แต่ อย่างไรก็ตามการตัดสละแล้วซึ่งความวุ่นวายทางโลก ของมาเซอร์ทุก ๆ ท่านในอารามแห่งนี้ ก็มิได้หมายความว่า ท่านจะภาวนาพลีกรรมเพื่อตัวของท่านเอง เพราะทุกครั้งที่ท่านสวดภาวนาทูลขอสิ่งต่าง ๆ จากพระเป็นเจ้า
ก็ ไม่พ้นเรื่องของความทุกข์ร้อน ของผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ความลำบากที่สังคมโลกภายนอกเป็นผู้สร้างขึ้น นี่แหละคือ ชีวิตแห่งการรับใช้ของมาเซอร์คณะภคินีแห่งแม่พระคาร์แมลประวัติของคณะคาร์แมล
ผู้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในอารามคาร์แมลแห่งนี้ คือ มาเซอร์คณะภคินีแห่งแม่พระคาร์แมล ซึ่งเป็นคณะที่เก่าแก่ ถือกำเนิดขึ้น ราวกลางศตวรรษที่ 12 ในสมัยสงครามครูเสด การก่อตั้งคณะเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย บนพื้นที่ซึ่งเป็นหินบนภูเขาคาร์แมล โดยดำเนินชีวิตเลียนแบบประกาศกเอลียาห์ ในเรื่องของความขยัน ความศรัทธาร้อนรน และการสละทิ้งซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดจนทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก
ใน สมัยกลางคนทั่วไปรู้จักบรรดาฤาษีคาร์แมลในชื่อเป็นทางการว่า “ภราดาคณะแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล” เพราะพวกเขามีแม่พระเป็นทั้งมารดา เป็นทั้งพี่สาวและคนกลางผู้เสนอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า พระนางยังทรงเป็นเช่นนี้เสมอมาสำหรับนักบวชคณะคาร์แมล ซึ่งสืบทอดต่อกันเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 20
จุดเริ่มต้นภคินีคาร์แมล
ตั้งแต่ เริ่มต้น พระศาสนจักรได้มีขนบธรรมเนียบต่อกันมาว่า บรรดาสตรีผู้อุทิศชีวิตรับใช้พระเป็นเจ้า จะต้องรับภารกิจผู้มัดตัวเองตลอดชีวิต และในระหว่างศตวรรษที่ 13 และ 14 มีสตรีใจศรัทธาจำนวนหนึ่งอาศัยคำแนะนำของภราดาคาร์แมล สตรีเหล่านั้นจึงได้เริ่มต้นถือ พระวินัยของคณะคาร์แมล แต่ละคน หรือรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ พวกเขาขังตังเองอยู่คนเดียวตามลำพังเด็ดขาด และสวดภาวนาไม่หยุดหย่อน อีกหลายคนอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะมีชีวิตผูกผันกันอย่างหลวม ๆ โดยไม่มีการถวายปฏิญาณ ในปี ค.ศ.1452 สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 ได้ให้คำรับรองแก่บุญราศียอห์น โซแร็ธ อธิการใหญ่เจ้าคณะคาร์แมลที่จะจัดรวมสตรีใจศรัทธาเหล่านี้เข้าเป็นคณะนักบวช คาร์แมลชั้น 2 ดังนั้น เท่ากับทำให้พวกเขาได้รับฐานะทางกฎหมายของพระศาสนจักร บญราศี ฟรังซิส แห่งนักบุญอัมโบรซิโอ ดัชเชสแห่งแคว้นบริตานี ได้เป็นภคินีในพวกแรก ๆ ที่เข้าอารามแห่งหนึ่ง ซึ่งท่านดัชเชสได้บริจาคทรัพย์ก่อตั้งขึ้นมา นี่คือการเริ่มต้นที่ซื่อ ๆ และสงบเสงี่ยบของคณะภคินี คาร์แมลชุดแรก ๆ ซึ่งได้ค่อย ๆ เจริญทวีจำนวน จนถึงเกือบ 13,000 รูป อยู่ในอารามที่ตั้งกระจายตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบันนี้
อารามคาร์แมลแห่งแรกในประเทศไทย
มา เซอร์คณะคาร์เมไลท์รุ่นแรกที่ถือกำเนิดในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2468 หลังจากที่พระสังฆราช เรอเน แปร์รอส ประมุขของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ในขณะนั้น ได้เดินทางไปเยี่ยมอารามแม่พระแห่งความไว้วางใจ ที่พึ่งก่อตั้งขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยพระคุณเจ้าได้แสดงความปรารถนาที่จะก่อตั้งอารามคาร์แมลในสังฆมณฑลของท่าน ต่อคุณแม่แอนน์ แห่งพระเยซู – มาเรีย คุณแม่อธิการิณี ผู้ก่อตั้งอาราม ให้มาดำเนินงานในประเทศในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456
จน กระทั่งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2468 อาศัยการนำของพระญาณสอดส่อง คุณแม่แอนน์ แห่งพระเยซู – มาเรียได้นำภคินีอีก 12 ท่านเดินทางมายังประเทศไทย ถึงแม้การเดินทางในขณะนั้นจะยากลำบาก ภคินีทั้งหมดต้องเดินทางโดยรถยนต์ ต่อด้วยเรือ ซึ่งเรือที่นำภคินีคณะคาร์เมไลท์มาสู่ประเทศไทย คือ “เรือนิภา” ของบริษัทอิสเซีสติก และในเช้าวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2468 ภคินีทั้งหมดได้เดินทางมาถึงประเทศไทย และได้ตั้งอารามแห่งแรกขึ้นที่ ถ.คอนแวนต์ กรุงเทพฯ แต่ในช่วงแรกที่กำลังก่อสร้างอารามอยู่นั้น ภคินีทั้งหมดได้ไปพักอยู่กับเซอร์คณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ด ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์เป็นการชั่วคราว ระหว่างนั้น ทุก ๆ เช้าพระคุณเจ้าแปร์รอสจะมาเยี่ยมเยียน คุณแม่อธิการิณีและพูดคุยตระเตรียมสิ่งที่จำเป็น สำหรับการถวายมิสซาในวัดน้อยเป็นครั้งแรกตามวันที่ 30 กันยายน อีกทั้งพระคุณเจ้าได้เร่งให้ คนงานก่อสร้างวัดน้อยให้เสร็จทันวันที่กำหนดไว้ด้วย
ใน วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2468 คณะภคินีคาร์เมไลท์สวมเสื้อคลุมขาวและสวมผ้าคลุมอยู่ในวัด ใคร ๆ คงเชื่อว่า คล้ายกับการก่อตั้งอารามเป็นปฐมฤกษ์ในสมัยของนักบุญเทเราซา มารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่จริงแล้วพระพรเดียวกันจากสวรรค์ลงมายังอารามคาร์แมลนี้ แม้จะห่างกันทั้งในระยะทางและระยะเวลา ( 3 ศตวรรษระหว่างอาณาจักรสเปนและอาณาจักรไทย) แต่ก็เป็นนักบุญเทเรซาผู้ก่อตั้งคณะคนเดียวกันที่ทำงาน และคุณแม่แอนน์ แห่งพระเยซู – มาเรีย พร้อมกับธิดาของท่านที่อุทิศตนให้แก่ท่าน
เดือน พฤศจิกายนมาถึงอย่างรวดเร็ว มีการจัดเตรียมประดับวัดน้อยของอารามคุณแม่อธิการิณี ได้ไปที่อารามทุก ๆ เย็นเพื่อดูแลให้คนงานทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่คณะคาร์แมลต้องใช้สอย คือใส่ตารางลูกกรง ทำตู้หมุน….
สุด ท้ายวันแห่งความชื่นชมยินดีก็มาถึง วันที่ 29 พฤศจิกายน เป็นวันที่ภคินีคาร์แมลเข้าในอารามของตน ประตูอารามเปิดกว้างให้เห็น สวนของอาราม คุณแม่อธิการิณีก็เข้าสู่ภายในอารามเป็นคนแรก ภคินีคนอื่น ๆ ก็ไปคุกเข่ารับพรและจูบแหวนพระสังฆราช และเดินตามคุณแม่ อธิการิณีเข้าไปในเขตหวงห้ามตามลำดับ เมื่อภคินีทุกคนเข้าไปในเขตหวงห้ามแล้ว ประตูอารามชั้นในก็ปิดด้วยลูกกุญแจ 2 ชั้น ตามกฎอย่างเ คร่งครัด บรรดาผู้ถูกขังซึ่งมีบุญจึงได้เข้าไปที่สวดทำวัตรในวัดน้อย การเข้าครอบครองอารามใหม่ของคณะคาร์แมลก็สำเร็จสมบูรณ์ลงตามกฎหมายของพระ ศาสนจักรทุกประการ
การดำเนินชีวิตตามจิตตารมณ์ของคณะ
เมื่อ ทราบถึงความเป็นมาของอารามชีลับแห่งนี้แล้ว อาจมีหลายคนคิดและสงสัย ว่าทำไมพวกมาเซอร์คณะคาร์เมไลท์จึงสามารถอยู่ในบริเวณที่จำกัด อยู่ในกฎระเบียบที่เคร่งครัด ตัดขาดจากโลกภายนอก โดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือเป็นทุกข์ใจ ก็เพราะว่า จิตตารมณ์ของคณะคาร์เมไลท์ คือ “การตัดใจสละโลกเพื่อรับความว่างเปล่า และยากจน ในขณะที่ยังให้ความนับถือต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลก” และเครื่องมือที่ช่วยให้มาเซอร์คาเมไลท์สามารถปฏิบัติตามจิตารมณ์ของคณะได้อย่างดี คือ ความเงียบ เพราะในความเงียบนี้เองที่ทำให้มาเซอร์คาเมไลท์พร้อมที่จะรับฟังพระวาจา เพื่อให้มีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระมากขึ้น และจากความเงียบนี้ ได้นำไปสู่การดำเนินชีวิตอย่างสันโดษ เพื่อให้จิตใจไม่ยึดติดกับสิ่งสร้างใด ๆ อันเป็นทรัพย์สินและความสะดวกสบายฝ่ายร่างกาย เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะถูกแทนที่ด้วยความรักของพระเป็นเจ้า
นอกจากความเงียบและความสันโดษแล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นชีวิตของมาเซอร์คาร์เมไลท์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ชีวิตแห่งการภาวนาและความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า ซึ่ง เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลาง เพราะทุก ๆ กิจการที่มาเซอร์ได้รับมอบหมายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น งานทำแผ่นศีล อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ ประดับตกแต่ง วาดเขียน งานพิมพ์ เข้าเล่มหนังสือ ทำสวน ฯลฯ เวลาส่วนมากจะถูกใช้ไปกับการสวดภาวนา ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของภารกิจที่ทำในแต่ละวัน เพราะทุกอย่างที่ทำนั้นต้องมีจุดมุ่งหมายคือการสวดภาวนาเสมอ
กรอบที่ช่วยให้การภาวนาและการดำเนินชีวิตที่พร้อมความสัตย์จริงและความสุภาพ คือ ความยากจนของ คณะ ความยากจนทางวัตถุ มาเซอร์คาร์เมไลท์ มีเพียงแค่เตียงไม้ที่ใช้พักผ่อน และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตเท่านั้น ด้วยจิตารมณ์นี้เอง ที่ทำให้มาเซอร์คาร์เมไลท์ สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในเขตพรตได้อย่างไม่เป็นทุกข์ใจ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตในอาราม ในคณะของมาเซอร์คาร์เมไลท์คือ “ชีวิต แห่งการภาวนาและความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า โดยอาศัยความเชื่อ ความไว้วางใจ และความรัก ที่มาเซอร์ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังเสมอมา”
75 ปีอารามคาร์แมล : สถานที่แห่งการภาวนาและพลีกรรม
นับ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ของเรา ได้มีขุมพลังของการสวดภาวนาเพื่อพระศาสนจักร เพราะการสวดภาวนานี้เองเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้พระศาสนจักรสามารถปฏิบัติ พันธกิจต่าง ๆ ของพระเป็นเจ้าได้อย่างดี เป็นเวลายาวนานถึง 75 ปีล่วงมาแล้ว ที่คณะภคินีแห่งแม่พระภูเขาคาร์เมไลท์ ได้เดินทางมาก่อตั้งอารามขึ้นในประเทศไทย และตลอดเวลา 75 ปีที่ผ่านมา อารามคาร์แมลแห่งนี้ ได้เจริญเติบโตขึ้น ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ และอารามแห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมของคริสตชน และผู้มีเรื่องทุกข์ร้อน เพราะเพียงแต่ผู้ที่มีเรื่องทุกข์ใจ ได้ก้าวเข้ามาในบริเวณอารามแห่งนี้ ก็จะได้สัมผัสกับความสงบเงียบ ร่มเย็น ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย และที่อารามแห่งนี้เองหลาย ๆ คนที่แวะเวียนเข้ามา มักมีจุดประสงค์ที่จะขอให้มาเซอร์ชีลับช่วยสวดภาวนา ขอพระเป็นเจ้าให้ช่วยตนในปัญหาต่าง ๆ เพราะพวกเขาเหล่านั้นทราบดีว่า พระเป็นเจ้าจะสดับฟังคำภาวนาของมาเซอร์ชีลับเสมอ
จะ เห็นได้ว่า ถึงแม้มาเซอร์คาร์เมไลท์ จะดำเนินชีวิตอยู่ในเขตพรต ละทิ้งจากความวุ่นวายภายนอกแล้ว แต่ชีวิตและคำภาวนาของท่านที่มีต่อพระเป็นเจ้านั้น หาได้พ้นจากความทุกข์ร้อนยากลำบากของเพื่อนมนุษย์ภายนอกไม่ เพราะคาร์เมไลท์มีหน้าที่รับผิดชอบต่อโลก โดยทางคำภาวนา แม้จะแยกตนออกมาจากความวุ่นวายและความสับสนของโลกแต่ยังคงเปิดใจต่อความ กังวล ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ ใครที่สละโลกไม่ได้หมายความว่าเขาหนีโลก แต่เขากลับไปเพื่อที่จะรับผิดชอบต่อหน้าพระเป็นเจ้า…….


