พระวาจา ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2555
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2012 9:44 pm
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2012 สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา
“ตาสว่างกันซะที รู้ความจริงกันเสียที รู้กันให้ชัดเจนว่าใครเป็นใคร”
อ่านจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัสในวันนี้ พ่อคิดว่า ถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริง เราคริสตชนต้องยอมรับความจริง รับให้ได้นะครับว่าเราเป็นใคร คำตอบแบบตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมกันเลย “เราคริสตชน คือ คนศักดิ์สิทธิ์” ทำไม ทราบไหมครับ??? คำตอบ ความศักดิ์สิทธิ์มีแต่ในพระเจ้า หรือกล่าวได้ว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้เดียวศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้เดียวสูงสุด ไม่มีใครเป็นเหมือนพระองค์ นั่นคือความจริงประการแรก
ความจริงประการที่สอง มนุษย์ไม่มีใครศักดิ์สิทธิ์และสมบูรณ์แบบพร้อมทุกประการ แต่ถ้ามนุษย์คนใดได้ใกล้ชิดพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมได้รับความศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน แล้วสาอะไรกับเราคริสตชนทุกคนไม่เว้นใครเลย ในเมื่อเราได้จุ่มตัวในน้ำแห่งศีลล้างบาป น้ำที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตของพระเจ้า ท่วมท้นล้นชีวิตของเรา ทำให้เรา ภาษาง่าย ๆ คือ เปียกโชก ชุ่มฉ่ำ ไปด้วยพระคริสตเจ้าเอง โดยอาศัยพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ โดยมีน้ำแห่งศีลล้างบาปเป็นเครื่องหมาย ดังนั้น ไม่ใช่เพียงเปียกโชก ชุ่มฉ่ำภายนอก แต่อันที่จริง ความเป็นพระคริสต์ ความเป็นบุตรของพระเจ้าได้บังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ภายในชีวิต และวิญญาณของเรา จึงกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่ใช่เพียงเราที่มีชีวิต แต่เป็นพระคริสต์ผู้สถิตในชีวิตเรา และมากไปกว่านั้น เราได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า เราได้รับการเจิมด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ คือ ชีวิตพระเจ้าที่ซึมซาบลงในชีวิตของเรา และ เรายังได้รับแสงสว่างของพระคริสตเจ้าด้วยไฟที่จุดจากเทียนปัสกา และเสื้อสีขาวซึ่งเป็นเครื่องหมาย หรือ สีแห่งชัยชนะ สีซึ่งแสดงออกหมายถึงโลกของพระเจ้า...
ดังนั้น เราคงหลีกหนีความจริงไม่พ้นว่าเราคริสตชนเป็นบุตรของพระเจ้าจริง ๆ และที่แน่นอนที่สุดตามมาก็คือ เราเป็นพี่น้องกันจริง ๆ
พี่น้องที่รัก จากความจริงทั้งสองประการ พ่ออยากให้เราทุกคน “ตาสว่างเสียที” ไม่ได้แปลว่าแต่เดิมเราตาบอด แต่เพราะนักบุญเปาโลย้ำเตือนเราโดยอาศัยจดหมายถึงชาวเอเฟซัส ให้เราได้ตาสว่างจริง ๆ ให้ตาใจของเราเปิดออก และเห็นความจริง “ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร” (ข้อ 18) ดังนั้น การไตร่ตรองพระวาจาในวันนี้ พ่ออยากเชิญชวนพวกเราให้พิจารณาอย่างถ่องแท้ ให้เราดูกระจก สะท้อนชีวิตและจิตใจอีกทั้งวิญญาณ ความประพฤติ และการกระทำของพวกเราว่า เราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นคนพิเศษ ที่ได้รับศีลล้างบาป เป็นคริสตชน เป็นบุตรของพระเจ้าจริง ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเราสำนึก ยอมรับความจริง และมีความเชื่อในความจริงประการนี้ เราคริสตชนจะต้องดำเนินชีวิตในความจริงนี้ได้อย่างดีแน่นอน ปีนี้เป็นปีแห่งความเชื่อ และพระสันตะปาปาย้ำสอนเราว่า “ความเชื่อ เป็นจริงก็ต่อเมื่อเราเจริญชีวิตความเชื่อนั้นในประสบการณ์แห่งความรัก เป็นการมอบความรักและรับความรักจนกระทั่งสามารถขยายหัวใจของเราไปสู่ความหวังแท้จริง เป็นความหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และอันที่จริง ท่านนักบุญเปาโลได้ย้ำความจริงประการนี้แล้วกับชาวเอเฟซัส
ดังนั้น พี่น้องที่รัก อ่านพระคัมภีร์วันนี้ดี ๆ นะครับ และที่สำคัญ อ่านความจริง เชื่อในความจริงที่เราแต่ละคนต่างเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างแน่นอน อยากรู้ไหมว่า คนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร อันที่จริงคนศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นดูได้อย่างชัดเจนถ้าเขาดำเนินชีวิตไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ขณะเดียวกัน คนศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้ใคร ที่นั่นก็ศักดิ์สิทธิ์ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และความหวัง พี่น้องที่รัก อย่าดับไฟแห่งความหวังในชีวิตเรา และที่สำคัญ อย่าดับไฟแห่งความรักและความหวังในกันและกัน เพราะไฟแห่งความรักและความหวัง คือ พลังมาจากความเชื่อ... ขอให้มีความเชื่อมาก ๆ นะครับ ขอให้ตาของเราสว่างมองเห็นความจริงประการนี้ และรักความจริงประการนี้เสียที... “ผู้มีความเชื่อเจริญชีวิตในความเชื่อ” (นักบุญออกัสติน) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องที่รักทุกท่านครับ....
อฟ 1:15-23………….
15เมื่อข้าพเจ้ารู้ถึงความเชื่อของท่านทั้งหลายในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และรู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกคน 16ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อท่าน และระลึกถึงท่านทั้งหลายในคำอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ 17ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่ง ๆ ขึ้น 18ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร 19อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นล้ำเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำลังนี้ 20พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์ 21เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวง ที่อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า 22พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระ คริสตเจ้า และทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร 23ซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำให้ทุกสิ่งบริบูรณ์
cr: คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
“ตาสว่างกันซะที รู้ความจริงกันเสียที รู้กันให้ชัดเจนว่าใครเป็นใคร”
อ่านจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัสในวันนี้ พ่อคิดว่า ถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริง เราคริสตชนต้องยอมรับความจริง รับให้ได้นะครับว่าเราเป็นใคร คำตอบแบบตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมกันเลย “เราคริสตชน คือ คนศักดิ์สิทธิ์” ทำไม ทราบไหมครับ??? คำตอบ ความศักดิ์สิทธิ์มีแต่ในพระเจ้า หรือกล่าวได้ว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้เดียวศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้เดียวสูงสุด ไม่มีใครเป็นเหมือนพระองค์ นั่นคือความจริงประการแรก
ความจริงประการที่สอง มนุษย์ไม่มีใครศักดิ์สิทธิ์และสมบูรณ์แบบพร้อมทุกประการ แต่ถ้ามนุษย์คนใดได้ใกล้ชิดพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมได้รับความศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน แล้วสาอะไรกับเราคริสตชนทุกคนไม่เว้นใครเลย ในเมื่อเราได้จุ่มตัวในน้ำแห่งศีลล้างบาป น้ำที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตของพระเจ้า ท่วมท้นล้นชีวิตของเรา ทำให้เรา ภาษาง่าย ๆ คือ เปียกโชก ชุ่มฉ่ำ ไปด้วยพระคริสตเจ้าเอง โดยอาศัยพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ โดยมีน้ำแห่งศีลล้างบาปเป็นเครื่องหมาย ดังนั้น ไม่ใช่เพียงเปียกโชก ชุ่มฉ่ำภายนอก แต่อันที่จริง ความเป็นพระคริสต์ ความเป็นบุตรของพระเจ้าได้บังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ภายในชีวิต และวิญญาณของเรา จึงกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่ใช่เพียงเราที่มีชีวิต แต่เป็นพระคริสต์ผู้สถิตในชีวิตเรา และมากไปกว่านั้น เราได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า เราได้รับการเจิมด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ คือ ชีวิตพระเจ้าที่ซึมซาบลงในชีวิตของเรา และ เรายังได้รับแสงสว่างของพระคริสตเจ้าด้วยไฟที่จุดจากเทียนปัสกา และเสื้อสีขาวซึ่งเป็นเครื่องหมาย หรือ สีแห่งชัยชนะ สีซึ่งแสดงออกหมายถึงโลกของพระเจ้า...
ดังนั้น เราคงหลีกหนีความจริงไม่พ้นว่าเราคริสตชนเป็นบุตรของพระเจ้าจริง ๆ และที่แน่นอนที่สุดตามมาก็คือ เราเป็นพี่น้องกันจริง ๆ
พี่น้องที่รัก จากความจริงทั้งสองประการ พ่ออยากให้เราทุกคน “ตาสว่างเสียที” ไม่ได้แปลว่าแต่เดิมเราตาบอด แต่เพราะนักบุญเปาโลย้ำเตือนเราโดยอาศัยจดหมายถึงชาวเอเฟซัส ให้เราได้ตาสว่างจริง ๆ ให้ตาใจของเราเปิดออก และเห็นความจริง “ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร” (ข้อ 18) ดังนั้น การไตร่ตรองพระวาจาในวันนี้ พ่ออยากเชิญชวนพวกเราให้พิจารณาอย่างถ่องแท้ ให้เราดูกระจก สะท้อนชีวิตและจิตใจอีกทั้งวิญญาณ ความประพฤติ และการกระทำของพวกเราว่า เราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นคนพิเศษ ที่ได้รับศีลล้างบาป เป็นคริสตชน เป็นบุตรของพระเจ้าจริง ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเราสำนึก ยอมรับความจริง และมีความเชื่อในความจริงประการนี้ เราคริสตชนจะต้องดำเนินชีวิตในความจริงนี้ได้อย่างดีแน่นอน ปีนี้เป็นปีแห่งความเชื่อ และพระสันตะปาปาย้ำสอนเราว่า “ความเชื่อ เป็นจริงก็ต่อเมื่อเราเจริญชีวิตความเชื่อนั้นในประสบการณ์แห่งความรัก เป็นการมอบความรักและรับความรักจนกระทั่งสามารถขยายหัวใจของเราไปสู่ความหวังแท้จริง เป็นความหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และอันที่จริง ท่านนักบุญเปาโลได้ย้ำความจริงประการนี้แล้วกับชาวเอเฟซัส
ดังนั้น พี่น้องที่รัก อ่านพระคัมภีร์วันนี้ดี ๆ นะครับ และที่สำคัญ อ่านความจริง เชื่อในความจริงที่เราแต่ละคนต่างเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างแน่นอน อยากรู้ไหมว่า คนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร อันที่จริงคนศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นดูได้อย่างชัดเจนถ้าเขาดำเนินชีวิตไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ขณะเดียวกัน คนศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้ใคร ที่นั่นก็ศักดิ์สิทธิ์ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และความหวัง พี่น้องที่รัก อย่าดับไฟแห่งความหวังในชีวิตเรา และที่สำคัญ อย่าดับไฟแห่งความรักและความหวังในกันและกัน เพราะไฟแห่งความรักและความหวัง คือ พลังมาจากความเชื่อ... ขอให้มีความเชื่อมาก ๆ นะครับ ขอให้ตาของเราสว่างมองเห็นความจริงประการนี้ และรักความจริงประการนี้เสียที... “ผู้มีความเชื่อเจริญชีวิตในความเชื่อ” (นักบุญออกัสติน) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องที่รักทุกท่านครับ....
อฟ 1:15-23………….
15เมื่อข้าพเจ้ารู้ถึงความเชื่อของท่านทั้งหลายในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และรู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกคน 16ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อท่าน และระลึกถึงท่านทั้งหลายในคำอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ 17ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่ง ๆ ขึ้น 18ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร 19อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นล้ำเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำลังนี้ 20พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์ 21เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวง ที่อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า 22พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระ คริสตเจ้า และทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร 23ซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำให้ทุกสิ่งบริบูรณ์
cr: คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร