บาปของมนุษย์กับพระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 13, 2012 4:33 am
บาปของมนุษย์กับพระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีนักเขียนตะวันตกคนหนึ่งกล่าวว่า "...หากพระเยซูทรงถูกประหารเมื่อยี่สิบปีก่อน ทุกวันนี้เราคงได้เห็นชาวคริสต์ห้อยเก้าอี้ไฟฟ้า แทนห้อยไม้กางเขน..."
บางคนบอกด้วยว่า หากพระองค์ถูกประหารเมื่อสิบปีก่อน สัญลักษณ์ของคริสตชนอาจกลายเป็น "เข็มฉีดยา"
นอกจากนี้ยังมีภาพของศิลปินร่วมสมัย Paul Fryer วาดภาพประมาณนี้ออกมา
เรื่องนี้อาจจะทำให้บางคนรู้สึกขัดเคือง หรือบางคนรับไม่ได้ บางคนก็อาจจะเข้าใจ และบางคนก็อาจจะชื่นชอบในแนวคิดแหวกกรอบ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไร หากผู้ที่คิดคอนเซป ไม่ได้เข้าใจในพระมหาทรมานของพระเยซูอย่างลึกซึ้งอาจจะรับรู้หรือเข้าใจแค่ว่า พระเยซูตายเพราะโดนตรึงกางเขน คริสตชนเลยเอากางเขนมาห้อย
ดังนั้นจึงกลับเป็นเรื่องน่าขบขัน ที่คนพูดว่า ถ้าพระเยซูถูกประหารในปัจจุบัน จะเป็นแบบนั้นแบบนี้ซึ่งในยุคสิทธิมนุษยชนก้าวหน้า หลายประเทศยกเลิกโทษประหารไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่ลองคิดว่าหากทรงอยู่ในประเทศที่ไม่มีโทษประหาร ก็ไม่มีเครื่องประหารใดที่เป็นสัญลักษณ์ได้เลย และในยุคที่เสรีภาพทางการพูดมากมายขึ้น พระองค์อาจไม่ถูกจับด้วยซ้ำในเรื่องการอ้างตัวเป็นพระเจ้า เพราะในยุคนี้ มีคนอ้างตัวเป็นพระเยซูมาเกิดบ้าง เป็นพระเมสสิยาห์บ้าง นอกจากจะลัทธิใหญ่โตรวยเละแล้ว กฎหมายยังไม่ทำอะไรด้วยซ้ำ
แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดอันหนึ่งคือ การที่คนที่คิดคอนเซปเหล่านี้ พูดถึงความตายของพระเยซู แต่กลับมองข้าม "พระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์" ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักเพราะ ธรรมประเพณีการเดินรูป14ภาค และการสวดภาวนาข้อรำพึงสายประคำภาคมหาทรมาน ซึ่งมักสวดในวันศุกร์ รวมไปถึงเทศกาลปัสกาที่เริ่มตื่นเฝ้ากันตั้งแต่พฤหัสศักดิ์สิทธิ์ อันระลึกถึงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย และการทนทรมานในสวนเกสเสมเมนี เป็นธรรมประเพณีที่ถูกละทิ้งไปเมื่อมีการแยกนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งสำหรับคาทอลิก การเริ่มพระมหาทรมาน เพื่อการไถ่บาป ไม่ใช่แค่ตอนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่คาทอลิกที่ติดตามและปฎิบัติตามแนทางที่พระศาสนจักรได้สืบทอดมาไว้ ได้รู้ว่า การทรงทนทุกข์ทรมานและการทรงไถ่เริ่มตั้งแต่ที่สวนเกสเสเมนีแล้ว
ดังนั้นสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกทัศน์แบบคริสตชนผิวเผิน หรือไม่มีศาสนา หรือรู้จักศาสนาคริสต์แบบสายตาคนนอก จะ ลืมนึก หรือ ไม่ตระหนัก หรือ ไม่เข้าใจ ถึงความจำเป็นของมหาทรมานก่อนการตรึงกางเขนทั้งหมดก็ไม่น่าแปลกใจนัก
มีจุดที่น่าสนใจที่สุดจุดหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ระบุไว้ชัดเจน คือการถูกเฆี่ยนของพระเยซู ซึ่งที่จริงมาจากการอยากช่วยของปิลาต คือคิดว่าถ้าเฆี่ยนแล้ว ประชาชนคงพอใจ ไม่ถึงกับต้องให้ฆ่าพระองค์ แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าพระองค์โดนเฆี่ยนแล้วก็ยังต้องโดนตรึงกางเขนอยู่ดี เจตนาที่อยากช่วยได้กลายเป็นเพิ่มโทษให้สาหัสเข้าไปเสียแทน
คำถามเรียบง่ายคือ มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นหรือ หรือที่จริง มันคือสิ่งที่กำหนดไว้แล้ว ที่พระองค์ต้องรับโทษอย่างสาหัสถึงเพียงนี้ และต้องรับโทษรูปแบบนี้
หากนี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ วาระที่พระเจ้าทรงเลือก 2000ปีก่อน ในอิสราเอลภายใต้ การปกครองของโรมัน ก็คือเวลาที่พระองค์ได้เลือกลงมาประสูติ เพื่อรับโทษประหาร และการถูกทารุณกรรมในแบบที่มันต้องเป็นในยุคนั้นใช่หรือไม่
ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่แค่ชายคนหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ พระองค์ย่อมทรงทราบดีว่าจะต้องสิ้นพระชนม์แบบไหน และต้องทรงรับทุกข์ทรมานอะไรบ้าง
และในเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดแม้แต่เสี้ยวเล็กน้อยของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ดังนั้นหากตั้งแต่ทรงประสูติจนกลับคืนพระชนม์ชีพ ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์และในน้ำพระทัยแล้วตั้งแต่ก่อนเนรมิตสร้างโลกทั้งสิ้น แล้วประวัติศาสตร์ช่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ทรงลงมาเกี่ยวข้องด้วยตนเองนี้จะไม่ทรงกำหนดอย่างละเอียดด้วยพระประสงค์ให้ออกมาในแบบที่ทรงตั้งพระทัยให้เป็นงั้นหรือ
พระเจ้าทรงเตรียมรูปแบบของการที่พระบุตรต้องตายแบบยกประจานขึ้นต่อหน้าสายตาคนทั้งหลายไว้แล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเยซูทรงเปิดเผยเรื่องนี้แก่นิโคเดมัส
ยน 3:14
โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น ...
ยังไม่นับ อีกหลายสิ่งอย่างที่พระธรรมเดิมได้ทำนายไว้ล่วงหน้าว่าต้องเกิดกับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการจับฉลากเสื้อยาวของพระองค์(ซึ่งการละเมิดทรัพยสินนักโทษแบบนี้เป็นไปไม่ได้ในยุคสมัยนี้แน่ๆ) หรือ การมีผู้คนมองดูการถูกแทงสีข้าง
และนอกจากพระคัมภีร์จะยืนยันสิ่งที่มันต้องเกิดแบบนี้ไว้แล้ว บรรดานักบุญ และผู้มีพระพรพิเศษ ในพระศาสนจักร ล้วนได้รับนิมิต ตลอดจนปรีชาญาณ ที่อธิบายถึงพระมหาทรมานในฐานะที่มันถูกกำหนดไว้แล้วเช่นนั้น เพื่อพระเยซูต้องแบกรับ เพื่อการทรงไถ่ มนุษย์โลก ทั้งสิ้น
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีนักเขียนตะวันตกคนหนึ่งกล่าวว่า "...หากพระเยซูทรงถูกประหารเมื่อยี่สิบปีก่อน ทุกวันนี้เราคงได้เห็นชาวคริสต์ห้อยเก้าอี้ไฟฟ้า แทนห้อยไม้กางเขน..."
บางคนบอกด้วยว่า หากพระองค์ถูกประหารเมื่อสิบปีก่อน สัญลักษณ์ของคริสตชนอาจกลายเป็น "เข็มฉีดยา"
นอกจากนี้ยังมีภาพของศิลปินร่วมสมัย Paul Fryer วาดภาพประมาณนี้ออกมา
เรื่องนี้อาจจะทำให้บางคนรู้สึกขัดเคือง หรือบางคนรับไม่ได้ บางคนก็อาจจะเข้าใจ และบางคนก็อาจจะชื่นชอบในแนวคิดแหวกกรอบ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไร หากผู้ที่คิดคอนเซป ไม่ได้เข้าใจในพระมหาทรมานของพระเยซูอย่างลึกซึ้งอาจจะรับรู้หรือเข้าใจแค่ว่า พระเยซูตายเพราะโดนตรึงกางเขน คริสตชนเลยเอากางเขนมาห้อย
ดังนั้นจึงกลับเป็นเรื่องน่าขบขัน ที่คนพูดว่า ถ้าพระเยซูถูกประหารในปัจจุบัน จะเป็นแบบนั้นแบบนี้ซึ่งในยุคสิทธิมนุษยชนก้าวหน้า หลายประเทศยกเลิกโทษประหารไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่ลองคิดว่าหากทรงอยู่ในประเทศที่ไม่มีโทษประหาร ก็ไม่มีเครื่องประหารใดที่เป็นสัญลักษณ์ได้เลย และในยุคที่เสรีภาพทางการพูดมากมายขึ้น พระองค์อาจไม่ถูกจับด้วยซ้ำในเรื่องการอ้างตัวเป็นพระเจ้า เพราะในยุคนี้ มีคนอ้างตัวเป็นพระเยซูมาเกิดบ้าง เป็นพระเมสสิยาห์บ้าง นอกจากจะลัทธิใหญ่โตรวยเละแล้ว กฎหมายยังไม่ทำอะไรด้วยซ้ำ
แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดอันหนึ่งคือ การที่คนที่คิดคอนเซปเหล่านี้ พูดถึงความตายของพระเยซู แต่กลับมองข้าม "พระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์" ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักเพราะ ธรรมประเพณีการเดินรูป14ภาค และการสวดภาวนาข้อรำพึงสายประคำภาคมหาทรมาน ซึ่งมักสวดในวันศุกร์ รวมไปถึงเทศกาลปัสกาที่เริ่มตื่นเฝ้ากันตั้งแต่พฤหัสศักดิ์สิทธิ์ อันระลึกถึงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย และการทนทรมานในสวนเกสเสมเมนี เป็นธรรมประเพณีที่ถูกละทิ้งไปเมื่อมีการแยกนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งสำหรับคาทอลิก การเริ่มพระมหาทรมาน เพื่อการไถ่บาป ไม่ใช่แค่ตอนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่คาทอลิกที่ติดตามและปฎิบัติตามแนทางที่พระศาสนจักรได้สืบทอดมาไว้ ได้รู้ว่า การทรงทนทุกข์ทรมานและการทรงไถ่เริ่มตั้งแต่ที่สวนเกสเสเมนีแล้ว
ดังนั้นสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกทัศน์แบบคริสตชนผิวเผิน หรือไม่มีศาสนา หรือรู้จักศาสนาคริสต์แบบสายตาคนนอก จะ ลืมนึก หรือ ไม่ตระหนัก หรือ ไม่เข้าใจ ถึงความจำเป็นของมหาทรมานก่อนการตรึงกางเขนทั้งหมดก็ไม่น่าแปลกใจนัก
มีจุดที่น่าสนใจที่สุดจุดหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ระบุไว้ชัดเจน คือการถูกเฆี่ยนของพระเยซู ซึ่งที่จริงมาจากการอยากช่วยของปิลาต คือคิดว่าถ้าเฆี่ยนแล้ว ประชาชนคงพอใจ ไม่ถึงกับต้องให้ฆ่าพระองค์ แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าพระองค์โดนเฆี่ยนแล้วก็ยังต้องโดนตรึงกางเขนอยู่ดี เจตนาที่อยากช่วยได้กลายเป็นเพิ่มโทษให้สาหัสเข้าไปเสียแทน
คำถามเรียบง่ายคือ มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นหรือ หรือที่จริง มันคือสิ่งที่กำหนดไว้แล้ว ที่พระองค์ต้องรับโทษอย่างสาหัสถึงเพียงนี้ และต้องรับโทษรูปแบบนี้
หากนี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ วาระที่พระเจ้าทรงเลือก 2000ปีก่อน ในอิสราเอลภายใต้ การปกครองของโรมัน ก็คือเวลาที่พระองค์ได้เลือกลงมาประสูติ เพื่อรับโทษประหาร และการถูกทารุณกรรมในแบบที่มันต้องเป็นในยุคนั้นใช่หรือไม่
ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่แค่ชายคนหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ พระองค์ย่อมทรงทราบดีว่าจะต้องสิ้นพระชนม์แบบไหน และต้องทรงรับทุกข์ทรมานอะไรบ้าง
และในเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดแม้แต่เสี้ยวเล็กน้อยของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ดังนั้นหากตั้งแต่ทรงประสูติจนกลับคืนพระชนม์ชีพ ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์และในน้ำพระทัยแล้วตั้งแต่ก่อนเนรมิตสร้างโลกทั้งสิ้น แล้วประวัติศาสตร์ช่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ทรงลงมาเกี่ยวข้องด้วยตนเองนี้จะไม่ทรงกำหนดอย่างละเอียดด้วยพระประสงค์ให้ออกมาในแบบที่ทรงตั้งพระทัยให้เป็นงั้นหรือ
พระเจ้าทรงเตรียมรูปแบบของการที่พระบุตรต้องตายแบบยกประจานขึ้นต่อหน้าสายตาคนทั้งหลายไว้แล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเยซูทรงเปิดเผยเรื่องนี้แก่นิโคเดมัส
ยน 3:14
โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น ...
ยังไม่นับ อีกหลายสิ่งอย่างที่พระธรรมเดิมได้ทำนายไว้ล่วงหน้าว่าต้องเกิดกับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการจับฉลากเสื้อยาวของพระองค์(ซึ่งการละเมิดทรัพยสินนักโทษแบบนี้เป็นไปไม่ได้ในยุคสมัยนี้แน่ๆ) หรือ การมีผู้คนมองดูการถูกแทงสีข้าง
และนอกจากพระคัมภีร์จะยืนยันสิ่งที่มันต้องเกิดแบบนี้ไว้แล้ว บรรดานักบุญ และผู้มีพระพรพิเศษ ในพระศาสนจักร ล้วนได้รับนิมิต ตลอดจนปรีชาญาณ ที่อธิบายถึงพระมหาทรมานในฐานะที่มันถูกกำหนดไว้แล้วเช่นนั้น เพื่อพระเยซูต้องแบกรับ เพื่อการทรงไถ่ มนุษย์โลก ทั้งสิ้น