แข่งขันทันที แม้ไม่ชนะตลอด แต่บางครั้งก็ตีดีขึ้น บางครั้งก็โชคช่วย บางครั้ง
คู่ต่อสู้ก็ป่วย
....สรุปก็คือคนที่ 2 เล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาชนะการแข่งขันมากกว่า
คนแรกที่เก่ง เขาได้รับการฝึกฝนเสมอด้วยความอดทนของเขา
..... :s007: ....
..................ผู้เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก...........
....เด้กชายคนหนึ่งอายุ 15 ปี ขณะที่กลับบ้านนั่งรถมากับพ่อ ผ่านสนามบิน
ที่โอไฮโอ เขาเห็นเครื่องบินลำเล็กลำหนึ่งไถลออกนอกทาง ได้รับอุบัติเหตุ
จึงบอกพ่อให้หยุดรถและรีบลงไปช่วย
....นักบินซึ่งอายุประมาณ 20 ปี เป็นเพื่อนเขาเอง นักบินคนนั้นตายในมือของเขา
เด็กชายคนนั้นเศร้าใจมาก กลับบ้านมากอดแม่ ร้องไห้ แล้วบอกว่า "คนนั้นเป็น-
เพื่อนผมเอง" วันนั้นเขาไม่ยอมกินข้าว เขาช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าห้อง
ปิดประตู งดอาหารแล้วก็นอน เด็กหนุ่มคนนี้จึงทำงานนอกเวลาที่ร้านขายยา
เขาใช้เงินทุกเพนนีสำหรับการศึกษาการบิน เขาพูดว่า "เมื่ออายุ 16 ปีเขาจะเป็น
นักบินให้ได้" พ่อกับแม่ก็แปลกใจอย่างมาก เพราะว่าลูกเพึ่งเจอเรื่องเศร้ามา
ทำไมอยากเป็นนักบินอีก เพื่อนก็เพิ่งตาย
.....สองอาทิตย์ต่อมา แม่นำคุกกี้ไปให้ในห้องนอน แล้วพบโน๊ตในหนังสือไดอารี่
ลองเปิดอ่านดู ก็พบข้อความว่า..นิสัยของพระเยซู ชีวิตของพระเยซู ไม่มีบาป
ถ่อมตน เป็นเพื่อนกับคนจน ไม่เห็นแก่ตัว และอยู่กับพระเจ้าเสมอ....

เมื่อแม่อ่านจบก็ดีใจ เห็นลูกตัวเองศรัทธาให้พระเยซูชี้นำชีวิต เมื่อแม่พบลูก
แม่จึงถามลูกตรงๆว่า "ทำไมลูกอยากเป็นนักบิน ทั้งๆที่มีปัญหาและยังเศร้าอยู่"
เด็กชายตอบแม่ว่า "ผมอยากให้พ่อแม่เข้าใจผม จริงๆแล้วก็ไม่อยากบิน แต่ถ้า
พระเจ้าทรงช่วยและอยู่กับผม ผมจะเป็นนักบินได้อย่างแน่นอน"
...เด็กชายอายุ 15 คนนั้นคือ นิว อาร์มสตรอง ในปัจจุบัน
...เมี่อ 20 กรกฎาคม ค.ศ.1969 เขาไ้ด้ขึ้นยานอพอลโล เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก
...... :s007: ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 23, 2012 8:57 pm

...................การให้คือการได้รับ...............
.....ด็อกเตอร์ โจเซฟ อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทำงานที่โรงพยาบาลโกโกตา ในช่วงสงครามครั้งที่ 2
เขาทำงานช่วยเหลือคนเจ็บป่วย วันหนึ่งเขาเดินทางกลับบ้านด้วยรถยนต์ เขาเห็นคนได้รับบาดเจ็บ
นอนอยู่ข้างทาง มีเลือดไหล เขาก็ลงไปช่วยพันแผลให้ชายคนนั้น จนรอดตายและมีชีวิตต่อไป
......หลังจากนั้นไม่นานก็มีสงครามกลางเมืองวุ่นวายเกิดขึ้น มีการจลาจลมากขึ้น ระหว่างทางที่
เขาและภรรยากำลังกลับบ้าน พวกเขาเจอม็อบ ทุกคนถูกขับไล่ไปให้พ้นๆ แม้กระทั่งด็อกเตอร์โจเซฟ
ขณะที่พวกม็อบกำลังจะทำร้ายเขาก็มีร่างของชายคนหนึ่งมาบังไว้ แล้วก็พูดเสียงดังว่า "อย่าแตะต้อง
2คนนี้เด็ดขาด" แล้วก็คำราม ทุกคนก็แหวกทางให้ 2คนนี้ผ่านออกไป
ภรรยาถาม "ชายคนนั้นเป็นใครถึงมาช่วยเราสองคนได้ทันเวลา"
ด็อกเตอร์โจเซฟ ตอบว่า "เป็นชายที่นอนบาดเจ็บกำลังจะตายอยู่ที่ถนน...ที่ผมบอกคุณ"
....... :s021: ......
......................ซื่อมาก..............
.....ชายคนหนึ่งกำลังจะตายเขาได้มอบเงินให้กับหมอ ทนายความ พระสงฆ์ คนละ2500 ดอลล่าร์
หลังจากมอบเสร็จไม่นาน ชายคนนั้นก็ตายจากไป ทุกคนแยกย้ายกันไป
......ทั้งพระสงฆ์ หมอ และทนายความต่างรู้สึกเสียใจ จึงพูดกับตนเองว่า "ผมรู้สึกผิดมาก ผมต้อง
ไปสารภาพบาป"
พระสงฆ์ :ผมใส่ลงไปในโลงแค่ 1,000 ดอลล่าร์เท่านั้น เพราะผมนำเงินไปปรับปรุงโบสถ์ที่อเมริกาใต้
.........ผมขอโทษทุกคน
หมอ :...ผมใส่ลงไปในโลงแค่ 2,000 ดอลล่าร์ เท่านั้นเอง ผมเอาเงินไปตั้งศูนย์คนยากจน เพราะเห็น
.........ว่ามีประโยชน์
ทนายความ : พวกคุณนี่ไม่เห็นแก่ผู้ตายเลย อะไรกันน่าเกลียดจริงๆ ความประพฤติแบบนี้เป็นพระสงฆ์
..........เป็นคุณพ่อ เป็นหมอได้หรือ..? ไม่เหมือนผม ได้เซ็นเช็คลงไปในโลง 2,5000 ดอลล่าร์
..........ตามจำนวนที่สัญญาไว้"
...... :s023: .....
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

จันทร์ ก.ค. 30, 2012 5:34 pm

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดีครับ พี่โรซาลี่ขยันพิมพ์มากเลยครับ :s012:
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ส.ค. 09, 2012 1:08 pm

ขอบคุณค่ะ ขยันพิมพ์มากเลย :s015:
ตอบกลับโพส