The Red Tent

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 11:55 am

วันนี้ สอนเสร็จ แล้วเบื่อๆ เลยไปค้นข้อมูลเก่า ที่เคยก็อปไว้ มีกระทู้หนึ่งจาก พันทิป จากห้องสมุด
คุณ ไอช์ ตอนนี้กลายเป็นนักเขียน และนักแปลมือทองไปแล้ว เธอจบปริญญาเอก เคมีจากอังกฤษ
ใช้โลกไซเบอร์ ในการเขียนเรื่อง ( อันที่จริง พี่พีพี ได้รู้จักนักแปล และนักเขียนที่ห้องสมุดหลายคน
ด้วยล่ะ )


~*^^*~ "Dinah" ได้ถูกกล่าวถึงใน Book of Genesis ไว้อย่างไรคะ? ~*^^*~

ขอตั้งกระทู้รบกวนถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่ถูกเขียนไว้ใน Book of Genesis

หน่อยค่ะ คือ ตอนนี้ไอซ์กำลังอ่านหนังสือเรื่อง The red tent ที่เขียนโดย Anita Diamant
อยู่ ... ในเรื่องนี้ผู้เขียนได้อิงตัวละครจาก Book of Genesis ซึ่งไอซ์ไม่เคย
อ่านหรือว่า มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
ในท้องเรื่องนี้ Dinah เป็นลูกสาวคนเดียวของ Jacob ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกแฝด
ของ Abram ((อีกคนคือ Isaac))
Jacob ได้แต่งงานกับพี่น้องสี่สาว มีลูกชายรวมทั้งหมด 12 คน และลูกสาว
คนสุดท้องคือ Dinah
เลยสงสัยว่าในพระคัมภีร์นี่ ได้กล่าวถึงคนเหล่านี้ไว้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะ
Dinah ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ แล้วก็ ... หนึ่งในลูกชายของ Jacob มีชื่อ
Judah ด้วย ... ใช่คนนี้หรือเปล่าคะ ที่ทรยศต่อพระผู้เป็นเจ้า? และอีกหนึ่ง
ในลูกชายของ Jacob อีกเหมือนกัน ชื่อ Joseph คนนี้มีบทบาทในพระคัมภีร์
อย่างไรบ้างคะ?
ขอถามอีกคำถามก็คือ Book of Genesis ต่างกับ Bible อย่างไรบ้าง?
รบกวนมากหน่อยนะคะ ขอบคุณค่า ^^

จากคุณ : Clear Ice - [ 3 ก.ย. 46 18:36:05 ]
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ส.ค. 27, 2005 1:33 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 11:59 am

ความคิดเห็นที่ 23

@@.. ปฐมกาล บทที่ 34..@@

แก้แค้นที่ดีนาห์ถูกทำอนาจาร

1 ฝ่ายดีนาห์บุตรีของยาโคบกับนางเลอาห์นั้น ออกไปเยี่ยมผู้หญิงในถิ่นนั้น
2 เมื่อเชเคมบุตรชายฮาโมร์คนฮีไวต์ผู้เป็นเจ้าเมืองเห็นนางสาวดีนาห์ ก็เอาไปหลับนอนทำอนาจาร
3 จิตใจของเชเคมก็ผูกพันอยู่กับดีนาห์บุตรียาโคบ รักเธอพูดจาเล้าโลมเอาใจเธอ
4 เชเคมจึงพูดกับฮาโมร์บิดาว่า "ขอหญิงสาวนี้ให้เป็นภรรยาข้าพเจ้าเถิด"
5 ยาโคบได้ข่าวว่าผู้นั้นทำลายความบริสุทธิ์ของดีนาห์ลูกสาวของตน แต่พวกบุตรของท่านอยู่กับฝูงสัตว์ที่ในนา
ยาโคบจึงนิ่งคอยให้พวกลูกกลับมาบ้าน
6 ฮาโมร์บิดาของเชเคมก็ไปหายาโคบพูดจาปรึกษากัน
7 เมื่อพวกลูกของยาโคบได้ยินข่าวนั้นก็กลับมาจากนา ต่างก็เป็นเดือดเป็นแค้นที่เชเคมสบประมาทพวกอิสราเอล โดยข่มขืนบุตรีของยาโคบ ซึ่งเป็นความผิดอย่างหนัก
8 ฮาโมร์ก็พูดจาปรึกษากับพวกเขาว่า "จิตใจเชเคมบุตรชายของเรานี้ผูกพันรักใคร่ลูกสาวของท่านมาก
ขอหญิงนั้นเป็นภรรยาบุตรชายของเราเถิด
9 และเชิญพวกท่านจงทำการสมรสกับพวกเรา ยกบุตรีของท่านให้พวกเรา และรับบุตรีของเราให้พวกท่าน
10 พวกท่านจะได้อยู่กับพวกเรา เราจะเปิดประตูเมืองนี้ให้ท่าน เชิญอาศัยเป็นที่ค้าขาย และเชิญหาสมบัติในเมืองนี้"
11 เชเคมบอกบิดาและพวกพี่ชายของหญิงนั้นว่า "เห็นแก่ข้าพเจ้าเถิด ท่านจะเรียกเท่าไรข้าพเจ้าก็จะให้
12 ท่านจะเอาเงินสินสอดและของขวัญสักเท่าไรก็ตามใจ ท่านจะเรียกเท่าไร ข้าพเจ้าจะให้
แต่ขอยกหญิงนั้นเป็นภรรยาข้าพเจ้า"
13 เพราะเหตุที่เชเคมทำลายความบริสุทธิ์ของดีนาห์น้องสาว บุตรชายของยาโคบจึงหลอกเชเคม และฮาโมร์บิดาของเชเคม
14 โดยตอบว่า "เราจะยกน้องสาวของเราให้แก่คนที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นไม่ได้ จะเป็นที่อับอายขายหน้าแก่เรา
15 เราจะยอมก็ต่อเมื่อท่านถือตามเรา คือยอมเหมือนพวกเรา โดยให้ผู้ชายทุกคนเข้าสุหนัต
16 เราจึงจะยอมยกบุตรีของเราให้แก่พวกท่าน แล้วจะรับบุตรีของพวกท่านเป็นภรรยาของพวกเรา
แล้วเราจะอยู่กับท่านเป็นชนชาติเดียวกัน
17 แต่หากว่าท่านทั้งหลายไม่ฟังคำเรา ไม่เข้าสุหนัต เราจะเอาบุตรีของเราไปเสีย"
18 ถ้อยคำของเขาเป็นที่พอใจฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของฮาโมร์
19 หนุ่มคนนั้นไม่รีรอที่จะทำตามเพราะเขาชอบบุตรีของยาโคบ เขาเป็นคนมีเกียรติ มากกว่าใครๆในครอบครัวของบิดา
20 ฮาโมร์กับเชเคมบุตรชายจึงออกไปที่ประตูเมืองบอกชาวเมืองว่า
21 "คนเหล่านี้เป็นมิตรกับพวกเรา ให้เขาอาศัยค้าขายในดินแดนนี้ เพราะดินแดนนี้กว้างขวางพอให้เขาอยู่ได้
เราจงรับบุตรีของเขาเป็นภรรยาพวกเรา และยกบุตรีของเราให้เขา
22 พวกเขาจะยอมอยู่เป็นชนชาติเดียวกับเราได้ตามเงื่อนไขนี้เท่านั้น คือพวกเราที่เป็นชายทุกคนจะยอมเข้าสุหนัตเหมือนเขา
23 ฝูงสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สมบัติของเขา กับฝูงสัตว์ใช้ทั้งสิ้นของเขาก็จะเป็นของเราด้วยมิใช่หรือ
ขอแต่ให้เรายอมกระทำดังนั้น เขาจะยอมอยู่กับเรา"
24 ชาวเมืองก็เห็นชอบกับฮาโมร์และเชเคม ชาวเมืองที่เป็นชายก็เข้าสุหนัต
25 ครั้นอยู่มาถึงวันที่สาม คนเหล่านั้นกำลังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบชื่อ สิเมโอนและเลวี เป็นพี่ชายของดีนาห์
ก็ถือดาบแอบเข้าไปในเมือง ฆ่าผู้ชายในเมืองนั้นเสียสิ้น
26 เขาฆ่าฮาโมร์และเชเคมบุตรชายเสียด้วยดาบ และพาดีนาห์ออกจากบ้านเชเคมไปเสีย
27 พวกลูกชายของยาโคบเข้าไปตามบ้านคนตาย และปล้นเมืองนั้น เพราะคนเมืองนั้นทำลายความบริสุทธิ์ของน้องสาว
28 เขาริบเอาฝูงแพะ แกะ ฝูงโค ฝูงลา และข้าวของทั้งปวงในเมืองและในนาไป
29 เอาทรัพย์สมบัติไป และจับบุตรภรรยาของคนเหล่านั้นไปเป็นเชลย และริบของในบ้านไปเสียทั้งสิ้น
30 ฝ่ายยาโคบจึงพูดกับสิเมโอนและเลวีว่า "เจ้าทำให้เราเดือดร้อน โดยทำให้เราเป็นที่เกลียดชังแก่คนถิ่นนี้
คือคนคานาอันกับคนเปริสซี เรามีผู้คนน้อยนัก ถ้าพวกนั้นรุมโจมตีพวกเรา ก็จะทำให้เราและครอบครัวพินาศสิ้น"
31 แต่เขาตอบว่า "มันจะทำกับน้องสาวเราเหมือนหญิงแพศยาได้หรือ"

++++++++++++++++++++++++++++++++

พระคัมภีร์ บันทึกยาโคบมีบุตรชาย 12 คน และบุตรสาว ไม่มีการบันทึกว่ากี่คน มีแต่ชื่อของ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:01 pm

ความคิดเห็นที่ 27

>>: เรา คุยกันถลำไปที่อิยิปต์เยอะ พอมีข้อมูลจึงโพสให้อ่านค่ะ

"อียิปต์"

@@..ลุ่มน้ำไนล์..@@


ทะเลทรายซาฮาราอันมหึมาในแอฟริกาเหนือกินเนื้อที่จากภูเขาโมร็อกโกทางฝั่งตะวันตกจรดทะเลแดงทางตะวันออก มีแม่น้ำไนล์ซึ่งไหลจากต้นกำเนิด-ทะเลสาบบนที่ราบสูงในเขตร้อนของแอฟริกาตะวันออก-ขึ้นเหนือ ตัดผ่านทะเลทรายเวิ้งว้างนี้ตลอดสาย จากนั้นก็ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สาายน้ำในช่วง 960 กม. สุดท้ายผ่านหุบเขาที่มีหน้าผาตั้งตระหง่านคู่ขนานทั้งสองฟากฝั่ง และในจุดที่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้ามา 160 กม. แยกเป็นสองสาย อันส่งผลให้เกิดที่ราบรูปสามเหลี่ยมที่เรียกกันว่า สามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์

>


ทุกปีฝนเขตร้อนในแอฟริกาตะวันออกทำให้แม่น้ำไนล์เอ่อล้นฝั่งและพัดพาดินโคลนมากมายมาด้วย ก่อนถึงยุคพัฒนานั้นดินโคลนที่อุดมด้วยปุ๋ยจะตกตะกอนตามหุบเขาและสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์อันกว้างใหญ่ในแต่ละปี แท้จริงสามเหลี่ยมี้และนี่คืออียิปต์ : พืชพันธุ์ธัญญาหารเขียวขจีเต็มผืนดินดำตามหุบเขา ลุ่มน้ำยาวเหยียด และสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์ ส่วนพื้นที่สองฟากฝั่งถัดจากหน้าผาล้วนเป็นทะเลทรายสีน้ำตาลลอมเหลืองทุกวัน นี้มีเขื่อนมหึมาควบุคมการท่วมของแม่น้ำไนล์และสะกัดกั้นดินโคลนเอาไว้ แต่สมัยโบราณมิแาจควบคุมได้เลย คราใดที่ท่วมน้อยก็หมายความว่ามีน้ำไม่เพียงพอสำหรับพืชผลและผู้คนต้องอดอยาก แต่คราใดที่ท่วมมากเกินไป กระแสน้ำเชี่ยวกราดจะพัดพาหมู่บ้านและฝูงสัตว์ไปหมดสิ้น ชาวอียิปต์โบราณจะขุดคลองชลประทานตามทุ่งนาเพื่อให้มีน้ำทั่วถึง

@@..การคมนาคม..@@


อียิปต์เรียนรู้วิธีทำเรือได้รวดเร็ว แรกๆ เป็นเรือบดจากต้นพาไพรัส ต่อมาก็เรือใหญ่จากไม้ คนอียิปต์สัญจนไปมาตามลำน้ำไนล์ทั่วหุบเขาและสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์ด้วยเรือเหล่านี้ ถ้าขึ้นเหนือก็ไปตามกระแสน้ำ ถ้าลงใต้ลมจากทิศเหนือจะพัดใบเรือให้แล่นทวนกระแสน้ำ แม่น้ำไนล์จึงเป็น
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:04 pm

ความคิดเห็นที่ 28

@@..จักรวรรดิ..@@

ฟาโรห์ยุคนี้ยึดครองคานาอัน ซึ่งอยู่ทางเหนือของอียิปต์ และนูเบียซึ่งอยู่ทางใต้อาณาจักรใหม่ นี้มักเรียกว่า จักรวรรดิ ซึ่งรวมราชวงศ์ที่ 18-20 กินเวลาราวๆ 1500-1700 กคศ. กษัตริย์เหล่านี้มักทำสงครามกันที่คานาอันและซีเรียหลายครั้ง พวกเขาสร้างมหาวิหารหลายแห่งที่อียิปต์ วิหารสำคัญที่สุดอยู่ที่เมมฟิส (เมืองหลวง) และเธเบส (เมืองศักดิ์สิทธิ์)

ในเวลาเดียวกันชาวฮิตไทต์ที่อยู่ทางเหนือไกลโพ้นยึดซีเรียได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอียิปต์ ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ใหม่พยายามเอาคืนมาโดยเฉพาะฟาโรห์เสโธสที่ 1 และราเมเสสที่ 2 (ราชวงศ์ที่ 19 ศตวรรษที่ 13 กคศ.) ฟาโรห์เหล่านี้ล้วนสนใจด้านการก่อสร้าง เพราะมีภูมิหลังมาจากดินแดนสามเหลี่ยม พวกเขาจึงสร้างมหานครแห่งใหม่ในสามเหลี่ยมด้านตะวันออก (ปิ-ราเมสเสและราอัมเสสในหนังสืออพยพ) นี่เป็นช่วงที่คนฮีบรูถูกกดขี่ข่มเหงมากที่สุด-ถูกบังคับเป็นทาสแรงงานและเป็นช่วงที่พระเจ้าส่งโมเสสไปนำคนเหล่านี้ออกจากอียิปต์ (อพยพ) ก่อน 1200 กคศ. ฟาโรห์เร็นพ์ทาห์ส่งกองทัพไปคานาอันและได้ชัยชนะเนหือชนหลายเผ่าที่นั่น เผ่าหนึ่งคืออิสราเอลซึ่งเห็นชัดว่า คนฮีบรูได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่คานาอันก่อนหน้านั้นแล้ว

หลัง 1200 กคศ. ไม่นานนักอียิปต์โบราณต้องพบปัญหามากมาย ชนชาวทะเลและชนชาติอื่นได้โค่นล้มอาณาจักรฮิตไทต์ ซีเรียและคานาอัน ราเมเสสที่ 3 ขับไล่ผู้บุกรุกออกจากอียิปต์ในสงครามดุเดือดสองครั้งทั้งทางบกและทางทะเลซึ่งมีฟีลิสเตียนรวมอยู่ด้วย ต่อมาราชวงศ์ที่ 20 และจักรวรรดิแห่งอียิปต์เสื่อมลงเนื่องจากฟาโรห์ขาดความสามารถในด้านการปกครอง ยิ่งกว่านั้นแม่น้ำไนล์ก็ท่วมน้อย อันส่งผลให้เกิดการกันดารอาหาร

>

ยุคหลังของอียิปต์เริ่มราว 1070-330 กคศ. อียิปต์ไม่เคยผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจเช่นอดีตอีกเลย ใน 925 กคศ. เชชองค์ที่ 1 (ชิชัก) ชนะกษัตริย์เรโหโบอัมแห่งยูดาห์และเยโรโบอัมแห่งอิสราเอล อียิปต์จารึกชัยชนะนี้ไว้ในวิหารคารนัคแต่ก็มิได้ยั่งยืนนาน 200 ปีต่อมาไม่ว่าจะเป็นฟาโรห์โหรือทีรหะคาห์ก็ไม่อาจช่วยกษัตริย์อิสราเอลต่อต้านบาบิโลนได้

ตั้งแต่ 225 กคศ. เป็นต้นมาอียิปต์ก็เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน คือตกเป็นของอาณาจักรเปอร์เซีย บางช่วงก็มีการปฏิวัติและได้เอกราชคืนมา (ราชวงศ์ที่ 28-30) ในที่สุดถูกอเล็กซานเดอร์มาหาราชยึดครอง (332-323 กคศ.) จากนั้นราชวงศ์ทอเลมีแห่งกรีกก็เข้ามาปกครองอียิปต์จนกระทั่งถูกอาณาจักรโรมันยึดไป

>

ฟาโรห์เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดโดยมีบุคคลสำคัญๆ เป็นผู้ช่วยรวมทั้งปราชญ์ที่ฟาโรห์เรียกมาอธิบายความฝัน อียิปต์แบ่งเป็นมณฑลๆ แต่ละมณฑลมีเมืองเอกเป็นศูนย์การบริหารและการสาธารณูปโภค คนอียิปต์ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ซึ่งต้องพึ่งแม่น้ำไนล์ สิ่งเหล่านี้ล้วนปรากฏในความฝันของฟาโรห์สมัยโยเซฟ ความฝันสำคัญต่อชนทุกชั้นตั้งแต่ยาจกถึงราชา ชาวอียิปต์ถึงกับเขียนตำราแก้ฝันเอาไว้

ภาษาอียิปต์เริ่มจากเขียนเป็นภาพ (ไฮเออไรกลิฟ) โดยเขียนตามเสียงของภาษา เช่น นกฮูกคือ ม แลปากคือ ร เมื่อเขียนบนพาไพรัส (กระดาษโบราณ) จะเขียนติดกันไปเป็นพืด ชาวอียิปต์ใช้ตัวอักษรในการเขียนเรื่องราว บทกลอนหนังสือแห่งสติปัญญา (เช่นสุภาษิต) รวมทั้งจดหมายกับรายการบัญชีที่ใช้กันทุกวัน

ทั้งชาวอียิปต์และคนต่างชาติล้วนถูกเกณฑ์เป็นแรงงานก่อสร้างโดยเฉพาะการทำอิฐ ซึ่งต้องใช้ฟางผสมดินเหนียวเพื่อจะได้คุณภาพดี แผ่นพาไพรัสที่หลงเหลืออยู่ยังเอ่ยถึงฟางและจำนวนอิฐที่ต้องทำเสร็จ หนุ่มต่างชาติทั้งหลายเช่นโมเสสถูกเรียกเข้าวังเพื่อรับการศึกษาขั้นสูงและรับตำแหน่งต่างๆ หลายชนชาติพยายามหนีออกจากอียิปต์เช่นเดียวกับโมเสสและคนฮีบรู แผ่นพาไพรัสที่ขุดพบกล่าวถึงทาสที่หนีเพื่อเสรีภาพ

@@..ศาสนาอียิปต์..@@

~@0@~เทพเจ้าของอียิปต์~@0@~

อียิปต์มีเทพเจ้าหลายองค์ บางอค์มาจากธรรมชาติ เช่น เทพเจ้าเรแห่งพระอาทิตย์ เทพเจ้าโธธ (โคนส์) แห่งพระจันทร์ เจ้าแม่นูนแห่งท้องฟ้า เทพเจ้าเกบแหงพื้นพิภพ เทพเจ้าฮาปีแห่งน้ำท่วมและเทพเจ้าอามูนแห่งพลังชีวิตที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ เทพเจ้าบางองค์เป็นตัวแทนของแนวความคิดต่างๆ เช่น เจ้าแม่มาอัทแห่งความจริง ความยุติธรรมและระบบระเบียน นอกจากนั้นโธธยังเป็นเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้และสติปัญญาทาห์เป็นเทพเจ้าแห่งสารพัดช่าง ชาวอียิปต์มักไปหาเทพเจ้าโอซิริสด้วยความหวังว่าจะได้ชีวิตหลังความตาย เล่ากันว่า โอซิริสถูกพี่น้องฆ่าตาย ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าใต้พิภพ

สัตว์ที่มีคุณลักษณะพิเศษจะได้รับการยกย่องให้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นสัญลักาณ์ของเทพเจ้าต่างๆ เช่น วัว-อาพิสเล็งถึงทาห์ นกกระสาคือโธธ เหยี่ยวคือโฮรัส แมวคือเจ้าแม่บาสเทท บางครั้งเทพเจ้าจะเป็นรูปปั้นที่มีหัวเป็นสัตว์ที่เล็งถึงนั้นเพื่อง่ายแก่การรู้จัก

เนื่องจากมีเทพเจ้ามากมายควบคุมโลกอียิปต์ ชาวอียิปต์จึงพยายามนำมาเชื่อมโยงกันโดยแต่งเป็นตำนาน (เกี่ยวกับเทพเจ้า) ขึ้นและจัดเป็นวงศ์แต่ละวงศ์วาานจะมีเทพเจ้าที่เป็นประมุขกับเจ้าแม่ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ส่วนบุตรธิดาจะเป็นเทพเจ้าในอันดับรองๆ ลงมา

ในศตวรรษที่ 14 กคศ. ฟาโรห์อาเคนาเท็นพยายามบังคับประชาชนทั้งหมดให้กราบไหว้เทพเจ้าดวง

อาทิตย์องค์เดียว (ตามที่พบในแผ่นดินแห่งดวงอาทิตย์-อาเท็น) ทว่าไม่สำเร็จ สิบปีต่อมาชาวอียิปต์หันกลับไปหาเทพเจ้าต่างๆ ที่พวกเขาเคยกราบไหว้บูชามาก่อน

>

ชีวิตเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์สวมบทบาทให้ก็ถอดแบบมาจากชีวิตประจำวันของพวกเขาเอง วิหารหินมหึมาหลังกำแพงอิฐมโหฬารเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าโดยมีปุโรหิตคอยปรนนิบัติรับใช้ ทุกเช้าปุโรหิตจะปลุกเทพเจ้าให้ตื่นด้วยบทสวดยามเช้า จากนั้นก็แกะตราที่ปิดแท่นบูชา เปลี่ยนฉลองพระองค์ชุดใหม่ให้และถวายอาหารกับเครื่องดื่มเป็นอาหารเช้า พอเสร็จก็วางเครื่องบูชาหน้ารูปปั้นบรรพบุรุษของฟาโรห์ (กษัตริย์องค์ก่อนๆ) และวีรบุรุษอียิปต์ สุดท้ายปุโรหิตเป็นผู้รับประทานสิ่งเหล่านั้น ตอนเที่ยงก็ถวายอาหารเที่ยง ด้วยพิธีสั้นๆ หลังจากถวายเครื่องบูชาครั้งที่สาม (อาหารเย็น) ปุโรหิตจะกล่อมเทพเจ้าให้หลับด้วยบทสวดยามสายัณห์ ในวันเทศกาลพิเศษจะจัดขบวนแห่รูปปั้นขนาดเล็กไปตามวิหารต่างๆ นี่คือวันที่เทพเจ้าออกเยี่ยมเยียน บางทีก็จัดพิธีฉลองตามตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าเหล่านี้ ชาวอียิปต์เชื่อว่า วิญญาณ ของเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ที่รูปปั้นในวิหาร

โดยหลักการแล้วฟาโรห์เองเป็นมหาปุโรหิตของเทพเจ้าทุกองค์ แต่ทางปฏิบัตินั้น ตัวแทนฟาโรห์ทำหน้าที่มหาปุโรหิตของวิหารต่างๆ โดยปุโรหิตเป็นผู้ช่วย มีแต่ฟาโรห์ ปุโรหิต และข้าราชการชั้นสูงที่สามารถเข้าไปในห้องโถงและห้องชั้นในอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ศาสนาของอาเคนาเท็นที่นับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน เว้นแต่จะอยู่ในวิหารกลางแจ้งพวกเขามีบทสวดอันมีชื่อเสียงที่ยกย่องอาเท็นในฐานะผู้สร้างและบำรุงเลี้ยงโลก บางคนเคยนำบทสวดนี้มาเปรียบเทียบกับสดุดี 104 แต่ทั้งสองบทนี้ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องกันเลย ศาสนาอียิปต์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ผู้เดียวของชาวอิสราเอล

แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 46 11:19:15

จากคุณ : ไม่ถามอยากตอบ (โปรดปราน ( พีพี )) - [ 6 ก.ย. 46 11:18:00 ]
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:06 pm

ความคิดเห็นที่ 29

~@0@~..บทบาทของฟาโรห์..~@0@~
ฟาโรห์เป็นคนกลางระหว่างเทพเจ้ากับประชาชนและถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าแทนประชาชนทางปุโรหิตที่เป็นตัวแทนพระองค์ เพื่อเทพเจ้าจะได้อวยพรอียิปต์เช่นให้แม่น้ำไนล์ท่วมพอดี และชาวนาต่างได้ผลผลิตสูง นอกจากนั้นฟาโรห์ยังเป็นตัวแทนของเทพเจ้าสำหรับประชาชนด้วย พระองค์จะดุแลการก่อสร้างและทะนุบำรุงวิหารต่างๆ ซึ่งสร้างขึ้นในพระนามของฟาโรห์เองเสมอ

>

ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่มีสิทธิ์เข้าไปในวิหารอันมโหฬารแห่งชาติ พวกเขาได้เห็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เฉพาะในวันเทศกาลซึ่งปุโรหิตจะแห่รูปปั้นที่มีผ้าคลุมหน้าในเรือศักดิ์สิทธิ์ลำเล็ก ดังนั้นสามัญชนจะกราบไหว้บูชาที่แท่นบูชาขนาดเล็กประจำท้องถิ่นหรือศาลาที่ประตูวิหาร หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ จะถวายเครื่องบูชา ในเทศกาลยิ่งใหญ่ ประชาชนได้รับอนุญาตให้สนุกกันเต็มที่ บางครั้งก็หยุดงานไปบวงสรวงเทพเจ้าของตน (นี่คือสิ่งที่โมเสสร้องขอต่อฟาโรห์ อพยพ. 5:1, 3) เมื่อชีวิตพบปัญหาเช่นล้มป่วย ชาวอียิปต์บางคนคิดว่าเป็นการลงโทษจากเทพเจ้าต่อการทำผิดแล้วพวกเขาจะสารภาพบาป ภาวนาขอการรักษาและความช่วยเหลือ ถ้าหายขาดก็จะจารึกคำขอบคุณและบทเพลงสรรเสริญสั้นๆ แด่เทพเจ้าหรือเจ้าแม่องค์นั้นเพื่อแสดงความกตัญญู

เช่นเดียวกับชนชาติอื่น ชาวอียิปต์โบราณมีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี การฆ่าคนและการลักขโมยในสมัยนั้นเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมเช่นเดียวกับสมัยนี้ มีการใช้เวทมนตร์คาถาเพื่อติดต่อกับอำนาจเร้นลับ พวกเขาจะใช้คาถา ขาว (ดี) ขจัดปัดเป่าปัญหาชีวิต ส่วนคาถา ดำ (ร้าย) ถือเป็นอาชญากรรมและถูกลงโทษตามกฎหมายเวทมนตร์คาถามักหมายถึงการท่องมนต์หรือบทสวดต่อของขลังเล็กๆ หรือภาพเกี่ยวกับเรื่องที่เขาร้องขอ ชาวอียิปต์มักสวมเครื่องรางของขลังเพื่อนำโชค หรือป้องกันตัว ที่นิยมที่สุดก็เป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตหรือแมลงปีกแข็ง สการับ ซึ่งเล็งถึงการฟื้นฟูให้กระปรี้กระเปร่า

@@..ชีวิตหลังความตาย..@@


อียิปต์โบราณฝังคนตายในทะเลทรายอันแห้งแล้งรอบหุบเขาแม่น้ำไนล์ พื้นทรายอันแห้งผากและแสงอาทิตย์แผดกล้าทำให้ศพแห้ง และเก็บไว้ได้นานในหลุมฝังศพตื้นๆ ชาวอียิปต์จึงเชื่อว่าร่างกายเป็นบ้านของจิตวิญญาณและหลังความตายจิตวิญญาณต้องการที่อยู่อาศัยส่วนตัวเช่นเดียวกับขณะมีชีวิตอยู่ เมื่ออุโมงค์ฝังศพเริ่มมีขนาดใหญ่และลึก ซึ่งทำให้ศพไม่ใคร่แห้ง ชาวอียิปต์จึงหาวิธีใหม่โดยเอาศพคลุกเกลือ ยัดเกลือ แล้วเอาผ้าพันรอบศพ ทำเป็นมัมมี่ จากนั้นก็ใส่ในโลงและเก็บที่อุโมงค์พร้อมกับข้าวของของผู้ตาย ศพโยเซฟก็ใช้วิธีนี้และเก็บรักษาไว้ที่อียิปต์ (ปฐมกาล. 50:26)

คนอียิปต์ส่วนมากหวังจะมีชีวิตสุขสบายหลังความตายในอาณาจักรโอซิริสพวกเขามีม้วนพาไพรัสที่เกี่ยวกับบทสวดเพื่อช่วยคนตายให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ เล่มที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เป็นหนังสือเกี่ยวกับคนตาย

วิญญาณของฟาโรห์ที่สิ้นพระชนม์จะได้ไปอยู่กับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งตอนกลางวันจะนั่งเรือสวรรค์ข้ามฟากฟ้า ส่วนกลางคืนจะเข้าไปในอาณาเขตโอซิริสเพื่อเตรียมอาหารให้ประชาชนที่สิ้นชีวิตการเน้นเรื่องมัมมี่ เวทมนตร์คาถา และอุโมงค์ฝังศพที่เต็มด้วยเครื่องใช้ไม้สอยช่วยให้แนวคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของชาวอียิปต์ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

>

ศาสนาอียิปต์แตกต่างจากของคนฮีบรูมาก พระเจ้าของอิสราเอลดูแลประชากรของพระองค์อย่างเห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์พระองค์ต้องการให้พวกเขาเชื่อฟังและทำตามพระบัญญัติยิ่งกว่ายึดถือพิธีกรรมหรือเครื่องสัตวบูชา (1 ซามูเอล 15:22) พิธีกรรมที่ปราศจากชีวิตที่ชอบธรรมก็ไร้ประโยชน์ (บางครั้งคนอียิปต์ยอมรับความจริงนี้ด้วย) พระเจ้าของอิสราเอลไม่ต้องการอาหารหรือเครื่องเซ่นไหว้ (สดุดี. 50:11-13) ซึ่งต่างกับเทพเจ้าอียิปต์ พิธีกรรมของอียิปต์เป็นเรื่องไสยศาสตร์และสลับซับซ้อนและสงวนไว้เฉพาะชนชั้นพิเศษซึ่งมีแค่ไม่กี่คน แต่ของคนฮีบรูทำเพื่อสั่งสอนประชาชนให้รู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้าของเขา ทั้งยังเรียบง่ายกว่ากันหลายเท่านัก ยิ่งกว่านั้นทั้งปุโรหิตและประชาชนต่างมีส่วนร่วมด้วย

มรดกยิ่งใหญ่ที่คนคานาอันทิ้งให้ชาวโลกคือตัวอักษรซึ่งประดิษฐ์ขึ้นระหว่าง 2000-1600 กคศ. (ดู บทที่ 2) อิทธิพลของอียิปต์ทำให้พาไพรัสกลายเป็นวัสดุที่ใช้เขียนกันทั่วไป แต่เนื่องจากพาไพรัสในคานาอันไม่คงทนถาวร ตัวอย่างตัวอักษรยุคเริ่มแรกจึงหาดูได้ยาก ตัวอักษรเหล่านี้มีหลงเหลืออยู่เฉพาะบนวัตถุสิ่งของที่คงทนถาวรเช่นชื่อที่จารึกบนแก้วน้ำ

คานาอันเป็นมณฑลของอียิปต์ (ราว 1300 กคศ.) ซึ่งประกอบด้วยเลบานอน ซีเรียและอิสราเอล ตอนแกรชื่อนี้อาจใช้เรียกที่ราบชายฝั่ง แต่ต่อมารรวมชนเผ่าที่อาศัยบนเนินเขาด้วยคือ ชาวอาโมไรต์ (ดู กันดารวิถี. 13:29; 35:10; โยชูวา. 5:1) นอกจากชาวคานาอันและอาโมไรต์แล้วยังมีชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ด้วย เฉลยธรรมบัญญัติ. 7:1 เอ่ยถึงอีกห้าเผ่าคำ ชาวคานาอัน จึงรวมถึงชนหลายเผ่า


จากคุณ : อยากตอบอิอิ (โปรดปราน ( พีพี )) - [ 6 ก.ย. 46 11:24:29 ]
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:09 pm

กระทู้นี้มาจากห้องหนังสือและการประพันธ์
*^^* อ่านจบแล้วชอบมาก : The Red Tent *^^* {แตกประเด็นจาก K2439288}
กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก K2439288
สวัสดีค่าคุณป้า พี่ ๆ น้อง ๆ ทู้กกกกคน ... ขอแตกกระทู้นะคะ ข้างล่างเริ่ม
ยาวแล้ว ^^

อ่านเรื่อง The Red Tent จบแล้วค่ะ ((ยัยปอ ดีใจมั้ยยะ?)) เป็นหนังสือ
อีกเล่มที่อ่านแล้วชอบมาก ๆ

เรื่อง The Red Tent เป็นนิยายเรื่องแรกของ Anita Diamant ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับยิวมาหลายเล่มแล้ว ตัวละครเรื่องนี้มาจาก The book of genesis นะคะ ผู้คนที่ปรากฎในเรื่องนี้ เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูค่ะ รายละเอียดอ่านเพิ่มเติม

ได้จากกระทู้

http://www.pantip.com/cafe/library/topi ... 40208.html

ที่มีเพื่อน ๆ เข้ามาให้ความรู้มากมายเลย ต้องขอบคุณเอาไว้ ณ ที่นี้
ด้วยนะคะ ^^

เนื้อเรื่องเล่าจากประสบการณ์และสายตาของ Dinah ... ลูกสาว
คนเดียวของ Jacob ซึ่งใน book of genesis ได้กล่าวถึงไว้นิดเดียว
เท่านั้น (( http://www.ishipress.com/dinah.htm )) ว่า เธอได้ถูก
ข่มขืนโดยชายหนุ่มชาย Shechem และเป็นสาเหตุให้พี่ชายของเธอ
ฆ่าชายชาว Shechem ทั้งเมือง และเท่าที่ทราบไม่ได้รับการกล่าว
ถึงอีก

The Red Tent เป็นสถานที่ที่หญิงสาวชุมนุมกันเมื่อมีประจำเดือน
เมื่อเจ็บป่วย เมื่อจะคลอดลูก ... เป็นสถานที่สำหรับหญิงสาวเท่านั้น
และที่นั่น ก็เป็นที่ ๆ หญิงสาวได้พูด เล่าเรื่อง แบ่งปันความลับ
และวางแผนเรื่องราวต่าง ๆ กัน
....

อ่านที่ตัวเองเขียนไปแล้ว ก็ขึ้นมาเตือนก่อนว่า รู้สึกว่าไอซ์จะเล่าละเอียด
มากเหมือนกันค่ะ ... ตอนเขียนนึกถึงยัยปอที่บอกว่า หนังสือเล่มนี้
เป็นหนึ่งใน พิลิม ของน้องที่ต้องอ่าน เลยแปะแบบค่อนข้างละเอียดอะ ...
ถ้าใครจะหามาอ่าน หวังว่าคงจะไม่ทำให้เสียอรรถรสไปนะคะ ^^"
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 46 19:17:44

จากคุณ : Clear Ice - [ 7 ก.ย. 46 18:51:58 ]
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ส.ค. 27, 2005 5:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:11 pm

ความคิดเห็นที่ 1

หนังสือแบ่งออกเป็น 3 ช่วงค่ะ

1. My mothers' stories ( เรื่องของมารดา ทั้งหลาย)

ช่วงแรกนี้ เป็นเรื่องที่ Dinah ได้รับฟังมาจากแม่ทั้งสี่ของเธอ ว่าพวกเธอ
ได้พบและได้มาเป็นภรรยาของ Jacob ได้อย่างไร
หญิงสาวทั้งสี่ Leah Rachel Billhah และ Zilpah เป็นพี่น้องที่เกิดจาก
บิดาคนเดียวกัน ... ทั้งสี่มีบุคคลิกและความสามารถที่แตกต่างกัน
โดยสิ้นเชิง
Leah ลูกสาวคนโต เก่งงานบ้านงานเรือน
Rachel ลูกสาวคนที่สาม เป็นคนที่สวยงามที่สุด เธอเป็น midwife
Billhah ลูกสาวคนสุดท้อง เป็นคนช่างสังเกต และเงียบขรึม
Zilpah ลูกสาวคนรอง มีพรสวรรค์ในการทำนาย เล่าเรื่อง และร้องเพลง

Jacob ได้ผ่านมาทางบ้านของหญิงสาวทั้งสี่ และได้พบกับ Rachel
เป็นคนแรก และตกหลุมรักเธอ แต่ตอนนั้น Rachel ยังไม่ได้เป็นสาว
เต็มตัว (ยังไม่มีประจำเดือน) เธอจึงยังแต่งงานกับเขาไม่ได้
Laban บิดาของหญิงสาวทั้งสี่เป็นคนโลภ เจ้าเล่ห์ และขี้เกียจ เขา
ให้ Jacob ทำงานให้กับเขา เป็นค่าสินสอด ซึ่ง Jacob ผู้มีความสามารถ
ในการเลี้ยงสัตว์ ก็ได้ทำให้ Laban ร่ำรวยขึ้นมา

ในที่สุด Jacob ก็ได้แต่งงานกับ Leah ก่อน โดยได้ Zilpah พ่วงมา
เป็น drowry และได้แต่งงานกับ Rachel โดยที่ Laban ยก Billhah
ให้เช่นกัน ... กลายเป็นภรรยาทั้งสี่คน
Leah ได้ให้กำเนิดลูกชาย 7 คน และลูกสาวหนึ่งคน เป็นคนสุดท้อง คือ Dinah
Rachel ให้กำเนิดลูกชาย 2 คน หนึ่งในนั้นก็คือ Joseph
Billhah มีลูกชายหนึ่งคน
Zilpah มีลูกชายฝาแฝดสองคน

ในส่วนตรงนี้เป็นการปูเนื้อเรื่องให้คนอ่านได้รู้จักพื้นเพของตัวละคร

2. My story (เรื่องของฉัน )

เรื่องตรงนี้เริ่มจากที่ Dinah เติบโตจนรู้ความมากขึ้นแล้ว เธอสนิท
กับ Joseph มากที่สุด เพราะอายุใกล้เคียงกัน

ในขณะนี้ Jacob และภรรยาทั้งสี่ ผู้อดทนกับความโลภ และชั่วร้าย
ของ Leban ไม่ไหว จึงได้ตกลงย้ายครอบครัวจาก Leban ไป ตั้งรก
รากที่ใหม่

เมื่อ Dinah เป็นสาวและถึงอายุที่ควรจะแต่งงานได้แล้ว ครอบครัว
ของ Jacob ได้รับเชิญให้ไปตั้งรกรากที่ใกล้เมือง Shechem ...

วันหนึ่ง Rachel ซึ่งเป็น midwife ( หมอตำแย ) ได้รับเชิญจากราชินีของเมือง ให้ไปช่วยสนมคนหนึ่งของพระราชาคลอดลูก โดยที่ Rachel ได้พา Dinah
เข้าไปด้วย ที่นั่น Dinah ได้พบกับ Shalem และต่างก็ตกหลุมรักกัน ราชินีมองเห็น
ตรงนี้ จึงได้วางแผนให้ Dinah เข้ามาในวังอีก และ Dinah กับ Shalem
ก็ได้ร่วมรักกันก่อนแต่งงาน ...

Jacob รับรู้และโกรธมาก ตรงนี้ได้อิงสิ่งที่ Book of Genesis ได้เขียน
เอาไว้ก็คือ Jacob ยื่นข้อเสนอว่า ให้ชายหนุ่มทุกคนในเมือง ทำการ
"ขลิบ" หนังหุ้มอวัยวะเพศออก ตามประเพณีของเผ่าของเขา ถึงจะยอม
ให้แต่งงาน

Shalem ผู้หลงรัก Dinah มาก ตบปากรับคำ ... ในวันที่ผู้ชายทั้งหมด
โดน "ขลิบ" นี้ ร่างกายอ่อนแอ ... ในคืนนั้น ลูกชายของ Jacob ได้บุก
เข้าไปในเมือง และฆ่าผู้ชายทุกคนในเมืองจนหมดสิ้น ... ใน Book of Genesis
กล่าวถึงไว้เพียงแค่นี้

Dinah ผู้หัวใจสลาย ได้สาปแช่งทุกคนในครอบครัวของเธอ และได้เดิน
จากไป ... เธอได้พบกับ แม่ของ Shalem ... Re-nefer และทั้งสองได้หนี
ไปอียิปต์

จากคุณ : Clear Ice - [ 7 ก.ย. 46 18:53:01 ]
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:13 pm

ความคิดเห็นที่ 2

3. Egypt (ในอียิปต์ )

Dinah ท้อง และได้ให้กำเนิดลูกชายของ Shalem แต่ Re-nefer ผู้
เป็นหญิงสูงศักดิ์ในอียิปต์ ได้วางแผนทุกสิ่งเอาไว้ ลงนามลูกชายของ Dinah
เป็นลูกชายของเธอ ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า Re-moses ให้ได้รับการศึกษา
เป็นหนึ่งในเจ้าชายของอียิปต์ ยิ่ง Re-moses เติบโต Dinah และเขาก็เหมือนอยู่กันคนละโลก Dinah เป็น midwife ต่ำศักดิ์ ส่วน Re-moses เป็นเจ้าชายของอียิปต์ หลังจากที่ Re-nefer และพี่ชายของเธอ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านตายไป Dinah
ได้ย้ายไป Valley of the kings และได้แต่งงานใหม่
Dinah ได้พบกับ Joseph ... พี่ชายของเธออีกครั้ง ...
ซึ่งตาม Book of Genesis ... Joseph ได้ถูกพี่ชายจับขายไปเป็นทาสไป
ยังอียิปต์ แต่ด้วยความสามารถ และความชาญฉลาดของเขา ทำให้เขา
ได้เป็นที่ปรึกษาของฟาโรห์ และเป็นคนที่มีอำนาจอีกคน ... เขานี่แหล่ะ
เป็นคนนำให้พวกฮีบรูเข้าไปอยู่ในอียิปต์มากมาย จนโมเสส ... คนละคน
กับ Re-moses ได้พาออกจากอียิปต์ ตามหนังเรื่อง บัญญัติสิบประการไงคะ

... เรื่องราวดำเนินไป จนถึงจุดสุดท้ายในชีวิตของ Dinah ซึ่งได้พบกับความ
สุข สงบ และความพึงพอใจในชีวิต ในที่สุด และได้ตายไป ท่ามกลาง
คนที่เธอรัก และรักเธอมากมาย

..................................................................

เรื่องนี้เป็นหนังสืออีกเล่มที่ เริ่มอ่านแล้ววางไม่ลงค่ะ ถึงแม้จะไม่มีความรู้
หรือว่า สนใจเรื่องศาสนาเท่าไหร่ ก็เหมือนกับอ่านตำนานสนุก ๆ สักเรื่อง
ซึ่งมีครบทุกรสจริง ๆ เป็นเรื่องราวที่หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง บอกเล่า
เรื่องราวในชีวิต ความรัก ความแค้น ของเธอ เหมือนกับที่หน้าปกได้เขียนไว้ว่า
"The oldest love story never told" ...
สำนวนดี อ่านง่าย และลื่น จูงใจให้อ่านต่อมาก ๆ

ส่วนที่เจ้าปอเคยถามไว้ว่า เห็นว่าหนังสือเล่มนี้นี่ Feminist สุด ๆ นี่ พี่
ก็พอจะเห็นได้ดังนี้จ้า

1. ถ้าได้อ่านพวกไบเบิ้ลหรืออะไรอย่างนี้ จะพบกว่า ในไบเบิ้ลนั้น ผู้หญิง
มักจะมีบทบาทที่ไม่ดีเท่าไหร่ เป็นสาเหตุให้เกิดการฆ่าฟัน หลอกลวง
อะไรประมาณนี้ ... แต่หนังสือเล่มนี้ แหวกแนวออกมา ถูกเขียนในมุมมอง
ของ Dinah ซึ่งในไบเบิ้ล ก็เหมือนกับเป็นแค่สาเหตุให้ชาวเมือง Shechem
ถูกฆ่าฟันเท่านั้น

2. จะเห็นได้ชัดว่า บทเด่น ๆ ในเรื่องจะเป็นของผู้หญิงทั้งนั้น ยกตัวอย่าง
Rebecca แม่ของ Jacob ซึ่งเป็นเหมือนกับพระผู้หญิง มีอำนาจมาก

3. แม้ว่าในฉากหน้าแล้ว ดูเหมือนกับว่า ผู้ชายจะเป็นผู้นำครอบครัว
แต่การตัดสินใจของเขา ถูกจูงมาจากผู้หญิงทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง
ตอนที่ Jacob จะย้ายออกจากบ้านของ Leban ก็ได้ Leah จัดการ
และ Rachel ช่วยยุ

4. หนังสือเล่มนี้ หญิงสาวในเรื่อง take pleasure in sex อิอิ ไม่ใช่
เป็นเพียงแค่วัตถุสำเร็จความใคร่ หรือรับบทเป็นเพียงแค่ถูกกระทำเท่านั้น


เป็นต้นจ้า ....ถ้าปอได้อ่านก็จะเห็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเติมอีกแยะนะ หนังสือเล่มนี้
รายละเอียดแยะมาก เล่าย่อไม่ไหว อิอิ

สรุปว่า .... หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ไอซ์อ่านแล้ว ประทับใจมาก ๆ อีกเล่มค่ะ
อ่านจบแล้ว อยากแปล ก๊ากกก นาน ๆ จะเป็นอย่างนี้ซักทีนะเนี่ย อยากให้
มีสนพ.ซื้อไปแปลจัง หนังสือดีมาก ๆ ค่ะ

อ่านจบแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปอ่านเรื่องอะไรต่อดี ยังหลอนอยู่เลยนะเนี่ย ... ใครชอบ
หนังสือแนวนี้ ขอแนะนำค่ะ ^^

จากคุณ : Clear Ice - [ 7 ก.ย. 46 19:08:52 ]
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:16 pm

ความคิดเห็นที่ 8

ขอบคุณคุณไอซ์ค่ะ ที่ช่วยสรุป The Red Tent ให้พอเข้าใจ ในฐานะคริสตชน ก็พอทราบว่า เป็นแค่นวนิยายที่เขาผูกเรื่อง และได้เข้าใจเรื่อง The Red Tent ซึ่ง Refer ไปถึง ประจำเดือน อันที่จริงเรื่องนี้จะอยู่ในหนังสือ "เลวีนิติ" ( The Leviticus ) เป็นหนังสือเล่มที่ สามใน The Old Testament

เมื่ออ่านแต่ละตอน ผู้เขียนผูกเรื่องได้ไกลมากค่ะ

เมื่อทราบว่า มีคุณ ปอมีแนวคิดเรื่อง Feminist ( Womanist ) อยากขอความเห็น ถ้าเปิดเผยได้ บนบอร์ด ถ้าไม่ได้ ขอส่ง ที่ pax_pp0111@yahoo.com ได้ไหมคะ เพราะดิฉันอยากทราบในมุมมอง ของสาวไทยค่ะ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ของคริสต์

------------------------------------------

เมื่อสัก สิบปีมาแล้วดิฉันเคยอ่าน หนังสือของอเมริกัน ที่ได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น ของอเมริกัน น่าจะชื่อว่า "น้ำท่วมโลกครั้งที่ 2 "

ผู้เขียน ผูกเรื่องของโนฮาห์ ( Noah )ใหม่ ใน Genesis Chapter 6-9 โดยตั้ง "รุ้ง" เป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์ จะไม่ให้น้ำท่วมโลกอีกแล้ว แต่ทำไมน้ำท่วมโลกครั้งที่ 2 ล่ะ มนุษย์ถาม คำตอบคือ มนุษย์ ทิ้งขยะกองสูงบังรุ้ง จนพระเจ้ามองรุ้ง ไม่เห็น ดังนั้นจึงทรงอนุญาตให้ฝนตกน้ำเลยท่วมโลกอีกครั้ง ฟังแล้วจี้ดี แต่น่าคิดนะคะ ที่ผู้เขียนย้อนมนุษย์ ที่ทำลายธรรมชาติ นั้นคือการทำลายตัวเอง เฮ้อ ทำลายตัวเองแท้ๆ

จากคุณ : โปรดปราน (โปรดปราน ( พีพี )) - [ 7 ก.ย. 46 21:57:29 ]

# 18

คุณโปรดปรานคะ เรื่องแนวคิดสตรีศึกษานี่พัทคิดว่ากว้างมากนะคะ มีแง่มุมไหนที่อยากจะทราบเป็นพิเศษไหมคะ พัทคิดว่าถึงแม้คนที่ไม่ได้เรียนมาทางนี้โดยตรง แต่ชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของเราก็สะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมด้านเพศสภาพของสังคมไทยหลายๆด้าน พัทว่ามีพี่ๆน้องๆในกระทู้หลายคนนะคะที่ยินดีจะมาคุยกันเรื่องนี้ แต่เอาปอมาเป็นทัพหน้าละกันค่ะ อิอิ

จากคุณ : พัท (Il Maze) - [ 8 ก.ย. 46 02:47:23 ]
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:18 pm

ความคิดเห็นที่ 23

++..เมื่อคุณไอซ์อ่านจาก The Red Tent นั่นคือมุมมองของนักเขียนที่ผูกเรื่อง อีกแง่มุมหนึ่ง จึงทำให้นวนิยายสนุกสนานน่าติดตาม อย่างไรก็ตามพีพีอยากจะขออนุญาตแนะนำตัวละคร บางตัว ในมุมมองความเชื่อของคริสตชน ที่ใช้พระคัมภีร์เป็นมาตรฐาน ในการสรุปเรื่องค่ะ

1.อิสอัค: บุตรชายที่พระเจ้าทรงสัญญาประทานให้อับราฮัมกับซาราห์ เขาเกิดตอนที่พ่อแม่ชราแล้ว หลายปีต่อมาพระเจ้าทดสอบความเชื่อของอับราฮัมอย่างใหญ่หลวง โดยสั่งให้นำอิสอัคมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ในวินาทีก่อนที่อับราฮัมจะลงมือฆ่าอิสอัค ทูตสวรรค์ก็มายับยั้งไว้ พระเจ้าทรงพอพระทัยอับราฮัมและย้ำอีกครั้งว่าพงศ์พันธุ์ของเขาจะเป็นชนชาติใหญ่

เมื่ออิสอัคอายุได้ 40 ปีก็แต่งงานกับเรเบคาห์หญิงสาวที่ได้เลือกจากญาติพี่น้องของอับราฮัมที่ฮาราน แล้ว 20 ปี ต่อมาพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของอิสอัค โดยประทานบุตรชายฝาแฝดให้คือ เอซาวกับยาโคบ พระเจ้าทรงอวยพระพรอิสอัคเช่นเดียวกับที่ให้แก่อับราฮัม

เมื่ออิสอัคชราและตาเกือบบอดแล้ว ยาโคบหลอกอิสอัคให้อวยพรเขาด้วยพรของบุตรหัวปีแทนเอซาวพี่ชาย ผลลัพธ์คือยาโคบต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกจากบ้าน หลังจากนั้น 20 ปีถึงได้กลับมาบ้านทันดูใจก่อนบิดาจะสิ้นชีวิต ( ดูปฐมกาล 21-22; 24:1-28:9; 35:27-29 )

2. เรเบคาห์: ภรรยาของอิสอัคและมารดาของเอซาวกับยาโคบ เรเบคาห์เติบโตที่ฮารานซึ่งเป็นเมืองที่อับราฮัมอาศัยอยู่ระยะหนึ่งก่อนเดินทางไปคานาอัน บิดาของเธอเป็นหลานอับราฮัม เมื่ออับราฮัมคิดจะหาภรรยาให้อิสอัค ก็ส่งเอลียาห์เซอร์คนต้นเรือนกลับไปที่ฮาราน เพื่อหาภรรยาที่เหมาะสม คนแรกที่มาถึงบ่อน้ำที่เอลีเยเซอร์กับอูฐพักผ่อนอยู่คือเรเบคาห์ เธอจึงเดินทางไปคานาอันพร้อมกับคำอวยพรจากครอบครัว ทันที่อิสอัคเห็นเธอก็ตกหลุมรักเธอ อิสอัคเห็นเธอก็ตกหลุมรักเธอ อิสอัคกับเรเบคาห์อธิษฐานขอลูกอยู่นานถึง 20 ปีแล้วก็ได้ลูกฝาแฝดคือ เอซาวกับยาโคบ ยาโคบชอบอยู่บ้านจึงเป็นลูกคนโปรดของเรเบคาห์ ส่วนอิสอัคจะโอนเดียงไปทางเอซาว เมื่ออิสอัคชราและเกือบตาบอด เรเบคาห์หนุนยาโคบให้หลอกลงอิสอัคโดยชิงคำอวยพรที่เป็นของเอซาวพี่ชายนั้นมาเสีย ผลคือเรเบคาห์ต้องส่งยาโคบไปบ้านลาบันพี่ชายของเธอที่ฮารานเพื่อช่วยเขาให้พ้นจากความโกรธของเอซาว ( ดู ปฐมกาล 24; 25:19-26:11; 27 )

3. ยาโคบ: บุตรชายของอิสอัคกับเรเบคาห์ แฝดผู้น้องของเอซาว ครั้งที่เอซาวหิวโซเมื่อกลับจากการล่าสัตว์ ยาโคบก็เกลี้ยกล่อมให้ขายสิทธิบุตรหัวปี เพื่อแลกกับถั่วแดงต้นจานหนึ่ง ต่อมายาโคบช่วงชิงพรของบิดาจากเอซาวโดยหลอก ว่าเป็นเอซาว เอซาวจึงเกลียดชังยาโคบถึงขนาดคิดจะฆ่าให้ตาย ยาโคบต้องหนีขึ้นเหนือเพื่อไปบ้านลุงลาบันที่ฮารานระหว่างทางนั้นยาโคบฝันเห็นบันไดทอดจากสวรรค์สู่พื้นดินโดยมีทูตสวรรค์ไต่ขึ้นลง พระเจ้าทรงสัญญากับยาโคบ และลูกหลานว่า ที่ดินที่เขานอนหลับอยู่นั้นจะเป็นของเขา และ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:19 pm

ความคิดเห็นที่ 24

5.ลาบัน: พี่ชายของเรเบคาห์ภรรยาของอิสอัค เขาอาศัยอยู่ในฮาราน และต้อนรับยาโคบหลายชายเมื่อยาโคบซมซานหนีจากบ้านมา เขามีลูกสาวสองคนคือ เลอาห์และราเชล ยาโคบยอมทำงานให้ลาบันถึงเจ็ดปีเพื่อจะแต่งงานกับราเชล แต่ลาบันโกงโดยยกเลอาห์ให้ ยาโคบต้องทำงานอีกเจ็ดปีเพื่อได้ราเชลมาด้วย แต่ยาโคบชนะลาบันตรงไหวพริบ ในที่สุดฝูงสัตว์ของยาโคบมีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าของลาบัน เมื่อลาบันได้รู้ว่ายาโคบหนีไปคานาอัน ก็รีบตามไปแต่พระเจ้าเตือนลาบันในความฝันไม่ให้ทำลายยาโคบ ทั้งสองจึงตกลงกันว่า จะไปตามทางของตน ลาบันกลับไปที่ฮาราน ( ดู ปฐก. 24:29-60; 29-31 )

6.ราเชล: ลูกสาวคนสวยของลาบัน ยาโคบรับใช้ลาบัน 7 ปีโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะรักราเชล เมื่อลาบันโกงโดยให้ยาโคบสมรสกับเลอาห์ ยาโคบต้องรับใช้ลาบันต่อไปอีกเจ็ดปีเพื่อจะได้สมรสกับนางราเชล ราเชลต้องคอยอยู่นานกว่าจะได้บุตรชื่อโยเซฟ เมื่อยาโคบหนีลาบันกลับบ้าน ราเชลได้ขโมยพระของลาบันติดตัวไปด้วย ในที่สุดราเชลเสียชีวิตขณะคลอดเบนยามินลูกคนที่สองที่คานาอัน ( ดู ปฐมกาล. 29-30; 35:16-20 )

7. เลอาห์: ลูกสาวคนโตของลาบัน แต่งงานกับยาโคบตามกลอุบายของบิดา ให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่งและลูกชายหกคนซึ่งเป็นต้นกำเนิดอิสราเอลหกเผ่า ( ดู ปฐมกาล 29:16-33:7 )

8. โยเซฟ: บุตรชายคนโตของยาโคบกับราเชลที่ทั้งคู่ตั้งตาคอยมานาน โยเซฟเป็นลูกคนโปรดโดยได้รับเสื้อคลุมพิเศษจากบิดา พวกพี่ๆ อิจฉาโยเซฟ โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังความฝันที่พวกตนก้มลงกราบไหว้เขา จึงหาทางกำจัดให้ได้ แต่รูเบนพยายามหน่วงเหนี่ยวไว้ แล้วยูดาห์ก็เสนอให้ขายไปเป็นทาสแทน โยเซฟจึงถูกนำตัวไปอียิปต์ ส่วนพี่ๆ แก้ตัวกับยาโคบว่าสัตว์ร้ายกัดกินเขาถึงแก่ชีวิต

ในอียิปต์โปทิฟาร์เจ้าหน้าที่ชั้นสูงซื้อตัวโยเซฟและแต่งตั้งเป็นคนต้นเรือน ต่อมาภรรยาของโปทิฟาร์ใส่ความโยเซฟว่าพยายามข่มขืนเธอ เขาจึงถูกจำคุก ณ ที่นั้นโยเซฟแก้ฝันให้พนักงานน้ำองุ่นและพนักงานขนมของฟาโรห์แห่งอียิปต์สองปีต่อมาฟาโรห์ฝันประหลาดพนักงานน้ำองุ่นนึกถึงโยเซฟขึ้นมาได้ ฟาโรห์ให้เรียกตัวมา โยเซฟทูลว่าฟาโรห์ควรเตรียมรับมือกับการกันดารอาหารอันยาวนานที่จะเกิดขึ้น ฟาโรห์จึงตั้งโยเซฟให้ดูแลราชสำนักและสะสมเสบียงคลีง

โยเซฟพบพี่ๆ อีกครั้งเมื่อพวกเขามาซื้ออาหารที่อียิปต์ในยามกันดารอาหาร โยเซฟแกล้งกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นผู้สอดแนมและบอกให้พาตัวเบนยามินน้องคนสุดท้องมาพิสูจน์คำพูด ทั้งทดสอบดูว่าพี่ๆ จะโหดร้ายกับเบนยามินเหมือนที่ทำกับเขาหรือเปล่า เมื่อพบว่าห่วงเบนยามินจริงๆ เขาก็แสดงตัวให้พี่น้องได้รู้

โยเซฟได้เชื้อเชิญบิดากับครอบครัวของพี่น้องอพยพมาอยู่ที่อียิปต์ ยาโคบดีใจมากที่ได้เห็นโยเซฟอีก ลูกหลานของพวกเขาอาศัยอยู่ในอียิปต์ถึงสี่ร้อยปี ( ดู ปฐมกาล 30:24; 37-50 )


9. รูเบน: บุตรชายคนโตของยาโคบกับเลอาห์ เขาพยายามไว้ชีวิตโยเซฟขณะที่น้องๆ คิดฆ่าโยเซฟ หลายปีต่อมาเขายอมให้ลูกชายสองคนของเขาเป็นหลักประกันเพื่อยืนยันว่าจะพาเบนยามินกลับมาอย่างปลอดภัย รูเบนเป็นต้นกำเนิดเผ่ารูเบน ( ดู ปฐก. 29:32; 37:21-22; 42; 49:3 )


10. เบนยามิน: บุตรชายคนสุดท้ายของยาโคบกับนางราเชล มารดาต้องเสียชีวิตตอนที่ให้กำเนิดเขา เขากับโยเซฟพี่ชายเป็นลูกคนโปรดของบิดา พวกพี่ต่างมารดาขายโยเซฟไปอียิปต์ด้วยความอิจฉา ต่อมาเมื่อพวกพี่ๆ ตกอยู่ในกำมือของโยเซฟที่อียิปต์เขาทดสอบดูว่าพวกเขาจะโหดร้ายกับเบนยามินหรือเปล่า แต่พี่ๆ ได้กลับตัวเป็นคนดีแล้ว โดยไม่ยอมทอดทิ้งเบนยามินเพื่อเอาตัวรอด หนึ่งในสิบสองเผ่าของอิสราเอลได้ชื่อตามเบนยามิน ( ดู ปฐมกาล บทที่ 35:18-20; 43-45 )

11. มนัสเสห์: คือบุตรชายคนโตของโยเซฟ ยาโคบรับเป็นบุตรและอวยพรให้ เขาเป็นต้นกำเนิดเผ่านมัสเสห์ ( ดูปฐมกาล 41:51; 48 )

12. ดีนาห์: บุตรสาวของยาโคบ กับ เลอาห์ ถูกเชเคมโอรสของ กษัตริย์ฮีไวต์ข่มขืน พี่-น้องของเธอจึงแก้แค้นโดยฆ่าเชเคม และผู้ชายทั้งเมือง ( ดูปฐมกาล 34 )



จากคุณ : โปรดปราน ( พีพี ) - [ 8 ก.ย. 46 23:08:17 ]
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:21 pm

ความคิดเห็นที่ 25

13. โมเสส: ผู้นำชาวยิวที่ยิ่งใหญ่ที่ปลดปล่อยคนอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์ และนำพวกเขาออกเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารไปจนถึงชายแดนคานาอัน โมเสสเกิดที่อียิปต์เป็นบุตรบุญธรรมของราชธิดาฟาโรห์ ได้รับการศึกษาตามระบบอียิปต์ เมื่ออายุ 40 ปีโมเสสได้ฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่งตายกับมือเพราะโกรธที่ข่มเหงชาวอิสราเอล เมื่อเรื่องนี้รู้ถึงหูฟาโรห์เข้า โมเสสต้องเผ่นหนีจากอียิปต์ไปใช้ชีวิตเลี้ยงแกะในทะเลทราย และสมรสกับลูกสาวของเยโธร ผู้ซึ่งเปิดบ้านต้อนรับเขา

40 ปีต่อมา พระเจ้าทรงปรากฏกับโมเสส เขาเห็นพุ่มไม้มีไฟลุกโพลง ( อพยพบทที่ 3 ) ทว่ามิได้มอดไหม้ โมเสส จึงตระหนักว่าพระเจ้านั่นเองที่กำลังตรัสอยู่พระองค์สั่งเขาให้กลับอียิปต์เพื่อทูลขอฟาโรห์ให้ปล่อยคนอิสราเอลไป แต่ฟาโรห์ไม่ยอม คนอียิปต์จึงต้องประสบกันภัยพิบัติถึงสิบอย่าง แม้ในที่สุดฟาโรห์จะยอมให้โมเสสนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ แต่อีกอึดใจต่อมา ก็กลับพระทัยให้ทหารไล่ตามไปจนทันกันที่ทะเลแดง คนอิสราเอลหนีไปที่ทะเลทรายได้ ทว่าทหารของฟาโรห์จมน้ำตายเรียบ

เมื่อเดินทางได้สามเดือนคนอิสราเอลมาถึงภูเขาซีนาย ณ ที่นั่นพระเจ้าทรงประทานบัญญัติสิบประการและแผนผังการสร้างพลับพลาให้โดยทางโมเสส โมเสสนำประชาชนไปที่คาเดช และส่งผู้สอดแนมไปคานาอัน ผู้สอดแนมสิบในสิบสองคนนำข่าวร้ายกลับมาประชาชนจึงต่อว่าและกบฏต่อโมเสส เพราะหลงลืมฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากประชาชนไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์จึงลงโทษให้วกวนอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งพวกหัวดื้อตายไปหมด

โมเสสสั่งสอนคนรุ่นใหม่ถึงพระบัญญัติของพระเจ้าก่อนจะมอบหน้าที่ผู้นำให้กับโยชูวาเมื่อโมเสสได้อวยพรประชาชนแล้วก็ขึ้นไปบนภูเขาเนโบเพื่อกวาดสายตาดูคานาอันซึ่งเป็นแผ่นดินที่พระเจ้าห้ามไม่ให้เขาเข้าไป เพราะความไม่เชื่อฟังของเขาเอง โมเสสอายุได้ 120 ปีเมื่อล่วงลับในแผ่นดินโมอับ

14.มิเรียม: พี่สาวของโมเสสและอาโรน เธอติดตามดูชะตากรรมของทารกโมเสสซึ่งนอนอยู่ในตะกร้าต้นกก จนกระทั่งราชธิดาของฟาโรห์พบตะกร้านั้น หลังจากคนอิสราเอลข้ามทะเลแดง มิเรียมก็นำบรรดาผู้หญิงร้องทำทำเพลงเพราะความยินดี ภายหลังเธอทะเลาะกับโมเสสเพราะอิจฉาที่โมเสสเป็นผู้นำพระเจ้าลงโทษโดยให้เธอเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงอยู่พักหนึ่ง แต่โมเสสทูลขอพระเจ้ารักษาเธอ มิเรียมเสียชีวิตที่คาเดชก่อนคนอิสราเอลจะเข้าไปในคานาอัน ( ดู อพย. 2:4; 7-8; 15:20-21; กดว. 12; 20:1 )

15.อาโรน: พี่ของโมเสสและน้องของมิเรียม เกิดสมัยอิสราเอลเป็นทาสที่อียิปต์ เนื่องจากโมเสสไม่มีวาทศิลป์ อาโรนจึงเป็นผู้เจรจาแทน เขาทูลขอฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลไปตามพระบัญชาของพระเจ้าแต่ฟาโรห์ปฏิเสธ อาโรนกับโมเสสจึงเตือนพระองค์ถึงภัยพิบัติสิบอย่างที่พระเจ้าจะส่งมา ในช่วงที่อิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ อาโรนได้สนับสนุนโมเสสอย่างเข็งขัน แต่ที่ภูเขาซีนายอาโรนโอนอ่อนผ่อนตามประชาชนโดยสร้างวัวทองคำให้ประชาชนบูชา ถึงกระนั้นพระเจ้ายังทรงยกโทษให้และแต่งตั้งเป็นมหาปุโรหิตคนแรกของอิสราเอล โดยรับผิดชอบเต็นท์พิเศษที่ใช้นมัสการพระเจ้า (คือ พลับพลา) ณ ที่นั่นอาโรนจะถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระเจ้าสำหรับความผิดบาปของประชาชนและขออภัยโทษจากพระเจ้า แต่บางครั้งอาโรนก็อิจฉาโมเสสซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้นำอิสราเอล เขาสิ้นชีวิตก่อนที่อิสราเอลจะเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน เอเลอาซาร์บุตรของอาโรนได้สืบทอดตำแหน่งมหาปุโรหิตต่อ ( ดู อพย. 4:14; 5-12; 28:1; 32:1; กดว. 20:23-29 )

16.คาเลบ: หนึ่งในสิบสองคนที่โมเสสส่งไปสอดแนมคานาอันและกลับมารายงาน มีคาเลบกับโยชูวาสองคนเท่านั้นที่เชื่อแน่ว่าพระเจ้าจะช่วยอิสราเอลให้ยึดคานาอันได้ เนื่องจากความเชื่อในพระเจ้า คาเลบกับโยชูวาได้ตั้งหลักแหล่งในคานาอัน ส่วนคนอิสราเอลที่เกิดในอียิปต์ล้วนตายในถิ่นทุรกันดารหมด ( ดู กดว. 13-14; ยชว. 14:6-14 )

17.โยชูวา: ผู้นำอิสราเอลต่อจากโมเสส ชื่อนี้แปลว่า
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:25 pm

ความคิดเห็นที่ 69

ฮี่ ๆๆ ดีใจจังที่ทำให้หลาย ๆ คนสนใจ The Red Tent ... ไอซ์ว่า
สนุกอะค่ะ เหมือนอ่านตำนานสนุก ๆ สักเรื่อง ถ้าไม่สนใจเรื่อง
ศาสนาอะนะ แต่ถ้าอยากรู้ ไปค้นอ่านต่อ ก็ยิ่งสนุกค่ะ อิอิ
ไม่ได้เปอร์เซ็นต์เลยนะเนี่ยยยยยย

... คุณโปรดปรานคะ ในเรื่อง The Red Tent ก็มีกล่าวถึงตำนาน
ยาคอบ กับ เอซาว ล่ะค่ะ อิอิ แต่อย่างว่า หนังสือมัน เฟมินิส
เค้าเล่าว่า ที่ยาคอบทำได้สำเร็จ ก็เพราะ เรเบ็คก้าเป็นคนวางแผน
นะคะ ด้วยความลำเอียงรักยาคอบมากกว่า เอิ๊กส์ ๆ

เกือบทุกจุดที่คุณโปรดปรานเล่ามาถึงข้อ 12 ในเรื่อง The Red Tent
ผู้เขียนได้เอามาผูกใหม่หมดเลยค่ะ อยากเชียร์ให้ลองอ่านดูจัง อิอิ

สำหรับเรื่อง เฟมินิส ในพระคัมภีร์นี่ ไอซ์เองก็ขออ่านอย่างเดียว
เหมือนกันค่ะ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์ แหะ ๆ แต่ว่านะ
ไอซ์ว่า หนังสือรุ่นใหม่ ๆ นี่ หลาย ๆ เรื่องก็มีเฟมินิสแทรกไว้ได้
อย่างนิ่มนวล อย่างซีรียส์ The no.1 Ladies' Detective Agent
ก็เฟมินิส ในแง่ของสาวอัฟริกันสมัยใหม่น่ะค่ะ

เชียร์เรื่อง Good women of China อีกคนค่ะ

ปล. ไอซ์อยู่ลอนดอนค่ะ ตอนนั้นไม่ดึก ... แต่ว่าพุงมันก็ยื่นอยู่
แล้วล่ะค่ะ ก๊ากกกกก

เพิ่งรู้ว่ากระทู้ของคุณ X-Cross นี่ ฝีมือคุณโปรดปราน คือว่า แอบ
เซฟเก็บมาหลายกาทู้แล้วค่ะ แปะบ้างไม่แปะบ้าง ส่วนมากไม่ได้
แปะเพราะอ่านไม่ทัน แฮ่ ๆๆ

... คุณป้าคะ เรื่อง The Red Tent ไม่เคร่งศาสนาหรอกค่ะ จะเน้น
เฟมินิสมากกว่าล่ะค่ะ ฮี่ ๆๆๆ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic ... 43980.html

มาโปรโมทเรื่องสั้นแบบยาวของพี่มะด้วยคนค่า น่ารักมาก ๆ ไปอ่าน
แล้วจะไม่ผิดหวังนะคะ ฮี้ ๆๆ เอ๊ย ฮี่ ๆๆๆๆ

จากคุณ : Clear Ice - [ 11 ก.ย. 46 21:53:44 ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 12:51 pm

มันบังเอิญหรือเปล่าเนี่ย เมื่อ2-3วันก่อนที่พัทยา ผมอยู่ๆก็ได้ดูหนังตอนนี้พอดี และดูเหมือนผู้กำกับจะอิงRed Tent ด้วย เพราะในหนังไม่ได้เป็นภาพการข่มขืน แต่เป็นแบบใน Red Tent แถมยังใส่เหตุผลให้การฆ่าชาวเชเคมนี้ เป็นเหตุให้ยาโคป หันไปรักโยเซฟ แทนลูกคนอื่นที่หักหน้าท่าน ทำให้ดูมีน้ำหนักมากขึ้นว่าทำไมยาโคปรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่น แทนแค่การลำเอียงเฉยๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ ส.ค. 27, 2005 1:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
-Rei-
โพสต์: 1015
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2005 8:31 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ส.ค. 26, 2005 10:20 pm

ตามมาอ่านค่ะ

อืมมม เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
Buddy.

เสาร์ ส.ค. 27, 2005 12:47 am

I don't think it's a coincidence, K. Holy.. Yesterday in the Bible study class, the lecturer just mentioned and recommended us to read 'The Red Tent'... Many ones in the class have read this story but I haven't read it...

So, thanks P' PP ka.. :)
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ส.ค. 27, 2005 7:32 am

Buddy. เขียน: I don't think it's a coincidence, K. Holy.. Yesterday in the Bible study class, the lecturer just mentioned and recommended us to read 'The Red Tent'... Many ones in the class have read this story but I haven't read it...

So, thanks P' PP ka.. :)
ดีจังเลยค่ะ น้องบัดดี้ อ่าน แล้ว ช่วย ทำบทสรุปให้ด้วยได้ไหมคะ ;D

ไม่ทราบจะมีการ ดีสคัส กันในห้องเรียน เรื่อง feminist หรือเปล่าค่ะ

เพราะกฏของเลวีนิติ เรื่อง มลทิน ของการมีประจำเดือน หรือคลอดบุตร หรือบุตรี มารดาจะรับกฏไม่เหมือนกัน ???
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ส.ค. 27, 2005 7:33 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ส.ค. 27, 2005 5:21 pm

The Reviews :: The Red Tent
Reviewed by Foo Sek Han


...for what can a woman tell a man about babies and blood?

To be precise, I am at a severe disadvantage when it comes to reading The Red Tent. First of all, the book is clearly a celebration of woman and their spirit, their strength, and their survival. Being a male, I find myself probably having less sensitivity to the novel compared to female readers. Secondly, being that I am neither Christian, Jewish, or Muslim, therefore having little knowledge of the stories contained in The Holy Bible, I have no idea of the story of Jacob and his family, other than a slight knowledge of the history between Jacob and Esau. (I have been informed in fact that the story of Jacob and his twelve sons can be found in Genesis)

However, I picked up the book and found myself enchanted by its story. I suppose, in a way, that my being completely ignorant of Jacob's story gave me the chance to read the story without any bias: I am certain not to take Jacob's or Dinah's side. From the great number of reviews I found in Amazon.com, I am pretty surprised to find many male readers blasting the novel to pieces, most of them citing reasons ranging from Bible blasphemy to highly obvious male reasons (To quote one: "No man should really consider reading this book."). It seemed to me that I could be an odd one out because I think quite well of The Red Tent.

Enough with the rambling, I should cut into the summary. The novel is a story based on Dinah, the only daughter of Jacob, and whose fate is only partially noted in The Holy Bible. Following the voice of Dinah, we listen to the stories of her mothers - dutiful Leah, beautiful Rachel, sour Zilpah, and sweet Bilhah - in the first part, slowly moving on to Part 2 of her story as her family grows, migrate, and crumble. In Part 3 the story becomes her own, as she leaves her family to Egypt, her life a series of betrayals and grief as she goes into midwifery.

Every female character of The Red Tent is given her own feminine trait and a voice, and the secrets lying behind them. From the four sister-wives of Jacob, to the midwife Adda, to Rebecca the Grandmother, to the slave Werenro, to the destroyed Tabea, to the queen Re-nefer, to the midwife Myert, and finally to Dinah - everyone of them is different from each other, and Diamant managed to write their stories so convincingly and realistic they sound like real people. The culture of every family, or every woman, is vividly portrayed and wonderfully written.

While it could be argued that The Red Tent, being a book for women, would severely cast off the male as negative figures, I find it in fact the opposite. The men (especially the twelve sons of Jacob) are well-written and easily distinguishable. While not much words are devoted to the feelings of the men, it is good enough for the flow of the book, and I suspect that if more is elaborated upon the male instead of the women the book might lose some of its meaning.

The title of the novel is in fact the place for the gathering of women, during their cycles of birthing, menses, and even illness. While the part of Dinah's bleeding embarassed me no end as I read it, it is in fact quite detailed in describing how the women responded to it, and the culture behind the bleeding (Frankly I thought there was, ahem, too much detail for my part).

All in all, I have, quite certainly, a different appreciation for The Red Tent compared to the female readers. I enjoyed reading its story, and the detail, and the culture. Diamant's voice is well-written and the story is well-documented, without going into overdramatism ala soap operas despite its many grievances and tragedies. This is my experience from The Red Tent.

To a woman, perhaps The Red Tent means more than just a good story and a well-spun tale. This is a story documenting the spirit of a woman, and how she survived in a cruel world composed by men. Her life was nearly cast out of existence due to the kinsman of her own blood, yet she lived, and she did live her life well. The last few chapters of the book confirm to us that though her life may not outglorify those of Joseph or Jacob, she herself has done well for herself, and she lived forever in the people's heart

Especially the women's.

Rating: 4 Fairies
Author: Anita Diamant
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ส.ค. 27, 2005 5:22 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ส.ค. 27, 2005 6:09 pm

The Red Tent: Reviews

Booksense Book
of the Year, 2001
From The Boston Globe


An intense, vivid novel ... It is tempting to say that The Red Tent is what the Bible would be like if it had been written by women, but only Diamant could have given it such sweep and grace.

From the Christian Science Monitor

Diamant vividly conjures up the ancient world of caravans, farmers, midwives, slaves, and artisans . . . her Dinah is a compelling narrator that has timeless resonance.

From Kirkus Reviews

Cubits beyond most Woman-of-the-Bible sagas in sweep and vigor, this fictive flight based on the Genesis mention of Dinah, offspring of Jacob and Leah, disclaims her as a mere "defiled" victim and, further, celebrates the ancient continuity and unity of women. .. . With stirring scenery and a narrative of force and color, a readable tale marked by hortatory fulminations and voluptuous lamentations. For a liberal Bible audience with a possible spillover to the Bradley relationship.

From Publishers Weekly

A minor character from the book of Genesis tells her life story in this vivid evocation of the world of Old Testament women. The only surviving daughter of Jacob and Leah, Dinah occupies a far different world from the flocks and business deals of her brothers. She learns from her Aunt Sarah the mysteries of midwifery and from her other aunts the art of homemaking. Most important, Dinah learns and preserves the stories and traditions of her family, which she shares with the reader in touchingly intimate detail. Familiar passages from the Bible come alive as Dinah fills in what the Bible leaves out concerning Jacob's courtship of Rachel and Leah, her own ill-fated sojourn in the city of Shechem and her half-brother Joseph's rise to fame and fortune in Egypt.

. . . . Diamant succeeds admirably in depicting the lives of women in the age that engendered our civilization and our most enduring values

From Library Journal *(starred review)

Skillfully interweaving biblical tales with characters of her own invention, Diamant's sweeping first novel re-creates the life of Dinah, daughter of Leah and Jacob, from her birth and happy childhood in Mesopotamia through her years in Canaan and death in Egypt. When Dinah reaches puberty and enters the Red Tent (the place women visit to give birth or have their monthly periods), her mother and Jacob's three other wives initiate her into the religious and sexual practices of the tribe. Diamant sympathetically describes Dinah's doomed relationship with Shalem, son of a ruler of Schechem, and his brutal death at the hands of her brothers. . . .

Diamant has written a thoroughly enjoyable and illuminating portrait of a fascinating woman and the life she might have lived.

From The Catholic Reporter

This earthy, passionate tale, told also with great delicacy, is, quite simply a great read.

Back to The Red Tent

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

THE RED TENT tells the little-known Biblical story of Dinah, daughter of the patriarch Jacob and his wife, Leah. In Chapter 34 of the Book of Genesis, Dinah
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ ส.ค. 27, 2005 9:35 pm

P' PP,

Maybe you've read it too quickly.. I said .. but I haven't read it... ;D

Those who had read it in the class like it. We didn't discuss either about The Red Tent or the feminist... because the class was about Genesis 13-24.. ( I guess ;D) It was up to Tahmar and Judah... Is it chapter 24?
เพราะกฏของเลวีนิติ เรื่อง มลทิน ของการมีประจำเดือน หรือคลอดบุตร หรือบุตรี มารดาจะรับกฏไม่เหมือนกัน


What is it all about ka? Talking about feminist, I've got something to share with you guys too.. but I'm not sure this is feminist but it's something good I've done..

Anyway, thanks for the book review ka... I'll take time to read it later... :)
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2005 6:39 pm

เมื่อกี้ไป อ่านเจอเกี่ยวกับน้องไอซ์ ที่เว็บผู้จัดการ เธอกำลังมีหนังสือเล่มใหม่วางตลาดค่ะ :D

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000120079
ตอบกลับโพส