พระองค์ทรงประทานพระคุณ 7 ประการของพระองค์แก่เรามนุษย์ อันประกอบด้วยพระคุณดังต่อไปนี้
1. ปรีชาญาณ 2. สติปัญญา 3. ความคิดอ่าน 4. ความเข้มแข็ง 5. ความรู้ 6. ความศรัทธา 7. ความยำเกรง
ให้เราพิจารณาพระคุณทั้งเจ็ด และลิ้มรสพระคุณเหล่านี้
ปรีชาญาณ คือพระคุณที่ทำให้เราร่ำรวยด้วย 2 ลักษณะวิธีดังนี้
1. ความสามารถที่จะลิ้มรสในสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง และพระผู้สร้าง คำว่า ปรีชาญาณ มาจากภาษาลาติน แปลว่า รู้ ลิ้มรส เอร็ดอร่อย ดังนั้นอาศัยพระคุณนี้ เราสามารถลิ้มรสธรรมชาติ ชื่นชมในความสวยงาม เราสามารถฟังพระสุรเสียงของพระเป็นเจ้า (แม้ใบไม้ไหวตัว) เรามองเห็นพระเป็นเจ้าในดวงดาราที่กระพริบ ระยิบระยับ อาศัยพระคุณแห่งปรีชาญาณทำให้มนุษย์พบเห็นสิ่ งมหัศจรรย์รอบตัว ผู้ที่มีพระคุณแห่งปรีชาญาณจึงไม่เพียงแต่ลิ้มรสสรรพสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างเท่านั้น แต่ยังสามารถอ่านสาส์นของพระเป็นเจ้าในธรรมชาติ ในสรรพสิ่งของพระองค์
ในยุคกลางมีฤษีชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ชื่อ อิสอัค เดลลา สเตลลา ท่านกล่าวว่า โลกมีประโยชน์แก่มนุษย์ใน 2 ลักษณะคือ เป็นผู้เลี้ยงดูมนุษย์และเป็นผู้สอนมนุษย์ แท้จริงแล้ว เป็นไปได้หรือที่พระจิตเจ้าผู้ทรงวางแผนในการสร้างสิ่งต่างๆ ในโลก เพื่อเลี้ยงปากท้องของมนุษย์ จะไม่ทรงคิดที่จะเลี้ยงวิญญาณของเราด้วยหรือ?
ทุกสิ่งรอบตัวมีข้อคิด มีสาส์นพิเศษ เฉพาะผู้มีพระคุณแห่ง ปรีชาญาณ สามารถรับข้อคิด เรียนรู้จากสาส์นนี้ได้ ตัวอย่างเช่น เขาจะเ รียนรู้จากดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมทำให้ธรรมชาติชื่นบาน โดยไม่ทำลายความเงียบสงบ เขาเรียนรู้จากต้นไม้ที่โตวันโตคืน โดยไม่ต้อง มีใครเฝ้าดู เขาจะเรียนรู้จากอรุณของวันใหม่ แม้ไม่มีใครชมความอัศจรรย์ของมัน เขาสามารถเรียนรู้จากน้ำซึ่งไหลไม่มีวันหยุด เ ราเรียนรู้จากดอกไม้ ผลไม้ ที่เจริญชีวิตเป็นพุ่มเป็นพวง มนุษย์เราสามารถเรียนรู้จากดอกทานตะวัน ซึ่งคล้องตามแสงอาทิตย์ เราสามารถเรียนรู้จากนกน้อย ในเสียงภาวนายามเย็น มนุษย์เรียนรู้สมรรถภาพของต้นไม้ที่ยืนต้นตายฯลฯ
2.พระคุณที่ทำให้เรามีสมรรถภาพในการรู้จักแยกแยะความดีความชั่ว ในพันธสัญญาเดิมกษัตริย์ซาโลมอนได้ภาวนาขอพระคุณนี้ว่า "ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก โปรดให้ข้าพเจ้ามีดวงใจที่อ่อนหวานเพื่อจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว"
(พงษ์กษัตริย์3:7-9)
พระคุณแห่งปรีชาญาณเป็นแสงสว่างภายใน เป็นพระคุณที่ส่องสว่าง หยั่งลึกในหัวใจของมนุษย์ เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของผู้มีปรีชา ญาณ เป็นดังภาษิตของชาวฮีบรูที่ว่า "คนฉลาดเพียงแค่ขยิบตาก็เข้าใจ แต่กับคนโง่แม้ตอกด้วยหมัดก็ยังไม่รับรู้" ถ้าจะพิจารณาให้ ลึกซึ้งกว่านั้น ปรีชาญาณเป็นพระคุณที่ทำให้คนเข้าใจความหมายของชีวิต ดังนั้นในบรรดาพระคุณทั้งหลาย จึงเป็นพระคุณที่จำเป็นเร่งด่วน และสำคัญที่สุด อันเดรฟรอซาร์ด นักเขียนชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า
"มนุษย์มุ่งพิชิตอำนาจมากกว่าการให้ได้มา ซึ่งปรีชาญาณและถ้าไม่รีบกลับใจ สุกรจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของมนุษย์เอง"
หากพิจารณาให้ดีเราจะพบว่า อันเดร ฟรอซาร์ด พูดถูกทีเดียว เพราะการประดิษฐ์ต่างๆ ของมนุษย์ทุกวันนี้ มุ่งเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายเท่านั้น เช่น โทรทัศน์เป็นการเพิ่มความสามารถทางตา รถยนต์ขยายสมรรถภาพขาของมนุษย์ โทรศัพท์ขยายความสามาร ถทางหู การขยับขยายฝ่ายร่างกายภายนอกดังกล่าวมานี้ เป็นไปอย่างไม่สอดคล้องกับการขยายฝ่ายจิตซึ่งจำต้องใช้เพื่อขยับขยายให้ถูกต้อง
ข้าแต่พระจิตเจ้า โปรดเสด็จมา โปรดประทานปรีชาญาณแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะความรู้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ความรู้บอกแต่สิ่งที่เป็นไปได้ แต่ปรีชาญาณบอกสิ่งที่ถูกที่ควรอย่างเหมาะสม
ความรู้รักษามือได้ แต่ปรีชาญาณสอน วิธีการใช้มือ
ความรู้สามารถผลิตหัวใจเทียมได้ แต่ปรีชาญาณทำให้หัวใจฉลาดสุขุม
ความรู้ทำให้มนุษย์มีอำนาจ แต่ปรีชาญาณทำให้มนุษย์เป็นผู้เป็นคน ชีวิตไม่ก้าวหน้า หากปราศจากความรู้ แต่ปราศจากปรีชาญาณ มนุษย์จะกลับเป็นคนป่าเถื่อน ปราศจากปรีชาญาณในโลก มนุษย์คงจะกลับเป็นคนครึ่งสัตว์!!!!
พระคุณแห่งสติปัญญา ช่วยเรามิให้เป็นคนผิวเผิน แต่ช่วยให้เข้าถึงแก่นของทุกสิ่ง สติปัญญามีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า "เข้าลึก" พระจิตแทรกซึมเข้าถึงส่วนลึกของสิ่งต่างๆ เข้าไปในส่วนลึกของพระเป็นเจ้า(คร.2,10) เพียงเท่านี้ก็คงจะเข้าใจถึงความสำคัญของพระคุณประการนี้
มนุษย์เราชอบแสดงออก การแสดงออกเป็นโรคเรื้อรังตั้งแต่เด็กๆ ในโลกนี้บางคนเป็นขโมยที่เลวร้าย แต่งตัวผูกเนคไทราวกับผู้ดี วางตัวถูกต้องเหมาะสม จนไม่รู้ว่าท่าทีภายในและส่วนลึกเป็นอย่างไร จำต้องให้พระคุณแห่งสติปัญญาช่วยเราให้ฉลาดมากขึ้น เตือนเราอย่าให้ดูเฉพาะภายนอก อย่าดูแต่เปลือก บางทีพระคุณแห่งสติปัญญาทำให้เกิดสุภาษิต 3 ประการก็เป็นได้ เช่น ถ้านำฟางข้าว มามัดตกแต่งให้เป็นราชินีก็จะดูเหมือนราชินี คนปัญญาอ่อนที่ถูกแต่งตัวให้เป็นเหมือนเจ้านายก็ดูเป็นเจ้านาย โอ่งน้ำเปล่าย่อมมีเสียงดังกว่าโอ่งที่มีน้ำเต็ม
พระคุณแห่งสติปัญญา จึงเป็นพระคุณที่เตือนเราให้ใช้ความคิด เตือนให้เป็นคนฉลาด ลาตัวหนึ่งแม้จะออกโทรทัศน์ร้อยครั้ง ก็ไม่อ าจกลายเป็นม้าไปได้ อย่าตกในอุบายของคนที่ถือว่าความสวยงามเป็นหน้าที่ เพราะหน้าที่จริงๆ คือต้องแสดงตนเป็นแสงสว่างนำท างผู้อื่นได้ บางครั้งดูภายนอกอาจไม่สวยสดงดงาม แต่ภายในกลับงดงาม ตัวอย่างคุณแม่เทเรซา ที่มีใบหน้าเหี่ยวย่น แต่หัวใจงดงาม ร้อนรนที่จะทำความดีอย่างน่าจับใจ ยิ่งกว่าบุคคลที่เป็นนางแบบ
พระคุณแห่งสติปัญญา คือพระคุณที่ทำให้รู้จักเข้าลึกถึงสิ่งต่างๆ ลึกซึ้งกว่าความผิวเผิน พระคุณนี้ทำให้เราไม่สนใจว่าใค รจะคิดว่าอย่างไร แต่ทำให้สามารถเข้าใจพระวาจา ซึ่งจะนำเราไปสู่ความจริงทั้งครบ เป็นไปตามพระสัญญาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสไว้ว่า "เมื่อพระจิตผู้ทรงเปิดเผยความจริงจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเผยความจริงทั้งหมดให้แก่เรา" (ยน.16,13)
ที่สุด พระคุณแห่งสติปัญญากระตุ้นเราให้รู้ว่า "พระเยซูเจ้าคือพระผู้เป็นเจ้า และเราจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้า หากผู้นั้นไม่มีพระจิตของพระเป็นเจ้าอยู่ในตัว"(1 คร.123)
ความคิดอ่าน (การแนะนำ) ความหมายตามพระคัมภีร์แปลว่า วางแผน วางโครงการ "ชนชาติต่างๆ มักจะไม่เข้าใจแผน การณ์ของพระเป็นเจ้า" (มีคา 4,12) จึงไม่ติดตามแผนงานของพระองค์
พระคุณแห่งความคิดอ่าน ช่วยให้รู้จักแสวงหาทางที่ถูก เพื่อรู้และเข้าใจแผนการณ์ของพระเป็นเจ้าที่อยู่เหนือเรา พร ะองค์ทรงมีแผนการณ์สำหรับเราแต่ละคน เราต้องค้นให้พบ เพื่อทำให้เป็นจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขแห่งความสำเร็จในชีวิต ทุกวันนี้ มนุ ษย์ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเกิดความไม่พอใจ มีคนพูดเปรียบเปรยว่า ถ้าจะระบายสีผู้ที่ไม่พึงพอใจให้เป็นสีเขียว เมืองของเราคงเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวที่เดินได้
พระคุณแห่งความคิดอ่าน ช่วยเราให้ตัดสินใจวางแผนสำหรับอนาคต วางโครงการเพื่อเอาชนะในปัจจุบัน อันเป็นลักษณะและแนวคิดหลักของคนสมัยใหม่
ดังนั้น ให้เรารู้จักตัดสินใจภายใต้แสงสว่างแห่งความคิดอ่าน ลงมือตัดสินโดยเร็วก่อนถึงอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ต้องวางโครงการสำหรับชีวิตแล้ว มิฉะนันจะสายเกินไป
พระคุณความคิดอ่าน ช่วยเราให้ตัวของตัวเอง กล้าคิด กล้าตัดสินใจ เกี่ยวกับชีวิต กีตาร์หนึ่งตัวเล่นโน้ตได้มากมาย จุดไ ฟทีเดียวจะเกิดประกายไฟร้อนแรง เมื่อแหงนมองท้องฟ้า จะเห็นดาวดาราระยิบระยับ ในตัวมนุษย์ก็เช่นกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ สามารถก่อให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ขึ้นได้ สมองของมนุษย์สามารถบรรจุความรู้ได้เป็นแสนล้านเรื่อง ในเด็กอายุ 2-3 ขวบ สามารถเรียนรู้ภ าษาได้ถึง 10 ภาษาพร้อมๆ กัน และพูดกับคน 10 คนได้ในเวลาเดียวกัน นี่คือพลังของสมองในการจดจำ (สามารถจดจำ 2 แสนล้านคำ) ในสมองของเรายังมีสมรรถภาพที่จะรัก ที่จะชื่นชม และที่จะสวดภาวนาด้วย
พระเป็นเจ้าทรงรักมนุษย์เหลือล้น พระองค์สามารถทำให้มนุษย์อยู่ในหนทางอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ นักจิตวิทยามักพูดว่า เราทุกค นที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่สามารถใช้สมรรถภาพของเรา และเก็บสมรรถภาพของเราไว้โดยไม่นำออกมาใช้ เอริค ฟรอมม์ นักจิ ตวิทยายืนยันว่า วิบัติยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในปัจจุบัน คือการที่มนุษย์ส่วนใหญ่ตายก่อนที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์ครบครัน หมายความ ว่า มนุษย์มีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้ใช้สมรรถภาพของตนอย่างเต็มที่ ดังนั้น พระจิตเจ้าทรงเตือนเราให้ใช้สมรรถภาพอย่างครบบริบูรณ์
ความเข็มแข็งเป็นพระคุณแห่งความกล้าหาญอดทน มั่นคง เข็มแข็ง พระจิตเจ้าสามารถประทานพระคุณนี้แก่เรา เราเห็นได้ชัดใน พลังที่พวกสาวกได้รับในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมา พระจิตเจ้าทรงโปรดให้พวกเขาเป็นคนซื่อตรง (กจ.4,31) พูดจาด้วยความร้อนรน และกระทำจริงจัง ดังที่พูด
พระคุณแห่งความเข้มแข็งเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ ถ้ามนุษย์ไม่มีความกล้าหาญอดทน และความมั่นคงเข้มแข็ง จะมีอะไรเหลือในตัวมนุษย์อีก? เปรียบได้กับยางรถที่ไม่มีลมถูกลากไปตามพื้นดิน เป็นบุคลิกของคนที่ไม่มีกระดูกสันหลั ง ไม่สามารถตั้งตัวตรงได้
มนุษย์ที่ไม่มีพลังภายใน คือคนป่วย 4 ประเภท เป็นดังมะเร็งทางบุคลิกภาพ ในลักษณะต่างๆ คือ
เป็นคนเรื่อยเปื่อยยินยอมทุกอย่าง ทำให้มนุษย์เป็นเหมือนกระดาษลอกลาย
เป็นคนล้างมืออย่างง่ายๆ (โรคของปิลาโต) หมายถึง เป็นคนไม่เอาจริงเอาจัง หลีกเลี่ยงทุกอย่างเพราะความหวาดกลัว
เป็นเหมือนปลาไหล ซึ่งทำให้ไม่กล้าแสดงตน หมายถึง การเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ
เป็นโรคหน้าไหว้หลังหลอก เดี๋ยวแสดงตัวแบบนี้ เดี๋ยวแสดงตัวแบบนั้น เหมือนอยากให้ปีศาจและน้ำเสกมารวมกัน ไม่แน่นอน
หากมีพระคุณแห่งความเข้มแข็งก็จะสามารถชนะโรคทั้ง 4 ข้างต้นนี้ได้
นักเขียนคนหนึ่งในศตวรรษแรกๆ ได้เปรียบเทียบพระจิตเจ้าว่าเป็นโค้ชผู้ฝึกของมนุษย์ โค้ชต้องอดทน ต้องเหน็ดเหนื่อย คอยกระตุ้นผู้รับการฝึกฝน "เราจะไม่มีหวังได้เหรียญทอง ถ้าเหงื่อไม่ตก ไม่สามารถทำอะไรๆ สำเร็จลงได้ ถ้าไม่ยอมลำบาก ไม่สามารถเจีย วไข่ได้ถ้าไม่ตอกไข่เสียก่อน" การที่ผู้ฝึกกล่าวเช่นนี้นับว่าถูกต้องทีเดียว เพราะความสำคัญในการกระทำสิ่งใดๆ ก็ตาม ขึ้นกับน้ำใ จ คนมีน้ำใจย่อมใช้ความร้อนรนเข้าไปเพื่อเอาชนะความเฉื่อยชา คนไม่มีน้ำใจใช้จินตนาการในที่ๆ มีความเคยชินเรื่อยเปื่อย คน มีน้ำใจไม่เดินในหนทางเก่า แต่จะหาทางใหม่ คนมีน้ำใจจะเดินในทางแคบ เพราะรู้ว่าหนทางแคบนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นพระคุณแห่งความเข้มแข็ง เป็นพระคุณยิ่งใหญ่น่าพิศวง
ผู้ที่รับพลังของพระจิตเจ้า สามารถวางโครงการชีวิตของตนจนสำเร็จอย่างน่าพิศวง เช่น คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ที่สร้างงานสำหรับเด็กๆ ที่ยากจน ท่านกล่าวว่า "ไม่เป็นไรจงทำดีต่อไป"
ปกติมนุษย์เป็นผู้ไม่มีเหตุผล เห็นแก่ตัว ไม่เป็นไร ให้เรารักเขาต่อไป ถ้าเราทำดีอาจมีคนมองว่า อยากโอ้อวด อยากได้หน้า ก็ไม่เป็นไร จงทำดีต่อไป
เราอยากจะบรรลุถึงเป้าหมาย เราอาจจะพบเพื่อนแท้และไม่แท้ อย่ากังวล เพราะวันนี้และพรุ่งนี้ไม่ช้าก็จะถูกลืม ไม่มีใครคิดถึง ไม่เป็นไร จงทำดีต่อไป
เพื่อรักษาความซื่อสัตย์จริงใจ อาจทำให้เห็นว่าเธอเปลี่ยนใจง่าย ไม่คงที่ ไม่เป็นไร จงทำดีต่อไป จงยืนหยัดด้วยความซื่อสัตย์และจ ริงใจต่อไป สิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ด้วยเวลาหลายปี อาจประสบกับความล้มเหลวภายในพริบตาเดียว ไม่เป็นไร จงทำดีต่อไป เ มื่อได้ช่วยใคร แต่กลับทำให้เขาไม่พอใจ ไม่เป็นไร จงช่วยต่อไป จงให้ส่วนดีที่สุดของเราแก่เขา แม้จะถูกศอกกลับ ก็ไม่เป็นไร จงให้ส่วนดีที่สุดของเราแก่เขาเถิด
เราต้องการพลังความเข้มแข็งจากพระจิตเพื่อกระทำความดี
ประกาศกอิสยาห์ เป็นบุคคลแรกที่เอ่ยถึงพระคุณของพระจิตเจ้าทรงกล่าวถึงพระคุณนี้โดยใช้คำว่า ความรู้ คำนี้มีความหมายตามค ำในพระคัมภีร์ว่า "รัก" ดังนั้น พระคุณความรู้จึงหมายถึง ความรู้คู่ความรัก เป็นความหมายที่น่าสนใจมาก พระคุณความรู้เป็นพร ะคุณที่สวมใส่ความรักไว้ในความรู้ เมื่อใดมีความรู้ เมื่อนั้นก็มีความรัก ผู้ที่รักจะเข้าใจดีขึ้นกว่าก่อน เข้าใจความหมายได้มากกว่าแต่ก่อน นักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ อังตวน เดอ ซาง เอซูเป กล่าวว่า "ไม่มีใครสามารถมองเห็นชัดเจนด้วยตา นอกจากจะมองด้วยหัวใจ" ข่าวสารบางอย่างสามารถรับรู้ได้เฉพาะด้วยหัวใจ เช่น แม่กับลูก แม่จะหยั่งรู้และเข้าใจลูกอย่างดี บรรดานักบุ ญเข้าใจพระเป็นเจ้า เพราะเขารัก กล่าวได้ว่า เขาเป็นนักปราชญ์ในด้านความรักมากกว่าด้านปรัชญา ดังนั้น พระคุณความรู้สอนเร าว่าหากเราอยากเข้าใจผู้อื่น ให้เรารักเขาก่อน เหมือนผู้ที่รักกัน เขาจะเข้าใจกันทันทีในพริบตาเดียว เพราะเขารักกัน ถ้าเราอยา กเข้าใจพระเป็นเจ้า เราก็จำต้องรักพระองค์เสียก่อน อาศัยพระคุณความรู้ พระจิตเจ้าทรงจุดไฟแห่งความรัก สัมพันธ์ต่อพระเป็นเจ้า และต่อสรรพสิ่งทั้งปวง
โดยอาศัยพระคุณแห่งความรู้ นักเขียนชาวรัสเซียชื่อ เฟเดอร์ โดสเทฟซกีซ์ เขียนว่า "พี่น้องที่รัก จงรักสิ่งทั้งหลาย ทั้งใหญ่น้อย ไม่ ว่าจะเป็นเม็ดทราย ใบไม้ ต้นไม้ แสงสว่าง ดวงอาทิตย์ จงรักทุกสิ่ง ทั้งสัตว์และพืช โดยเฉพาะจงรักเด็กๆ เพราะเด็กๆ ทำให้ใจของเราอ่อนโยนมากขึ้น
หลายครั้งความคิดของเรามีฐานที่มาจากมันสมองเพียงอย่างเดียว ไม่มีฐานที่มาจากหัวใจเลย ทำให้มีแต่ความคิดที่เย็นเฉย และเห็นแก่ตัว
เป็นความคิดแบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ความคิดของเราไม่มีบ่อเกิดมาจากพระคุณความรู้ ขอพระเจ้าทรงช่วยเราอย่าได้ดับความรักในดวงใจ อย่าได้ทำลายความคิดที่ดี เราจะเข้าใจคนรอบด้าน เมื่อเราสามารถยิ้มให้เขาได้
ข้าแต่พระจิตเจ้าโปรดให้ผู้อบรมมีพระคุณแห่งความรู้และความรัก ช่วยให้เขาสามารถเรียนรู้และเข้าใจตัวบุคคล
เพราะคนที่มีความรักเท่านั้น ที่จะสามารถโอบอุ้มและนำผู้อื่นได้
พระคุณแห่งความศรัทธา ไม่มีปรากฏในการทำนายของประกาศกอิสยาห์ แต่ปรากฏในหนังสือที่บุคคล 70 คน ได้แปลในพันธสัญญ าเดิมฉบับภาษากรีก ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล และได้มีการแปลความจากภาษากรีกเป็นภาษาลาติน ในศตวรรษที่ 4 หลังคริสตกาล และได้เพิ่มคำว่า "ความศรัทธา" เข้าไป ซึ่งหมายถึงท่าทีที่เราต้องมีเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า
ตามความหมายของพระคัมภีร์ คำว่า "ความศรัทธา" มิได้ หมายความถึงการมีความสงสารต่อใครบางคน แต่ชี้ให้เห็นถึงความผูกพันเยี่ยงบุตร ที่เราต้องมีต่อพระเป็นเจ้า
พระคุณแห่งความศรัทธา เป็นพระคุณที่ช่วยเราให้คิดเสมอว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นบิดา ความคิดนี้ช่วยเราได้มาก ถ้าเราเชื่อจริงๆ ว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นบิดาผู้ทรงรักเรา ทรงประทานกำลังและสันติสุข ทรงประทานความชื่นชมยินด ีแก่เรา ทำให้เรามองชีวิตในแง่ดี มิฉะนั้น เมื่อเราจะประสบความทุกข์ยาก จนเราไม่สามารถทนทานได้ ตัวอย่างเช่น ลุดวิค ฟอ น เบโธเวน นักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง ที่กลายเป็นคนหูหนวก เมื่ออายุได้ 46 ปี ทำให้เขาสิ้นหวังทุกอย่าง แต่ที่สุดเขากลั บได้พลังที่จะชนะความหมดหวัง เขาใช้เวลา 2 ปี ประพันธ์บทเพลงสำหรับมิสซา และให้ชื่อว่า "พระเจ้าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่" อีกตัวอ ย่างหนึ่ง จากการเล่าของลุยยี ซานดูซี "ความกลัวเคาะประตู และความเชื่อไปเปิดประตู เปิดแล้วไม่มีใครอยู่หน้าประตู หมายถึง คว ามเชื่อในพระเจ้า ช่วยให้เปิดประตูได้" นอกจากนี้นักจิตวิทยาชื่อ ยาโกโม ดักควีโน กล่าวตามหลักจิตวิทยาว่า ความศรัทธา ที่บรร ลุวุฒิภาวะเป็นยาที่มีคุณค่าวิเศษ เป็นยาฝ่ายจิตซึ่งสามารถชนะตนเอง และช่วยในการติดต่อกับผู้อื่น เพราะความศรัทธาเป็นบ่อเกิ ดแห่งความสงบ สมดุลย์ กลมกลืนในความรัก ความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้าบิดาของเรา ทำให้เรายอมรับชีวิต ยิ่งกว่านั้น ยังยอมรับแม้ความตาย อุมแบร์โต ซาบา กล่าวว่า "ถ้ามนุษย์ไม่มีพระเป็นเจ้า มนุษย์ก็จะตายไปไม่ต่างกับสัตว์"
ความศรัทธา ทำให้เราไว้ใจในพระเป็นเจ้า เหมือนเด็กที่มีความมั่นใจในอ้อมแขนของบิดา แม้กำลังแขวนอยู่เหนือเหวลึก
พระคุณแห่งความศรัทธาทำให้เราเห็นพระพักตร์พระเป็นเจ้า พระบิดา ในเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ร่าเริงสนุกสนาน หรือหวาดเสียว
คาร์โร คาเร็ตโต กล่าวว่า "ถ้าพระเป็นเจ้าเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ที่มีความหมาย มีศักดิ์ศรี ถ้าพระเป็นเจ้าเป็นพระบิดา ข้าพเจ้าจะไม่บ่น จะไม่ถามให้ยุ่งยากใจบ่อยๆ ว่า ทำไม ๆ ๆ ๆ ๆ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าจะกล่าวด้ วยความเชื่อว่า พระองค์ทรงทราบ....ทรงรู้ทุกอย่าง."
ถ้าพระเป็นเจ้าเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่มองเหตุการณ์ประจำวันที่เกิดขึ้นว่าเป็นการบังเอิญ แต่จะมองว่าเป็นสัญญลั กษณ์แห่งความรักของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่หมดความเชื่อกลายเป็นคนหวาดกลัว เมื่อมีเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าหวาดเสียว แม้ความทุกข์แสนสาหัสที่จะต้องเผชิญ ข้าพเจ้าก็สามารถพบกับความรักของพระเป็นเจ้า หรือความหายนะ พระเ จ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้าเที่ยงแท้ เป็นเจ้าแห่งจักรวาล แม้แผ่นดินไหว น้ำท่วมทำลาย พระเป็นเจ้าก็ยังคงเป็นพระบิดา แม้ความหนา วเหน็บทำให้มือเย็นจนจะเป็นน้ำแข็ง หรือต้องประสบอุบัติเหตุ หรือนอนป่วยตลอดชีวิต พระองค์ก็ยังคงเป็นพระบิดา นี่คือความมหัศจรรย์ของพระคุณความศรัทธา"
ถ้าพระคุณแห่งความศรัทธา ทำให้เราสำนึกถึงความรักเยี่ยงบิดาของพระเป็นเจ้า พระคุณแห่ง "ความยำเกรง" ก็จะช่วยให้เรารับรู้ ถึงความยิ่งใหญ่ เกียรติคุณ และมหิทธานุภาพของพระองค์ พระเป็นเจ้าทรงพระทัยดีก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เข้มแข็ง และทรงฤ ทธานุภาพ เราต้องนบนอบเชื่อฟัง เราจะทำเล่นๆ กับพระองค์ไม่ได้ ตามที่นักบุญเปาโลได้กล่าวไว้ (กท.6,7) นี่แหละพระคุณแห่งค วามยำเกรงพระเจ้าซึ่งเป็นบ่อเกิดของปรึชาญาณที่แท้จริง ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ (สดด.111,10) วิบัติแก่มนุษย์ ถ้าไม่เคารพ นับถือพระเป็นเจ้า ใครที่ไม่เคารพพระเป็นเจ้าก็เหยียดหยามมนุษย์ด้วย ดังที่ประวัติศาสตร์วันนี้ก็มีจารึกความโหดเหี้ยมทารุณ การเข่นฆ่ากัน การสังหารหมู่
พระคุณแห่งความยำเกรงพระเจ้าอีกแง่มุมหนึ่งเตือนเราว่า เราไม่ควรทำเฉพาะสิ่งที่เราชอบ หรือสิ่งที่เห็นว่าควรสำหรับเรา เพราะไม่ใช่เจ้าของความดีความชั่ว เราไม่มีสิทธิ์ทำให้ความดีกลับเป็นความชั่ว หรือทำให้ความชั่วกลับเป็ นความดี ทุกครั้งที่เราสลับคุณค่าของค่านิยมต่างๆ ก็แสดงว่าเราไม่กลัวใคร เรากลับเป็นผู้กำหนดค่านิยมเสียเองแทนพระเป็นเจ้า ผู้ทรงพระทัยดี องค์แห่งความจริง ความดี และความรัก
พระคุณแห่งความยำเกรง ทำให้เราระลึกถึงหน้าที่ที่สุภาพและเรียบง่าย แต่สำคัญมาก หน้าที่ที่จะไม่กล่าวสิ่งใด ที่ไม่เป็นมงคลต่อพระเป็นเจ้า การพูดไม่ดีกับผู้หนึ่งหมายถึงการขาดความเคารพยำเกรง
บางครั้ง เรากล่าวถึงพระเป็นเจ้าโดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงคอยจับผิด เป็นนายตรวจ เหมือนคนขายยา ซึ่งให้ยาเ ราเมื่อเราเจ็บป่วย หรือเป็นไม้เท้าที่ช่วยพยุงให้คนพิการเดินได้ ทำให้พระเป็นเจ้าทรงกลับเป็นผู้รับใช้ของเรา พระองค์มิได้เป็นเช่ นนั้น บางครั้งเราบังคับให้พระองค์เงียบ เพื่อไม่ให้ใครรู้จักพระองค์ นักเขียนฟรังซัว มอริอาค กล่าว่า อย่าวาดภาพของพระเป็นเจ้าดั งผู้รับใช้ ความยำเกรงบังคับให้เรารู้จักยกคุณค่าของคำว่าพระเป็นเจ้าให้สมพระเกียรติ ให้ผู้อื่นเข้าใจถึงพระเป็นเจ้า ได้ในภาพที่แ ท้จริง ที่ทรงเชื่อในมนุษย์ ทรงเป็นพระเป็นเจ้าที่ราบเรียบ ทรงเป็นผู้นำมนุษย์ให้ก้าวเดินไป พระองค์มาหาเราด้วยความเคารพ พร ะองค์เคาะประตูแล้วรอคอย พระเป็นเจ้าไม่ทรงหวงแหน ทรงเป็นผู้ยุติธรรม ทรงรักมนุษย์ทุกคน โดยไม่ทรงเลือกเชื้อชาติ และผิวพรรณ พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยในความขัดแย้งของมนุษย์ พระองค์ทรงมีหน้าที่ที่จะทรงรักและให้อภัยมนุษย์



ที่มา จากนิตยสารดอนบอสโก สมโภชพระจิตเจ้า